สายใยรักข้ามภพ
เรื่องราวความรักความแค้น ความผูกพันของคนในอดีตชาติที่ตามมาพบเจอ
กันอีกในชาติปัจจุบันเพื่อหนึ่งวิญญาณน้อยให้สมหวัง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1

ตอนที่ 1
ท่ามกลางความมืดของราตรีกาล หญิงสาวใบหน้าสวยหวานน่ารักผิวขาวนวลกำลังหลับอย่างเป็นสุขบน
ที่นอนนุ่มนิ่มในห้องนอน ทันใดนั้นเองก็มีร่างเล็กกลมป้อมของเด็กหญิงอายุราวๆสามสี่ขวบผิวขาวนวลละออ
ไว้ผมจุกมีปิ่นทองเสียบอยู่ สวมเสื้อคอกลมระบายลูกไม้สีขาวนุ่งโจงกระเบนสีเขียว ข้อมือกับข้อเท้าสวมกำไลทอง
หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาปราฏอยู่หน้าเตียง ดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์จ้องมองร่างบอบบางอรชรบนเตียงแล้วยิ้มให้

“ป้าส้ม ตื่นเถอะ ตื่นมาเล่นกับหนูนะจ้ะ” มือเล็กกลมป้อมยื่นไปหมายจะสัมผัสใบหน้าเนียนสวยของ
หญิงสาว พลันมีเสียงดังแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบว่า

“อย่า...ยังไม่ถึงเวลา กลับได้แล้ว เชื่อหลวงลุงเถอะ “

“หลวงลุงเจ้าขา ให้หนูอยู่ต่อสักพักไม่ได้รึเจ้าคะ หนูคิดถึงป้าส้มมาก” เสียงใสบริสุทธิ์ต่อรอง

“อย่าเลย รอให้ถึงเวลาก่อน เวลานี้ไม่เหมาะ จะทำให้ป้าส้มของหนูกลัวเปล่าๆ กลับเถอะ เชื่อหลวงลุง
หนูต้องอดทน ถ้าหนูกับป้าส้มมีวาสนาต่อกัน อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้นสายใยแห่งความผูกพันข้ามภพข้ามชาติ
ไปได้หรอก ต้องได้เจอกันแน่” เสียงเมตตาเตือนพร้อมๆกับร่างของเด็กหญิงค่อยๆเดินหายลงไปในน้ำในความ
ฝันของหญิงสาวจึงไม่เห็นใบหน้าสวยหวานใสน่ารักส่ายไปมาและร้องออกมาว่า

“อย่าลงไปหนู กลับมา อันตราย” หญิงสาวสะดุ้งตื่นทันที ดวงตาคู่สวยมองสำรวจไปรอบห้องก่อน
เอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียงเมื่อไม่พบอะไร

“ฝันไปเหรอนี่” เสียงพึมพำเบาๆแล้วล้มตัวลงนอนต่อด้วยความง่วง
===============
ณ บ้านพักสองชั้นปลูกบนพื้นที่ส่วนตัวที่ประเทศอังกฤษในเวลาเดียวกัน ภายในห้องนอนกว้างใหญ่
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ชาวตะวันตกใบหน้าคมเข้ม ผมดำ คิ้วหนาเข้มได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน ปากหนาได้รูป
ผิวไม่ดำไม่ขาวกำลังหลับอย่างเป็นสุขบนที่นอนนุ่มนิ่มจึงไม่รู้ว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนเป็นชายสูงอายุ
ร่างสูงใหญ่ ผมสีน้ำตาลทอง ผิวขาว สวมชุดนอนกางเกงลายทางฟ้าขาว นัยน์ตาสีน้ำตาล ปรากฏกายในห้อง
พร้อมด้วยภิกษุชราบอกความเป็นผู้ทรงศีลที่น่านับถือมายืนอยู่หน้าเตียง สายตาทั้งคู่จับจ้องที่ร่างชายหนุ่ม
บนเตียงอยู่พักหนึ่ง

“ช่วยหน่อยท่าน ช่วยให้เขาฟื้นความทรงจำในอดีต แม่หนูน้อยคนนั้นจะได้สมหวังเสียที ถ้าพลาด
จากชาตินี้ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะได้มาพบเจอกันอีก แม่หนูน้อยนั่นรอมานานเต็มที” เสียภิกษุชราบอก

“ไม่ต้องห่วงท่าน กระผมจะพยายามทำให้สำเร็จ “ เสียงชายสูงอายุผมสีน้ำตาลทองบอก

“ขอบใจ อาตมาต้องกลับแล้ว ที่เหลือรบกวนท่านช่วยจัดการต่อที” สิ้นเสียงร่างของภิกษุชราก็ค่อยๆ
จางหายไปในความมืดของราตรีกาล เหลือไว้แต่ชายชราผมสีน้ำตาลทองซึ่งทอดสายตามองร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่ม
อยู่สักพักก็ยิ้มแล้วร่างทั้งร่างก็ค่อยๆจางหายไปกับความมืดทว่ามีเสียงหวานใสของสตรีดังขึ้นมาแทนที่

“คุณหลวงใจร้ายทิ้งส้มอีกแล้ว” เสียงน้อยใจต่อว่าซ้ำๆดังติดๆกันราวกับต้องการตอกย้ำเข้าไปในดวงจิต
ของผู้ที่กำลังหลับอย่างเป็นสุขได้รับรู้

“ไม่ได้ทิ้ง..ไม่ได้ใจร้าย...อย่าเข้าใจผิดนะแม่ส้มนะ” เสียงร้อนรนดังขึ้นตอบจากผู้ที่กำลังหลับอย่างเป็นสุข

“ไม่ใจร้ายก็กลับบ้านซิเจ้าคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นใกล้หูอีก

“กลับยังไม่ได้ งานยังไม่เสร็จ รอก่อนนะแม่ส้มนะ พี่จะรีบกลับไปหา” คราวนี้ตอบดุจดังให้สัญญา

“ได้เจ้าค่ะ ส้มจะรอ” เสียงหวานให้สัญญาก่อนเงียบหายไป จากนั้นทุกอย่างก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้งจน
กระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

ก็อกๆๆ !

“ใคร ?” เสียงหงุดหงิดถามออกไปเพราะถูกรบกวนเวลานอน

“ผมเองครับคุณปราชญ์ ชยนต์” สิ้นเสียงตอบ ประตูห้องก็เปิดออก ร่างของชายหนุ่มใบหน้าบอกความ
เป็นลูกจีนประเภทตี๋หล่อก็มาปรากฎต่อหน้าเจ้าของห้อง

“มีอะไรหรือชยนต์ ถึงปลุกฉันแต่เช้า” ปราชญ์ถามออกไปทั้งที่ใบหน้ายังงัวเงีย เขารู้ผู้ช่วยคนนี้
รู้มารยาทดีพอ หากไม่จำเป็นหรือมีเรื่องสำคัญ ชยนต์จะไม่รบกวนเขาเป็นอันขาด

“เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นครับคุณปราชญ์ “ ชยนต์บอกพลางพาร่างสูงเพรียวเดินเข้าไปในห้องคนเป็นนาย
ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์

“คงเรื่องใหญ่จริงๆ ไม่อย่างนั้นนายคงไม่รีบร้อนมาหาฉันทั้งที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นหรอก” ชยนต์มอง
ใบหน้าคมเข้มของคนเป็นนายแล้วยิ้มเล็กน้อย คุณปราชญ์ ฉลาดสมชื่อจริงๆ ตลอดเวลาที่ร่วมงานมาห้าปี
เขายอมรับว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นแบบฉบับของนักธุรกิจสมัยใหม่ที่ครบสูตร ทั้งเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกับความซื่อ
ตรงที่มีให้คู่ค้า ทำอะไรตรงไปตรงมาแต่ไม่เคยตรงไปตรงมากับพวกที่คิดไม่ซื่อ เรียกว่ามาแบบไหนก็ตอบกลับไป
แบบนั้น เคี่ยวมา เคี่ยวไป ร้ายมาร้ายตอบ ดีมาดีไป จึงเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ใครๆขยาดพอสมควร ที่สำคัญคือ
คาดการณ์แม่นยำ

“ถูกของคุณครับ มีข่าวร้ายอยากเรียนให้ทราบคือ มิสเตอร์โรเจอร์ตายแล้วเมื่อคืนนี้เอง ไม่มีใครทราบ
สาเหตุ จะว่าถูกลอบฆ่าก็ไม่ใช่ สัญญาที่เตรียมไว้จะเซ็นร่วมทุนเปิดห้างไฮคลาสในไทยก็มีอันต้องพับไว้ก่อน
ต้องรอคณะบริหารกับประธานของไฮคลาสกรุ๊ปชุดใหม่ก่อนเราถึงจะสานต่อได้” สิ่งที่ผู้ช่วยคนสนิทคนเก่ง
บอกทำให้ปราชญ์หายง่วงเป็นปลิดทิ้งและนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดว่า

“เท่ากับเราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์กว่าจะเจรจากับมิสเตอร์โรเจอร์ลงตัว นึกไม่ถึงจริงๆ เอาเป็นว่า
นายอยู่ที่นี่รอดูว่าใครจะชึ้นแทนมิสเตอร์โรเจอร์และคณะบริหารชุดใหม่ ถ้าเป็นชุดเดิมคงไม่ยากที่จะสานต่อ
แต่ถ้าเป็นชุดใหม่ ช่วยคิดทีว่าเราจะเข้าทางไหนได้บ้าง ฉันคิดว่าคงไม่ยากเกินความสามารถของนาย”

“แล้วคุณล่ะครับ จะกลับกรุงเทพฯเลยหรือจะอยู่ต่อดี” เสียงถามไม่แน่ใจก็จริงหากในใจคนถาม
คิดว่าน่าจะกลับมากกว่าอยู่ต่อ และคำตอบของคนเป็นนายก็บอกให้รู้ว่าเขาเดาไม่ผิด

“กลับวันนี้เลย นายช่วยให้ใครหาตั๋วให้ที ทิ้งงานมานานกลัวตัวป่วนจะทำให้บริษัทมีปัญหาอีก”

“ไว้ผมจะหาตั๋วให้ครับ” ชยนต์ทำท่าจะก้าวเดินออกจากห้องแต่คำพูดของปราชญ์ยั้งไว้ก่อน

“เดี๋ยว ช่วยทำหน้าที่แทนฉันอีกเรื่อง ส่งจดหมายแสดงความเสียใจไปให้ไฮคลาสกรุ๊ปและอย่าลืมไป
ร่วมพิธีฝังศพด้วย”

“ผมลืมบอกไป มิสเตอร์โรเจอร์นับถือศาสนาพุทธครับ” คำบอกเล่าของชยนต์ทำให้ปราชญ์ทำหน้า
มึนๆ อย่างคิดไม่ถึง

“นายแน่ใจนะที่พูดมา ท่าทางทั้งเคี่ยวทั้งงกอย่างนั้นจะนับถือศาสนาพุทธ”

“จากข้อมูลที่ได้มา รายได้ของคุณโรเจอร์ส่วนใหญ่จะส่งให้สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและทุนการ
ศึกษาเด็กยากจนตามชนบทในเมืองไทย อีกทั้งยังช่วยบุรณะวัดและวิหารบ่อยๆด้วยครับ”

“น่าทึ่งมาก ฉันหลงเข้าใจผิดมานาน ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนเป็นไปร่วมพิธีศพแทนก็แล้วกัน”

“ได้ครับ ไว้สายๆผมจะให้คนส่งตั๋วเครื่องบินมาให้” คราวนี้ชยนต์ได้ไปจริงๆ ทิ้งให้ปราชญ์นั่งคิด
อะไรเพลินๆก่อนลุกไปอาบน้ำและสั่งงานคนที่เมืองไทยผ่านทางเมลต่อทันที
===============
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ประเทศไทย ภายในบ้านหลังใหญ่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้นานาชนิดปลูกอยู่รอบบ้านใจกลางมือง
ร่างบอบบางอรชรน่าถนอมของปรมาหลานสาวคนสวยของเจ้าของบ้านเดินเข้ามาในห้องอาหารแล้วยิ้มให้ผู้ที่นั่งรอ
อยู่ก่อนแล้ว

“มอร์นนิ่งค่ะ ป้าตา เช้านี้มีอะไรกินบ้างคะ ปาหิวมากเลย เมื่อคืนเพลินกับงานที่สถานสงเคราะห์
มากไปหน่อยค่ะเลยลืมข้าวเย็นค่ะ” ปรมาถามปานตาผู้เป็นป้าในวัยห้าสิบต้นๆทว่าดูอ่อนกว่าราวๆห้าหกปีโดย
ไม่ได้อาศัยมีดหมอแต่เป็นความอ่อนวัยจากจิตใจอันดีงาม

“ข้าวต้มเครื่องจ้ะหนูปา แต่คงไม่อยู่ท้อง ป้าให้แม่ครัวเขาทอดไข่ดาวหรือทำแซนวิสทูน่าเพิ่มดีไหม”
ปานตาห่วงใยหลานสาวกำพร้าลูกน้องสาวที่เลี้ยงดูมาตั้งเต่ปรมาอายุได้เจ็ดขวบเพราะบิดามารดาเสียงชีวตด้วย
อุบัติเหตุบนท้องถนน และเธอกับปิยะ ผู้เป็นสามีก็ไม่มีลูกด้วยกันนับแต่แต่งงานกันมาจึงทำให้รักหลานสาวกำพร้า
เหมือนลูกก็ว่าได้

“นั่นสิ ลุงก็ว่าอย่างนั้น กลัวจะเพลินกับงานที่สถานสงเคราะห์คนชราจนลืมหิวอีก อย่างนี้ไม่ดีนะ กองทัพ
เดินด้วยท้อง หนูปา” เสียงปิยะดังแทรกขึ้นขณะพาร่างสูงใหญ่ไร้พุงให้เห็นเหมือนชายสูงวัยทั่วไปกับใบหน้า
ผ่องใสบอกความเป็นคนสุขภาพดี เดินเข้ามานั่งในห้องอาหาร

“มอร์นนิ่งค่ะคุณลุง วันนี้ตื่นสายสงสัยจะไม่มีสอนที่มหาวิทยาลัย” ปรมาเรียกปิยะว่าคุณลุงไม่กล้าเรียก
ลุงยะ เหมือนเรียกปานตาว่าป้าตา เพราะเธอรู้สึกว่าคนเป็นลุงดูน่าเกรงขามมาตั้งแต่เล็กทั้งที่จริงๆแล้วปิยะไม่ใช่คน
ถือตัวแม้จะเคยเป็นถึงนักธุรกิจโรงแรมชั้นนำของประเทศ ในแวดวงธุรกิจ เมื่อเอ่ยชื่อ ปิยะ วงศ์อนันต์ ทุกคนต่างให้
ความเคารพแกรงใจ แม้จะมีชื่อเสียงและกิจการโรงแรมก็ไปได้ดีแต่ปิยะกลับขายกิจการโรงแรมทั้งหมดเมื่ออายุ
ย่างเข้าห้าสิบและหันมาใช้ชีวิตเรียบๆ รับจ้างเป็นอาจารย์สอนพิเศษตามมหาวิทยาลัยและวิทยากรรับเชิญทั่วๆไป
โดยที่ทุกคนไม่เข้าใจ

“ช่วงนี้ปิดเทอม เลยขี้เกียจ นอนหลับเพลิน” ปิยะพูดเกินจริงไปหน่อย ปรมารู้ดีว่าคนเป็นลุงเป็นคนขยันไม่ได้
ขี้เกียจอย่างที่ชอบพูดบ่อยๆ

“น่าอิจฉาคุณลุงจัง ปาอยากหลับเพลินบ้าง แต่ไม่เข้าใจทำไมปาต้องฝันทุกคืน ฝันเรื่องเดิมซ้ำๆ หลังไป
กราบพระที่วัด เกือบเดือนแล้วนะคะที่ปาฝันแบบนี้ “ ปรมาเพียงแต่บ่นให้ฟัง ทว่าทั้งปิยะและปานตาต่างมองหน้ากัน
แล้วปิยะก็เป็นฝ่ายถามอย่างสนใจ “หนูปาฝันว่าอย่างไรบ้าง ไหนลองเล่าให้ลุงกับป้าฟังหน่อย”

“ ปาฝันเห็นเด็กคนนั้นอีกแล้วค่ะ ฝันเหมือนเดิมคือเห็นแกเดินลงไปในน้ำ ปาตะโกนให้กลับมาก็ไม่ได้ยิน
เดินลงน้ำไปเรื่อยๆจนหายไปแล้วปาก็สะดุ้งตื่นทุกที” ปรมาเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับว่าเป็นเรื่องจริง

“บางที เด็กคนนั้นอาจมีความผูกพันกับหนูก็ได้นะ” ปานตาออกความเห็น

“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ปาไม่รู้สึกคุ้นเคยสักนิด หรือว่าเด็กคนนั้นต้องการให้ปาทำบุญอุทิศไปให้”
ปิยะกับปานตามักพาหลานสาวไปวัดบ่อยๆตั้งแต่เล็ก ฟังพระเทศน์เรื่องบุญกรรมให้ฟังเลยทำให้ปรมาซืมซับมา
ไม่ใช่น้อย

“เอาอย่างนี้ดีไหม วันนี้ไม่ต้องไปทำงานที่สถานสงเคราะห์ ไปหาหลวงพ่อด้วยกัน ลุงกับป้า
กำลังคิดไปถวายสังฆทานกับท่านอยู่พอดี หนูจะได้หายสงสัย” ปิยะสบช่องชวนหลานสาวไปพบพระภิกษุ
ที่เขากับภรรยาเคารพนับถือ

“ปาก็อยากอยู่ค่ะ แต่ติดที่คุณยศสวินเมื่อวานเพิ่งโทรมาบอกว่าจะแวะไปบริจาคเงินให้สถานสงเคราะห์
ก้อนโต ปาเลยต้องอยู่ต้อนรับ สถานสงเคราะห์กำลังสร้างสถานพยาบาลให้คนชราเพิ่ม คนเฒ่าคนแก่มีมาเพิ่ม
เรื่อยๆเพราะลูกหลานขยันพาพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาปล่อยทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์มากมายจนจะรับไม่ไหวอยู่แล้วค่ะ”
เสียงบ่นเหมือนคนแก่มากกว่าจะเป็นเด็กสาววัยแค่ยี่สิบสี่ยี่สิบห้าแต่ที่ปิยะและปานตาสนใจคือชายหนุ่ม
นามว่ายศสวินมากกว่า

“ใช่ยศสวินที่เป็นทายาทเจ้าของธุรกิจเพชรพลอยกับทองคำรวยติดอันดับของประเทศคนหนึ่ง
หรือเปล่าหนูปา” ปานตาถามเพื่อความแน่ใจทว่าใจกลับเป็นกังวล

“ค่ะ นานๆจะมีนักธุรกิจมาบริจาคโดยไม่คิดสร้างภาพเหมือนคนอื่น แต่ก็ดีค่ะอย่างน้อยก็ยังช่วยยืด
ชีวิตคุณตาคุณยายในสถานสงเคราะห์ไปได้อีกนาน ยกเว้นคุณลุงกับป้าตาค่ะ”

ปรมารีบออกตัว เธอรู้ดีว่าบุคคลทั้งสองมีใจเสียสละให้ทานอย่างแท้จริงแม้จะไม่มากเหมือนพวกที่
บริจาคเอาหน้าแต่ก็ไม่น้อยและทำอย่างสม่ำเสมอ

“หนูปาทำไมปากร้ายอย่างนี้ นี่ถ้าพวกนั้นมาได้ยินเข้ามีหวังไม่มาเหยียบสถานสงเคราะห์อีก คราวนี้
ลำบากแน่ เห็นจะมีเว้นก็แต่คุณยศสวินของหนูมั้ง” ปิยะแกล้งยั่ว อยากรู้ว่าหลานสาวรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่ม
ทายาทนักธุรกิจคนดังหาตัวจับยากชายหนุ่มที่มีครบทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติจนเป็นที่หมายปองของสาวน้อย
สาวใหญ่มากมาย

“คุณยศก็แค่บริจาคบ่อยกว่าคนอื่นและมาแบบเงียบๆไม่ให้เป็นข่าวเท่านั้นเอง แต่ก็แปลกนะคะ
มีข่าวซุบซิบไปลงอยู่เรื่อยทำนองนักธุรกิจหนุ่มใจงาม สงสัยคุณยศคงแอบไปให้ข่าวเงียบๆมั้ง ช่วยไม่ได้นี่คะ
นักธุรกิจส่วนมากลงทุนย่อมหวังผล” คำตอบของปรมาทำให้ปิยะกับปานตาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่าง
น้อยก็รู้ว่าหลานสาวไม่ได้นิยมชมชอบชายหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษแต่ทำไมยอมให้มาส่งอยู่เรื่อย

“หนูปา ออกรถสักคันน่าจะดี จะได้ไม่กวนหนุ่มๆทั้งหลายให้มาส่งบ่อยๆ” ปานตาต้องการตัดไฟแต่
ต้นลม กลัวความใกล้ชิดจะนำมาซึ่งความรัก แล้วเรื่องที่ควรจะเป็นจะพลาดไป

“ไม่ดีค่ะ ยุคนี้น้ำมันแพง เวลาขึ้นพุ่งกระฉูดแต่เวลาลงแค่จิ๊บๆ เงินเดือนกระจี๊ดริดอย่างปาต้องเจียม
ตัวค่ะ อีกอย่างมีคนอาสามาส่งบ่อยไป ถ้าดึกมากจริงๆก็ต้องพึ่งใบบุญคุณลุงให้ไปรับแทน” ปิยะและปานตา
ต่างส่ายหน้าให้กับข้อแก้ตัวของหลานสาว แม้รู้ว่าใจจริงแล้วปรมาไม่อยากรบกวนพวกเขามากกว่า

“แม่คนข้ออ้างเยอะ ป้าว่าที่ไม่อยากมีรถเพราะกลัวขับไปทำความรู้จักกับรถบนถนนมากกว่า
เห็นอาสาคุณลุงขับทีไรได้เรื่องทุกที”

“แหมรู้ทันอยู่เรื่อย ปาไปดีกว่าเดี๋ยวสาย มีงานอีกเยอะ วันนี้เพื่อนลาไปคนด้วย พี่อ้อมกำชับให้ไปเร็ว
กว่าเดิมจะได้ช่วยกัน ปาไปนะคะ ไว้เจอกันเย็นๆค่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็ลุกจากโต๊ะอาหารไปทันที

“คุณยะ ตาเกรงว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่เราคิด ไม่มีวี่แววเลยว่าหนูปาจะได้พบกับคนที่ควรพบ
ถ้าไปชอบพอกับนายยศสวิน เห็นทีลำบากแน่” ปานตาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเป็นกังวลหลังหลานสาวไปแล้ว

“คิดมากน่า คุณตา เราไปถามหลวงพ่อดีกว่า สายมากแล้วเรารีบไปกันดีกว่าเดี๋ยวจะมืดค่ำเปล่าๆ
กว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯ” ปิยะดูไม่กังวลสักนิด

“จริงด้วย ทำไมตาลืมไปได้ ท่านอาจมีวิธีช่วย เรารีบไปกันเถอะ”

ปิยะใช้เวลาขับรถประมาณสามชั่วโมงจากกรุงเทพฯก็ถึงวัด ภายในวัดร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ใหญ่
ลานวัดสะอาดสะอ้านแม้จะเป็นพื้นดินเสียส่วนใหญ่แต่กลับไม่มีใบไม้ตกตามพื้นให้แกะกะสายตา มีกระท่อม
หลังไม่ใหญ่นักปลูกไว้ให้ผู้มาปฎิบัติธรรมได้พัก ตัววัดตั้งอยู่ตืนเขาห่างจากตัวเมืองพอสมควร ทันทีที่สองสามี
ภรรยาลงจากรถ เสียงเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดก็มายืนต้อนรับ

“เชิญครับคุณปิยะ คุณปานตา หลวงลุงคอยอยู่บนกุฏิ” เสียงเด็กหนุ่มบอก

“ขอบใจ เอก เอ้านี่ขนม เอาไปแจกเพื่อนๆ แล้วช่วยไปตามคนมายกข้าวสาร น้ำมัน น้ำปลา กระเทียม พริก
ไปไว้ที่ครัว เห็นพวกแม่ครัวบ่นว่าใกล้หมดแล้ว กลัวไม่พอทำกับข้าวเลี้ยงพวกมาปฏิบัติธรรมกิน” ปิยะยื่นกุญแจรถ
กับห่อขนมให้เด็กหนุ่มที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่มาเยือนวัดแห่งนี้แต่มาบ่อยจนเป็นที่คุ้นเคย
ของคนในวัดและยังคอยเป็นธุระจัดหาข้าวสาร เครื่องครัวต่างๆให้แม่ครัวในวัดได้ทำอาหารเลี้ยงคนมาปฎิบัติธรรม

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะไปเกณฑ์พรรคพวกให้ครับ” เสียงเด็กหนุ่มตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะ ฉันขอขึ้นไปพบหลวงพ่อก่อน” ว่าจบทั้งคู่ก็เดินขึ้นบันไดไม้ไปบนกุฏิทันที

ภิกษุชรานั่งหลับตาในท่านั่งขัดสมาธิมีอันต้องลืมตาขึ้นเมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือน สองสามีภรรยากราบท่าน
ก่อนนั่งตามปกติ

“วันนี้พาตัวหลานสาวมาไม่ได้ตามเคยสินะ ไม่เป็นไรหรอกถึงอย่างไรก็ได้พบแน่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่”
ภิกษุชราทักเหมือนรู้ สองสามีภรรยาไม่มีทีท่าแปลกใจแต่อย่างไร เพราะทั้งคู่ฝึกสมาธิกับท่านมานานรู้ว่าท่าน
มีญาณหยั่งรู้เหตุล่วงหน้าเพียงแต่ท่านบอกตรงๆไม่ได้เพราะมีพระธรรมวินัยคุมอยู่ไม่อย่างนั้นจะเป็นการอวดอุตริไป

“ดิฉันเกรงว่า ฝ่ายเราจะไปหลงชอบคนที่ไม่ควรชอบค่ะ หลวงพ่อ” ปานตาบอกตามตรง

“อาตมาว่าโยมวิตกเกินไป ทุกอย่างเป็นไปตามลิขิตของกรรม เมื่อไรก็ตามที่กรรมส่งผล เมื่อนั้นต่อให้
มีใครมาขวางกรรมย่อมมีวิธีนำพาทั้งคู่ให้มาพบกันอยู่ดี สุดแล้วแต่วาสนาบารมีของผู้รอคอยว่ามีแค่ไหน
คนนอกวงจรกรรมช่วยได้เพียงเล็กน้อย” ภิกษุชราเตือนสติ

“แต่ดิฉันสงสารแม่หนูคนนั้น แกรอคอยมานานแล้ว หากพลาดอีกก็จะพลาดกันตลอดไป น่าสงสารแท้ๆ
แกคงไม่ยอมไปเกิดง่ายๆหรอกค่ะหลวงพ่อตราบใดที่ยังไม่สมหวัง” ปานตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ

“จริงอย่างโยมว่า ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้นจากวัฎสงสาร ดวงจิตทุกดวงต่างถูกห่อหุ้มไปด้วยกิเลส
ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด โยมไม่ต้องวิตกไปหรอก หากไม่มีปัจจัยเกื้อหนุนต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่ได้ผลอยู่ดี”

“ผมเข้าใจครับหลวงพ่อ พวกเราคงทำได้แค่คอยเฝ้าดู ช่วยลุ้นอยู่ห่างๆ คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
ถ้าเหตุปัจจัยไม่ลงตัวต่อให้พยายามแค่ไหนก็คงช่วยไม่ได้อยู่ดี” ปิยะดูจะเข้าใจและยอมรับมากกว่าภรรยา

“เข้าใจก็ดีแล้วไม่ต้องกังวลไปโยม ไม่ช้าไม่นานโยมจะเห็นเอง อาตมาเองก็หวังว่าทุกอย่างจะลงตัว
ตามที่ทุกคนปรารถนาในไม่ช้า เรื่องทั้งหมดควรจะจบสิ้นกันเสียที ไม่อย่างนั้นจะมีอีกหลายดวงวิญญาณที่ต้อง
ทนทุกข์ไปอีกนานกว่าจะหมดกรรม” น้ำเสียงภิษุชรามีแววสลด

“ทั้งคู่อยู่ไกลกัน โอกาสที่จะพบกันยากเต็มที” ปานตาพูดเหมือนหมดหวัง

“อย่ากังวลไปเลยโยม ให้คิดเสียว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าไปกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
ไม่มีใครหยุดกงล้อของกรรมได้ คิดอย่างนี้จะได้สบายใจนะโยม” ภิกษุชราพูดให้ได้คิด

“นั่นสิคุณตา เชื่อหลวงพ่อเถอะ จะได้สบายใจ” ปิยะเตือนสติภรรยา

“แปลกนะคะ ได้คุยกับหลวงพ่อแล้วสบายใจ เรามารบกวนหลวงพ่อมากไปหรือเปล่าคะ”
ปานตารู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังมีกังวล เธอไม่รู้ว่าเพราะภิกษุตรงหน้าท่านแผ่เมตตาให้

“หน้าที่ของพระคือช่วยคนให้พ้นทุกข์ อาตมาคิดว่าโยมคงสบายใจขึ้นมากแล้ว ต่อจากนี้ไปโยม
คงทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ดูอยู่ห่างๆก็พอ ไม่ต้องเข้าไปยุ่งมาก โยมสบายใจได้มีผู้ทำหน้าที่แทนแน่นอน เอาล่ะ
อาตมาต้องลงไปสอบอารมณ์ผู้มาปฎิบัติธรรมแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ผู้มาเยือนรู้ดีว่าท่านไม่ต้องการบอก
อะไรมากกว่านี้ เท่าที่เมตตาบอกก็มากพอแล้ว ดังนั้นทั้งคู่จึงก้มลงกราบลาทันที
============
หญิงสาวร่างระหงกลมกลึง ใบหน้าอิ่มสวยได้รูป ผิวขาวอมชมพูคิ้วเข้มเรียวสวยรับกับดวงตาคู่สวยแต่
แฝงแววดุเอาเรื่องในตัว ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มช่วยเสริมให้ใบหน้านั้นดูสวยเด่นสะดุดตามากกว่าเดิม แต่งกาย
ด้วยกางเกงกับเสื้อทันสมัย สะพายกระเป๋ายี่ห้อดัง กำลังจะก้าวขึ้นรถสปอร์ตสีแดงคันเก๋แต่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีเสียง
ของหญิงสูงวัยใกล้หกสิบวิ่งกระหึดกระหอบส่งเสียงร้องตะโกนห้ามไว้ก่อน

“คุณซีน อย่าเพิ่งไปค่ะ คุณย่าอยากให้คุณซีนพาไปสถานสงเคราะห์หน่อยค่ะ”

“เสียใจซีนไม่ว่าง ติดธุระด่วน ต้องรีบไป ให้คุณย่าไปวันหลังก็แล้วกัน” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ยิ่งนัก

“วันนี้คุณปราชญ์กลับแล้ว เชื่อป้าเถอะค่ะอย่าไปไหนเลย ไปกับคุณย่าดีกว่าค่ะ คนรถก็ไม่อยู่ มีแต่
คุณซีนที่ขับรถได้ ถือเสียว่าทำเพื่อคุณย่าสักครั้งนะคะ คุณซีนจะได้ไม่ถูกคุณปราชญ์ดุอีก” หญิงสูงวัยมองหน้า
ภริดา หรือ คุณซีน หลานสาวคนสวยของเจ้าของบ้านของคนในบ้าน ด้วยสายตาวิงวอนทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้า
ไม่พอใจ จ้องมองร่างท้วมของหญิงแม่บ้านซึ่งเป็นคนเก่าแก่ในบ้านอย่างหงุดหงิด

“เอ๊ะ! ..ป้าวรรณนี่ เซ้าซี้อยู่ได้ บอกว่ามีธุระด่วนก็ด่วนสิ ยังไงก็ไปส่งคุณย่าไม่ได้ อย่าเอาพี่ปราชญ์มาขู่
ให้ยาก ซีนไม่กลัวหรอก คุณย่าไม่ไปสถานสงเคราะห์สักอาทิตย์จะเป็นไรไป” เอ่ยจบหญิงสาวก็สตาร์ทรถ
ออกไปทันที

ป้าวรรณรีบขยับตัวถอยห่างแล้วถอนใจแรงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกินความคาดหมาย น้องสาวเจ้าของบ้าน
ไม่เคยมีน้ำใจกับคนในบ้านแต่ไหนแต่ไรมานานแล้วยังดีที่เกรงกลัวปราชญ์ หลานชายเจ้าของบ้าน พี่ชายต่างมารดา
บ้าง เพราะปราชญ์ร้ายกว่า น่าสงสารคุณท่านเหมือนกันที่วันนี้ต้องไปสถานสงเคราะห์ด้วยแท๊กซี่ แกคิดอย่างปลงๆ
แต่พอจะกลับไปแจ้งให้ทราบก็พบหญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่าแต่ยังดูแข็งแรงอยู่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว

“ไม่ได้ผลใช่ไหมวรรณ ฉันบอกแล้ว อย่าไปหวังน้ำใจจากยายซีน ทีนี้ยอมเรียกแท๊กซี่ให้ฉันหรือยัง
ขืนชักช้าจะสายเปล่าๆ ฉันไม่อยากผิดคำพูดกับเพื่อน รับปากแล้วว่าจะไปก็ต้องไป” ไม่เคยมีสักครั้งที่
หญิงชราคิดทำอะไรแล้วจะยกเลิกความตั้งใจ

“คุณท่านคะ ไว้ไปวันหลังไม่ดีหรือคะ รอคุณปราชญ์กลับมาค่อยพาไปดีกว่าค่ะ” ป้าวรรณเตือนด้วย
ความเป็นห่วงหญิงชราเจ้าของบ้าน

“ไม่ได้หรอกวรรณ ฉันให้สัญญากับเพื่อนไว้แล้ว อย่าห้ามให้เสียเวลา” หญิงชรายังคงยืนยันความตั้งใจเดิม

“ถ้าอย่างนั้นวรรณจะไปเป็นเพื่อน คุณท่านนั่งแท็กซี่ไปคนเดียว วรรณเป็นห่วงค่ะ” เมื่อขัดขวางอีกฝ่ายไม่ได้
แม่บ้านผู้ภักดีจึงอาสาไปเป็นเพื่อนและหญิงชราก็เห็นดีด้วยขณะกำลังจะเอ่ยปากอนุญาตพลันก็เหมือนมีเสียงดังขึ้นใน
ใจว่า ‘ไม่ต้องห่าง ไปคนเดียวได้ รับรองปลอดภัย ขากลับหลานชายจะไปรับเอง’

“ขอบใจที่ห่วง ฉันยังไม่แก่จนทำอะไรไม่ได้ ไปเรียกแท๊กซี่ให้ฉันเถอะ” หญิงชราไม่เข้าใจเหมือนกันทำไม
ถึงต้องปฏิเสธแม่บ้านผู้ภักดีด้วย ป้าวรรณได้ยินแล้วจำยอมเดินไปเรียกแท๊กซี่พลางคิดว่า ดื้อพอกันเลยทั้งย่าทั้งหลาน
===========
ภายในอาคารสำนักงานของนิวเวลกรุ๊ป หน้าห้องประธานบริหารบนชั้นเก้าของอาคารจิดาภาเลขาสาวสวย
รับโทรศัพท์ให้วุ่นไปหมด

“คุณปราชญ์ยังไม่กลับค่ะ ไว้กลับค่อยโทรมานัดสัมภาษณ์นะคะ” นี่เป็นสายที่สิบแล้วมั้งที่ถูก
ปฎิเสธ เลขาสาวถอนใจอย่างอ่อนแรง ไม่เข้าใจจริงๆนักข่าวพวกนี้ทำไมถึงอยากรู้เรื่องชาวบ้านนัก

“คุณปราชญ์นะคุณปราชญ์ หายไปทีเป็นเดือน ปล่อยให้เลขาสาวสวยมากความสามารถอย่างเรา
ต้องผจญกรรมตามลำพัง” ที่สุดก็อดบ่นออกมาไม่ได้และแล้วต้องยิ้มอย่างดีใจเมื่อคนที่บ่นถึงมายืนอยู่ตรง
หน้าพร้อมกล่องของขวัญ

“นี่คงชดเชยค่าเหนื่อยให้คุณภาได้มั้ง ผมให้ชยนต์หาซื้อให้ หมอนั่นมันเก่งเรื่องเลือกหาของฝาก แต่ไม่
เข้าใจว่าทำไมต้องห่อเสียมิดชิดนักคุณภา ผมเลยไม่รู้ว่าซื้ออะไรมาฝากเลขาคนเก่ง” ปราชญ์ดูเป็นกันเองกับ
เลขาคนสนิทมาก ว่ากันตามจริง จิดาภาเป็นเลขาที่ฉลาดคล่องงาน หน้าตาดี อายุใกล้เลขสามแล้วแต่ใบหน้า
อ่อนเยาว์เหมือนเด็กสาวอายุยี่สิบต้นๆ ดังนั้นจึงหลอกหนุ่มๆได้เยอะ ยกเว้นคนในบริษัท เหตุที่ปราชญ์ให้
ความสนิทสนมกับเลขาสาวสวยเพราะเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่คิดทอดสะพานให้เจ้านายหรือหวังรวยทางลัด
สนใจทำงานมากกว่าอย่างอื่น

“อย่างนี้ก็แย่สิคะ ภากำลังขาดของขวัญไปงานวันเกิดเพื่อนอยู่พอดี กะว่าจะเอาไปรีไซเคิลนะเนี่ย
คุณชยนต์กลับมาต้องต่อว่าเสียหน่อย ...จริงสิคะ ภาเกือบลืม มีเรื่องสำคัญ นักข่าวโทรมาขอนัดสัมภาษณ์
คุณปราชญ์จนสายแทบไหม้ หูภาชาไปหมดแล้ว” เลขาคนสวยรายงานให้ทราบ

“ถ้าอย่างนั้นบอกนักข่าวไป ว่าผมยังไม่ว่างให้สัมภาษณ์ ไว้ว่างเมื่อไหร่จะโทรไปนัดเอง ผมขอตัวเข้าไปเคลียร์
งานก่อน วันนี้ผมคงอยู่ไม่นาน คุณภาช่วยบอกให้ทุกคนทราบด้วยว่าถ้ามีเอกสารสำคัญให้เซ็นช่วยรวบรวมไว้พรุ่งนี้
ค่อยส่งเซ็นทีเดียว” สั่งจบก็เดินเข้าห้องไป จิดาภามองเจ้านายหนุ่มที่เป็นที่หมายปองของสาวๆแล้วส่ายหน้า
เธอรู้ว่าเจ้านายเฉียบขาดแค่ไหน ไม่เคยแคร์อะไรทั้งนั้น ไม่เคยคิดพึงพานักข่าวให้ช่วยสร้างภาพจนถูกผู้คนมองว่า
นักธุรกิจจอมหยิ่ง มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ภายในห้องทำงานกว้างใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งโต๊ะประชุม มุมรับแขก และโต๊ะทำงาน
เจ้านายของจิดาภากำลังใส่ใจกับข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊กบุ๊กก่อนหันไปดูเอกสารในมือสักครู่แล้ว
หยิบปากกาเตรียมเซ็นแต่แล้วกลับเปลี่ยนใจวางปากกาลง ลุกจากโต๊ะทำงานตัวหรูพาร่างสูงใหญ่ไปหยุดยืนที่ผนัง
กระจกกรุลายสวยทว่าสามารถเห็นวิวกรุงเทพฯด้านนอกอาคารได้ชัดเจนเหมือนกำลังใช้ความคิด สักพักความ
คิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมอง เหมือนมีคนมาบอกว่า

‘คุณย่าอยู่สถานสงเคราะห์ กลับบ้านไม่ได้ ไม่มีรถไปรับ’

ความคิดนี้ทำให้ปราชญ์รีบหยิบโทรศัพท์โทรไปบ้านทันที พอได้คำตอบก็รีบเปิดประตูห้องออกไป
“คุณปราชญ์จะกลับแล้วเหรอคะ เพิ่งมาเองนี่คะ” จิดาภาถามทันทีที่เห็นเจ้านายเดินออกจากห้อง

“ใช่ มีอะไรคุณภา ” ปราชญ์ย้อนถามกลับเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของเลขาสาวสวย

“เอ่อ..คุณจิดายุ อยากพบค่ะ บอกมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาด้วย” จิดาภามีท่าทีอึดอัดเมื่อเอ่ยชื่อนางเอก
สาวไฮโซคนสวยชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับห้างนิวเวลกรุ๊ป หลังนางเอกสาวได้พบกับประธาน
บริหารหนุ่มของนิวเวลกรุ๊ปครั้งแรกก็มักหาเวลามาพบเสมอแม้อีกฝ่ายจะเฉยเมยไม่มีท่าทีให้ก็ตาม ต้องยอมรับอย่าง
หนึ่งชื่อเสียงของห้างดีขึ้นมากหลังได้จิดายุมาเป็นพรีเซ็นเตอร์สักพัก ครั้งนี้เจ้านายจะปฏิเสธเหมือนเคยหรือเปล่านะ
และคำตอบก็มา

“ตอบไปว่าผมติดธุระด่วนมีอะไรไว้วันหลังค่อยนัดกันอีกที” คำตอบนั้นทำให้เลขาสาวสวยอยากบอกว่า
‘นึกแล้วเชียว’ แต่กลับเฉยเสีย หากใจกลับสงสัยและอยากรู้ว่าสาวใดจะโชคดีได้หัวใจคุณปราชญ์ไปนะ ..หรือว่า...
คุณปราชญ์เป็นพวก...ไม่นะ เสียดายแย่ แต่ก็ไม่แน่เห็นชอบควงคุณชยนต์ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จิดาภาเริ่มหวั่น
วิตก นึกภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย
============
ทันทีที่พารถมาจอดในสถานสงเคราะห์คนชรา ปราชญ์รีบลงจากรถเดินไปหาเจ้าหน้าที่ถามหาคุณย่า
ของเขาทันที พอเจ้าหน้าที่บอกเขาจึงเดินตรงไปยังเรือนผู้ป่วย พอเข้าไปถึงก็เห็นคนชรานอนพักเรียงกันเป็นตับ
บนเตียงเล็กๆปูด้วยฟูกราคาถูก สายตาคมเข้มกวาดไปทั่วพลันก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งสวยหวานน่ารัก
มาก ผมยาวสลวยถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยกี๊ปตัวสวย นั่งป้อนข้าวให้หญิงชราคนหนึ่งโดยมีคุณย่าของเขา
นั่งมองอยู่ และแล้วเขาต้องกระพริบตาอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นนุ่งโจงกระเบนทอลายสีแดง
ห่มสไบเฉียงอัดจีบสีเขียวผมยาวสลวยกระจายเต็มหลัง พลันหูก็แว่วเสียงหวานไพเราะดังขึ้นอย่างดีใจว่า

“คุณหลวงกลับมาแล้ว” จังหวะเดียวกับที่หญิงสาวหันมาทางเขาแล้วยิ้มหวานให้พอดี
==================
คนเขียนมีอารมณ์อยากอ่านเรื่องแนวนี้บ้างเลยเอามาแบ่งปันกันอ่านค่ะ อาจไม่ใช่เรื่องที่ใครๆชอบก็ได้
แต่เอาเป็นว่าคนเขียนชอบก็แล้วกัน.....55555



เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ต.ค. 2555, 13:59:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ต.ค. 2555, 13:59:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1726





ปิศาจสัญจร 28 ต.ค. 2555, 18:21:25 น.
มาต่อไวๆ นะคะ น่าติดตามค่ะ


lovemuay 28 ต.ค. 2555, 18:30:14 น.
น่าอ่านจังนะคะ คนๆนั้นคือหนูปารึป่าวน้า


omelate 28 ต.ค. 2555, 20:44:49 น.
นานๆอ่านแบบนี้บ้างก็ดีค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะ


หมูบูลิน 29 ต.ค. 2555, 06:55:04 น.
รอติดตามค่ะ


ผักหวาน 29 มิ.ย. 2558, 13:34:12 น.
อยากอ่านเรื่องนี้ต่อจังเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account