โลกกลม...เพราะพรหมลิขิต
เมื่อสาวห้าวที่กำลังดวงตกแบบสุดๆ คิดจะหนีเรื่องวุ่นวายไปไกลถึงบุรีรัมย์ แต่ต้องมาพบเจอกับหนุ่มเซอร์จอมกวนประสาทครั้งแล้วครั้งเล่า การเดินทางครั้งนี้จะมีเรื่องซวยอะไรเกิดขึ้นอีกไหม มาเอาใจช่วยกันหน่อยค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน:

ไม่รู้ว่าเดือนนี้มันเป็นช่วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์ในชีวิตฉันหรือยังไงกันนะ ถึงได้มีเรื่องซวยซ้ำซวยซ้อน กระหน่ำเข้ามาในชีวิตอย่างไม่บันยะบันยังอย่างนี้ หรืออาจจะเป็นอาถรรพ์เบญจเพสที่เขาว่ากัน...

เริ่มตั้งแต่ต้นเดือน ฉันจับได้ว่าแฟนที่คบกันมากว่าสองปีดันไปมีกิ๊กเป็นนักศึกษาสาวหน้าตาดีที่อยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกัน จนไปๆ มาๆ กลายเป็นอยู่ห้องเดียวกัน แล้วยังไงน่ะเหรอ... ก็เลิกน่ะสิ! จะเก็บผู้ชายพรรค์นี้ไว้ปลูกสะระแหน่หรือยังไง คิดแล้วก็ยังเจ็บใจไม่หาย แต่ว่าฉันก็ไม่ได้เข้าใกล้อาการของผู้หญิงอกหักสักเท่าไหร่หรอกนะ แน่นอนว่าต้องเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ฉันรู้สึกเจ็บใจมากกว่าที่รู้ว่าตัวเองโง่ให้เขาหลอกอยู่ได้ตั้งนาน

จากนั้นมาไม่ถึงอาทิตย์ เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยคนหนึ่งโทรมาหาฉันด้วยน้ำเสียงร้อนรน บอกว่าแม่ไม่สบายมากต้องผ่าตัดด่วนก็เลยจะขอยืมเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด ฉันก็สงสาร แล้วอีกอย่าง เพื่อนคนนี้ก็ค่อนข้างสนิทแม้จะไม่มากเพราะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็พอรู้ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร และเพื่อนคนนี้ก็เคยช่วยเหลือฉันเรื่องการเรียนอยู่บ่อยๆ ฉันก็เลยใจดีให้ยืมเงินไปร่วมๆ ครึ่งแสน ซึ่งมันเป็นเงินเก็บก้อนเดียวของฉันที่เก็บหอมรอมริบมาตลอดระยะเวลาที่ทำงานมา แล้วตอนนี้...ไม่รู้ว่าผ่าตัดเสร็จหรือยัง ฉันโทรไปถามอาการของแม่ มันก็ดันปิดโทรศัพท์ หรือบางทีโทรติดแต่ก็ไม่มีคนรับสาย...

เมื่อกลางเดือน ฉันก็เจอเรื่องปวดหัวเข้าอีก เมื่อเจ้าน้องชายสุดที่รักขอยืมกล้องถ่ายรูปเครื่องมือหากินของฉันไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุเรือล่ม โชคยังดีที่น้องชายฉันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่กล้องสุดที่รักของฉันนี่สิ... ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ก้นทะเลโดยไร้หนทางที่จะกู้คืนกลับมาได้เลย ฉันเลยต้องขอยืมกล้องของรุ่นพี่มาใช้แก้ขัดระหว่างที่รอเก็บเงินซื้อกล้องตัวใหม่

จนวันนี้... หัวหน้าของฉันเรียกฉันเข้าไปพบ เพื่อแจ้งว่านิตยสารฉบับที่ฉันทำงานเป็นช่างภาพอยู่นี้ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก จึงมีความจำเป็นต้องปลดพนักงานบางส่วนออก ซึ่งพนักงานที่จะปลดออกนั้นส่วนใหญ่เป็นพนักงานใหม่... คิดว่าฉันควรจะทำหน้าอย่างไรเมื่อได้ยินประโยคนั้น ในเมื่อฉันเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่ทันครบหนึ่งปีดี

แน่ล่ะ... ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนว่างงานที่มีเพียงเงินชดเชยสามเดือนและเงินเก็บที่เหลืออีกเล็กน้อย ฉันรีบจัดสรรและวางแผนการใช้เงินอย่างรอบคอบและรัดกุม และตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องหางานใหม่ให้ได้ภายในสามเดือน เพื่อที่จะได้ไม่อดตาย


หนังสือพิมพ์หางานหลายฉบับวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวใหญ่ภายในอพาร์ตเมนต์ของฉันที่มันกำลังจะกลายเป็นของคนอื่นในต้นเดือนหน้า เพราะฉันวางแผนว่าจะกลับไปอยู่บ้านเกาะแม่กินสักพักก่อนจะเริ่มต้นหางานอย่างจริงจัง

แต่หนังสือพิมพ์หางานเหล่านั้นกลับไม่ได้อยู่ในความสนใจของฉันแม้แต่น้อย เพราะฉันกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสวยงามของภูกระดึงที่อยู่ในนิตยสารท่องเที่ยวฉบับหนึ่งที่ซื้อมาพร้อมกัน

...และแล้วสมองก็สั่งการให้ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ของเพื่อนสนิทในกลุ่มเรียงตัว...

‘บ้าเหรอแก ฉันจะไปได้ไง วันลาจะไม่เหลืออยู่แล้ว’

‘ใครเค้าจะว่างเหมือนแก หา! รอไปช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดเยอะๆ สิ ฉันจะได้ไปด้วยได้’

‘ไปไม่ได้หรอกแก งานยุ่งจะตายอยู่แล้ว’

สารพันคำตอบที่กรอกมาในโทรศัพท์จากเพื่อนแต่ละคนทำให้ฉันถึงกับปลง ...นี่ฉันจะต้องไปเที่ยวคนเดียวจริงๆ น่ะเหรอ... ถึงฉันจะดูเป็นผู้หญิงห้าวในสายตาของคนอื่น แต่ฉันก็ไม่อาจหาญพอที่จะไปเที่ยวภูกระดึงคนเดียวหรอกนะ


ขณะที่ฉันเริ่มถอดใจจากการไปเที่ยวภูกระดึง ก็ได้แต่เก็บบรรยากาศจากภาพถ่ายในหนังสือไปพลางๆ แม้จะเป็นเพียงรูปถ่ายในหนังสือ หากนั่นมันก็ช่วยทำให้ฉันคลายความฟุ้งซ่านในจิตใจไปได้มากทีเดียว

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ฉันถึงกับตาโต รู้สึกลิงโลดขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งที่เปลี่ยนใจอยากจะไปภูกระดึงกับฉันโทรกลับมา ฉันรีบคว้าโทรศัพท์เครื่องเล็กที่อยู่ด้วยกันมานานกว่าสามปีมาดูชื่อที่ปรากฏอยู่หน้าจอ ...แนน...

ฉันขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยที่คนที่โทรมานี้ไม่ใช่บรรดาเพื่อนที่ฉันโทรไปชวนเมื่อครู่นี้ แต่กลับเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมอีกคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่บุรีรัมย์...

“นี่ ได้ข่าวว่าโดนไล่ออกเหรอแก” เสียงยายแนนเยาะเย้ยมาตามสายทันทีที่ฉันกดปุ่มตอบรับ โดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดคำว่า ‘ฮัลโหล’ ด้วยซ้ำไป

ฉันได้แต่ตีหน้ายักษ์ใส่โทรศัพท์

“เออ จะโทรมาเยาะเย้ยแค่นี้รึไงยะ” ฉันทำเสียงฉุนใส่ไปอย่างนั้นเอง ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม การจิกกัดพูดจากันแรงๆ เป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครถือโทษโกรธเคืองกันอยู่แล้ว

“ตอนนี้แกก็ว่างน่ะสิ”

“ก็เออ ทำไมล่ะ”

“อยากมาเที่ยวบุรีรัมย์ไหมล่ะ มาอยู่เป็นเพื่อนฉัน โคตรเหงาเลยว่ะ”

“อืม...” ฉันกำลังใช้ความคิดกับข้อเสนอของหมอแนนอยู่

“ว่าไง จะมาไหม กินฟรีอยู่ฟรีนะเว้ย แล้วนี่... อาทิตย์หน้ามีปรากฏการณ์พระอาทิตย์ลอดช่องประตูปราสาทหินพนมรุ้งพอดี แกไม่สนใจมาถ่ายรูปเหรอ” ยายแนนโน้มน้าวเต็มที่ ขณะที่ฉันทำหน้าเซ็งอยู่คนเดียวเมื่อเพื่อนรักพูดถึงการถ่ายรูปขึ้นมา

“กล้องฉันไปนอนอยู่ก้นทะเลโน่นแล้ว แกแกล้งถามให้ฉันเจ็บใจเล่นรึไง”

“ฮื่อ...ถ้าแกรักจะถ่ายรูป อุปกรณ์อะไรมันก็ไม่ใช่ประเด็นนี่หว่า...ว่าไง สนใจไหมล่ะ มาเหอะ อยู่เป็นอาทิตย์เลยก็ได้ ฉันจะพาแกเที่ยวเอง”


ฉันจำไม่ได้ว่าวันนั้นฉันตอบแนนไปว่ายังไง แต่ตอนนี้ฉันได้มายืนอยู่หน้าช่องขายตั๋วรถทัวร์สายกรุงเทพฯ – พนมรุ้ง เรียบร้อยแล้ว...

ฉันจ่ายเงินให้พนักงานขายแล้วรับตั๋วมาถือไว้ในมือ ...อีกสิบห้านาทีรถถึงจะออก ยังพอมีเวลาไปหาอะไรกิน... คิดได้ดังนั้นฉันก็เดินตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อบริเวณห้องพักผู้โดยสารของสถานีขนส่งหมอชิตนั่นเอง

ฉันเดินข้าไปในร้านพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่ง สูงประมาณร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร ผิวไม่ขาวแต่ก็ไม่ดำ ดวงตาค่อนข้างโตสีน้ำตาลเข้ม คิ้วเข้ม จมูกโด่งกำลังดี ใส่เสื้อแจ็คเก็ตแบบทหาร เสื้อยืดข้างในสีดำ กางเกงยีนสีซีด และรองเท้าผ้าใบเก่าๆ สีทึม

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมฉันถึงได้จดจำรายละเอียดของเขาได้มากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าฉันสนใจเขาเป็นพิเศษ แต่ฉันกำลังฝึกสังเกตคน เผื่อว่าเขาเป็นคนร้ายขึ้นมาฉันจะได้ให้ข้อมูลกับตำรวจได้ถูกต้อง ...อยู่ในบ้านเมืองที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย ก็ต้องรอบคอบแบบนี้แหละ...

ฉันสังเกตเห็นว่าริมฝีปากภายใต้เคราเขียวๆ ของเขานั้นเหมือนจะส่งยิ้มให้ฉัน ฉันคิดเอาเองว่าคงจะเป็นการทักทายและขอโทษที่เขาเกือบจะชนฉันตอนก้าวเข้ามาในร้านพร้อมกัน

หลังจากที่หยิบน้ำเปล่าได้ขวดหนึ่ง ฉันก็เดินตรงไปที่ชั้นขนมขบเคี้ยวและเอื้อมมือไปหยิบมันฝรั่งรสสาหร่ายซึ่งเป็นรสโปรดของฉัน พร้อมกันนั้นเองก็มีมือของใครอีกคนกำลังจะหยิบมันไปเช่นกัน ...นายคนเมื่อตะกี้นี้นั่นเอง...

เขามองหน้าฉันโดยที่ยังไม่ละมือจากมันฝรั่งถุงนั้น ฉันสอดส่ายสายตาสำรวจบนชั้นวางขนม เมื่อเห็นว่ามันมีเหลืออยู่เพียงถุงเดียว ฉันก็เลยไม่ยอมละมือจากถุงมันฝรั่งเหมือนกัน แถมยังจ้องหน้านายคนนั้นเป็นการบอกให้เขาปล่อยอีกด้วย

นับว่าผู้ชายคนนั้นก็เป็นสุภาพบุรุษพอตัว เขายอมปล่อยมือแล้วส่งยิ้มพร้อมกับเอียงหัวให้ฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้ยิ้มตอบเพื่อแสดงความขอบคุณใดๆ ...ดูเหมือนฉันเป็นคนไร้มารยาทยังไงชอบกล... แต่ช่างเถอะ อารมณ์นั้นฉันไม่มีแก่ใจจะรักษาภาพพจน์ใดๆ ทั้งนั้นแหละ

เดินมาตรงช่องจ่ายเงิน ฉันก็เหลือบไปเห็นนิตยสารท่องเที่ยวฉบับหนึ่งอยู่บนชั้นวางใกล้ๆ นั้น ฉันตรงดิ่งไปทันที แต่แล้วนายเคราเขียวคนเดิมก็ดันมาใจตรงกับฉันอีก แถมเฉือนเอาชนะฉันไปได้แค่เสี้ยววินาที เพราะเขาเอื้อมมือไปถึงมันก่อน แต่เมื่อเขาเห็นฉันก็ส่งยิ้มให้อีกครั้งหนึ่ง

“ใจตรงกันอีกแล้วนะครับ”

ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแต่ยืนดูเชิงว่าเขาจะเป็นสุภาพบุรุษยอมเสียสละนิตยสารเล่มนั้นให้ฉันเหมือนกับที่สละมันฝรั่งหรือเปล่า หากมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันแอบคาดหวัง เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาแล้วหันมายิ้มมุมปากให้ฉันอีกครั้ง ...ฉันรู้สึกว่านั่นมันเป็นรอยยิ้มของการเยาะเย้ยยังไงก็ไม่รู้...

เขาเองก็คงจะไม่สังเกตเห็นสายตาประท้วงของฉันที่พยายามส่งไปให้อย่างโจ่งแจ้งโดยไม่กลัวเสียมารยาท ...ก็ฉันเป็นผู้หญิง เขาควรจะเสียสละให้ผู้หญิงสิถึงจะถูก...


พอใกล้เวลารถออก ฉันก็สะพายเป้ไปขึ้นรถ เมื่อขึ้นไปและเดินไปถึงที่นั่ง ฉันก็แทบจะยกมือกุมหัวตัวเอง ให้ตายเถอะ... ฟ้าส่งฉันมาเกิดแล้วทำไมต้องส่งนายเคราเขียวนี่มาด้วยนะ ฉันเห็นนายนั่นนั่งอ่านนิตยสารฉบับนั้นอยู่อย่างสบายใจตรงที่นั่งของฉัน!

ฉันยกตั๋วในมือขึ้นดูหมายเลขอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วจัดการ ‘โวย’

“ขอโทษนะคะ ตรงนี้ที่นั่งของฉันค่ะ”

นายเคราเขียวเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารเล่มที่ฉันควรจะได้เป็นเจ้าของ แล้วก็ยิ้มกว้าง

“อ้าว คุณนั่นเอง”

“ไม่ทราบว่าตั๋วคุณเบอร์อะไรคะ”

เขาบอกเลขที่นั่งของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ไม่ได้รู้สึกอนาทรร้อนใจใดๆ และมันก็เป็นหมายเลขเดียวกับตั๋วของฉันเสียด้วย

“ของฉันก็เบอร์นี้เหมือนกัน” ฉันเริ่มเสียงดังขึ้น จนพนักงานประจำรถต้องเข้ามาถามว่ามีปัญหาอะไร

“เขาคงเขียนเลขผิด แต่ไม่ต้องนั่งตามนี้ก็ได้ ไม่ใช่รถ ป. 1 นั่งตรงไหนก็ได้พี่”

ได้ยินดังนั้น ฉันก็กวาดสายตาไปมองรอบๆ เพื่อหาที่นั่งว่าง แต่คงเป็นกรรมของฉัน... ที่นั่งที่ว่างอยู่สามที่นั้น ที่หนึ่งมีพระสงฆ์นั่งอยู่ก่อน อีกที่คนที่นั่งข้างๆ ก็เป็นผู้ชายอ้วนตัวใหญ่ ซึ่งฉันไม่ปรารถนาไปนั่งข้างๆ แน่นอน เหลือเพียงที่นั่งเดียว... คือที่นั่งคู่กับนายเคราเขียวนี่

“แต่ฉันเลือกที่ริมหน้าต่างนะ” ฉันยังไม่วายใช้สิทธิ์อ้างอิงเลขที่นั่งในตั๋ว ทั้งๆ ที่ไม่รู้หรอกว่าใครมาซื้อตั๋วก่อนใคร และพนักงานก็บอกแล้วว่าเลขที่เขียนนั้นมันไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยสักนิด

“ได้ครับ เชิญเลย” นายนั่นลุกออกมาแล้วให้ฉันเข้าไปนั่งริมหน้าต่างตามที่ต้องการ

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะจบแค่นั้น แต่การที่ฉันจะต้องนั่งรถไปกับคนที่ฉันเริ่มไม่ชอบขี้หน้ามันก็สร้างความอึดอัดและความหงุดหงิดใจให้ฉันอยู่ไม่น้อย และฉันก็ได้แต่หวังว่าความซวยคงจะไม่ตามรังควานฉันไปจนถึงบุรีรัมย์หรอกนะ ขอลาขาดกันที่กรุงเทพฯ นี่เลยก็แล้วกัน...


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ผมกำลังอยู่บนรถทัวร์สาย กรุงเทพฯ – พนมรุ้ง เพื่อเดินทางไปเยี่ยมพี่ชายที่เป็นหมออยู่ที่บุรีรัมย์ตามคำสั่งของท่านประธานกับท่านรองของบ้าน เนื่องจากได้ยินข่าวคราวการเผาโรงเรียนในจังหวัดนั้น ท่านทั้งสองก็เลยคิดเหมาเอาว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบเหมือนกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เลยมีบัญชาให้ผมไปเยี่ยมพี่ชายว่าอยู่ดีมีสุขปลอดภัยดีหรือไม่ ประกอบกับเป็นช่วงที่ผมลาพักร้อนได้หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ พอดี ก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวด้วยเสียเลย

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนใต้ที่ผมแทบจะไม่เคยนึกถึง จนกระทั่งพี่ชายของผมต้องไปทำงานใช้ทุนที่นั่นเมื่อสามปีที่แล้ว เขาประทับใจกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ และชาวบ้านที่น่ารักมากจนกระทั่งไม่ยอมย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อครบระยะเวลา ซ้ำยังส่งอีเมล์มาบรรยายสรรพคุณเสียจนผมชักอยากจะไปเห็นด้วยตาซักครั้งหนึ่ง

...แล้วโอกาสนั้นก็มาถึงจนได้...

พี่ชายผมบอกผ่านทางโทรศัพท์เมื่อคุยกันครั้งล่าสุดว่าให้นั่งรถสายกรุงเทพฯ – พนมรุ้ง เพราะสามารถลงหน้าโรงพยาบาลได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาต่อรถ หรือเดือดร้อนให้เขามารับ เนื่องจากเป็นทางผ่านก่อนจะขึ้นไปยังปราสาทหินพนมรุ้ง ซึ่งมีอู่รถทัวร์อยู่ที่ตีนเขา ปลายทางของรถทัวร์สายนี้นั่นเอง

อันที่จริงผมจะขับรถยนต์ไปก็ได้ เพราะระยะทาง กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ นั้นใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้าชั่วโมง ทว่าผมไม่ค่อยชอบขับรถทางไกลเท่าไรนัก ยิ่งขับไปคนเดียวกลัวว่าจะหลับกลางทาง ก็เลยขอใช้บริการรถสาธารณะจะดีกว่า


ก่อนขึ้นรถผมเจอเรื่องตลกนิดหน่อย เมื่อบังเอิญเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เราเกือบเดินชนกันตอนเข้าร้านสะดวกซื้อ เรื่องตลกที่ผมว่าก็คือผมบังเอิญใจตรงกับเธอถึงสองครั้ง ครั้งแรก เราแย่งขนมถุงเดียวกัน ครั้งที่สอง เธอก็จะมาแย่งนิตยสารท่องเที่ยวเล่มเดียวกับผมอีก ครั้งแรกนั่นผมยอมให้เธอได้ขนมถุงนั้นไป แต่พอครั้งที่สอง ผมเป็นฝ่ายได้ครอบครองนิตยสารเล่มนั้น...

ผมแอบเห็นหน้าเธอตอนที่ผมหยิบนิตยสารเล่มนั้นเดินจากมา คุณเธอคงคิดว่า ผมนี่ไม่เป็นสุภาพบุรษเอาซะเลย ทำไมถึงไม่ยอมเสียสละให้ผู้หญิงยะ... ก็ผลัดกันบ้างสิครับคุณผู้หญิง ผมก็ให้ขนมเธอไปแล้ว เธอก็ควรจะสละหนังสือให้ผมบ้าง ...หญิงชายเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือไง...

สิ่งที่ตลกมากไปกว่านั้นก็คือ... ตอนนี้เธอมานั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ ผม ทั้งๆ ที่ผมน่าจะเป็นฝ่ายหน้าหงิกมากกว่าเพราะเธอมาแย่งที่นั่งกับผมอีกแล้วน่ะสิ!

เห็นพนักงานประจำรถบอกว่าตั๋วของเราสองคนเขียนเลขที่นั่งซ้ำกัน อันที่จริงเลขที่เขียนบนตั๋วนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะเป็นรถปรับอากาศชั้นสอง ใครอยากจะนั่งตรงไหนก็ได้ บังเอิญว่าผมได้นั่งที่ตรงกับเลขในตั๋วเท่านั้นเอง แล้วคุณเธอก็คิดว่าจะต้องนั่งตรงตามเลขในตั๋วก็เลยมาแสดงตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... ผมขึ้นรถมาก่อนก็ควรจะมีสิทธิ์เลือกที่นั่งก่อน แต่คุณเธอเล่นมาโวยวายเสียงดังบนรถโดยไม่เกรงใจผู้โดยสารคนอื่นๆ เลย ผมไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของใคร ก็เลยยอมให้เธอได้นั่งที่ริมหน้าต่างตามที่เธอต้องการ ...ช่างเอาแต่ใจเสียจริงเลยแม่คุณ...

ความจริงเธอก็เป็นผู้หญิงที่หน้าตาใช้ได้คนหนึ่ง ดวงตากลมโตกับขนตางอนๆ นั้นคงจะดึงดูดความสนใจของผู้ชายหลายคนได้ไม่น้อย ผมซอยประบ่าก็ดูเข้ากับใบหน้ารูปไข่ของเธอได้ดี ริมฝีปากบางๆ สีชมพูนั่นก็ดูน่าทะนุถนอม พอๆ กับตัวเล็กๆ บางๆ ของเธอนั่นแหละ แต่เธอคงจะดูดีกว่านี้หลายเท่าถ้าไม่นั่งทำหน้าหงิกเป็นจวักอย่างตอนนี้


สองทุ่มครึ่งพอดิบพอดี รถทัวร์สภาพค่อนข้างใหม่คันที่ผมนั่งอยู่ก็เคลื่อนออกจากชานชาลา ผมละสายตาจากหนังสือในมือแล้วเหลือบมองคนข้างๆ อีกครั้ง เธอยังคงนั่งทำหน้าหงิกเหมือนเดิม ไม่รู้ว่ามีเรื่องเครียดอะไรนักหนา

“อ่านหนังสือไหมครับ”

คุณเธอหันมาส่งค้อนให้ผมหนึ่งฉับ ก่อนจะตอบอย่างเสียไม่ได้ ราวกับว่าการพูดคุยกับผมมันจะทำให้เธอติดเชื้อโรคอย่างนั้น

“ฉันไม่อ่านหนังสือบนรถ”

ผมได้แต่ยักไหล่ บอกตัวเองว่าอย่าพยายามเป็นมิตรกับคุณขนตางอนคนนี้ดีกว่า เพราะดูท่าว่าเธอคงไม่อยากจะผูกมิตรกับผมเหมือนกัน เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างรักษาพื้นที่ของตัวเองก็แล้วกัน อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เราก็จะต่างคนต่างไป...

รถแล่นออกจากสถานีขนส่งหมอชิตได้ไม่นานนัก หญิงสาวข้างๆ ผมก็พยายามจะปรับเบาะเอนลง แต่ดูเหมือนว่าเบาะที่นั่งของเธอคงจะมีปัญหา ผมเห็นเธอพยามยามดึงคันโยกอยู่นานแต่มันก็ไม่ทำงาน ทำให้เบาะนั้นปรับเอนไม่ได้ แล้วเธอก็ละความพยายามกับเจ้าเบาะเฮงซวยนั่น (ผมว่าเธอคงคิดอยู่ในใจ) แล้วกลับมานั่งหน้าหงิกต่อไป อ่อ...ดูเหมือนจะหงิกกว่าเดิมยี่สิบเปอร์เซ็นต์


เวลาเกือบชั่วโมงผ่านไป หญิงสาวที่นั่งข้างผมเธอคงจะหลับสนิทแล้ว เพราะผมเห็นศีรษะเธอโงนเงนไปมา โขกกับกระจกดังโป๊กๆ ก็หลายครั้ง เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ แต่อีกใจก็นึกเห็นใจเธออยู่เหมือนกัน ...ลงจากรถไปคงได้หัวโนกันบ้างล่ะ...

ขณะที่ผมกำลังคิดชั่งใจอยู่ว่าจะปลุกเธอให้เธอแลกที่นั่งกับผมเพื่อที่จะได้ปรับเบาะนอนได้สบายๆ หรือจะปล่อยให้เธอนั่งโขกกระจกต่อไปดี พลันเรือนผมนุ่มๆ ของเธอก็เอนลงมาเฉียดอยู่ที่บ่าของผม แล้วก็กลายเป็นว่าเธอมาซบอยู่ที่บ่าผมในนาทีต่อมา

ผมรู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงมาซบบ่าโดยที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แถมยังเป็นคนที่ขว้างค้อนปาจวักให้ผมอยู่ตลอดเวลาเสียด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะผลักไสให้เธอกลับไปอยู่ในท่าเดิมให้หัวโขกกระจกอีก หรือใครจะคิดว่าผมฉวยโอกาสก็ตามใจ ...แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ นะ สาบานได้...

ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ รอว่าเมื่อไหร่ที่เธอจะเอนกลับไป หรือว่ารู้สึกตัวแล้วขว้างค้อนใส่ผมอีกสักวงก่อนจะกลับไปนั่งทำหน้าหงิกเหมือนเดิม แต่แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะตื่นจนกระทั่งผมเองก็ผล็อยหลับไปเช่นกัน


ผมรู้สึกตัวอีกทีตอนที่รถทัวร์เริ่มเข้าสู่เขตอำเภอนางรอง อำเภอใหญ่อีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์และเป็นอำเภอที่ติดกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติที่หมายของผมด้วย

ตีสี่ครึ่ง รถได้แล่นเข้าสู่เขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ พอถึงแยกหนึ่ง คนที่นั่งมาบนรถก็พากันลงจากรถเกือบหมด เหลือแค่ผม คุณขนตางอน และนายทหารอีกสองคนเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าที่หมายของเธอคือที่ไหน แล้วถ้าผมลงจากรถไปแล้ว เธอก็คงจะต้องนั่งไปกับนายทหารสองคนนั่นจนกว่าจะถึง ...คิดแล้วก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะนี่... แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก นอกจากภาวนาขอให้เธอปลอดภัยก็แล้วกัน


ตามที่พี่ชายผมบอกมาว่าจะมีคนลงเยอะๆ ตรงแยก แยกนี้คงเรียกว่า “แยกตาเป๊ก” ที่พี่ชายผมบอกไว้ นั่นแสดงว่าอีกไม่นานผมก็จะต้องลงจากรถแล้ว แต่คนข้างๆ ที่อาศัยบ่าผมเป็นหมอนก็ยังคงหลับสบาย ไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ...สงสัยผมคงจะต้องปลุกเธอเสียแล้วล่ะมั้ง...

“คุณครับ คุณ” ผมเรียกเธอเบาๆ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ

“คุณครับ” คราวนี้ผมเสียงดังขึ้นและสะกิดเธอด้วย ได้ผล... เธอเริ่มรู้สึกตัว ลืมตา แล้วก็...

“เฮ้ย! นี่นายทำอะไร” เธอสะดุ้งพรวดออกจากบ่าผม และเสียงดังทันทีที่ตั้งสติได้

“ผมทำอะไรที่ไหนกัน คุณมาซบผมเองนะ”

“ตาบ้า แล้วทำไมไม่ปลุกฉันเล่า” เสียงเธอลดระดับลงไปมากจนเหมือนกับเธอพูดคนเดียว พลางเบียดตัวเองเข้าหากระจกหน้าต่าง แล้วจู่ๆ เธอก็อุทานขึ้นมาอีกครั้งจนผมตกใจ

“เฮ้ย!” คุณขนตางอนตาลีตาเหลือกกอดกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กของเธอแล้วหันมามองผมตาขวางพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงห้วนจัด

“หลีกหน่อย ฉันจะลงแล้ว”


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ฉันก้าวลงจากรถทัวร์เมื่อรถจอดที่หน้าโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของฉัน ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ก็มันเพิ่งจะตีสี่ครึ่งเองนี่นา... อากาศเย็นๆ ในต้นเดือนตุลาคมทำให้ฉันต้องกระชับเสื้อแจ็กเกตยีนของตัวเองแน่นขึ้น

โชคยังดีที่ฉันตื่นขึ้นมาทัน ไม่อย่างนั้นฉันคงนั่งรถเลยไปถึงเขาพนมรุ้งโน่นเป็นแน่ คิดแล้วก็ให้หงุดหงิดนายเคราเขียวนั่นชะมัด... มาแอบฉวยโอกาสกับฉันจนได้ และถ้าฉันไม่สะดุ้งตื่นขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น...

ก่อนที่ฉันจะก้าวเท้าเพื่อเดินตรงไปยังประตูทางเข้าของโรงพยาบาลที่เบื้องหน้านั้นเป็นทางคอนกรีตแคบๆ ทอดยาวไปจนสุดสายตาก่อนจะลับหายไปในความมืด ฉันก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง และนั่นก็ทำให้ฉันขนลุกเกรียวขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ บรรยากาศยิ่งวังเวงอยู่ด้วย...

ฉันรวบรวมความกล้าที่มีอยู่หันหลังกลับไปมอง แล้วก็แทบจะกรี๊ดออกมา... นายเคราเขียวยืนส่งยิ้มให้ฉันอยู่ตรงนั้น!

“นี่นายต้องการอะไร ตามฉันลงมาทำไม” ฉันถามเขาพลางกระชับเป้ในมือแน่นขึ้น กะว่าถ้าเขาก้าวเข้ามาเพื่อจะทำมิดีมิร้ายล่ะก็ จะเอาเป้ฟาดให้เซไปเลยทีเดียว

“ใครตามคุณลงมา” เขาว่าหน้าตาไร้อารมณ์ก่อนจะเดินผ่านฉันเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ฉันได้แต่ยืนขมวดคิ้วเพราะหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ ก่อนที่โทรศัพท์มือถือของฉันจะดังขึ้นจนทำให้ฉันสะดุ้ง

“ฮัลโหล”

“ถึงรึยังแก” เสียงยายแนนดังมาตามสาย แต่ไม่มีแววของความงัวเงียทั้งที่เวลานี้ควรจะเป็นเวลานอนอันแสนสุขของเพื่อนรักของฉัน

“ถึงแล้ว... กำลังจะเดินเข้าไป”

ฉันเหลือบมองดูป้ายโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าฉันไม่ได้ลงผิดที่ หรือนั่งรถหลับจนหลงไปที่ไหน ...มันก็ไม่ผิดนี่นา... ชื่อโรงพยาบาลที่เห็นคือชื่อเดียวกับที่ยายแนนบอกฉันเมื่อสี่วันก่อนไม่ผิดแน่ แล้วนายคนนั้นก็มาที่เดียวกับฉัน... นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ...ฉันก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เราต้องมาทำความรู้จักมักจี่กันที่นี่เลย...

“เออ เดินตรงเข้ามาเลยนะ ฉันลงมารอแกอยู่ที่หน้าแฟลตแล้ว” ยายแนนบอกฉันอีกครั้งทำให้ฉันหลุดออกมาจากความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง แล้วเดินตรงเข้าไปตามที่เพื่อนรักบอก


เพื่อนสาวของฉันเปิดประตูห้องแล้วพาฉันเข้าไปข้างใน ฉันไม่ได้ใส่ใจสำรวจที่พักของเพื่อนมากมายนักในตอนแรก เพราะความมืดยังคงปกคลุมอยู่ทั่วอาณาบริเวณ กอปรกับความง่วงที่กำลังคุกคามฉันมากขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อนสาวแสนดีของฉันก็ช่างน่ารักจัดที่นอนไว้ให้อย่างดิบดีในห้องนอนของตัวเอง ฉันจึงไม่รอช้าที่จะล้มตัวลงนอนโดยที่มีเพียงคำพูดประโยคเดียวให้กับเจ้าของห้อง

“ฉันนอนก่อนนะแก”


ฉันรู้สึกตัวอีกครั้งตอนฟ้าสว่างแล้ว เมื่อได้ยินเสียงยายแนนอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ไม่นานนักฉันก็ได้ยินเสียงกุกกัก สลับกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยู่ข้างนอก ซึ่งเดาว่าน่าจะมาจากประตูของตู้เสื้อผ้าที่คงจะอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง

ฉันนอนหลับตาฟังเสียงรอบตัวอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนเข้ามา

“เฮ้ยลิน ฉันจะไปทำงานแล้วนะ ตื่นแล้วก็โทรหาฉันละกัน”

“อืม...” ฉันทำเสียงตอบรับในลำคอโดยไม่ได้ลืมตา รู้สึกว่าหนังตาตัวเองช่างหนักอึ้ง ราวกับอดหลับอดนอนมาทั้งคืนอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ฉันก็หลับมาตลอดทาง


เกือบๆ เก้าโมงเช้า ฉันจึงลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วโทรหายายแนนเพื่อนรักตามที่มันบอกไว้เมื่อเช้านี้

“อาบน้ำเสร็จแล้วนะ” ฉันบอกเพื่อนทันทีที่มีเสียงกดรับโทรศัพท์

“เฮ้ยแก ตอนนี้ฉันยังมีคนไข้เหลืออีกสองคนน่ะ แกนั่งเล่นนอนเล่นอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องก่อนนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะไปรับมานั่งเล่นที่นี่ต่อ"

“เออๆ ยุ่งก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”

วางโทรศัพท์จากเพื่อนรักฉันก็ออกมาจากห้อง เดินเล่นรอบๆ แฟลต เพราะไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ไม่คุ้นเคยนั้นเท่าไหร่นัก


แฟลตหรือที่พักของแนนเป็นอาคารคอนกรีตสี่ชั้นแบ่งเป็นห้องพักชั้นละห้าห้อง ภายในห้องนั้นกว้างขวางสะดวกสบาย โดยแบ่งเป็นห้องโถง ห้องนอนสองห้อง ห้องครัว และห้องน้ำ เรียกว่ากว้างกว่าคอนโดมิเนียมบางแห่งในกรุงเทพฯ เสียอีก หนำซ้ำชั้นล่างสุดยังมีห้องฟิตเนสไว้ให้ออกกำลังกายอีกด้วย

ที่แฟลตแห่งนี้มีทั้งทันตแพทย์ พยาบาล และผู้ช่วยพยาบาลพักอยู่เต็มหมดทุกห้อง ส่วนแพทย์นั้นจะพักอยู่ที่บ้านพักที่แยกไปต่างหากอีกสามหลังซึ่งอยู่บริเวณเดียวกัน ห้องของยายแนนอยู่ชั้นสามห้องริมสุด
ที่ด้านหน้าของแฟลตมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่ยายแนนเคยคุยผ่านโทรศัพท์ว่าเป็นทะเลสาบที่บรรยากาศดีสุดๆ ฉันเดินไปที่ริมสระ แล้วสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด มันทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมากหลังจากที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้หายใจได้เต็มปอดอย่างนี้มานาน ...ก็ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมานั่นหละ...

ฉันทอดสายตาไปยังประกายระยิบระยับกลางผืนน้ำที่สะท้อนแสงแดดยามสายจนเป็นประกายวิบวับราวกับมีใครเอากากเพชรมาโรยไว้ สายลมอ่อนๆ ในต้นฤดูหนาวหยอกล้อเล่นกับต้นหญ้าใบเรียวยาวที่ขึ้นอยู่เต็มริมตลิ่ง มันเป็นภาพที่ฉันไม่ได้สัมผัสมานานโข นับตั้งแต่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เห็นจะได้

ขณะที่ฉันกำลังดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติและอากาศอันบริสุทธิ์ พลันสายตาของฉันก็สะดุดเข้ากับใครคนหนึ่ง... ที่ฉันไม่อยากเจอ

นายเคราเขียวยืนเปลือยท่อนบนอยู่หน้าบ้านพักหลังหนึ่งใกล้ๆ นั้น ฉันเห็นว่าเขาส่งยิ้มให้ฉันเหมือนกับว่าเราเป็นคนรู้จักกัน และเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเข้ามาทักทาย ฉันก็รีบหันหลังกลับแล้วเดินขึ้นห้องไปทันที ...ก็ฉันไม่อยากจะรู้จักกับเขานี่นา... และที่สำคัญ ฉันไม่อยากจะเจอหน้าคนที่ฉันเผลอซบบ่าหลับมาตลอดคืนโดยไม่รู้ตัว...


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตหรือโชคชะตามาก่อน เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ตอนนี้ความคิดของผมเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย ตั้งแต่เจอเรื่องตลกที่สถานีขนส่งหมอชิตเมื่อวานนี้... ผมกับคุณขนตางอนคนนั้นเกือบจะเดินชนกันตอนเข้าร้านสะดวกซื้อ แย่งขนมถุงเดียวกัน แย่งหนังสือเล่มเดียวกัน แย่งที่นั่งบนรถ และที่ตลกที่สุด... เมื่อเช้า เธอแย่งผมลงจากรถทัวร์!

จากที่ผมตั้งใจจะปลุกเธอเพราะว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องลง กลับกลายเป็นว่าผมช่วยปลุกเธอไม่ให้นั่งรถเลยที่หมายเสียนี่ ใช่แล้ว... ที่หมายของเธอคือที่เดียวกับผม ...โรงพยาบาลที่พี่ชายผมทำงานอยู่...
แต่พอลงจากรถ คุณเธอก็มาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ผม หาว่าผมจะทำมิดีมิร้ายกับเธอเสียอย่างนั้น ผมพยายามไม่ต่อปากต่อคำด้วย เพียงแค่อธิบายสั้นๆ ว่าผมไม่ได้ตามเธอลงมา แล้วเราก็ต่างคนต่างไป

ผมเดินเข้าไปตามทางคอนกรีตที่กว้างพอให้รถยนต์สองคันสวนกันได้แบบเฉียดฉิว จนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่หน้าบ้านพักที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นของนายไท ซึ่งเขาบอกไว้ว่าบ้านพักหลังแรกที่เจอนั่นแหละคือบ้านพักของเขา และผมก็ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดานานนัก เพราะเจ้าของบ้านโผล่ออกมาต้อนรับทันทีที่ผมเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน

“นึกว่าหลับเลยไปถึงพนมรุ้งแล้ว” พี่ชายผมถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เพราะโดยปกติรถเที่ยวนี้จะมาถึงหน้าโรงพยาบาลประมาณตีสี่ แต่ว่าวันนี้ล่าช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง

ผมได้แต่พยักหน้าให้ชายหนุ่มอีกคนที่มีเค้าโครงหน้าแทบจะเหมือนกันกับผมถึงขั้นมีคนทักว่าเราสองคนเป็นฝาแผดกันมาแล้ว ขณะที่นายไทยื่นมือมารับของฝากที่ผมหิ้วจนพะรุงพะรังไปถือไว้

“หอบอะไรมาเยอะแยะวะเนี่ย”

“ก็แม่นะสิ... นี่ยังไม่หมดนะ แกล้งลืมไว้ที่บ้านอีกสองสามอย่าง โดนบ่นจนหูชาเลย”
คุณหมอหนุ่มรูปหล่อหัวเราะร่วนก่อนจะพาผมเดินเข้าไปในบ้าน

บ้านพักของพี่ชายผมเป็นบ้านไม้สองชั้น รูปแบบเดียวกับบ้านพักข้าราชการทั่วไป ชั้นบนมีห้องนอนสองห้อง ซึ่งบ้านแต่ละหลังนั้นอยู่ได้หลังละสองคน แต่ตอนนี้พี่ชายผมอยู่คนเดียวเพราะหมออีกคนที่เคยอยู่ร่วมชายคาได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอื่นพอดี ผมก็เลยสบายหน่อยที่ไม่ต้องไปนอนเบียดกับนายไทในห้องเดียวกัน


เช้านี้ผมตื่นสายกว่าปกติ อาจเนื่องมาจากอาการเพลียจากการเดินทาง หรือจะเป็นเพราะอากาศเย็นๆ ที่ทำให้หลับสบายก็ไม่รู้เหมือนกัน

ผมตื่นมาก็ไม่พบพี่ชายแล้ว เขาคงออกไปทำงานตั้งแต่เช้าโดยไม่ได้ทิ้งข้อความบอกกล่าว หรืออาหารเช้าไว้ให้ผมเลยซักนิด ผมได้แต่อาศัยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ในตู้ในครัวมาเป็นอาหารเช้าประทังชีวิต... เห็นแล้วก็ให้แปลกใจอยู่ไม่น้อย ...หมอก็กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยหรือนี่...

เสร็จจากอาหารเช้าที่ไม่ค่อยถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว ผมก็ออกมาเดินเล่นย่อยอาหารที่หน้าบ้าน เห็นว่าข้างๆ บ้านนั้นเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ลมเย็นๆ พัดโชยมาสดชื่นดีทีเดียว ผมยืนสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน ก็เห็นร่างเล็กๆ ของใครคนหนึ่งเดินมาที่ริมสระ

ผมตาไม่ฝาดนี่... นั่นมันคุณขนตางอนขี้วีนคนนั้นนี่นา

ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอมาทำอะไรที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ไหนๆ เราก็นั่งรถคันเดียวกันมา ก็ถือว่ารู้จักกันระดับหนึ่งแล้ว และที่แน่ๆ เราคงจะต้องเจอกันบ่อยขึ้นที่นี่ ดังนั้นจะเป็นไรไปหากผมจะเข้าไปทักทายเสียหน่อย
ยังไม่ทันที่ผมจะเดินออกจากบ้านเพื่อไปทักทายเธอ คุณขนตางอนก็หันมาเห็นผมเข้าพอดี ผมก็เลยส่งยิ้มไปก่อนเป็นการปูทาง แต่แล้วคุณเธอก็จ้ำพรวดๆ กลับขึ้นไปบนแฟลตที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านพักทันที ทำอย่างกับกำลังหนีพวกโรคจิตอย่างนั้น...


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ฉันกลับขึ้นมานั่งเล่นอยู่บนห้องพักของเพื่อนสาว พลางสำรวจห้องไปเรื่อยๆ และช่วยหยิบจับจัดอะไรให้เข้าที่เข้าทาง (ตามที่ฉันเห็นสมควร) รวมทั้งกวาดห้องให้คุณหมอฟันด้วย ฉันทำตัวเป็นประโยชน์ซักพักก็ไปเจออัลบั้มรูปเก่าๆ สมัยที่เราเรียนมัธยมด้วยกัน เลยเอาออกมานั่งดูแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวกับพัฒนาการของเพื่อนแต่ละคน ตั้งแต่ ม.1 จนถึง ม.6 กระทั่งสียงโทรศัพท์มือถือคู่ใจดังขึ้น ฉันจึงเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนสีขาวที่ผนังห้อง พบว่าเข็มยาวและเข็มสั้นอยู่เยื้องกันใกล้ๆ เลขสิบสอง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาแนบหู

“ว่าไงแก”

“ไปกินข้าวกัน”

ยายแนนพักเที่ยงแล้ว ...นี่ฉันทำอะไรจนเพลิน เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้วหรือนี่...

“ลิน แกเดินมาหาฉันที่ห้องฟันได้มั้ย”

“ห้องฟัน?” ฉันทวนคำพูดของเพื่อนรักด้วยอาการงุนงง แนนลืมไปหรือเปล่าว่าฉันเพิ่งจะเคยมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ครั้งแรก และยังมาเหยียบที่นี่ได้ไม่ถึงสิบสองชั่วโมง

“อืม เห็นพี่ไท... พี่หมอที่นี่น่ะ เขาบอกว่าน้องชายเขาก็มาเยี่ยมเหมือนกัน แกเดินมาพร้อมเขาเลยก็ได้ พี่ไทบอกให้เขาไปรอแกหน้าแฟลตแล้วหละ แกลงมาเลยนะ”

“อะไรนะแนน แกกำลังจะบอกให้ฉันเดินไปหาแกกับคนที่ฉันไม่รู้จักงั้นเหรอ ดีจริงๆ เพื่อนฉัน... ไม่เอาเว้ย แกมารับฉันเลย หรือไม่ก็ซื้อมาให้ฉันกินที่นี่ก็ได้ ฉันไม่ไป”

“แต่เขารอแกอยู่นะ” เพื่อนรักฉันยังพูดเหมือนกับว่าฉันรู้จักกับน้องชายหมออะไรนั่นมาแล้วประมาณสามวัน

“ก็บอกเขาสิว่าไม่ต้องมารอ ฉันไม่ไป” ฉันเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชกับเพื่อนรัก จนมันต้องตกปากรับคำว่าจะเดินมารับฉันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงจะระอาฉันสุดๆ แต่มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ ...มันเป็นคนบอกเองว่าจะเทคแคร์อย่างดี แล้วจะมาทำอย่างนี้ได้ไงกัน... ฉันคิดเข้าข้างตัวเองแบบไร้เหตุผล

ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้ดังอยู่แค่แป๊บเดียวก็ดับไป นั่นเป็นสัญญาณที่แนนบอกให้ฉันรู้ว่าถึงเวลาที่ฉันควรจะลงไปข้างล่างได้แล้ว

ฉันออกมาจากห้องพักของเพื่อนสาวและใส่กุญแจให้ ก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ แล้วเดินลงมาด้านล่างของแฟลตด้วยความสบายใจ หากภาพที่เห็นนั้นกลับทำให้ความสบายใจของฉันเมื่อครู่หดหายไปในพริบตา

ยายแนนและนายเคราเขียวยืนรออยู่แล้ว ข้างๆ นายนั่นมีผู้ชายแต่งตัวเรียบร้อยอีกคนหนึ่ง ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน แต่ดูสะอาดสะอ้านและดูดีกว่ามากนัก...คงจะเป็นพี่ชายนายนั่นที่แนนพูดถึงเมื่อกี้แน่ๆ

ฉันชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนั้น สายตาทั้งสามคู่จับจ้องมาที่ฉันจนรู้สึกขาดความมั่นใจ แต่ฉันก็ไม่ได้แสดงอาการออกไปให้เสียฟอร์มหรอกนะ

“ไปกินข้าวกันได้แล้วค่ะคุณนาย” ยายแนนเริ่มแขวะฉันเป็นคนแรก... ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติที่ไม่ได้มีคนแปลกหน้าอยู่ด้วย ฉันก็จะรู้สึกเฉยๆ แต่นี่แม่เจ้าประคุณเล่นจิกกัดกันต่อหน้าคนอื่นอย่างนี้ ...ต้องมีเคลียร์แน่...

แนนพาฉัน นายเคราเขียวและพี่ชายที่ชื่อคุณหมอไผทขับรถยนต์รุ่นสงครามโลกของเธอออกจากโรงพยาบาลผ่านฝูงวัวควายและทุ่งนาสองข้างทาง ใช้เวลาไม่นานนักเพื่อนสาวของฉันก็จอดรถที่ริมทุ่งนาใกล้ๆ กับร้านอาหารหลังคามุงจากที่หมายของพวกเรานั่นเอง

อาหารมื้อแรกของฉันที่บุรีรัมย์คือส้มตำ ไก่ย่าง ลาบหมู น้ำตก ที่รสชาติละม้ายคล้ายๆ กับที่กรุงเทพฯ จากที่ฉันคิดไว้ในตอนแรกว่าอาหารมื้อแรกของฉันที่นี่ต้องเป็นมื้อที่ไม่อร่อยแน่ๆ เมื่อรู้ว่าจะต้องมีนายเคราเขียวนั่นร่วมโต๊ะอาหารด้วย แต่เวลานี้มันกลับตรงกันข้าม เพราะดูเหมือนว่าฉันจะเจริญอาหารเป็นพิเศษ ฉันคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะความหิวมากกว่า

ระหว่างที่รับประทานอาหารกลางวัน แนนก็แนะนำให้ฉันรู้จักกับพี่ไท รวมทั้งนายเผด็จ ...ชื่อของนายเคราเขียวนั่นแหละ...

พี่ไทหรือหมอไผท เป็นอายุรแพทย์ หรือหมอรักษาโรคทั่วๆ ไป เขามาทำงานที่นี่ได้สามปีแล้วหลังจากเรียนจบ ส่วนนายเผด็จเป็นน้องชาย ทำงานบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และขอลาพักร้อนมาเยี่ยมพี่ชายที่นี่

“เห็นแนนบอกว่าลินทำงานเป็นช่างภาพนิตยสารเหรอครับ” นายเผด็จหันมาพูดกับฉันด้วยคำพูดและท่าทางที่ดูสนิทสนมจนฉันต้องส่งค้อนรับไปหนึ่งวง ก่อนจะส่งสายตาแบบเดียวกันไปให้แม่เพื่อนสาวตัวดีของฉันที่นั่งหน้าเป็นอยู่ข้างๆ ช่างเจ้ากี้เจ้าการอัธยาศัยดีเสียจริงนะ ...แล้วบอกเขาไปด้วยหรือเปล่าล่ะว่าฉันโดนไล่ออกแล้วน่ะ...

“บอกว่า ‘เคย’ แต่ตอนนี้น่ะว่างงานซะแล้ว” ยายหมอฟันหน้าแป้นไม่ได้สลดกับสายตาเพชฌฆาตของฉันแม้แต่น้อย แถมยังหัวเราะตบท้ายจนฉันนึกอยากจะเอากะหล่ำปลีครึ่งหัวนั้นยัดปากเสียเหลือเกิน นี่ถ้าอยู่กันในวงเพื่อนล่ะก็โดนไปนานแล้ว...

ฉันได้แต่นิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร บรรยากาศในโต๊ะอาหารเริ่มอึดอัด พี่ไทซึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่นานแล้วจึงเป็นคนคลี่คลายสถานการณ์

“พรุ่งนี้ตอนเย็นไปดูพระอาทิตย์ลอดช่องประตูประสาทหินพนมรุ้งด้วยกันนะแนน น้องลิน” ท้ายประโยค คุณหมอหนุ่มหันมาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ฉันจึงหันไปส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“เอารถพี่ไทไปนะ รถแนนกลัวขึ้นไม่ไหวน่ะ”

“ถ้าเอารถแกไป ฉันก็ขอนั่งรถสองแถวขึ้นไปดีกว่า” ฉันสบโอกาสจิกกัดยายแนนคืนบ้างจึงรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ แต่คุณหมอฟันก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงแต่หันมาถลึงตาใส่เท่านั้น ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนนั้นหัวเราะเบาๆ แบบเกรงใจ

หลังจากนั้น ฉัน แนน และพี่ไทก็คุยกันเรื่องโปรแกรมของพรุ่งนี้อย่างออกรสออกชาติ ปล่อยให้นายเผด็จนั่งใบ้จนกระทั่งกลับมาถึงโรงพยาบาล

ฉันรู้สึกสนิทสนมกับพี่ไทได้เร็วกว่าที่คิดไว้ เพราะพี่ไทเป็นคุณหมอที่สุภาพและคุยสนุก สีหน้าท่าทางเวลาคุยก็มองแล้วเพลินตาดี ซ้ำยังให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อีกมากมายที่ทำให้ฉันรู้สึกสนุกและผ่อนคลายเวลาได้คุยกับเขา


เมื่อถึงเวลาบ่ายโมง คุณหมอหนุ่มและคุณหมอฟันสาวก็ต้องกลับไปทำงานต่อ แต่ก่อนจะไป พี่ไทก็ยื่นข้อเสนอพิเศษสุดจนเกินกว่าที่ฉันจะรับได้...

“เออ เด็จ ช่วงบ่ายนี้ไม่รู้จะทำอะไรก็ชวนน้องลินขึ้นไปเที่ยวปราสาทก่อนสิ เอารถฉันไป” หมอไผทโยนกุญแจรถให้น้องชาย ขณะเดียวกันก็หันมาทางฉัน

“น้องลินขึ้นไปเที่ยวกับเจ้าเด็จก่อนนะ ไปหามุมถ่ายรูปกันก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่พลาด”

“ไม่เป็นไรค่ะ ลินนอนเล่นอยู่ห้องแนนก็ได้”

“แกจะมานอนอุดอู้อยู่ทำไม ไปเที่ยวก่อนสิ นี่ไงมีคนขับรถให้แล้วด้วย” ยายแนนให้การสนับสนุนเต็มที่ แล้วพอแหวใส่เพื่อนตัวเองเสร็จก็หันไปพูดดีกับอีกคน

“เด็จรังเกียจเพื่อนแนนรึเปล่า ให้มันไปด้วยคนนะ” ...เออดีนี่ ไม่คิดจะถามเพื่อนตัวเองบ้างเลยหรือไง...

“ผมไม่รังเกียจหรอกครับ ถามเพื่อนแนนดีกว่าว่ารังเกียจผมรึเปล่า” นายนั่นบอกยายแนนเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างน่าหมั่นไส้พลางปรายตามาทางฉัน เหมือนจะหยั่งรู้ความคิดของฉันอย่างนั้นแหละ

ดีที่ฉันยังงับคำพูดของตัวเองไว้ได้ทัน ไม่ได้ปล่อยคำว่า ‘รังเกียจ’ ออกไปอย่างที่ใจคิด นายเผด็จและพี่ไทเลยไม่ต้องหน้าแตก แต่เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ทั้งสองเห็นว่าความเงียบคือคำตอบตกลงของฉัน จึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์

“อย่างนั้นลินไปกับเด็จก็แล้วกันนะ” หมอไผทพูดกับฉันพร้อมส่งยิ้มมาให้ จากนั้นก็หันไปทางน้องชายตัวเอง

“เจ้าเด็จ ขับรถดีๆ นะเว้ย ไม่ชินทางก็ขับช้าๆ ดูแลน้องลินด้วยล่ะ” หมอไผทบอกพร้อมทั้งฝากฝังฉันกับนายเผด็จเสร็จสรรพราวกับว่าน้องของเขาคือฉันแทนที่จะเป็นนายนั่น

“ฝากไอ้ลินด้วยนะเด็จ” ยายหมอฟันเพื่อนซี้ของฉันหันไปบอกกับชายหนุ่มบ้างก่อนจะหันมาทำหน้าเป็น ฉันทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและจ้องหน้าแม่เพื่อนตัวดีเป็นการคาดโทษไว้ก่อน

หลังจากได้ข้อสรุป (ที่ฉันไม่ค่อยจะเต็มใจ) ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาล ปล่อยฉันกับนายเผด็จยืนงงกันอยู่ที่โรงจอดรถด้านหน้าโรงพยาบาลนั่นเอง

“คุณจะกลับไปเอาอะไรที่แฟลตรึเปล่า ผมจะกลับไปเอากล้องที่บ้านก่อน” นายนั่นเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกฉันจากการเรียกชื่อเป็น ‘คุณ’ แทน ...ค่อยฟังรื่นหูหน่อย...

“ไม่ล่ะ” ฉันตอบสั้นๆ หลังจากใช้ความคิดอยู่ประมาณห้าวินาที แล้วก็ให้ใจหายเมื่อได้ยินนายเผด็จพูดถึงกล้องขึ้นมา ฉันคิดถึงกล้องถ่ายรูปของตัวเองขึ้นมาจับใจ ...ทรัพย์สินมูลค่าหลักหมื่นชิ้นแรกของฉันที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง...

หลังจากที่ฉันตอบตกลงว่าจะมาหาแนนที่บุรีรัมย์นี่ ฉันก็เจียดเงินส่วนหนึ่งไปซื้อกล้องถ่ายรูปคอมแพคดิจิตอลมาไว้สำหรับถ่ายภาพ เพราะการจะมาเที่ยวโดยปราศจากกล้องถ่ายรูปมันอาจทำให้ฉันเที่ยวไม่สนุกก็ได้ ก็การถ่ายรูปมันเป็นชีวิตจิตใจของฉันนี่นา และตอนนี้กล้องตัวเล็กตัวนั้นมันก็อยู่ในกระเป๋าสะพายใบเล็กของฉันเรียบร้อยตั้งแต่ฉันออกมาจากห้องของคุณหมอฟันแล้ว

“ถ้างั้นคุณรออยู่นี่แล้วกันนะ ผมจะรีบมา” พูดจบร่างสูงนั้นก็วิ่งกลับไปทางบ้านพักเพื่อไปเอาของที่เขาว่า ...เขาไม่คิดว่าฉันจะเปลี่ยนใจไม่ไปกับเขาบ้างหรือไงนะ...

เวลาไม่ถึงห้านาที นายเผด็จก็วิ่งกลับมาที่รถโดยไม่มีอาการหอบให้เห็น เขาเปิดประตูด้านคนขับขึ้นไปนั่ง แล้วเอียงหัวไปทางที่นั่งด้านข้างคนขับเป็นการเรียกให้ฉันขึ้นรถ ฉันรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ กับท่าทางนั้น แต่ก็ยอมขึ้นไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดี ...ชั่วโมงนี้แล้วจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ล่ะ... ฉันได้แต่ภาวนาอยู่ในใจให้การเดินทางร่วมกับคนแปลกหน้าครั้งนี้ไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ผมกำลังขับรถเก๋งสีดำของพี่ชายมุ่งหน้าไปยังปราสาทหินพนมรุ้ง โดยมีคุณมิลินท์หรือคุณขนตางอนที่เจอกันเมื่อวานเป็นตุ๊กตาหน้ารถด้วยความไม่เต็มใจนัก (ผมเชื่ออย่างนั้น) เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันธรรมดา ทั้งพี่ชายของผมและเพื่อนสาวของเธอจึงไม่สามารถพาพวกเราเที่ยวได้ เลยเสนอให้ผมขับรถไปเองโดยให้เธออาศัยมาด้วย

เมื่อเราทั้งคู่พร้อมเดินทาง ผมก็ขับรถออกจากโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยางสีเข้ม ซึ่งเป็นถนนที่ทอดยาวจากแยกตาเป๊กขึ้นไปตามเนินเขาลาดชันจนถึงเขาพนมรุ้ง สีของถนนบ่งบอกว่าถนนสายนี้เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานนัก สองข้างทางมีภูมิประเทศค่อนข้างแตกต่างจากทางที่นายไทพาผมไปกินข้าวเมื่อกลางวันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุ่งนาสลับกับป่าละเมาะ ส่วนตอนนี้สองข้างทางเริ่มเป็นป่าโปร่งและภูเขา และบ้านเรือนของชาวบ้านก็ค่อยๆ บางตาลง

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงทางเข้าที่จอดรถของปราสาทหินพนมรุ้งซึ่งมีรถทัวร์ขนาดใหญ่สองสามคันจอดเรียงกันอยู่ นั่นแสดงว่าคงมีคณะทัวร์มาเที่ยวชมปราสาทหินอยู่พอสมควร เราทั้งสองคนเดินไปตามบันไดหินซึ่งเป็นทางขึ้น ไม่นานนักก็เดินมาถึงจุดขายบัตรเข้าชม ผมและคุณขนตางอนควักเงินจากกระเป๋าคนละสิบบาทเป็นค่าเข้าชมปราสาทหิน แล้วเดินขึ้นเนินเขาซึ่งค่อนข้างจะขรุขระ ผมเดินนำหน้าเธอไปห่างพอสมควร แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่มากับผมเป็นผู้หญิง จึงได้หันไปดูเธอเป็นระยะๆ

เมื่อเดินผ่านเนินเขาขรุขระขึ้นมาจนสุดแล้ว เราก็ได้พบกับภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการของปราสาทหินพนมรุ้งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา โดยมีเส้นนำสายตาเป็นทางเดินที่ปูด้วยหินทรายทอดยาวไปยังตัวปราสาทระยะทางราวครึ่งกิโลเมตร ทำให้สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอมโบราณที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดและยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งอารยธรรมนั้นให้เราได้เห็นจนถึงปัจจุบัน

ผมและคุณขนตางอนต่างหยิบกล้องของตัวเองขึ้นมาบันทึกภาพนั้นไว้โดยสัญชาตญาณของช่างภาพแทบจะพร้อมกัน เราต่างคนต่างถ่ายภาพจนเป็นที่พอใจแล้วก็ออกเดินต่อโดยไม่มีใครสนใจใครอีก... อันที่จริงต้องบอกว่าเธอต่างหากที่ไม่สนใจผม ผมก็เลยไม่สนใจเธอบ้าง และผมก็คิดว่าเธอโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ที่จอดรถก็รู้ว่าอยู่ตรงไหน ฉะนั้นถ้าจะหลงก็คงหากันไม่ยากนัก คิดได้ดังนั้นแล้วผมจึงแยกกับเธอตรงนั้น แล้วก็เดินหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ


ผมเดินมาทางด้านหลังตัวปราสาทที่ค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาอยู่บริเวณนี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็จะไปถ่ายรูปกันอยู่ตรงด้านหน้าปราสาท และบริเวณทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์อันเลื่องชื่อซึ่งเป็นจุดขายของปราสาทหินพนมรุ้งแห่งนี้

ขณะที่กำลังจะถ่ายภาพ ผมก็เห็นมิลินท์เดินเข้ามาอยู่ในช่องมองภาพของผมพอดี เลยนึกอยากจะถ่ายภาพเธอไว้สักใบ หากเมื่อกำลังจะกดชัตเตอร์นั่นเองก็สังเกตเห็นชายวัยรุ่นสองคนเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอ และพูดอะไรบางอย่าง มิลินท์ทำท่าจะเดินหนี แต่หนึ่งในสองคนนั้นก็เดินตามและหยุดขวางหน้าเธอไว้ ผมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งเข้าไปหา

“ลิน!” ผมส่งเสียงนำไปก่อนที่จะวิ่งไปถึงตัวเธอทำให้วัยรุ่นสองคนนั้นหันมามอง จนกระทั่งผมไปหยุดยืนข้างๆ และเห็นว่าเธอมีรอยยิ้มให้ผมเป็นครั้งแรก

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” ผมมองหน้ามิลินท์ แล้วปรายตาไปทางเด็กหนุ่มสองคนนั้น

“นี่แฟนพี่เหรอ” หนึ่งในสองวัยรุ่นนั้นถามเธอ แต่สายตากลับจ้องมาที่ผม

“แล้วน้องมีปัญหาอะไรกับแฟนพี่ล่ะ”

มิลินท์หันขวับมามองหน้าผมตาค้าง เธอคงไม่คิดว่าผมจะพูดประโยคนี้ออกไปได้ ผมนึกขำกับหน้าตาตื่นตระหนกของเธอ แต่ก็ต้องพยายามเก๊กสุดชีวิตไม่ให้หลุดขำออกมาเสียก่อน

“มากับแฟนก็ไม่บอก” ผมได้ยินเด็กหนุ่มสองคนนั้นบ่นพึมพำขณะเดินจากไป

เหตุการณ์ที่ออกจะตื่นเต้นเล็กน้อยผ่านพ้นไปในที่สุด ผมหันไปมองหน้ามิลินท์พร้อมกับส่งยิ้มให้ และคิดว่าเธอคงจะมีไมตรีจิตกับผมมากขึ้น อย่างน้อยก็คงจะมีรอยยิ้มให้ผมอีกสักครั้งหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมเจอกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด คุณขนตางอนคนเดิมส่งค้อนให้ผมหนึ่งฉับใหญ่ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปโดยไม่มีแม้แต่คำขอบคุณสักคำ

ผมได้แต่เดินตามไปห่างๆ ไม่ได้หวังจะตามไปทวงคำขอบคุณ หากแต่นึกเป็นห่วงขึ้นมาว่าเธออาจจะไปเจอเหตุการณ์แบบเมื่อครู่นี้อีก แต่เหมือนมิลินท์จะรู้ตัวว่าผมเดินตามอยู่ จู่ๆ จึงเดินเข้ามาหาผมแล้วถามขึ้นโดยไม่มีปีไม่มีขลุ่ย

“เรากลับกันดีไหม”

ผมได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วออกเดินไปพร้อมๆ กับเธอจนไปถึงที่จอดรถ และสังเกตได้ว่าเธอดูเงียบๆ ไป อันที่จริงสาวขี้วีนคนนี้ก็ไม่ได้ช่างคุยช่างเจรจากับผมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผมรู้สึกว่าเธอดูแปลกไปกว่าตอนขามามากทีเดียว


ผมขับรถกลับมาถึงโรงพยาบาลในเวลาที่ทั้งพี่ชายของผมและเพื่อนสนิทของมิลินท์ยังไม่เลิกงาน เราทั้งคู่จึงเดินไปยังที่พักด้วยกัน และระหว่างทางที่เดินไปนั้นเอง เธอก็ทำให้ผมประหลาดใจ

“ขอบคุณนะ” เหมือนจะพูดลอยๆ แต่ผมก็รู้ว่าเธอพูดกับผม

“แหม...นึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้ซะแล้ว”

มิลินท์หยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าผมในทันทีที่จบประโยคนั้น ...รู้สึกเหมือนกำลังจะโดนด่ายังไงก็ไม่รู้แฮะ...

“นี่คุณ ฉันไม่ได้เป็นคนไร้มารยาทขนาดนั้นหรอกนะ”

“จะไปรู้เหรอ ก็เห็นทำหน้าหงิก เดินดุ่มๆ ไม่พูดไม่จา ทั้งๆ ที่ผมไปช่วยคุณไว้แท้ๆ” ผมยังใจกล้าหน้าด้านต่อปากต่อคำกับเธอทั้งที่รู้ว่าสาวขี้วีนคนนี้กำลังจะวีนในไม่ช้า แต่ก็ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมกล้าพูดออกไปอย่างนั้น

“ก็ใครใช้ให้คุณรับสมอ้างว่าเป็นแฟนฉันล่ะ”

ที่แท้ก็เขินนี่เอง... ผมแอบขำอยู่ในใจ ยิ่งนึกถึงเวลาที่เธอเลิกคิ้วสูง ทำตาโตอย่างกับไข่ห่านใส่ผมแล้วก็ยิ่งขำจนกลั้นไว้ไม่อยู่ต้องหัวเราะพรืดออกมา

“นี่คุณ! ขำอะไรไม่ทราบ”

“เปล่าๆ” ผมต้องรีบโบกไม้โบกมือ แล้วพยายามหยุดหัวเราะด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวเราะไม่ออกได้

“เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต”

มิลินท์ส่งค้อนให้ผมอีกหนึ่งทีก่อนจะเดินแยกไปยังแฟลตที่อยู่ห่างไปไม่เกินยี่สิบก้าว แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมก็ตีความเอาเองว่าไอ้ที่เธอค้อนปะหลับปะเหลือกเมื่อครู่นี้คือการยกโทษให้ คิดดังนั้นแล้วผมก็เดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกเต็มๆ ในหัวใจอย่างประหลาด ...มิตรภาพระหว่างผมกับเธอคงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ...


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ฉันนั่งอยู่ในห้องของหมอแนนตามลำพังเพราะเจ้าของห้องยังไม่เลิกงาน ด้วยความหวังดีของพี่หมอไผทและหมอแนนจอมยุ่งแท้ๆ ทีเดียวที่ทำให้ฉันต้องเสียฟอร์มต่อหน้านายเคราเขียววันนี้

ฉันเพิ่งกลับมาจากปราสาทหินพนมรุ้งที่พวกเรานัดกันจะไปดูพระอาทิตย์ตกลอดช่องประตูในวันพรุ่งนี้ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปเยี่ยมเยือนปราสาทหินที่เลื่องชื่อแห่งนี้เลยได้เก็บภาพมามากมาย ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็คงจะได้ภาพมากกว่านี้อีก แต่ถึงฉันจะประทับใจกับความใหญ่โตสวยงามของปราสาทหินขอมโบราณแห่งนี้มากแค่ไหน ฉันก็ยังเจอประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับที่นี่เช่นเดียวกัน

ฉันกำลังถ่ายรูปอยู่เพลินๆ จู่ๆ ก็มีเด็กวัยรุ่นสองคนจากไหนก็ไม่รู้มาพูดจาก้อร่อก้อติก แถมยังทำท่าจะมาลวนลามฉันอีก โชคดีที่นายเคราเขียวโผล่มาตอนนั้นพอดี ฉันเลยไม่ต้องพะบู๊กับเจ้าเด็กเมื่อวานซืนสองคนนั่น แต่ที่แย่ก็คือ... นายนั่นดันเดินเข้ามาบอกเจ้าเด็กสองคนนั้นว่าฉันเป็นแฟนเขา เล่นเอาฉันทำหน้าไม่ถูกเลย... ตาบ้าเอ๊ย!

แต่ก็ต้องยอมรับล่ะว่าถ้าไม่ได้นายเคราเขียวเข้ามาแสดงตัวว่าเป็นแฟน ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง นี่แสดงว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณนายนั่นสินะ... แย่จริงเชียว ทำไมต้องเป็นนายเผด็จ... นายเคราเขียวที่ท่าทางกวนประสาท คนที่ฉันไม่ชอบหน้าด้วยนะ...


ฉันนอนฟังเสียงจากโทรทัศน์ในห้องหมอแนนพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นานพอดู ก่อนที่จะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าหมอแนนกลับมาแล้ว

“ไงแก สนุกไหม” คำถามแรกจากเพื่อนรักของฉันถูกยิงมาโดยที่เธอยังไม่ทันได้ก้าวเข้าห้องเลยด้วยซ้ำ

“ไม่” ฉันตอบไปตามความจริง และคำตอบนั้นก็ทำให้เพื่อนสาวของฉันมีสีหน้าฉงนเล็กน้อย

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“นี่แกจะให้ฉันสนุกสนานร่าเริงแค่ไหน กับการต้องไปเที่ยวกับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ครึ่งวันน่ะ หา?”
คำตอบฉุนเฉียวของฉันเรียกเสียงหัวเราะจากคุณหมอฟันจอมจุ้น แต่เจ้าของประโยคอย่างฉันกลับไม่ได้มีอารมณ์ขันด้วยเลยสักนิดเดียว

“โธ่... แกก็เป็นซะอย่างนี้ หัดทำความรู้จัก หัดหาเพื่อนใหม่ๆ ซะบ้าง” เธอพูดพลางเก็บรองเท้าเข้าชั้นวางแล้วเดินเลยเข้าไปในห้องน้ำ ตักน้ำล้างเท้า ขณะที่ฉันได้แต่เบ้ปากอยู่คนเดียว

“ใครจะไปอัธยาศัยดี ชอบหาเพื่อนใหม่อย่างแกล่ะไอ้แนน”

เมื่อจัดการธุระของตัวเองเสร็จ คุณหมอฟันก็จัดแจงนั่งลงข้างๆ ฉัน แล้วเท้าคางจ้องหน้า

“ไหน... มีอะไร เล่าให้ฟังซิ” แนนถามราวกับจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างกับฉันอย่างนั้น ฉันลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนรักฟัง


ยายหมอฟันตัวดีนั่งกุมท้องหัวร่องอหายเมื่อฟังเรื่องที่ฉันเล่าจบลง ทำเอาฉันอยากจะหาอะไรอุดปากเพื่อนสุดรักคนนี้เสียจริง

“โอ๊ย คุณเพื่อนลินที่รักเอ๊ย... แกนี่มันนางเอกนิยายชัดๆ ดูสิ... พอมีชายหนุ่มเข้ามาช่วยโดยการแสดงตัวว่าเป็นแฟนก็ถึงกับเขินจนไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว” แนนจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะร่วนอีกหลายครั้ง จนฉันเริ่มจะฉุน

“นี่! แกจะขำอะไรนักหนา ถ้าเป็นคนรู้จักกันก็ว่าไปอย่าง นี่ไม่ใช่ซะหน่อย...” ฉันไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาแก้ตัว ก็เลยเสียงอ่อยลงนิดหนึ่ง

“นั่นไง... แกยอมรับแล้วใช่ไหมว่าเขินนายเผด็จน่ะ” แนนทำเสียงจับผิด แถมทำตาเล็กตาน้อยล้อเลียนฉันอีกด้วย ฉันชักสุดจะทนกับพฤติกรรมกวนประสาทของยายหมอฟันคนนี้ ก็เลยคว้าหมอนอิงใกล้มือฟาดไปหนึ่งผัวะ

“เออๆ ไม่เขินก็ไม่เขิน แหม... เจ็บนะนี่”


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


วันนี้เป็นวันศุกร์ นายไทไปทำงานตามปกติ แต่เรามีนัดกันตอนสี่โมงเย็นเพื่อที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกบนปราสาทหินพนมรุ้งพร้อมกับสาวๆ

ผมลงมาชั้นล่างด้วยความหิวโซ หวังจะหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังชีวิตเหมือนเมื่อวานนี้ แต่วันนี้กลับพบแต่ความว่างเปล่าในตู้เก็บของในครัว ...พี่ชายผมมันไม่ห่วงว่าผมจะไม่มีอะไรกินบ้างเลยหรือไงนะ...
ขณะที่กำลังหัวเสียกับพี่ชายที่ไม่เอาไหนของผมก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น ผมรีบเดินออกไปเปิดประตูเพราะคิดว่านายไทคงจะมาส่งสเบียง และเตรียมประโยคต่อว่าไว้ในใจ ทว่าทันทีที่ประตูถูกเปิดออกผมก็ต้องอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั้นไม่ใช่นายไท แต่กลับกลายเป็นคนที่ผมไม่คาดคิด ...คุณขนตางอนขี้วีน...

กล่องโฟมในถุงพลาสติกถูกยื่นมาตรงหน้าผม ขณะที่คนยื่นนั้นหันไปมองต้นไม้ข้างๆ บ้าน พร้อมกับเอ่ยประโยคที่ผมแน่ใจว่าเธอพูดกับผม แต่ไหงเจ้าตัวกลับทำเหมือนพูดลอยๆ ก็ไม่รู้

“นี่ข้าวกลางวัน”

“ขอบคุณนะครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างสุดชีวิตขณะที่ยื่นมือไปรับมันมาจากเธอ

“พี่ไทฝากให้ฉันเอามาให้ ฉันไม่ได้ซื้อมาฝากคุณหรอก ไม่ต้องมาขอบคุณ”

“ผมรู้อยู่แล้วหละว่าคุณไม่มีทางซื้อมาฝากผมแน่นอน ผมขอบคุณที่คุณอุตส่าห์ยอมเป็นธุระถือมันมาส่งให้ผมต่างหาก”

พอคุณขนตางอนได้ยินประโยคนั้น เธอก็หันกลับมาจ้องหน้าผมนิดหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าพร้อมกับหันหลังกลับ

“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิคุณ” ผมร้องเรียกเธอไว้ และนับว่ายังโชคดีที่เธอหยุดฟัง

“ยังไงผมก็ขอบคุณนะครับ” ผมจบประโยคด้วยรอยยิ้มที่รู้สึกเอาเองว่ากว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา และโชคดีอีกครั้งหนึ่งที่คุณขนตางอนพยักหน้ารับยิ้มของผมแบบแกนๆ แล้วก็เดินจากไป


หลังจากที่ได้ข้าวกล่องประทังชีวิตแล้ว ผมก็มีอารมณ์อยากจะช่วยงานพี่ชายเสียหน่อย พี่ชายและผมเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือชอบปลูกต้นไม้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรที่รอบบ้านพักของหมอไผทจะรายล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ ผมสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าต้นเฟื่องฟ้าต้นใหญ่ที่มีดอกสีชมพูบานเย็นอยู่เต็มต้นนั้นเริ่มเลื้อยไปเกาะเกี่ยวสายไฟที่โยงจากหม้อแปลงมาที่บ้านพัก หากปล่อยทิ้งไว้จนมันเหนี่ยวรั้งเต็มที่ล่ะก็ สายไฟคงจะขาดแน่ๆ แล้วนายไทเองก็คงจะไม่มีเวลาว่างมาตัดแต่งกิ่งต้นไม้นี่แน่นอน

คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็เลยจัดการหากรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ที่ห้องเก็บของหลังบ้าน แล้วลงมือตัดกิ่งเฟื่องฟ้าที่เต็มไปด้วยหนามท่ามกลางแดดจัด ถ้าใครมาเห็นก็คงคิดว่าผมบ้าที่มาตัดกิ่งต้นไม้ตอนบ่ายจัดเช่นนี้ แถมไอ้กิ่งเฟื่องฟ้านี่ก็ทำผมเลือดตกยางออกไปหลายหยดอยู่เหมือนกัน หนามเฟื่องฟ้านี่คมไม่ใช่เล่นเลยนะ


แสงแดดในยามบ่ายแก่เริ่มอ่อนแสงลงเรื่อยๆ ผมจัดการกับเจ้าต้นเฟื่องฟ้าที่ออกจะงามเกินไปต้นนั้นจนเสร็จเรียบร้อย พร้อมด้วยอาการคันยิบๆ ที่ตัว และมือที่เต็มไปด้วยรอยคมหนามเฟื่องฟ้าจนเจ็บระบมไปหมด เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปดูนาฬิกาเรือนใหญ่ในบ้านก็เห็นว่าเป็นเวลาใกล้เลิกงานของนายไทแล้ว และนั่นก็แปลว่า ใกล้เวลานัดของพวกเราแล้วด้วย

ผมรีบจัดแจงเข้าไปอาบน้ำด้วยเวลาไม่ถึงสิบห้านาที แล้วกลับออกมานั่งที่ม้านั่งไม้ใต้ซุ้มการะเวกที่ข้างบ้านพร้อมกับกระเป๋ากล้องและขาตั้งกล้องคู่ใจ นั่งอยู่ไม่ถึงห้านาทีก็เห็นมิลินท์เดินดุ่มๆ ลงมาจากแฟลต โดยไม่รอช้า... ผมรีบเดินออกไปตรงถนนทันที

“อ้าวคุณ… พอดีเลยนะ ผมกำลังจะเดินไปหานายไทที่โรงพยาบาลอยู่เหมือนกัน”

มิลินท์ชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นผม และปรายตามองนิดหนึ่งก่อนจะก้มลงไปค้นอะไรในกระเป๋าอยู่ชั่วอึดใจ แล้วเธอก็ยื่นบางอย่างให้กับผม

“อ้ะ เอาไป... ฉันเอามาจากห้องแนน”

“หืม?” ผมทำเสียงสูงในลำคอ เพราะแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ เธอก็ยื่นพลาสเตอร์ยาสามแผ่นมาให้

“เอาไปสิ เดี๋ยวเชื้อโรคก็เข้าแผลหรอก... มือคุณน่ะ” มิลินท์ว่าพลางยัดพลาสเตอร์ยาใส่มือที่เต็มไปด้วยรอยแผลของผม ทำให้ผมต้องยิ้มออกมา

ผมไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ด้วยสินะ เมื่อตอนบ่ายขณะที่กำลังตัดกิ่งไม้อยู่นั้น บังเอิญให้เหลือบไปเห็นมิลินท์ยืนมองอยู่จากบนระเบียงแฟลต พอผมสบตาเธอก็รีบกลับเข้าห้องไป แสดงว่าเธอเห็นว่าผมโดนหนามตำมือแน่ๆ เลย ...คิดแล้วก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้เหมือนกันนะนี่ คุณขนตางอนขี้วีนคนนี้คงจะอยากเป็นมิตรกับผมบ้างแล้วกระมัง...


เมื่อถึงเวลาเลิกงานของนายไทและหมอแนน พวกเราทั้งสี่คนก็จัดแจงเตรียมตัวเดินทางเพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง หมอแนนเสนอว่าให้เอาเก้าอี้ไปด้วยหนึ่งตัว เพื่อเอาไว้ยืนดูจะได้เห็นชัดๆ และไม่ต้องไปเบียดแย่งกับใคร ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย นายไทเลยไปขอยืมเก้าอี้ที่แผนกจ่ายยามาหนึ่งตัวเอาใส่หลังรถแล้วพวกเราก็ออกเดินทาง

ไม่นานนักเราก็มาถึง แต่คราวนี้นายไทไม่ได้พาพวกเราขึ้นทางเดิมที่ผมและมิลินท์ขึ้นไปเมื่อวานนี้ มันเป็นทางเข้าซึ่งถึงก่อนทางเข้าที่ผมไป เมื่อวานนี้ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นทางเข้าปราสาทหรือเปล่าจึงได้ขับรถเลยไปจนกระทั่งถึงทางเข้าหลักที่มีรถทัวร์จอดอยู่เต็ม

ทางเข้านี้อนุญาตให้นำรถยนต์เข้าไปได้แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับรถยนต์คันละห้าสิบบาทและค่าธรรมเนียมบุคคลอีกคนละสิบบาท และแน่นอนว่าคุณหมอไผทเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด

เวลาห้าโมงเย็น สองหนุ่มและสองสาวเดินตรงดิ่งไปที่ด้านหน้าปราสาทหลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังไม่ถึงเวลาที่พระอาทิตย์ตก ทว่าจำนวนผู้คนที่แห่กันขึ้นมาชมปรากฏการณ์นี้ก็แน่นขนัดราวกับงานแฟร์อะไรสักอย่าง พวกเราปักหลักวางเก้าอี้ แล้วผมก็หาทำเลกางขาตั้งกล้อง ขณะที่สองสาวก็ถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยมีคุณหมอไผทเป็นตากล้องจำเป็น

ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ มีการปลุกกระแสด้วยการตะโกนและเฮกันอยู่เป็นระยะ พวกเราก็วิ่งไปชะเง้อมองตรงช่องประตูทั้งสิบห้าช่อง หากเห็นเพียงเมฆหนาสีส้มจัดเท่านั้น เราจึงหันมาให้ความสนใจกับการถ่ายรูปเล่นกันต่อ

หลังจากนั้นไม่นานนักเวลาแห่งความประทับใจก็มาถึง มีเสียงคนกู่ร้องตะโกนและมีเสียงเฮรับด้วยความยินดี ผมกำลังยืนอยู่ด้านข้างปราสาท และเห็นแสงสีแดงแช้ดส่องผ่านช่องประตูสี่เหลี่ยมของปราสาทเป็นลำแสงพุ่งออกมาราวกับเกิดปาฎิหาริย์ภายในปราสาทนั้น ผมไม่รอช้ารีบวิ่งจู๊ดกลับมาที่เก้าอี้และปีนขึ้นไปเก็บภาพความสวยงามและความมหัศจรรย์นั้นไว้อย่างรวดเร็ว

ผู้คนนับร้อยไปยืนออกันอยู่ที่หน้าประตูบานที่หนึ่ง บ้างก็นั่งลงสวดมนต์ขอพรอธิษฐานจิต บ้างก็ไปรอถ่ายรูป ทั้งกล้องถ่ายรูปตัวเล็กทั้งกล้องโทรศัพท์มือถือชูกันสลอน บังดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางประตูไปเสียเกือบครึ่ง

“เฮ้ย ไอ้เด็จ ถ่ายเสร็จหรือยัง ให้หมอแนนขึ้นไปดูบ้างสิ” เสียงนายไทเรียก ผมรัวชัตเตอร์ไปหลายสิบรูปแล้วจึงลงมาจากเก้าอี้ให้คุณหมอฟันขึ้นมายืนดูปรากฎการณ์นี้บ้าง

หมอแนนก้าวขึ้นไปบนเก้าอี้ โดยมีนายไทคอยจับเก้าอี้ให้ เมื่อคุณหมอฟันขึ้นไปยืนได้แล้ว นายไทก็ตามขึ้นไปยืนอยู่บนเก้าอี้ด้วยกัน ผมเห็นแล้วก็หวั่นๆ ว่าจะมีใครตกลงมา เพราะลำพังผมขึ้นไปยืนคนเดียวมันก็เต็มเก้าอี้แล้ว นี่นายไทยังอุตส่าห์ปีนขึ้นไปยืนเบียดกับหมอแนนอีก

ทั้งสองคนทำเสียงตื่นเต้นเมื่อได้เห็นดวงอาทิตย์กลมโตสีแดงสดอยู่กึ่งกลางช่องประตูทั้งสิบห้าช่อง โดยไม่มีช่องไหนที่บดบังดวงอาทิตย์เลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้อยู่ที่นี่มาก็ตั้งนาน ได้เห็นมาก็ตั้งหลายหน ยังจะตื่นเต้นกันอยู่อีกหรือ

และนาทีนั้นผมก็คิดได้ว่ากลุ่มเรายังมีอีกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้มองไปรอบๆ ก็ไม่ปรากฎร่างเล็กๆ นั้นเลย ผมก็เลยตะโกนถามคุณหมอฟันเพื่อนรักของเธอ

“หมอแนนครับ แล้วนี่ลินเขาหายไปไหนล่ะ”

“เออนั่นสิ คงจะไปอออยู่แถวหน้าประตูแย่งเขาถ่ายรูปอยู่ตรงโน้นล่ะมั้งคะ” หมอแนนตอบอย่างไม่ค่อยจะอนาทรร้อนใจเท่าไรนักที่เพื่อนรักหายไป คงเป็นเพราะรู้นิสัยเพื่อนของเธอดี เมื่อหมอแนนไม่ห่วงก็เลยทำให้ผมวางใจคลายความห่วงกังวลไปได้หน่อยหนึ่ง


เวลาแปดนาทีที่ดวงอาทิตย์ตกตรงช่องประตูปราสาทหินพนมรุ้งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ดวงอาทิตย์เริ่มลับหายไปกับขอบฟ้าแล้ว ผู้คนก็ทยอยออกมาจากหน้าประตู และส่วนหนึ่งก็ทยอยเดินกลับลงไปด้านล่าง

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากมุขปราสาทด้านหน้าที่ผู้คนเพิ่งจะสลายตัวจากการเบียดเสียดกรูเข้าไปถ่ายรูปและสวดมนต์ แต่แล้วก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ เราสามคนก็เลยเดินไปดูบ้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น ใจผมคิดว่าจะได้เห็นปาฎิหาริย์อะไรบางอย่างเสียอีก

แต่แล้วภาพที่ได้เห็นนั้นกลับทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าได้เห็นปาฏิหาริย์ใดๆ... หญิงสาวคนหนึ่งตกจากหน้ามุขของปราสาทลงไปนอนอยู่ที่พื้นด้านล่างซึ่งน่าจะสูงกว่าสองเมตร และหญิงสาวคนนั้นก็คือ มิลินท์!!!

ทั้งหมอแนนและหมอไผทร้องเรียกชื่อมิลินท์ออกมาแทบจะพร้อมกันด้วยความตกใจ ส่วนผมก็แหวกกลุ่มไทยมุงเข้าไป แล้วกระโจนลงบันไดด้านข้างไปจนถึงตัวเธอในที่สุด

“ลิน! เป็นไงบ้าง”

“ข้อเท้าฉัน... เจ็บมากเลย” เธอพูดพลางกุมข้อเท้าซ้ายไว้ พร้อมกับทำหน้าเหยเก บ่งบอกชัดว่าเธอเจ็บปวดอย่างที่บอกจริงๆ

หมอไผทเดินตามลงมาติดๆ แล้วช่วยผมพยุงหญิงสาวร่างเล็กให้ยืนขึ้น แต่รู้สึกว่าเธอจะยืนลำบากมาก

“พอเดินไหวไหมครับน้องลิน” นายไทถาม มิลินท์พยักหน้าเป็นคำตอบ ทว่าผมดูสภาพแล้วเธอคงเดินไปจนถึงที่จอดรถไม่ไหวแน่ๆ

“ไท นายไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่ขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆ นี่เถอะ ลินเดินไปที่รถไม่ไหวหรอก” ผมบอกพี่ชาย และในทันทีนายไทก็ไปทำตามที่บอก ผมและหมอแนนช่วยพยุงมิลินท์เดินขึ้นมาด้านบนและเดินไปรอรถที่นายไทจะขับเข้ามาได้ถึงบริเวณด้านหลังปราสาทอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางการอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่และไทยมุงบริเวณนั้น


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


เมื่อตอนเย็นฉันเพิ่งจะได้ตื่นตาตื่นใจกับปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต สมกับที่คุณหมอฟันคุยโม้เอาไว้ว่าฉันจะต้องประทับใจแน่ๆ พวกเราขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกลอดช่องประตูทั้งสิบห้าของปราสาทหินพนมรุ้ง ขณะที่พระอาทิตย์มาอยู่ตรงกลางช่องประตูนั้น ผู้คนมากมายน่าจะเกือบๆ ร้อยหรือมากกว่าต่างพากันเบียดเสียดเข้ามาอออยู่ตรงหน้าประตู บ้างเข้ามาสวดมนต์ขอพร บ้างเข้ามาถ่ายรูป หรือม้แต่เข้ามายืนดูเฉยๆ

ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากจะเก็บภาพความประทับใจ จึงได้แทรกตัวฝ่าฝูงชนเข้าไปรออยู่ที่หน้าประตู แล้วฉันก็ได้ถ่ายภาพสวยๆ ด้วยกล้องตัวเล็กคู่ใจของฉันไว้ได้หลายภาพเชียวหละ

แต่ตอนนี้... ฉันกำลังนั่งรอเข้าเฝือกอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ทำไมน่ะหรือ... ก็หลังจากที่ได้ภาพสวยสมใจมาแล้ว ฉันก็โดนเบียดจากใครต่อใครก็ไม่รู้จนกระทั่งพลัดตกจากหน้ามุข จุดที่คนไปแย่งกันถ่ายรูปนั่นแหละ ตรงนั้นไม่มีราวหรืออะไรกั้นไว้เลย แถมสูงเกือบๆ สองเมตร หรือจะสูงกว่านั้นฉันก็ไม่แน่ใจ โชคยังดีที่ด้านล่างเป็นพื้นหญ้า ถ้าเป็นหินฉันก็ยังไม่รู้ว่าชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไรเหมือนกัน

หลังจากที่พี่หมอไผทตรวจดูอาการที่ข้อเท้าซ้ายที่เริ่มบวมเป่งของฉันแล้ว ก็ส่งฉันไปที่ห้องเอ็กซเรย์ แล้วก็บอกว่าเอ็นข้อเท้าด้านหน้าขาดจะต้องรักษาโดยการเข้าเฝือกไว้ประมาณสองสัปดาห์และงดใช้ขาข้างนั้น พูดง่ายๆ ก็คือฉันจะต้องกลายเป็นยายเป๋ไปอย่างน้อยสองอาทิตย์

อันที่จริงวันนี้เป็นวันออกพรรษา ตามโปรแกรมที่ฉันกับแนนวางไว้ก็คือ วันนี้หลังจากดูพระอาทิตย์ตกแล้วเราจะไปซื้อของแห้งมาไว้สำหรับไปตักบาตรเทโวในวันพรุ่งนี้ แต่ดูท่าทางแล้วกิจกรรมนี้คงต้องมีอันยกเลิก เพราะสภาพของฉันในตอนนี้คงจะไปไหนไม่ได้ ถึงไปได้ก็คงทุลักทุเลเต็มทน ดูเถอะ... ขนาดตั้งใจจะไปทำบุญอยู่แล้ว ยังจะเกิดเหตุอาเพทขึ้นอีกจนได้นะมิลินท์เอ๋ย สงสัยจะเป็นคราวซวยของเธอแท้ๆ ทีเดียวหละ

คุณหมอฟันเพื่อนรักของฉันเดินเข้ามาหา แล้วบอกฉันว่าตอนนี้เธอฝากให้นายเผด็จไปซื้อของใส่บาตรมาให้แล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังจะกลับมาที่โรงพยาบาล

“แกไปกันเถอะ สารรูปแบบนี้แกยังจะให้ฉันถ่อสังขารไปตักบาตรเทโวอีกเนี่ยนะ” ฉันบ่นอย่างหัวเสียนิดหน่อย นึกขัดใจที่ตั้งใจจะไปทำบุญแล้วไปไม่ได้ดั่งที่ตั้งใจไว้

“ไม่เห็นเป็นไรเลยแก รถเข็นของโรงพยาบาลก็มี แกก็นั่งรถเข็นไป เดี๋ยวฉันเข็นให้แกก็ได้เอ้า ไหนๆ ตั้งใจจะไปทำบุญแล้วก็ไปเถอะ เคราะห์หนักจะได้เป็นเบาบ้างไง” ยายหมอฟันหัวเราะตบท้ายอย่างอารมณ์ดี ไม่นึกเดือดร้อนอะไรบ้างเลยหรือไงที่เพื่อนต้องมาฟาดเคราะห์ด้วยการเข้าเฝือกอยู่อย่างนี้น่ะ

ฉันไม่ตอบอะไรยายหมอฟันจอมจุ้น ได้แต่นั่งหน้าหงิกรอเรียกเข้าไปใส่เฝือก นั่งรออยู่ประมาณสิบนาที พยาบาลก็ออกมาเข็นรถที่ฉันนั่งอยู่เข้าไปในห้อง

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเข้าเฝือก ฉันตื่นเต้นเล็กน้อย แต่อาการปวดนี่สิ มันเริ่มมากขึ้นๆ จนอยากจะร้องไห้ ไม่เคยปวดอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลย ฉันได้แต่นั่งดูพี่ไทและพยาบาลเอาสำลีมาหุ้มข้อเท้าขึ้นมาจนเกือบถึงเข่าแล้วก็พันทับด้วยผ้าก๊อซ หลังจากนั้นก็โปะด้วยปูนปลาสเตอร์หนักๆ แล้วทิ้งไว้เกือบครึ่งชั่วโมงปูนถึงแห้ง จากนั้นคุณหมอแนนก็จัดแจงเข็นฉันออกไปข้างนอกซึ่งมีนายเคราเขียวนั่งรออยู่

“เป็นไงครับน้องลิน เจ็บไหม” พี่ไทถามฉันอย่างเป็นห่วงเป็นใยขณะที่เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมๆ กัน

“ตอนนี้ปวดมากเลยค่ะ ปวดเหมือนเท้าจะระเบิดเลยล่ะ” ฉันไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ทำให้พี่หมอไผทยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“ก็คงจะต้องทนปวดไปอีกสักสองสามวันนะ แล้วก็กินยาตามที่หมอสั่งด้วยนะครับ” พี่ไทกำชับฉันอีกฉันได้แต่ยิ้มรับไปแบบแหยๆ ก็ไอ้เรื่องกินหยูกกินยานี่มันถูกโรคกับฉันเสียที่ไหนกันล่ะ

ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหมอไผทคนนั้นยืนเก้ๆ กังๆ อยู่นานจนฉันนึกรำคาญ ท่าทางเขาคงอยากจะถามอะไรฉันสักอย่าง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉัน แต่หันไปพูดกับยายแนนแทน

“หมอแนนครับ ของที่ฝากซื้อผมซื้อมาให้ครบหมดทุกอย่างแล้วนะครับ เดี๋ยวผมถือไปส่งที่แฟลตให้” เขาว่าพลางหยิบถุงพลาสติกใบโตสองสามถุงมาถือไว้ในมือ

ยายหมอฟันจอมจุ้นยิ้มหวานให้นายนั่นจนตายิบหยีพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะกุลีกุจอเข้าไปช่วยนายเคราเขียวถือถุงใส่ของทำบุญส่วนอีกมือก็ถือไม้เท้าอาวุธคู่ใจใหม่ของฉันเดินนำหน้า แล้วปล่อยให้พี่ไทเป็นคนเข็นฉันตามไปติดๆ


หมอหนุ่มพร้อมกับน้องชายมาส่งเราสองคนจนถึงห้องพักของหมอแนน ฉันยังไม่เคยชินกับการใช้ไม้เท้าเท่าไรนักจึงดูลำบากมากกว่าปกติสามเท่าขณะเดินขึ้นบันไดสามชั้น ...ฉันเพิ่งเห็นข้อเสียของแฟลตนี่ก็ตอนนี้แหละ ทำไมไม่ทำลิฟต์ให้ใช้นะ...

เพื่อนสาวของฉันไขประตูห้องเปิดเข้าไป นายเคราเขียวส่งของที่ถืออยู่ให้พี่ชายถือตามหมอแนนเข้าไปภายในห้องขณะที่เขายืนรออยู่ข้างนอก ฉันก้าวตามพี่ไทเข้าไปติดๆ แต่อย่างที่บอกว่าฉันยังไม่ชินกับการใช้ไม้เท้า จึงสะดุดธรณีประตูเล็กๆ ที่หน้าห้องนั้นทำเอาฉันเกือบหน้าคะมำ วินาทีนั้นนายเผด็จก็ถลาเข้ามารวบตัวฉันไว้ก่อนที่ฉันจะล้มคว่ำไปพร้อมกับไม้เท้าเจ้ากรรมนั่น

ด้วยความตกใจฉันจึงคว้าคอเสื้อเขาไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ยังยึดไม้เท้าเอาไว้ เขาเองก็คงจะตกใจไม่แพ้กัน ดวงตาคมเข้มคู่นั้นดูเบิกโตมากกว่าปกติ และที่สำคัญมันกำลังจับจ้องมาที่ฉันแบบใกล้ชิดเสียด้วย...

ฉันรีบปล่อยมือจากคอเสื้อของนายเผด็จ ส่วนเขาเองก็ค่อยๆ ผละมือออกจากตัวฉันแล้วก้มไปหยิบไม้เท้าข้างหนึ่งที่อยู่บนพื้น ขณะที่ฉันพยุงตัวเองให้ยืนนิ่งๆ กับไม้เท้าอันที่เหลือ นายนั่นส่งไม้เท้าอีกข้างมาให้พร้อมรอยยิ้ม ...ความจริงเขาก็ชอบยิ้มให้ฉันบ่อยๆ นะ แต่ทำไมครั้งนี้มันทำให้ฉันใจเต้นแรงผิดปกติก็ไม่รู้...

เสียงโครมครามตอนที่ไม้เท้าหล่นลงพื้นนั่นเองทำให้เพื่อนสาวของฉันและพี่หมอไผทที่กำลังเอาของเข้าไปเก็บในครัวรีบวิ่งมาดู

“เป็นอะไรรึเปล่าไอ้ลิน” หมอฟันสาวถามฉันอย่างเป็นห่วงเป็นใยขณะที่วิ่งออกมาหา ฉันได้แต่ส่ายหน้าให้เพื่อนรัก

“ลินเขาคงจะต้องปรับตัวให้เคยชินกับการใช้ไม้เท้าอีกสักพักนะครับ” นายเผด็จพูดขึ้นบ้าง หลังจากที่ส่งสายตาประหลาดๆ มาให้ฉันแถมรอยยิ้มกวนๆ นั่นอีก ฉันได้แต่ค้อนขวับกลับไปอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น

สองหนุ่มพี่น้องกล่าวลากับเจ้าของห้องอยู่ที่หน้าประตู ขณะที่ฉันนั่งเซ็งอยู่บนเตียงของเพื่อนรักในห้องนอน แต่ก็ยังได้ยินเสียงแจ้วๆ ของสามคนนั้นอยู่ข้างนอก

“เดี๋ยวพรุ่งนี้หกโมงเช้าเราออกจากที่นี่กันนะ” เสียงพี่ไทนัดเวลาที่จะไปตักบาตรที่วัดใกล้ๆ นี้ ฉันได้ยินเสียงแนนคุยอะไรอีกสองสามประโยคก่อนจะเงียบไป แล้วไม่นานนักคุณหมอฟันก็เข้ามาในห้องนอน

“ไงแก จะอาบน้ำไหมเนี่ย”

“อาบสิยะ มอมแมมขนาดนี้ นอนเข้าไปได้ไงล่ะ” ฉันพาลกับเพื่อน ก็คนมันหงุดหงิดนี่นา... แต่แนนก็ดูเหมือนจะเข้าใจอาการของฉันเป็นอย่างดีจึงไม่ได้ต่อว่าอะไร ตรงกันข้าม ยังกุลีกุจอหาถุงพลาสติกใบใหญ่มาให้ฉันสวมครอบเฝือกเอาไว้ ก่อนจะไปหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งไปวางในห้องน้ำ

“คงไม่ต้องให้ฉันอาบให้หรอกใช่ไหม” ยายหมอฟันจอมจุ้นแหย่ฉันอย่างอารมณ์ดี แต่คราวนี้แทนที่ฉันจะหงุดหงิดกลับทำให้ฉันยิ้มออกมา เพราะเห็นสิ่งที่เพื่อนทำแล้วก็รู้ซึ้งว่าเพื่อนเป็นห่วงขนาดไหน


หลังจากอาบน้ำเสร็จด้วยความยากลำบาก เมื่อออกมาฉันก็พบว่าแนนจัดข้าวสารอาหารแห้งที่เตรียมไว้เป็นชุดๆ เรียบร้อยเพื่อความสะดวก แล้วยายหมอฟันเพื่อนรักก็เอายาแก้ปวดมาให้กินก่อนนอน ฉันกล้ำกลืนฝืนกินยาสองเม็ดแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะยังไม่คุ้นชินกับการมีวัตถุหนักๆ มาถ่วงที่ขา ขณะที่คุณหมอฟันก็หายตัวเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานนักเธอก็ออกมา พอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ล้มตัวลงบนเตียงข้างๆ ฉัน

“นี่ลิน เด็จนี่ก็น่ารักดีนะ แกว่าไหม”

ฉันสะดุ้งกับถามนั้น ในใจคิดไปสองทาง หนึ่ง... ยายแนนหลงเสน่ห์นายเผด็จเข้าแล้ว หรือไม่ก็สอง...เพื่อนฉันกำลังชี้นำให้ฉันหลงเสน่ห์นายนั่น ซึ่งฉันหวังว่ามันจะไม่ใช่ทั้งสองอย่างที่ว่ามา

“อะไรของแกไอ้แนน”

“ฉันว่าเขาน่ารักดีนะ วันนี้เห็นกุลีกุจอพาแกมาหาหมอ แล้วแถมพอฉันบอกว่าแกตั้งใจจะไปใส่บาตรพรุ่งนี้ก็ยังอาสาไปซื้อของใส่บาตรให้อีกแน่ะ”

ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่นอนคิดถึงจุดประสงค์ของยายแนนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก่อนที่จะตัดสินใจถามเพื่อนรัก

“แกชอบนายนั่นเข้าแล้วหรือไง” ฉันเลิกคิ้วถามเพื่อนรักที่นอนอยู่ข้างๆ ในความมืด แต่สงสัยว่าฉันจะใช้ความคิดนานไปนิดจนคุณหมอแนนผล็อยหลับไปแล้วจึงไม่มีคำตอบใดๆ ตอบกลับมา

ฉันได้แต่นอนคิดถึงคำพูดของเพื่อนรัก มันมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้น ฉันรู้สึกว่าไม่อยากจะให้แนนไปชอบผู้ชายมาดกวนประสาทคนนั้นเลย ดูยังไงก็ไม่เหมาะสมกับเพื่อนรักของฉันเลยสักนิด จริงๆ นะ...


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


วันนี้ผมกับนายไทนัดกับสองสาวว่าจะไปทำบุญตักบาตรเทโวกันที่วัดใกล้ๆ นี้ เนื่องจากเมื่อวานนี้เป็นวันออกพรรษา พวกเราจึงพร้อมใจชวนกันไปตักบาตร อันที่จริงแล้วผมกับนายไทไม่ได้มีความคิดนี้ตั้งแต่ต้น หากคุณหมอฟันกับเพื่อนสาวนัดกันว่าจะไป แต่แล้วก็เกิดเหตุระทึกขึ้นมาเสียก่อน คุณหมอฟันเลยไหว้วานให้ผมช่วยเป็นธุระซื้อของทำบุญให้ ผมกับพี่ชายก็เลยได้รับอานิสงส์และขอติดสอยห้อยตามไปทำบุญด้วยเสียเลย
เราสองคนเดินขึ้นไปบนแฟลตเพื่อที่จะช่วยสาวๆ ถือของใส่บาตร แต่ไม่ทันที่นายไทจะเคาะประตู มันก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน

“อ้าวพี่ไท กำลังจะลงไปพอดีเลยค่ะ ขึ้นมาตามเหรอคะ”

“เปล่า พี่ขึ้นมาช่วยถือของ เห็นว่าน้องลินเดินลำบาก ของก็เยอะ แนนจะหิ้วคนเดียวยังไงไหวล่ะ” พี่ชายผมยิ้มหวานตบท้ายประโยคนั้น

นายไทเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ก็เพราะความเป็นคนนุ่มนวลอ่อนหวานแบบนี้กระมัง แม้แต่แม่ของผมเองก็ยังเปรยอยู่บ่อยๆ ว่านายไทน่ารักน่าเอ็นดูกว่าผมตั้งเยอะ แต่ผมก็ไม่เคยจะคิดอิจฉาหรือว่าน้อยเนื้อต่ำใจอะไร ก็เราสองคนมันคนละสไตล์อยู่แล้ว

“น้องลินเป็นยังไงบ้างครับ ปวดขามากมั้ย”

“ปวดนิดหน่อยค่ะพี่ไท แต่รำคาญเฝือกนี่น่ะมากกว่า” มิลินท์แสดงสีหน้าประกอบด้วยตอนตอบคำถามนายไท หน้าตาคุณเธอบอกบุญไม่รับเลยทีเดียว แต่มันก็ทำให้ผมมองแล้วอมยิ้มได้

หมอแนนส่งถุงของใส่บาตรส่วนหนึ่งให้นายไทแล้วเดินนำลงไป ส่วนผมเดินตัวเปล่าตามหลังมิลินท์ที่ยังคงดูไม่ค่อยเข้าขากับอุปกรณ์ช่วยเดินชิ้นใหม่ของเธอนัก เมื่อเดินมาถึงบันไดผมก็เลยเอื้อมมือไปประคองที่ไหล่ข้างหนึ่งของเธอไว้เผื่อว่าจะหน้าคะมำลงไป แต่คุณเธอกลับหันมามองผมตาเขียวปั้ด ผมเลยทำได้เพียงคอยดูอยู่ห่างๆ จนลงมาถึงชั้นล่างโดยสวัสดิภาพ


เราทั้งสี่คนไปถึงวัดตอนหกโมงครึ่ง ทางวัดได้จัดเตรียมสถานที่ตักบาตรไว้เป็นอย่างดี เก้าอี้พลาสติกถูกจัดเรียงรายเป็นสองแถวจากลานวัดมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวโบสถ์เพื่อใช้วางของใส่บาตรที่พุทธศาสนิกชนนำมา เวลาที่พวกเราไปถึงนั้นก็มีชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นมาเตรียมตัวรอใส่บาตรกันบ้างแล้ว

ผมยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางแถวหลังแล้วพยักหน้าให้มิลินท์เป็นเชิงบอกให้เธอนั่ง แต่แทนที่เธอจะขอบคุณที่ผมมีน้ำใจและนั่งเก้าอี้ตัวนั้น กลับกลายเป็น...

“ไปเอาเก้าอี้เขามาได้ไง เขาจัดไว้ให้คนวางของใส่บาตร” เธอพูดกับผมด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เหมือนจะพูดกับผมแค่สองคน

“ก็เอามาให้คุณนั่งน่ะสิ จะยืนค้ำอยู่อย่างนี้รึไง นั่งไปเถอะน่า ไม่เป็นไรหรอก”

เธอเชิดหน้า ยืนนิ่ง ผมได้แต่ถอนใจพลางส่ายหน้า พูดกับตัวเองเบาๆ

“อวดเก่งจริงจริ๊ง...”

“คุณพูดอะไรนะ” เสียงเธอแหลมปี๊ดเข้าหูผม และคงเข้าหูนายไทกับหมอแนนด้วย สองคนนั้นหันขวับมามองเราสองคนทันที

“ผมพูดว่า อวด เก่ง จริง จริ๊ง...” คราวนี้ผมพูดเสียงดังฟังชัดแถมลากเสียงยาวกว่าเมื่อกี้อีก เล่นเอาคุณขนตางอนทำหน้าเหมือนอยากจะกรี๊ดใส่หูผมเต็มที่

“ก็มันจริงไหมล่ะ ผมเอาเก้าอี้มาให้นั่งก็ไม่ยอมนั่ง อยากจะยืนค้ำไม่เท้าแบบนี้ไปจนใส่บาตรเสร็จก็ตามใจคุณแล้วกัน”

“เออ แล้วทำไมแกไม่นั่งล่ะลิน เด็จเขาอุตส่าห์มีน้ำใจยกเก้าอี้มาให้นั่ง อยากจะยืนให้ขาระบมรึไง นั่งลงไป” หมอแนนไม่เพียงแต่พูด หากเธอยังเดินมาหาเพื่อนสนิทแล้วจัดการจับเพื่อนนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วยึดไม้เท้าไปพิงไว้ที่ต้นไม้ใกล้ๆ นั้น

เพื่อนสาวของคุณหมอฟันนั่งหน้าหงิก เหมือนเด็กเล็กๆ ที่โดนขัดใจไม่มีผิด ผมเห็นแล้วก็นึกขำ นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่ง ผมก็คงจะทำเหมือนที่หมอแนนทำแน่ๆ คนอะไร รั้นชะมัด


เรายืนรอกันอยู่ครู่ใหญ่พอให้เริ่มรู้สึกเมื่อย ก็เห็นพระสงฆ์ทยอยเดินออกมาจากโบสถ์เพื่อมารับบาตรจากสาธุชนทั้งหลายที่ตั้งใจมาทำบุญกันอย่างหนาตา เก้าอี้ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ก็เต็มหมด ไม่มีที่ว่างเลยทีเดียว
ผมอาสาหยิบข้าวสารอาหารแห้งที่อยู่ในถุงส่งให้มิลินท์เป็นคนใส่ลงในบาตรพระ แรกๆ เธอก็ไม่ยอมรับจากมือผม ยังจะพยายามหยิบออกมาจากถุงด้วยตัวเอง หากเมื่อพระสงฆ์ทยอยเดินมาเรื่อยๆ เธอจึงยอมรับของจากมือผมเพราะก้มลงไปหยิบจากในถุงไม่สะดวกนั่นเอง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จสิ้นพิธีตักบาตรเทโวในวันนี้ ชาวบ้านก็สลายตัวแยกย้ายกันกลับไป ส่วนเราสี่คนก็หารือกันว่าจะไปหาอาหารเช้าที่ไหนกินกันดี

หมอแนนเสนอร้านอาหารน่ารักร้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมทุ่งนา เจ้าของรู้จักและสนิทสนมกับหมอแนนและนายไทเป็นอย่างดี เพราะเป็นร้านประจำของบุคลากรในโรงพยาบาลที่มักจะมารับประทานอาหารที่นี่กันบ่อยๆ หมอแนนเล่าให้ผมกับมิลินท์ฟังว่าเจ้าของร้านเป็นคนมีอันจะกิน แต่อยากทำร้านอาหารเล็กๆ สไตล์โฮมเมดแบบขำๆ ก็คือไม่คิดจะเอากำรี้กำไรอะไร ทำสนุกๆ พอไม่ให้ว่าง คิดแล้วผมก็อยากจะมีร้านกาแฟเล็กๆ แบบนี้ขึ้นมาทันที แต่ติดตรงที่ผมคงไม่มีเวลาจะมาทำแบบ “ขำๆ” แบบนี้แน่ๆ


มื้อเช้าของพวกเรามีทั้งไข่กระทะ แซนด์วิช และข้าวต้มเครื่องแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลของแต่ละคน ส่วนผมขอจิบแค่กาแฟดำถ้วยเดียวเพราะโดยปกติผมไม่ค่อยได้กินมื้อเช้าอยู่แล้ว

“จริงๆ แล้วมื้อเช้านี่สำคัญมากเลยนะเด็จ ควรจะกินมื้อเช้ารู้เปล่า แล้วก็ไม่ใช่แค่กาแฟกับปาท่องโก๋ด้วยนะ” หมอแนนอบรมเมื่อเห็นว่าผมสั่งแค่กาแฟถ้วยเดียว

“ทำไมพี่ไทไม่บอกน้องชายเลยล่ะคะ แบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ ยิ่งอาชีพที่ต้องใช้สมองเนี่ยมื้อเช้าสำคัญสุดๆ เลยรู้ไหม” หมอแนนไม่บ่นผมแค่คนเดียว ยังหันไปเอ็ดพี่ชายผมเข้าให้อีกด้วย

นายไทได้แต่ทำหน้าเลิกลั่ก แล้วก็ยิ้มขำๆ ทว่าไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป กลับเป็นมิลินท์เสียอีกที่แย้งเพื่อนสาว

“นี่แก ไม่ต้องทำตัวเป็นนักโภชนาการให้คนอื่นเขาไปทั่ว เทศน์แค่เพื่อนในกลุ่มไม่พอหรือไง” พูดจบเธอก็หันมาทางพี่ชายผม

“พี่ไทอย่าไปถือสาไอ้แนนมันนะคะ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ชอบวุ่นวายกับเรื่องอาหารการกินของคนอื่น ลินเคยจะซื้อตังเมกินมันยังห้ามเลย บอกว่าเดี๋ยวฟันผุ เพื่อนลินอีกคนไม่ชอบกินผัก มันก็บังคับขู่เข็ญจนเพื่อนคนนั้นยอมกินจนได้น่ะ หมอฟันโรคจิต...” ท้ายประโยคเธอหันมาหาเพื่อนสาวของตัวเอง พูดจบเสียงหัวเราะร่าเริงก็ตามมา

ผมเพิ่งเคยเห็นมิลินท์หัวเราะร่าแบบนี้เป็นครั้งแรก มันทำให้เธอดูน่ามองขึ้นเป็นกอง เวลาที่เธอหัวเราะก็น่ารักดีออก เสียแต่ไม่ค่อยทำ อย่าว่าแต่หัวเราะเลย ยิ้มยังยาก...

ผมกำลังนั่งมองคนน่ารักหัวเราะอยู่เพลินๆ สายตาของเธอก็สบเข้ากับสายตาของผม พลันเสียงหัวเราะนั้นก็หยุดกึก ริมฝีปากบางที่เผยให้เห็นฟันขาวเกือบครบเมื่อครู่นี้ปิดฉับ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันใด แล้วใบหน้าเรียวนั้นก็ง้ำลง...เหมือนเคย

“ฉันหวังดีกับพวกแกทั้งนั้น ยังมาหาว่าฉันโรคจิตอีก” หมอแนนแหวใส่เพื่อนสาวที่ตอนนี้ดูท่าทางจะไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงด้วยเสียแล้ว

“แสดงว่าแนนเป็นแบบนี้มานานแล้วสินะ พี่นึกว่าเป็นเฉพาะที่โรงพยาบาลนี่เสียอีก” นายไทหัวเราะร่วน เลยได้รับแจกค้อนวงเล็กจากหมอแนนมาหนึ่งวง ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นนั่งเงียบ ท่าทางร่าเริงสดใสเมื่อกี้ถูกอาการหน้าหงิกเข้าบดบังมิดชิด

“หมอแนนนี่ดูท่าทางจะเอาใจใส่คนรอบข้างดีนะครับ ใครได้ไปเป็นแฟนต้องโชคดีแน่ๆ” ผมพูดไปตามที่ใจคิดทำให้คุณหมอฟันยิ้มเขิน

“แนนว่าจะโชคร้ายน่ะสิ เพื่อนๆ แนนลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในสามโลกถ้ามาคบกับแนน ใช่ไหมไอ้ลิน” หมอแนนหันมาขอความเห็นจากเพื่อนสาวข้างกาย กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ยังคงเงียบราวกับถูกรูดซิปที่ปากไว้อย่างนั้น

นอกจากประโยคที่แซวหมอแนนเมื่อครู่แล้ว ผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่นั่งสงบปากสงบคำและสำรวมกิริยาอาการตลอดช่วงเวลาที่เรารับประทานอาหารเช้า ลอบมองหน้าใสๆ ของมิลินท์บ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็พบเพียงใบหน้าเรียบเฉย ทำให้ผมรู้สึกกร่อยไปไม่น้อย มีเพียงนายไทและหมอแนนเท่านั้นที่ยังคงหาเรื่องคุยสนุกสนานมาแซวกันไม่ได้หยุด เหมือนไม่รับรู้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียแล้ว


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ฉันมาอยู่กับคุณหมอฟันเพื่อนรักเกือบครบอาทิตย์แล้ว เมื่อวานแนนบอกกับฉันว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปสัมมนาที่ขอนแก่นสองวันและค้างคืนหนึ่งด้วย

“แกอยู่คนเดียวได้รึเปล่าลิน เดี๋ยวฉันจะบอกเด็จให้แวะมาดูแกบ่อยๆ นะ”

ฉันตาถลนเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเพื่อนสนิท สองวันมานี้ยายแนนพูดถึงนายเผด็จบ่อยมาก จนฉันชักจะรำคาญ

“ไม่ต้องเลย ฉันอยู่ได้ ทำไมต้องให้นายนั่นมายุ่งวุ่นวาย” ฉันว่าเสียงสะบัด รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“อยู่แบบเป๋ๆ อย่างนี้น่ะเหรอ เวลาจะไปกินข้าว ไปยังไง” หมอฟันสาวว่าพลางส่ายหน้าระอา
หากสิ่งที่เพื่อนพูดนั้นก็ทำให้ฉันสลดลงไปนิดหนึ่ง ด้วยเห็นว่าเป็นความจริง แต่แล้วฉันก็หาทางรอดให้ตัวเองจนได้

“ซื้อมาม่ามาให้ฉันครึ่งโหล ฉันกินมาม่าก็ได้ แค่สองวัน ไม่ต้องไปเดือดร้อนนายนั่นให้มาดูแลฉันหรอก ไม่จำเป็น”

“เอาอย่างนั้นใช่ไหม...” แนนถอนใจเฮือกใหญ่อย่างดัง ต้องตั้งใจให้ฉันได้ยินแน่ๆ

“ตามใจแกนะ ฉันไม่ขัดใจเพื่อนอยู่แล้ว”


หมอฟันเพื่อนรักตื่นตั้งแต่เช้ามืด อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกจากห้องไป ฉันได้ยินเสียงแว่วๆ ก่อนออกไปว่าให้ดูแลตัวเองนะ แล้วก็หลับต่อจนกระทั่งตื่นมาเอาตอนที่พระอาทิตย์เลยยอดไม้ไปมากแล้ว

ไม่กี่นาทีหลังจากที่ฉันลืมตา ก็ได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือว่ามีข้อความเข้า ฉันเอื้อมมือไปคว้ามันมากดดู ก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ฉันไม่ได้บันทึกไว้ มือกดเปิดข้อความอ่านโดยอัตโนมัติ แล้วก็พบข้อความว่า

‘ถ้าตื่นแล้ว เปิดประตูมาเอาโจ๊กที่แขวนไว้หน้าห้องเข้าไปกินด้วยนะครับ / เด็จ’

ฉันตาสว่างและลุกพรวดขึ้นนั่งทันทีที่เห็นชื่อคนส่งจนลืมไปเลยว่าใส่เฝือกที่ข้อเท้าอยู่ ...นายนั่นมีเบอร์โทรของฉันได้ไง... เพียงเสี้ยววินาทีคำตอบนั้นก็แจ่มชัดในหัว ฉันไม่น่าสงสัยเลย... จะใครเสียอีกถ้าไม่ใช่แม่เพื่อนตัวดีของฉัน


ไหนๆ ก็ตื่นและมีอาหารเช้ารออยู่แล้ว ฉันจึงไม่รอช้าที่จะเปิดประตูออกไปหยิบบรรณาการจากนายเผด็จ และเมื่อเปิดประตูออกไปหยิบถุงโจ๊กนั้นเอง สายตาของฉันก็ช่างซุกซน มองไปยังบ้านพักของพี่ไทที่วันนี้ต้องไปสัมมนาต่างจังหวัดเช่นกัน แล้วก็พบคนตัวสูงในชุดเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้นยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้าน ทันทีที่สบตากันเขาก็ทำท่าตะเบ๊ะมาทางฉัน ฉันได้แต่รีบหยิบถุงโจ๊กแล้วผลุบเข้าห้องอย่างไวที่สุด คนบ้า... นึกว่าทำท่าแบบนั้นแล้วเท่นักนี่ ...เออ ถึงจะไม่เท่แต่ก็ตลกดีแฮะ... ฉันยืนขำกับท่าทางของนายเผด็จได้ไม่เกินสิบวินาที เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ...เบอร์นายนั่น...

“โทรมาทำไม” ฉันทำเสียงขรึมใส่โทรศัพท์ หากเสียงที่ตอบกลับมานั้นฟังดูกระดี๊กระด๊าออกนอกหน้าอย่างไรพิกล

“โทรมาอรุณสวัสดิ์... ทานโจ๊กอิ่มแล้วอย่าลืมทานยาหลังอาหารนะคุณ เอ่อ... หมอแนนสั่งผมไว้”

“รู้แล้วน่า” ฉันทำเสียงรำคาญกลับไป

“แค่นี้ใช่ไหม วางละนะ” พูดออกไปอย่างนั้น แต่ฉันก็ยังรอเสียงตอบกลับจากทางปลายสาย เมื่อมีเพียงความเงียบฉันจึงวางสายไป

แต่ไม่เกินอึดใจ นายเผด็จก็โทรกลับมาใหม่

“มีอะไรอีกล่ะ”

“ผมจะถามว่า กลางวันนี้คุณจะกินอะไร”

“ฉันมีมาม่าแล้ว” น้ำเสียงฉันคงจะฟังดูห้วนจัด นายนั่นเลยทำเสียงจ๋อยๆ กลับมา

“อ่อ... แล้วขาคุณเป็นไงบ้าง ยังปวดอยู่ไหม”

“ไม่แล้วล่ะ ไม่บวมแล้วด้วย แต่จะลีบแทนเพราะไม่ได้ใช้ ไม่รู้ถอดเฝือกออกมาจะเดินได้รึเปล่า มันเริ่มเหี่ยวๆ แล้วด้วยนะนี่...” ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าพูดมากเกินจำเป็นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแว่วมาจากโทรศัพท์ จึงยุติบทสนทนาแต่เพียงเท่านั้น

“มีอะไรอีกไหม”

“ไม่มีแล้วครับ” นายเผด็จตอบสั้นๆ ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะวางสายไป

ฉันไม่รู้ว่าเริ่มไว้วางใจนายนี่ตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้เผลอคุยด้วยเหมือนคุยกับเพื่อนสนิทอย่างนั้น ก็ฉันมันคนช่างพูดนี่นา เวลาลืมตัวก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดจะสนิทสนมอะไรกับนายเผด็จนี่หรอก ...ฉันบอกตัวเอง...


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


วันนี้พี่ชายผมต้องไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดและค้างคืนด้วย คืนนี้ผมจึงต้องเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว มิลินท์ก็ต้องอยู่ที่แฟลตคนเดียว เพราะหมอแนนก็ไปสัมมนาที่อื่นเหมือนกัน แถมยังฝากให้ผมดูแลเพื่อนสาวของเธออีกด้วย ผมรับคำหมอแนนไว้แล้วก็เลยทำหน้าที่โดยการซื้อข้าวไปส่งให้คุณขนตางอนสามมื้อแม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจรับมันนักก็ตาม

ค่ำคืนในเดือนตุลาคมอากาศยังคงเย็นสบาย ผมหลับไปตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นกลางดึก เมื่อคว้ามาดูก็ต้องทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง ...มิลินท์...

“ฮัลโหล”

“นายเด็จ ฉันได้ยินเสียงอะไรไม่รู้กุกกักอยู่นอกห้อง นายพอจะชะโงกหน้าไปดูได้ไหมว่ามีใครอยู่หน้าห้องฉันรึเปล่า” มิลินท์ทำเสียงกระซิบกระซาบพลอยทำให้ผมตื่นเต้นไปด้วย ผมทำเสียงอือออไปกับเธอขณะเดียวกันก็ลุกมาชะโงกดูที่หน้าต่าง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนอยู่ที่หน้าห้องของเธอจริงๆ

“ลิน อยู่ในห้องนะ อย่าเปิดประตูออกมา มีคนอยู่หน้าห้องคุณจริงๆ ผมจะรีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้” พูดจบผมก็กดวางสายไปแล้วรีบดิ่งลงจากบ้านและวิ่งไปที่แฟลตอย่างเร็วที่สุด


ผมวิ่งขึ้นไปจนถึงชั้นสาม หยุดยืนอยู่ที่บันไดแล้วมองตามทางเดินไปยังห้องของหมอแนนซึ่งตอนนี้มีมิลินท์อยู่ในนั้นเพียงลำพัง สิ่งที่ผมพบคือความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น... หรือว่ามันจะเข้าห้องไปได้?

ผมไม่รอช้ารีบเดินไปหน้าห้องหมอแนนแล้วหยุดยืนสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ประตูห้องถูกปิดสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเงี่ยหูฟังเสียงข้างในห้องก็เงียบสนิท... หรือว่าเมื่อกี้ผมตาฝาดไป?

ทันทีที่ผมเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูเพื่อจะดูว่ามันล็อคอยู่หรือไม่ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมๆ กับถูกกระหน่ำฟาดด้วยของแข็งอย่างหนึ่งไม่ยั้ง ผมได้แต่ยกแขนขึ้นปัดป้องแล้วส่งเสียงร้องออกไปเมื่อเห็นว่าคนที่ประทุษร้ายผมอยู่นี้คือมิลินท์นั่นเอง

“หยุดก่อนลิน นี่ผมเอง!”

มิลินท์หยุดฟาดผม พร้อมๆ กับที่ไฟหน้าห้องข้างๆ ถูกเปิดให้สว่าง และตามมาด้วยเสียงเปิดประตูเกือบจะทุกห้องบนชั้นสามเพื่อออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“อ้าว ทำไมเป็นคุณล่ะ!” มิลินท์ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่าคนที่เธอกระหน่ำฟาดด้วยไม้ค้ำยันนั้นคือผม

“ก็ผมบอกว่าผมจะขึ้นมาดูว่าใครมาทำอะไรอยู่หน้าห้องคุณ”

“แล้วทำไมมาเร็วจังล่ะ” มิลินท์ว่าเสียงอ่อย คงรู้สึกผิดไม่น้อยที่เอาไม้เท้าฟาดผมไม่ยั้ง

“ก็เป็นห่วงนี่ เลยรีบวิ่งขึ้นมา...” ผมไม่รู้ว่าหน้าตาผมตอนที่พูดประโยคนี้ออกไปมันเป็นอย่างไร แต่ที่ผมรู้คือ ผมเห็นมิลินท์หน้าแดงๆ

“มีอะไรกันเหรอคะ” พี่พยาบาลที่อยู่ห้องติดกันเอ่ยขึ้น ก่อนที่เราสองคนจะพูดอะไรกันต่อ

“เมื่อกี้หนูได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาไขประตูห้องน่ะค่ะ เลยโทรไปบอกนายนี่ แล้วเขาก็ขึ้นมา หนูนึกว่าเป็นคนร้ายก็เลยเปิดประตูออกมา... เอ่อ... ฟาด” คำสุดท้ายนั้นแทบจะไม่ได้ยิน มิลินท์ทำคอหดเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้ผม

“อุ๊ยตายแล้ว สงสัยเป็นสามีพี่แน่ๆ เมื่อตะกี้เธอไขประตูผิดห้องใช่ไหม” พี่พยาบาลคนนั้นหันไปเอ็ดสามีที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับฟาดผัวะไปที่แขน เมื่อผู้เป็นสามีพยักหน้ารับหงึกหงัก

“ขอโทษนะครับ ผมจำห้องผิด นานๆ มาที” พี่ผู้ชายวัยกลางคนกล่าวขอโทษเสียงอ่อยๆ ก่อนทั้งคู่ และคนอื่นๆ ที่ชะโงกหน้าออกมาดูต่างพากันกลับเข้าห้องของตัวเองไป

เหตุการณ์กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ผมหันหลังจะกลับไปที่บ้านพักตัวเองบ้าง หากได้ยินเสียงใสๆ ของคนข้างหลังเรียกไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนคุณ ฉันขอดูแขนคุณหน่อยได้ไหม”

ผมหยุดและหันกลับไปมองหน้าสลดๆ ของมิลินท์แล้วก็ต้องเผลอยิ้มออกมา เธอทำเหมือนเป็นเด็กน้อยที่ทำแจกันของคุณครูตกแตกแล้วกำลังมาสารภาพผิดยังไงอย่างงั้น ผมไม่ได้เดินเข้าไปให้เธอดูแขนที่ตอนนี้เป็นรอยแดงช้ำ หากเป็นมิลินท์เองที่ขยับเข้ามาใกล้ แล้วยกแขนผมขึ้นดู

“ฉันขอโทษนะ... นึกว่าคุณเป็นคนร้ายน่ะ ไม่นึกว่าคุณจะขึ้นมาเร็วขนาดนี้นี่นา”

“แล้วทำไมถึงเปิดประตูออกมา ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่ในห้องเงียบๆ ห้ามเปิดประตูออกมา ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลย แล้วถ้าคนที่อยู่ข้างนอกนี่ไม่ใช่ผม แต่เป็นคนร้ายจริงๆ คุณจะทำไง” ได้ทีผมเลยอบรมเธอไปชุดใหญ่ เพราะจริงๆ แล้วเธอไม่ควรจะเปิดประตูออกมาฟาดผมได้ถ้าเชื่อตามที่ผมบอก
กระนั้นมิลินท์ก็ไม่ได้มีอาการสลดนัก ซ้ำยังลอยหน้าตอบผมอีกด้วย

“คุณก็น่าจะรู้แล้วนะว่าคนร้ายนั่นจะเป็นยังไง ฮ่าๆ” รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นก็ดูน่ารักดี แต่ผมอยากจะดึงจมูกโด่งๆ ของเธอนั่นเสียมากกว่า... ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก

ผมส่ายหัวสองสามที แล้วหันหลังทำท่าจะเดินกลับลงไปข้างล่าง ทว่ามิลินท์ก็ยังกะเผลกตามมาดึงชายเสื้อผมไว้อีก

“นี่คุณโกรธฉันเหรอ ฉันขอโทษแล้วไง” เธอพูดพร้อมๆ กับปล่อยมือบางออกจากชายเสื้อของผม

“เปล่า ไม่ได้โกรธ” ผมทำเสียงเย็นชา อยากรู้ว่าคุณขนตางอนขี้วีน เวลาโดนวีนเข้าบ้างจะทำท่าไหน แล้วผมก็ได้เห็นสายตาละห้อยและหน้าจ๋อยๆ ของผู้หญิงที่ชอบทำหน้าตูมตลอดเวลา ทำเอาหัวใจผมอ่อนยวบ ยิ่งน้ำเสียงอ่อยๆ ในประโยคที่เธอพูดกับผมอีก

“ฉันรู้ว่าฉันผิด ถ้าคุณไม่ได้โกรธฉันอย่างที่คุณว่า ก็เข้าไปทายาก่อนนะ ปล่อยไว้นานเดี๋ยวมันจะบวม ฉันจะยิ่งรู้สึกผิดกว่านี้ที่ทำให้คุณเจ็บตัวโดยใช่เหตุ”

ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ผมเดินตามคนตัวเล็กขากะเผลกเข้าไปในห้อง แล้วก็นั่งบนโซฟารอให้เธอหายาหม่องมาทาให้ผมอย่างว่าง่าย มิลินท์ทายาให้ผมอย่างเบามือ คงกลัวว่าผมจะเจ็บ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะใบหน้าใสๆ มีสีชมพูระเรื่อที่แก้มนั่นกระมังที่ทำให้ผมมองเพลินจนลืมความเจ็บปวดไป ผมได้แต่อมยิ้มกับภาพที่เห็น และต้องยอมรับกับตัวเองว่าชักจะอยากหยุดเวลาไว้แค่นี้จริงๆ

“เสร็จแล้ว เจ็บตรงไหนอีกไหม” มิลินท์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพอดี ผมเลยต้องเสมองไปทางอื่นเสีย

“ไม่มีแล้วล่ะ ขอบคุณนะครับ”

“ฉันสิต้องขอบคุณคุณ ขอบคุณที่... เป็นห่วง... นะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก หมอแนนฝากให้ผมดูแลคุณนี่นา” ผมพูดไปทั้งที่ไม่ได้มองหน้ามิลินท์ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกได้ว่าสายตาที่จ้องมานั้นมันดูมีรังสีแปลกๆ อย่างไรพิกล หญิงสาวตัวเล็กข้างๆ ผมนิ่งไป นานจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด แล้วจู่ๆ เธอก็โพล่งขึ้นมา

“นี่ ฉันถามอะไรหน่อยเถอะ”

ผมมองหน้าเธอเพื่อบอกให้รู้ว่าผมตั้งใจฟังเธออยู่

“คุณแอบชอบเพื่อนฉันเหรอ” น้ำเสียงแข็งโป๊กของคุณขนตางอนขี้วีนคนเดิมกลับมาแล้ว นี่คือตัวจริงของเธอสินะ

“อะไรของคุณ ทำไมอยู่ดีๆ ถามแบบนี้ล่ะ”

“ก็ตอบมาสิ”

“เปล่าซะหน่อย” ผมจ้องหน้าเธอกลับ “แล้วคุณล่ะ แอบชอบพี่ชายผมรึเปล่า”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ผมถามออกไปอย่างนั้น ...คงเป็นจิตใต้สำนึกกระมัง...

“จะบ้าเหรอ! เอาอะไรมาพูด” เธอแหวใส่แล้วก็หลบตาไม่ยอมมองหน้าผม แต่ผมคิดว่าผมเห็นอะไรบางอย่างในแววตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น

สิ้นเสียงสูงๆ ของมิลินท์แล้วเราทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ความเงียบเข้าครอบคลุม ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องระงมอยู่ข้างนอกและมีเสียงตุ๊กแกดังเป็นระยะ เราทั้งคู่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นหลายนาทีจนกระทั่งมิลินท์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นเสีย

“คุณกลับไปได้แล้วหละ ฉันง่วง”

ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากห้องเงียบๆ มิลินท์เดินกะเผลกมาส่งผมที่หน้าประตู ก่อนจะไปผมส่งยิ้มให้เธอทีหนึ่งและก็ได้รับรอยยิ้มกลับมาเช่นกัน นั่นมันก็มากพอให้ผมได้นอนหลับฝันดีแล้วล่ะคืนนี้


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


พรุ่งนี้นายเผด็จจะกลับกรุงเทพฯ แล้ว พี่ไทก็เลยชวนฉันกับยายแนนไปทำอาหารมื้อเล็กๆ กินกันที่บ้านเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งเย็นนี้ ทีแรกยายหมอฟันเสนอให้ไปกินที่ร้านอาหาร แต่พี่ไทบอกว่านายเผด็จอยากจะโชว์ฝีมือทำอาหารของเขาก็เลยกลายเป็นปาร์ตี้เล็กๆ ที่บ้านแทน

ฉันนั่งปอกกระเทียมอยู่เพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็มีร่างสูงๆ ของใครคนหนึ่งทรุดลงนั่งข้างๆ
“มา ผมช่วย” นายเผด็จว่าพลางยื่นมือผ่านหน้าฉันหยิบกระเทียมไปปอกเปลือกบ้าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคราเขียวๆ นั้นเฉียดหน้าฉันไปจนฉันต้องหลบวูบ

“ไม่ต้องหรอก ฉันทำคนเดียวได้ คุณไปทำอย่างอื่นเหอะ”

“ของอย่างอื่นนายไทกับหมอแนนเตรียมจะเสร็จอยู่แล้ว เหลือก็แต่กระเทียมนี่แหละ ถ้าไม่มีกระเทียมก็ทำอย่างอื่นไม่ได้ละ”

นี่นายเผด็จแอบแขวะฉันนี่นา... ฉันได้แต่ค่อนขอดอยู่ในใจพลางส่งค้อนให้ไปทีหนึ่ง ทว่านายนั่นกลับยิ้มรับอย่างไม่สำนึก นั่งปอกกระเทียมสบายใจจนกระทั่งกระเทียมสองขีดถูกปอกเปลือกหมดเรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว แล้วพ่อครัวใหญ่ก็จัดแจงทำกุ้งแช่น้ำปลา ต้มยำกุ้ง ผัดเปรี้ยวหวาน และหมูทอดกระเทียม เสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ดูท่าทางนายเผด็จจะทำอาหารคล่องกว่าฉันเสียอีก และที่สำคัญ... รสชาตินั้นเรียกได้ว่าไม่แพ้ร้านอาหารที่ไหนเลยก็ว่าได้

“กินเยอะเชียวนะแก อร่อยใช่ไหมล่ะ” ยายหมอฟันถามขณะที่ฉันกำลังนั่งซดน้ำต้มยำอย่างเอร็ดอร่อยจนเกือบสำลัก รีบวางช้อนแทบไม่ทัน

“แนนก็ไปทักลินเขา ดูสิ เขินเลย” พี่ไทซ้ำเติมอย่างไม่คิดถึงความรู้สึกของฉันบ้างเลย แถมตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะร่าประสานเสียงกับยายหมอฟันจอมจุ้น หนำซ้ำฉันยังได้เห็นรอยยิ้มจากนายเผด็จอีก ฉันล่ะอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียจริง

ฉันนั่งหน้าหงิก รู้สึกเหมือนตัวเองโดนรุมทำร้ายและเสียฟอร์มอย่างรุนแรง ยังดีที่นายเผด็จเคราเขียวไม่ได้ทำอะไรให้ฉันรู้สึกแย่ไปกว่านี้ เพียงแค่ยิ้มในตาที่เขาส่งมาให้นั้นมันก็ทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว ฉันไม่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้นเท่าไรนักแต่คิดเอาว่ามันคงเป็นรอยยิ้มของผู้มีชัย เหอะ... ไม่ถึงตาฉันบ้างก็แล้วไป


จัดการอาหารคาวเรียบร้อย หมอแนนก็เสนอตัวไปเตรียมของหวานซึ่งก็คือผลไม้หลายอย่างที่ซื้อมาเมื่อตอนเย็น ฉันอาสาจะไปช่วยเพื่อนแต่ก็โดนห้ามไว้เพราะสังขารที่ยังต้องพึ่งไม้เท้าอยู่นั่นเอง พี่ไทก็เลยไปช่วยเสียเอง

“ขาคุณเป็นไงบ้าง ดีขึ้นรึยัง” นายเผด็จที่นั่งตรงข้ามฉันถามขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพัง

“ก็คิดว่าดีขึ้นแล้วหละ อยากจะเอาเฝือกออกจะแย่แล้ว ทำอะไรไม่ถนัดเลย”

“อีกไม่กี่วันก็ได้เอาออกแล้วน่า” เขาบอกยิ้มๆ เหมือนจะให้กำลังใจฉัน “พรุ่งนี้ผมจะกลับกรุงเทพฯ แล้ว ไม่รู้เราจะได้เจอกันอีกรึเปล่านะ”

ฉันใจหายวูบเมื่อได้ยินประโยคนั้น เขาพูดเหมือนอยากจะเจอฉันอีกอย่างนั้น ...หรือว่าฉันคิดไปเอง...

เราสองคนได้แต่นั่งเงียบๆ ฉันไม่รู้ว่านายเผด็จคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับฉัน... กำลังคิดถึงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ระยะเวลาที่อยู่ที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีแม้จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน หากนั่นก็เติมสีสันในชีวิตของฉันได้มาก และทุกๆ เรื่องวุ่นวายนั้นก็มีนายเคราเขียวที่นั่งตรงข้ามฉันนี้อยู่ในเหตุการณ์ตลอด ถ้าเขากลับไปแล้วแต่ฉันยังต้องอยู่ที่นี่ต่อโดยที่แนนและพี่หมอไผทต้องไปทำงาน ฉันก็คงจะเหงาไม่น้อย

“แต่ไม่เป็นไร ผมมีเบอร์โทรคุณแล้ว ว่างๆ จะโทรไปคุยด้วยนะ” เขาว่าพลางส่งยิ้มมาให้

“ใครอยากจะคุยกับคุณกันล่ะ”

“ไม่รู้ล่ะ อย่าเปลี่ยนเบอร์หนีก็แล้วกัน”

ฉันกำลังจะอ้าปากโต้ตอบนายเผด็จก็พอดีกับที่พี่ไทและยายแนนถือจานผลไม้จานใหญ่มาที่โต๊ะอาหารเลยได้แต่เงียบเสีย

หลังจากที่อาหารมื้อเย็นมื้อพิเศษและงานเลี้ยงอำลาเล็กๆ สิ้นสุดลง ฉันและเพื่อนรักก็เดินกลับแฟลต ตอนนี้ฉันเริ่มคุ้นเคยกับไม้เท้าเหมือนกับว่ามันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของฉันไปแล้ว และยายแนนเองก็ไม่ต้องคอยประคองหรือเป็นห่วงว่าฉันจะสะดุดล้มอีกต่อไป

ฉันเดินไปเงียบๆ ในใจคิดอะไรสะเปะสะปะเรื่อยเปื่อย นึกถึงโชคชะตาตัวเองแล้วก็ขำ อะไรกันนะที่พาให้ฉันมาที่นี่และได้มารู้จักมักจี่กับนายเคราเขียวคนนั้น แล้วดูฉันตอนนี้สิ... ต้องมาเป็นยายเป๋ไกลอยู่ถึงบุรีรัมย์นี่แน่ะ

“เป็นไรแก เงียบเชียว ใจหายเหรอที่เด็จเขาจะกลับพรุ่งนี้น่ะ” ยายแนนโพล่งขึ้นมากลางความคิดของฉัน

“บ้า ใจหงใจหายอะไรกัน แกก็พูดเข้า ว่าแต่แกเถอะ ใจหายไหมล่ะ”

“ใจหายสิ” แนนตอบแบบไม่ต้องคิด ทำให้ฉันหยุดกึก มองหน้าเพื่อนรัก

“แกชอบเขาเหรอ”

บ้าจริง! ฉันถามออกไปอย่างนั้นได้ไงนะ แล้วถ้าแนนเกิดตอบว่าใช่ขึ้นมา ฉันจะทำยังไง ...แล้วฉันจะต้องทำอะไรทำไม...

แนนหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์ พลางนัยน์ตาเรียวเล็กนั้นก็กลับมีประกายวิบวับ แล้วริมฝีปากที่คอยแต่จะพูดมากนั้นก็คลี่ยิ้มจนสุด หมอฟันจอมจุ้นยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายไปมาตรงหน้าฉัน

“นั่นแน่... ถามแบบนี้ กลัวว่าฉันจะชอบเด็จหละซี้... แกชอบเด็จแล้วใช่ไหม ยอมรับมาเถอะไอ้ลิน”

ฉันนิ่วหน้า ยกมือขึ้นปัดนิ้วชี้ที่น่ารำคาญนั้นไม่เบานัก แล้วตวาดเพื่อนรักเบาๆ

“แกจะบ้าเหรอ พูดอะไรเลอะเทอะ เจอกันแค่ไม่กี่วันจะไปชอบได้ไง”

“ทำไมจะไม่ได้ ชอบนะเว้ย ไม่ได้บอกว่ารัก คนเราเจอกันแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็รู้สึกชอบกันได้แล้ว ไม่เห็นต้องใช้เวลาอะไรมากมาย เด็จเขาก็ยังชอบแกเลยลิน”

วลีสุดท้ายของหมอฟันเพื่อนรักทำเอาฉันหูอื้อ ...นายนั่นชอบฉันเหรอ... ยายแนนต้องพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อยแน่ๆ ฉันคิด

“บ้า! แกรู้ได้ไง”

“ก็เขาบอกฉันเอง” แนนตอบแบบไม่ยี่หระในท่าทางตื่นตระหนกของฉันเลยแม้แต่น้อย “ว่าไง ทีนี้จะบอกฉันได้รึยัง ว่าแกก็ชอบเขาเหมือนกันน่ะ”

“ฉันต้องบอกแกหมดทุกเรื่องรึไง ฮึ!”


ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่บนห้องพักของหมอฟันเพื่อนรัก อีกสองวันฉันจะได้ไปผ่าเฝือกออกแล้ว อันที่จริงเมื่อสองวันก่อนมีบริษัทหนึ่งที่ฉันสมัครงานไว้โทรมาเรียกไปสัมภาษณ์ แต่ฉันต้องขอเลื่อนไปก่อนโดยให้เหตุผลกับเขาไปตามความจริงว่าใส่เฝือกที่ขาจึงไม่สะดวก เขาจึงอนุโลมว่าผ่าเฝือกออกเรียบร้อยเมื่อไหร่ให้ติดต่อกลับไปทันที

โทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น ฉันหยิบมาดูแล้วใจก็เต้นแรงผิดปกติเมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นอยู่ที่หน้าจอนั้น...

“สวัสดี”

“เป็นไงบ้างคุณ ผ่าเฝือกหรือยัง” เสียงทุ้มห้าวที่คุ้นเคยถามมาอย่างอารมณ์ดี ฉันได้แต่พยายามคุมน้ำเสียงให้ทุ้มต่ำเข้าไว้

“มะรืนนี้แหละ”

“แล้วนี่คุณจะกลับมากรุงเทพฯ เมื่อไหร่ล่ะ”

“ผ่าเฝือกแล้วก็จะกลับเลย” นายเผด็จคงเริ่มอึดอัดกับอาการถามคำตอบคำของฉันแน่ๆ เขาถึงได้เงียบไป

“งั้นก็เดินทางดีๆ อย่าไปซุ่มซ่ามที่ไหนอีกนะครับ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะ”

จบประโยคเขาก็ตัดสายไป ไม่ยอมรอให้ฉันกล่าวคำขอบคุณเลย หรือว่าเขากลัวว่าจะได้รับอย่างอื่นกลับไปกันแน่นะ ฉันได้แต่คิดแล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


หญิงสาวร่างบางกระชับกระเป๋าสะพายหนังสีน้ำตาลบนไหล่ แล้วก้าวเข้าไปในโฮมออฟฟิศที่อยู่ตรงหน้า เธอเดินตรงไปยังโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นโต๊ะประชาสัมพันธ์

“สวัสดีค่ะ มาติดต่อเรื่องอะไรคะ” หญิงสาวร่างแบบบางหน้าตาสะสวยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นกล่าวทักทายกับเธอยิ้มแย้ม

“ฉันมาสัมภาษณ์งานค่ะ”

“รบกวนขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ”

มิลินท์หยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นให้หญิงสาวคนนั้น เมื่อได้รับคำบอกกล่าวให้นั่งรอก่อนเธอจึงเดินไปนั่งที่โซฟารับแขก หญิงสาวนั่งรอด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นการสัมภาษณ์งานครั้งที่สองของเธอ หลังจากที่สัมภาษณ์งานครั้งแรกก็ได้งานเลย

ไม่นานนัก พนักงานสาวคนหนึ่งก็เดินออกมาเรียกเธอให้ตามเข้าไปด้านใน

“ห้องนี้ เชิญค่ะ”

มิลินท์พยักหน้ารับพร้อมส่งยิ้มเป็นการขอบคุณก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง แล้วก้มศีรษะยกมือไหว้ผู้ที่นั่งหันหลังให้เธอซึ่งกำลังสนใจอยู่กับบางสิ่งในจอคอมพิวเตอร์ฝั่งตรงข้าม

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมๆ กับที่บุรุษบนเก้าอี้นั้นหมุนเก้าอี้กลับมาพอดี แล้วทั้งคู่ก็อยู่ในอาการตกตะลึง...

“คุณ!” ทั้งคู่อุทานออกมาพร้อมกัน

ทุกสิ่งดูราวกับจะหยุดเคลื่อนไหว ความเงียบงันเข้าครอบคลุมภายในห้องนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ชายหนุ่มบนเก้าอี้หนังตัวใหญ่นั้นจะเผยรอยยิ้มกว้าง

“นั่งก่อนสิครับ” เผด็จเอ่ยกับมิลินท์แล้วนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ ขณะที่หญิงสาวตรงหน้ามีท่าทีประหม่า
มิลินท์ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง โดยที่จ้องหน้าคมคร้ามของชายหนุ่มอย่างไม่วางตา เธอกำลังคิดกลับไปกลับมาในหัวว่านี่คงไม่ใช่เรื่องตลกอำกันเล่นใช่ไหม...

“คุณทำงานที่นี่เหรอคะ”

“ใช่ เลขาเพิ่งบอกผมเมื่อเช้าว่าวันนี้จะมีคนมาสัมภาษณ์งาน ไม่นึกว่าจะเป็นคุณ” ร่างสูงบนเก้าอี้ตอบช้าๆ รอยยิ้มยังกระจายอยู่เต็มใบหน้าเข้ม

“แหม...โลกมันช่างกลมจริงนะ”

“ผมว่า...เป็นเพราะพรหมลิขิตมากกว่า” ชายหนุ่มยิ้มในตา ทำให้ดวงหน้าของหญิงสาวมีสีระเรื่อ แต่ก็กลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงแข็งๆ อย่างรวดเร็ว

“ฉันคงจะไม่ได้งานแน่ๆ คราวนี้”

ชายหนุ่มหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“ก็ต้องลองสัมภาษณ์กันก่อน ถ้าผมพอใจ ผมก็อาจจะรับคุณเข้าทำงาน แต่ผมว่าอันที่จริงไม่ต้องสัมภาษณ์ก็ได้มั้ง” เผด็จยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี ทำให้มิลินท์เผลอยิ้มตามไปด้วย

ชายหนุ่มร่างสูงมองรอยยิ้มนั้นอย่างพึงใจ ต่อไปนี้เขาคงจะได้รู้จักเธอมากขึ้น และอาจจะได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้บ่อยขึ้น แน่นอนว่าเขาคงจะต้องรับมือกับอารมณ์เหวี่ยงวีนของเธอคนนี้ด้วยเช่นเดียวกัน หากเขาก็ไม่ได้หวั่นเกรงแต่อย่างใด โดนฟาดด้วยไม้เท้าเขาก็เคยมาแล้วนี่นา...

เห็นทีเรื่องโชคร้ายของมิลินท์จะหมดไปเสียทีกระมัง เมื่อตอนนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งดีๆ รอเธออยู่ตรงหน้า เพียงแค่เธอจะยอมรับและใช้เวลาศึกษามัน เธอหวังว่าสิ่งที่จะพบเจอต่อจากนี้ไปจะทำให้เธอรู้สึกดีและมีความสุขเหมือนตอนที่อยู่บุรีรัมย์


บางทีความรู้สึกดีๆ ก็เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยเวลา หรือสถานที่ที่เหมาะสมเสมอไป การที่จะรู้สึกดีกับใครสักคน ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งใดเป็นตัวช่วย เพียงแค่ใช้ดวงใจมองคนคนนั้นนอกเหนือจากใช้ดวงตา และบางทีการที่คนสองคนจะพบกันและรู้สึกดีต่อกัน ก็อาจไม่ใช่เพราะโลกกลม... หรือเพราะพรหมลิขิต หากแต่เป็นหัวใจที่มีอะไรบางอย่างตรงกัน และหัวใจ... ที่ทำหน้าที่เชื่อมผสานอะไรบางอย่างนั้นเข้าด้วยกันจนอาจกลายเป็นความรักได้ในสักวันหนึ่ง...


-จบ-



ณีรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ย. 2555, 00:38:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ย. 2555, 01:15:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1193





namon 13 พ.ย. 2555, 00:47:00 น.
พี่ณ มน มาให้กำลังใจจ้า ^_^


หมูอ้วน 13 พ.ย. 2555, 15:00:39 น.
ชอบค่ะ น่ารักไปอีกแบบ


Pat 16 พ.ย. 2555, 19:24:17 น.
น่ารักดีค่ะ


ณีรา 16 พ.ย. 2555, 22:50:02 น.
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account