กลรัก เสน่ห์ลวง
บันซาคุ ในวัย 18 ต้องการเติบโตขึ้นเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็กต์ในทุกๆ ด้าน แต่แล้วความมุ่งมั่นนั้นก็คลอนแคลนเมื่อเขาตกหลุมรักเด็กผู้ชายอายุ 12

12 ปีผ่านไปที่บันซาคุตั้งใจจะลืมเด็กผู้ชายคนนั้น แต่แล้ววันหนึ่ง คนที่เขาเฝ้าปฏิเสธกลับปรากฏตัวขึ้นที่บ้าน แถมยังต้องอยู่ใกล้ชิดเขาอีกด้วย
Tags: ฝาแฝด งูเขียว บันซาคุ อาศิรพิศ

ตอน: บทที่ 1 แรกพบ

แสงอาทิตย์ในช่วงบ่ายยังคงจัดจ้ามาตลอดระยะเวลาสามวันที่ฟูจิวาระ บันซาคุ ได้มาเยือนประเทศไทย ทั้งที่เขาทราบจากมารดาบุญธรรมว่าฤดูนี้เป็นฤดูฝน และภาคกลางตอนบนจะมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นในช่วงหัวค่ำ แต่สภาพภูมิอากาศที่เด็กหนุ่มได้สัมผัสคือร้อน ร้อนมาก และร้อนที่สุด ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกลงมาเลยสักหยด ทว่าแม้เหงื่อจะไหลเต็มแผ่นหลังที่ซ่อนอยู่ในชุดสูทสีดำ บันซาคุก็ยังตีสีหน้าได้นิ่งสนิทเหมือนกับว่าอากาศตอนนี้กำลังเย็นสบาย

“บันคุง ถอดเสื้อสูทออกก็ได้จ้ะ บนบ้านไม่มีแอร์ เดี๋ยวลูกร้อนแย่เลย” ปิยรัตน์ หรือที่ทั้งครอบครัวเรียกว่า อุซางิ แม่บุญธรรมของเขาหันมาบอก ขณะที่นางกำลังจะก้าวขึ้นบันไดบ้านโดยมีเก็นจิ พ่อบุญธรรมของเขาตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด

“ผมว่าจะไปดูมิโอะก่อนครับ” เด็กหนุ่มพูดพลางชำเลืองมองกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นก่อปราสาททรายบริเวณลานโล่งไม่ห่างจากตัวบ้านมากนัก ซึ่งปิยรัตน์ก็เข้าใจดีว่าลูกชายจะยังไม่ตามขึ้นบ้านไปด้วยในตอนนี้ นางจึงเหยียดแขนไปหาเขา

“ถ้าอย่างนั้นก็ถอดสูทมาฝากแม่ก่อน ลูกจะได้เดินเล่นสบาย ๆ”

บันซาคุถอดสูทตัวนอกส่งให้นางโดยดี ปิยรัตน์รับไปพับตามความยาว พาดไว้กับแขนของตัวเองและพูดต่อ

“บอกน้องด้วยว่าลุงเสือสั่งขนมไทยมาหลายอย่าง ถ้าอยากลองชิมก็ให้ขึ้นบ้านมา กำชับให้น้องล้างมือด้วยนะ”

“ครับแม่” บันซาคุตอบ เมื่อยืนส่งพ่อกับแม่บุญธรรมขึ้นบ้านแล้ว เขาจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวลงสองเม็ด พับแขนเสื้อขึ้นและถอดเนกไทสีดำใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะตรงไปยังจุดที่มีกลุ่มเด็กวัยประถมสี่ห้าคนนั่งเล่นทราย หนึ่งในนั้นคือมิโอะ น้องสาววัยแปดขวบของเขา แต่เด็กหนุ่มไม่ได้เข้าไปใกล้ เขาเพียงยืนมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยสายตาเป็นห่วง และเมื่อรอดูจนแน่ใจแล้วว่าน้องสาวปลอดภัยแน่นอน เขาก็กวาดตามองไปรอบบริเวณเพื่อสำรวจ ‘บ้าน’ ที่มีรูปทรงแปลกพิกล

แม่อุซางิอธิบายให้เขาฟังแล้วในวันที่ครอบครัวฟูจิวาระมาถึงบ้านของครอบครัวอนันตรัยเป็นวันแรกว่า บ้านของครอบครัวอนันตรัยเป็นบ้านทรงไทยเก่าแก่ ปลูกสร้างมาตั้งแต่สมัยที่บิดาของมังกร พ่อของลุงเสือยังมีชีวิตอยู่ ห้องแต่ละห้องจะแยกกันเป็นสัดส่วน โดยตรงกลางจะเป็นชานโล่งมีหลังคา ไว้สำหรับให้ครอบครัวนั่งเล่น ปรึกษาหารือและรับประทานอาหารร่วมกัน

แต่ตลอดสามวันที่ผ่านมา ครอบครัวฟูจิวาระไม่ได้พักในบ้านหลังนี้ แต่เป็นโรงแรมระดับสี่ดาวที่ใกล้กับวัด สถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายที่แท้จริงของการเดินทางมาเยือนประเทศไทย มารดาของแม่อุซางิเสียชีวิตเมื่อเก้าวันก่อน ทำให้บันซาคุและมิโอะต้องทิ้งการเรียนไว้เบื้องหลังเพื่อเดินทางมาร่วมพิธีศพ และเป็นครั้งแรกที่ลูกชายหญิงทั้งสองของครอบครัวฟูจิวาระได้มาเหยียบแผ่นดินไทย บ้านเกิดของมารดา

ความจริงแล้วการเดินทางจะไม่ล่าช้านักถ้าเขาอยู่ในญี่ปุ่น แต่เพราะตอนนี้บันซาคุกำลังศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ครอบครัวฟูจิวาระที่อยู่ในญี่ปุ่นจึงต้องรอเขาตามมาสมทบในกรุงเทพฯ ก่อน จึงค่อยเดินทางมายังจังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทาง

เมื่อเริ่มชินกับบ้านรูปทรงแปลกตาแล้ว บันซาคุจึงเหลือบมองน้องสาวของเขาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยก่อนเบนสายตาสำรวจจุดอื่นบ้าง เขาพบว่าบ้านอนันตรัยมีต้นไม้ไม่ค่อยหนาแน่นนักทั้งที่มีบริเวณกว้างขวาง เมื่อลองใช้เท้าเขี่ยพื้นดินดู เขาก็เดาว่าอาจเป็นเพราะดินของที่นี่มีทรายปะปนอยู่มากจึงเพาะปลูกอะไรไม่ค่อยงอกงาม ผิดกับบ้านที่ญี่ปุ่นของเขาซึ่งรกครึ้มไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดที่พ่อของเขาเป็นคนดูแลอยู่

เสียงเจื้อยแจ้วเป็นภาษาญี่ปุ่นของมิโอะสลับกับภาษาไทยทำให้บันซาคุเหลือบมองน้องสาว และยิ้มกว้างเมื่อเห็นน้องน้อยพยายามคุยจ้อกับชาวต่างชาติต่างภาษาเป็นวรรคเป็นเวร ซึ่งเด็กเล็กทุกคนในกลุ่มนั้นก็รับมุกกันดี เพราะเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังตลอดเวลาที่พวกเขาคุยกัน

แล้วเด็กผู้หญิงสองคนที่นั่งห่างออกไปก็ดึงความสนใจของบันซาคุ เด็กหญิงผมยาวที่มีใบหน้าสวยหวานกำลังสวมกำไลที่ทำจากดอกไม้ให้เด็กหญิงผูกแกละที่มีใบหน้าอ้วนกลม เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่านัยน์ตาของเด็กหน้ากลมคนนั้นแดงก่ำคล้ายเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

แล้วเด็กอีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกับเด็กหน้าสวยแต่ผมสั้นเต่อเหมือนเด็กผู้ชายก็วิ่งเข้าไปหาทั้งสอง เด็กผูกแกละหน้ากลมคนนั้นทำท่าผงะและน้ำตาหยดแหมะทันที เด็กหญิงผมยาวจึงทำท่าอะไรสักอย่างคล้ายกับไล่เด็กผมสั้นคนนั้น เด็กผมสั้นเกาศีรษะจนผมยุ่งเหยิงก่อนจะผละออกมา

บันซาคุสังเกตเห็นว่าเด็กผมสั้นใส่ชุดเหมือนชุดคาราเต้ และสิ่งที่สะดุดตาเขาที่สุดคือสายคาดเอวสีดำ ดูจากอายุอานามเด็กคนนั้นน่าจะมากกว่ามิโอะไม่กี่ปี แต่กลับได้สายดำของคาราเต้มาครอบครองแล้ว

น่าสนใจ บันซาคุคิดและยืนมองเด็กผมสั้นคนนั้นวิ่งเหยาะ ๆ ตรงมาทางเขา แม้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยที่อาจารย์ทาบทามให้เรียนต่อระดับด๊อกเตอร์ แต่กิจกรรมยามว่างที่บันซาคุโปรดปรานมากที่สุดคือศิลปะการต่อสู้ และตั้งแต่เป็นนักเรียน MBA เขาก็ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยนัก

ดังนั้น ก่อนที่เด็กผมสั้นสายดำจะวิ่งผ่านเลยไป เขาจึงตัดสินใจเรียก

“Excuse me” ได้ผล เด็กคนนั้นชะงักและเหลียวมองเขา บันซาคุจึงพูดต่อ

“I am Fujiwara Banzaku, Can you understand English or Japanese language ?”

ปรากฏว่าเด็กเอียงคอ บันซาคุแทบจะเห็นเครื่องหมายคำถามอยู่รอบตัวเด็กคนนั้น เขาจึงตัดสินใจใช้คำพูดง่าย ๆ เพื่อสื่อสาร

“You can do Karate”

เด็กผมสั้นยิ้มกว้าง พยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมกับพูด “Yes ! ไอ แอม คาราเต้ คิด”

บันซาคุพับแขนเสื้อขึ้นอีก และทำท่าเหมือนชวนเด็กคนนั้นต่อสู้ด้วยคาราเต้กับเขา

“ไม่ดีม้างงง” เด็กผมสั้นลากเสียงด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจก่อนจะชี้ลงพื้น “พื้นแข็งแบบนี้ เดี๋ยวก็เจ็บตัวกันพอดี”

คราวนี้คนที่เอียงคอเป็นเขาเอง เด็กผมสั้นจึงกลอกตาขึ้นฟ้าเป็นเชิงครุ่นคิดก่อนจะเหลียวมองรอบตัว จากนั้นก็ทำท่ากวักมือ

“ตามมาสิ ฉันจะพาไปโรงฝึก”

บันซาคุชำเลืองไปทางมิโอะ สายตาเป็นห่วงเป็นใยของเขาทำให้เด็กผมสั้นคนนั้นเข้าใจในทันทีและรีบโบกไม้โบกมือ

“ด้อนเวอรี่ ด้อนเวอรี่ แม่เกดของฉันอยู่แถวนี้เอง เดี๋ยวฉันฝากให้ดูแลได้ เทกแคไง เทกแค โอเค้ ?”

ไม่พูดเปล่า เด็กผมสั้นยังจรดนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เป็นวงกลมและยกสามนิ้วที่เหลือขึ้นสูง แต่บันซาคุก็ยังเอียงคอ สุดท้ายเด็กจึงตัดบท

“พลีส เวท รอแป๊บ เดี๋ยวฉันมา” จากนั้นก็วิ่งตื๋อไปทางใต้ถุนของบ้านและหายตัวไปด้านหลัง บันซาคุเข้าใจว่าเด็กคนนั้นให้เขารอ แต่ไม่เข้าใจว่ารออะไร ไม่นานนัก เด็กผมสั้นก็ลากผู้หญิงผมยาวดัดเป็นลอนคนหนึ่งมาด้วย

“อะไรเจ้าเขียว อยากวิ่งก็ไปวิ่งสิ มายุ่งกับแม่เกดทำไม”

ไม่ใช่แค่สีหน้าที่ดูเหมือนคนกำลังหงุดหงิด แต่ในมือผู้หญิงคนนั้นยังมีถาดที่วางจานขนมหลายใบอยู่ด้วย บันซาคุเข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะกำลังติดธุระบางอย่างจึงรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน ความเร่งร้อนทำให้เขาเผลอพูดภาษาญี่ปุ่น

“ขอโทษครับ ไม่รบกวนดีกว่า”

ผู้หญิงคนนั้นเลิกคิ้วและจ้องเขาเหมือนเพิ่งเห็น “ลูกชายของเจ้ากระต่าย นี่นา เราเจอกันที่งานศพแล้ว จำได้ไหม”

บันซาคุยังคงส่ายศีรษะ ไม่ใช่ว่าเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด แต่เพราะเขาไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายให้ช่วยดูแลน้องสาวต่างหาก ทว่าเด็กผมสั้นกลับดึงความสนใจของเจ้าหล่อนไป

“แม่เกดช่วยดูแลเด็ก ๆ ให้ทีได้ไหม เขียวจะไปฝึกฝีมือกับหมอนี่สักหน่อย”

“จะดีหรือ” หญิงสาวถามพลางเหลือบมองเด็กหนุ่มจากแดนอาทิตย์อุทัย “เดี๋ยวเราก็ไปทำลูกเจ้ากระต่ายหัวร้างข้างแตกหรอก แม่เกดได้ยินว่าเด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะด้วยนะ ขืนสมองกระทบกระเทือนไปละก็ บ้านนั้นได้ยิงเขียวหมกป่าแน่”

“ก็เขาชวนเขียวก่อนนี่” เด็กผมสั้นบอก ก่อนมองไปทางเด็กหนุ่มที่ตัวโตกว่า “นายไม่กลัวหัวแตกใช่ไหม”

บันซาคุส่ายศีรษะ เขียวจึงตีขลุมเอาว่าเขาไม่กลัว “เห็นไหม เขาบอกว่าไม่กลัว”

“ใช่ที่ไหนกันล่ะยะ” เธอเสยผมพลางถอนหายใจกับความกวนประสาทของลูกบุญธรรม “เอ้า ไปก็ไป แต่ให้เขาใส่เครื่องป้องกันด้วยนะ แม่เกดขีดเส้นใต้ย้ำเลยนะเขียว ถ้าเขาบาดเจ็บขึ้นมาละก็เรื่องใหญ่แน่”

“ไว้ใจเขียวได้เลย” จากนั้นเด็กผมสั้นก็ตรงเข้าไปดึงแขนเสื้อของบันซาคุเป็นเชิงบอกให้ตามไป แต่เด็กหนุ่มไม่ขยับ เขาทอดมองน้องสาวด้วยสายตาห่วงใย

“ไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลให้เอง” หญิงสาวตวัดมือเป็นเชิงไล่ก่อนจะนั่งลงตรงม้าหินอ่อนที่ตั้งอยู่แถวนั้น จากนั้นเจ้าหล่อนก็หยิบจานฟักทองนึ่งออกจากถาดและกัดกินหน้าตาเฉย พวกเด็ก ๆ เห็นดังนั้นจึงรีบกรูกันเข้ามาขอขนมเป็นการใหญ่ มิโอะก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

“มิโอะ ล้างมือก่อนทานขนมนะ !” บันซาคุตะโกนบอกน้องสาวเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมิโอะก็รับคำและวิ่งตื๋อไปทางสายยาง เปิดก๊อกน้ำและล้างมือจนสะอาดจึงกลับไปหาผู้หญิงที่ยกถาดชูเหนือหัวเหมือนจะไม่ให้เด็ก ๆ ได้รับประทาน แต่พอน้องสาวของเขาเข้าไปใกล้ เจ้าหล่อนก็ให้มิโอะได้เลือกขนม

บันซาคุผละจากมาหลังจากที่เห็นกลุ่มเด็ก ๆ พากันไปล้างมือ แต่แล้วเขาก็เกือบหยุดการก้าวเท้าเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างสดใสของเด็กผมสั้น

“เจ๋งใช่ไหมล่ะ แม่เกดของฉัน” เขียวยิ้มกว้างยิ่งขึ้นจนเห็นลักยิ้ม นอกเหนือไปจากนั้น บันซาคุพบว่ามุมปากทั้งสองด้านของเด็กคนนี้มีเขี้ยวเล็ก ๆ อยู่ด้วย

“แม่เกดเป็นแม่บุญธรรมของฉัน ชื่อเต็ม ๆ คือเกสรี เป็นน้องสาวของพ่อเสือ พ่อแท้ ๆ ของฉันเอง”

ชื่อ ‘เสือ’ ทำให้บันซาคุพยักหน้า เนื่องจากแม่ของเขาแนะนำแล้วว่าลุงเสือเป็นญาติห่าง ๆ ของแม่ที่สนิทกันจนนับถือเป็นพี่น้อง และลุงเสือคนนี้เองที่ช่วยดูแลแม่ของแม่อุซางิของเขาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย อีกทั้งยังเป็นธุระจัดการงานศพให้ด้วย

แต่ก็นั่นแหละ เขาพยักหน้าเพราะรู้จักคนที่ชื่อ ‘เสือ’ เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจทุกคำพูดของเด็กคนนี้ แต่เจ้าตัวก็ยังคิดว่าเขาฟังรู้เรื่องจึงได้พูดจ้อต่อไป

“ตอนฉันกับเจ้ากระดิ่งเกิด พวกเราอ่อนแอมากจนเกือบตาย หมอบอกเองเลยว่าให้พ่อกับแม่ทำใจเอาไว้ แต่แม่ฉันมีลูกยาก แถมท้องแรกยังเป็นแฝดเหมือนชายหญิงด้วย แม่ก็เลยใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ฉันกับน้องรอดตาย ทั้งหาหมอรักษาคน หมอดูหมอเดา บนบานศาลกล่าว พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนหมอดูคนหนึ่งทักมาว่าชื่อของพวกฉันไม่เป็นมงคล ต้องเปลี่ยนเป็นชื่อที่เข้มแข็งกว่านี้และต้องให้สอดคล้องกับตระกูลด้วย ฉันก็เลยได้ชื่ออาศิรพิศ ส่วนเจ้ากระดิ่งชื่ออาศิรวิษ แปลตรงตัวว่างู”

แล้วเด็กผมสั้นก็หันมาสบตาเขา “ฉันอาศิรพิศ เรียกสั้น ๆ ว่า ‘เขียว’ ก็ได้”

“ขิหยอง” บันซาคุทวนเฉพาะคำที่เขาฟังทัน และการที่เจ้าตัวได้เน้นหนักคำนั้นเป็นพิเศษ เขาจึงเข้าใจว่าเป็นชื่อ

“ไม่ใช่ เขียว ต่างหาก เขียว”

“ขิหยาว”

“เออ ช่างเถอะ” อาศิรพิศพูดพลางโบกมือไปมา จากนั้นก็ชี้นิ้วมาทางเขา “แล้วนายล่ะ ชื่ออะไร เอ่อ...ว้อท อิส ยัวเนม” เสริมด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ

“ฟู จิ วา ระ บัน ซา คุ” เด็กหนุ่มเน้นทีละพยางค์ช้า ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายฟังทัน นั่นเพราะก่อนหน้านี้เขาได้แนะนำตัวเองไปแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะฟังไม่ออก

“ฟูจิวาระ บันซาคุ อ้อ ชื่อบันซาคุนั่นเอง” เขียวทวน “ฉันต้องเรียกนายว่าบันซาคุ หรือชื่อเต็มล่ะ”

“บัน” เด็กหนุ่มตอบเพราะคิดว่าชื่อนี้ง่ายกับชาวต่างชาติมากกว่า และเพื่อนทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างก็เรียกเขาว่าบัน แทน บันซาคุ กันทั้งนั้น

“บัน... บ้าน แหม ชื่อดีจัง” อาศิรพิศยิ้มกว้าง “ฉันชอบบ้านล่ะ พูดแล้วรู้สึกอบอุ่นดี แต่เรียกนายว่าบันดีกว่าเนอะ”

รอยยิ้มกว้างขวางแบบที่เห็นทั้งเขี้ยวและลักยิ้มควรจะทำให้ใครก็ตามที่เห็นต้องยิ้มตาม แต่บันซาคุกลับหัวใจเต้นแรงจนต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย และแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก ร่างกายร้อนวูบวาบเมื่อเห็นดวงตาสดใสของคู่สนทนา แต่แล้วเขาก็พยายามปัดอาการเหล่านั้นทิ้งไปเพราะอีกฝ่ายยังเด็ก ที่สำคัญ พอมองจากสรีระโดยรวมแล้ว เด็กคนนี้น่าจะเป็นเด็กผู้ชาย

น่าจะ...ใช่ไหม เขานึกทบทวน แม่อุซางิเคยเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่าลุงเสือมีลูกชายหญิงฝาแฝดคู่หนึ่ง เด็กผู้หญิงหน้าหวานผมยาวที่เล่นกับเด็กผู้หญิงหน้ากลมผูกแกละนั่นคงจะเป็นแฝดกับเด็กคนนี้ เพราะฉะนั้น ‘ขิหยาว’ ต้องเป็นเด็กผู้ชายแน่นอน

เขาไม่ควรจะใจเต้นและร่างกายร้อนวูบวาบเพราะเด็ก ที่สำคัญเป็นเด็กผู้ชายเสียด้วย

แต่อาศิรพิศซึ่งไม่รู้ความคิดของอีกฝ่ายยังจ้อต่อไป “นายอาจจะคิดว่าฉันกับน้องน่าสงสารที่มีชื่อพิลึกกว่าชาวบ้านเขา แต่ชื่อแปลก ๆ นั่นก็ทำให้ฉันกับน้องรอดตายจริง ๆ นะ” จากนั้น ริมฝีปากของเขียวก็บิดไปข้างหนึ่งด้วยท่าทางของคนกำลังครุ่นคิด

“ไม่เชิงหรอก พอรอดมาได้ ฉันกลับมีร่างกายอ่อนแอ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเลย ต่างจากเจ้ากระดิ่งที่แข็งแรงดีถึงจะขี้แงไปหน่อยก็เถอะ หมอดูคนเดิมเลยบอกให้ยกฉันให้ไปเป็นลูกบุญธรรมของคนอื่น เพราะดวงไม่ถูกกับบ้านหลังนี้ พ่อก็เลยยกฉันให้แม่เกดไง แม่เกดไม่มีลูกก็เลยยินดีรับฉันไปดูแล อ้อ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะตัดขาดจากทางบ้านเลยนะ บ้านแม่เกดอยู่แถวนี้เอง ฉันก็เลยไปมาหาสู่กับพ่อแม่ ปู่ แล้วก็เจ้ากระดิ่งได้ตลอดเวลาเลย” พูดจบก็หัวเราะ แล้วก็คุยจ้อต่อไป

“แต่การไปอยู่กับแม่เกดไม่ได้ทำให้ฉันแข็งแรงขึ้นมาแบบปุบปับหรอก ก็ยังอ่อนแออยู่ แม่เกดเลยบังคับให้ฉันเรียนศิลปะการป้องกันตัวเพื่อออกกำลังกาย แรก ๆ ก็แทบตายแหละ แต่ตอนนี้ฉันล้มเด็กผู้ชายได้ทีเดียวสามคนเลยนะ”

จากนั้น อาศิรพิศก็ทำท่าเบ่งกล้ามทั้งสองแขน “ฉันได้เหรียญทองกีฬาเทควันโดรุ่นเล็กระดับตำบลด้วย นายอย่าเอ็ดไปนะ นอกจากคาราเต้แล้วฉันเรียนหมดเลยแหละ ทั้งยูโด เทควันโด ยิวยิตสู มวยไทย ว่าจะลองคาโปเอร่าด้วย เห็นจากคลิปแล้วมันเท่ดี”

บันซาคุเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างนึกทึ่งกับรายชื่อศิลปะการต่อสู้ที่เด็กคนนี้ร่ายมา แม้จะฟังไม่ออก แต่เขาคิดว่าเด็กชายคงจะสนใจเรียนเรื่องพวกนี้มาก

“ฉันเป็นแต่ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น แต่ที่นายพูดมาก็น่าสนใจดี” เด็กหนุ่มพูด “โดยเฉพาะมวยไทย ฉันรู้จักบัวขาวด้วยนะ”

ชื่อ ‘บัวขาว’ ทำให้อาศิรพิศยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น “นายรู้จักบัวขาวด้วย โอ้โห ไอดอลของฉันเลยนะนั่น แล้วก็มีเขาทราย กาแลคซี่ด้วย ถึงจะเกิดไม่ทันแต่ฉันก็เห็นคลิปที่เขาสู้แล้ว เก่งมาก ๆ เลยเนอะ ฉันอยากจะเป็นแบบนั้นล่ะ นักสู้ระดับโลก”

แต่แล้วใบหน้าของเด็กน้อยก็ม่อยลง “แต่ฉันเป็นผู้หญิง ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก”

เรื่องของนักมวยชื่อดังของไทยกับคำว่าไอดอลทำให้บันซาคุเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่พอถึงประโยคสุดท้ายที่เขาเห็นสีหน้าของเด็กที่เขาเข้าใจว่าเป็นเด็กผู้ชายสลดลง เขาก็เข้าใจว่าเด็กน้อยเสียกำลังใจที่อาจจะไม่เก่งเท่าไอดอลของตนเอง

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ นายยังเด็ก ถ้าพยายามก็อาจจะเก่งเท่าหรืออาจเก่งกว่าบัวขาวก็ได้นะ”

“ฮื่อ” อาศิรพิศพยักหน้าอย่างเงื่องหงอย แต่แล้วก็หันไปสบตากับเด็กหนุ่มและยิ้มกว้าง “เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยคิดว่าถ้าเป็นซีเกมส์ หรือเอเชี่ยนเกมส์ ฉันก็พอหวังได้ละ”

แล้วอาศิรพิศก็กางแขนทั้งสองข้างตั้งฉากกับพื้น “ไม่สิ ฉันหวังว่าจะไปถึงโอลิมปิก ฉันจะเป็นนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกให้ดู นายต้องคอยเชียร์ฉันนะ”

“ได้สิ ฉันจะคอยเชียร์” บันซาคุยิ้มให้เด็กผมสั้นอย่างอบอุ่น และคราวนี้เป็นอาศิรพิศที่ใจเต้นบ้าง

“เออ แหม นายนี่ยิ้มสวยดีนะ” เธอเกาแก้มอย่างเขินอายเล็กน้อย แต่แล้วการสนทนาก็หยุดลงเมื่อทั้งสองเดินมาถึงเรือนออกกำลังกายของบ้านอนันตรัย หรือที่อาศิรพิศเรียกว่าโรงฝึก ซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่สร้างแยกจากตัวบ้านต่างหาก

“ถึงแล้วละ ฟูกที่ไว้เล่นคาราเต้อยู่ตรงนั้น” อาศิรพิศชี้ไปที่ฟูกหุ้มหนังสีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่ใกล้กับมุมห้อง “ไปรอตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบเครื่องป้องกันให้”

แต่บันซาคุกลับมองไปรอบห้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ที่นี่เหมือนเป็นสถานที่ฝึกนักสู้โดยเฉพาะ เนื่องจากมันมีทั้งเครื่องออกกำลังกายทั่วไป เครื่องยกน้ำหนัก ฟูกสำหรับกีฬาการต่อสู้แบบประชิดตัว ดาบไม้ หรือแม้กระทั่งปืนอัดลม จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดอยู่ที่เวทีมวย ความอยากลองอยากเล่นก็พุ่งพรวดพราดก่อนที่เขาจะหันไปตะโกนถามอาศิรพิศ

“นี่ ฉันอยากลองมวยไทย นายสอนฉันได้ไหม !”

เด็กหญิงเหลียวมองบันซาคุ ก่อนมองเวทีมวย แม้จะไม่เข้าใจภาษา แต่เธอก็รู้ว่าเขาอยากลอง

“เอาสิ แต่นายต้องวอล์มร่างกายก่อนนะ” พูดจบก็ชี้ไปยังกระสอบทรายที่แขวนไว้ใกล้กับเวทีมวย “จริง ๆ แล้วนายต้องวิ่งก่อน แต่ขยับแขนขาสักหน่อยก็ได้ ฉันว่าคนเพิ่งเริ่ม เอาจริงเอาจังมากไปคงไม่ดี”

แล้วเธอก็หยิบชุดนักมวยจากตู้เสื้อผ้าแบบพลาสติกราคาถูกส่งให้เขา “เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวชุดของนายจะเปื้อน”

บันซาคุเอียงคอมองเสื้อกับกางเกงขาสั้นที่เขียนด้วยภาษาไทยที่เขาอ่านไม่ออกและไม่ยอมรับไป อาศิรพิศเข้าใจว่าเขาคงไม่กล้าสวมจึงรีบพูด

“ไม่ต้องกลัวหรอก ทุกชุดสะอาดมาก แม่บุษย์เป็นคนซักเองกับมือ เอ้อ แม่บุษย์เป็นแม่แท้ ๆ ของฉันน่ะ” เธอพูดพลางดมกลิ่นชุดให้เขาเห็นเพื่อพิสูจน์ว่ามันสะอาด “หอมมากเลยละ แม่บุษย์ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นโปรดของฉันด้วย”

“ไม่ใช่เรื่องสะอาดหรืออะไรหรอก แต่ฉันไม่ชินที่จะใส่เสื้อผ้าของคนอื่น” บันซาคุอธิบาย แต่เมื่อเห็นเด็ก ‘ขิหยาว’ ยังยิ้มเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวจึงถอนหายใจ “ขอแค่เสื้อก็แล้วกัน”

เขาหยิบเฉพาะเสื้อกล้ามและเดินไปทางมุมหนึ่งของห้องที่มีเก้าอี้แบบมีพนัก จากนั้นก็ถอดเสื้อออกทั้งเสื้อเชิ้ตและเสื้อกล้ามสีขาวตัวในของตนเอง ก่อนเปลี่ยนเป็นเสื้อสำหรับนักมวยที่มีเนื้อผ้าเบาสบายกว่า โดยไม่ทันสังเกตว่าระหว่างที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า อาศิรพิศรีบหันหลังแทบไม่ทัน


“นี่ อย่าแก้ผ้าแก้ผ่อนต่อหน้าผู้หญิงสิ ห้องเปลี่ยนเสื้อเราก็มีนะ”

บันซาคุได้ยินแต่ไม่เข้าใจ ใช้เวลาไม่นานเขาก็เปลี่ยนเสื้อเสร็จพร้อมกับที่อาศิรพิศหันมาพอดี

“จะไม่เปลี่ยนกางเกงจริง ๆ เหรอ” เธอพูดพลางหลุบมองกางเกงสแลกสีดำของเขา “ถ้าขาดไปก็น่าเสียดายเลยนะ ดูท่าจะแพงมาก”

สีหน้าและแววตาเสียดายของเด็กผมสั้นทำให้บันซาคุถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปลดเข็มขัดกางเกง อาศิรพิศร้องโวยวายเสียงดังลั่นทันที

“เดี๋ยวก๊อนนน อย่าเพิ่งถอด ตรงนั้นมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบ ๆ เอาไปเปลี่ยนเลย !” เธอชี้นิ้วไปทางห้องด้านหนึ่งที่มีประตูสีฟ้าเก่า ๆ แปะเครื่องหมายห้องน้ำชายหญิงพร้อมกับยัดกางเกงใส่มือเขา จากนั้นก็รีบรุนหลังเด็กหนุ่มที่ตั้งท่าจะแก้ผ้าต่อหน้าสตรีไปทางห้องนั้น

“ผู้ชายเหมือนกัน ทำไมต้องอายด้วย” บันซาคุถามพลางกลอกตาขึ้นเพดาน แต่เขาก็ยอมเดินไปทางห้องนั้นแต่โดยดี

แม้ประตูกั้นระหว่างส่วนฝึกซ้อมกับห้องน้ำจะเก่า แต่ด้านในก็กว้างขวางและสะอาดพอสมควร บันซาคุนึกทึ่งที่เห็นห้องอาบน้ำกับตัวสุขาแยกกันเป็นสัดส่วน นอกจากนี้ยังมีล็อกเกอร์สำหรับเก็บเสื้อผ้าด้วย แสดงว่าห้องออกกำลังกายของบ้านอนันตรัยต้องมีคนมาใช้มากพอสมควร

บางทีครอบครัวนี้อาจจะเป็นครอบครัวผู้มีอิทธิพล บันซาคุคิดก่อนจะยักไหล่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตระกูลฟูจิวาระเองก็มีอิทธิพลไม่น้อยเหมือนกัน อันที่จริง ตระกูลฟูจิวาระมีอิทธิพลมากทีเดียว และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลาย ๆ ข้อที่เขาต้องเรียนหนักเพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวเมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ซึ่งขณะนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สองปีเท่านั้น บันซาคุจึงปฏิเสธการเรียนต่อในระดับปริญญาเอกตามคำแนะนำของอาจารย์

หลังจากเปลี่ยนกางเกงแล้ว บันซาคุก็ก้าวออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยนำกางเกงของตนเองไปวางรวมกับเสื้อที่พาดไว้บนเก้าอี้ อาศิรพิศรอจนกระทั่งเด็กหนุ่มจัดการธุระของตนเองเสร็จสิ้นจึงชี้ไปที่กระสอบทรายและเริ่มตั้งท่าเตะให้เขาดูก่อนสองสามครั้ง จากนั้นก็ให้เขาได้ลองบ้าง

การเตะกระสอบทรายกินเวลาพอสมควรจนกระทั่งครูตัวน้อยบอกให้เขาหยุด จากนั้นจึงเป็นการเรียนมวยกันจริง ๆ แต่อาศิรพิศไม่ได้พาเขาขึ้นเวทีในทันที แต่กลับสอนให้ออกท่าทางก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อบันซาคุจดจำได้ทุกท่วงท่าแล้ว ทั้งคู่จึงขึ้นไปบนเวที

เนื่องจากยังไม่คุ้นกับมวยไทย บันซาคุจึงยังออกหมัดติดขัดพอสมควร บางครั้งเขาเผลอใช้ท่วงท่าของคาราเต้ผสมไปด้วย ระยะแรกเขาก็หยุดเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดพลาด แต่พอเครื่องติด การต่อสู้บนเวทีมวยจึงกลายเป็นการขนสารพัดศิลปะการต่อสู้ทุกชนิดมาห้ำหั่นกัน โดยที่เด็กต่างวัยต่างเพศทั้งสองต่างก็ใช้ทุกกระบวนท่าที่ตัวเองถนัดเพื่อล้มอีกฝ่ายให้ได้ ความเจนจัดชนิดที่ไม่มีใครยอมใครทำให้ต่างคนก็ต่างเอาจริง

เกสรีเดินเข้ามาในโรงฝึกหลังจากที่ส่งเด็ก ๆ กลับบ้านและพามิโอะไปหาพ่อกับแม่แล้ว เธอยืนกอดอกมองการต่อสู้ของเด็กทั้งสองอย่างชื่นชม โดยเฉพาะบันซาคุที่เธอได้รู้จากการสนทนากับปิยรัตน์เมื่อครู่ว่าเขาค่อนข้างบีบคั้นตัวเองให้เก่งกาจเกินอายุทั้งที่เพิ่งจะเต็มสิบแปดเมื่อต้นปีมานี้เอง ทั้งเก็นจิและปิยรัตน์ รวมถึงทุกคนที่ได้ฟังต่างลงความเห็นว่าอาจเพราะบันซาคุมีปมเรื่องที่เขาเป็นลูกเลี้ยงก็เป็นได้ เกสรีนึกอยากจะคุยกับเด็กหนุ่มแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเธอเองไม่เข้าใจภาษาอะไรเลยนอกจากภาษาไทยเท่านั้น

การต่อสู้เอาจริงเอาจังกับลูกสาวทำให้เกสรีเห็นว่าบันซาคุกลายเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป เขาสนุกกับการออกแรงและฝึกปรือฝีมือกับคนที่ทัดเทียม...ไม่สิ ถ้าไม่นับเรื่องมวยแล้ว บันซาคุเหนือกว่าอาศิรพิศแทบทุกอย่าง ทั้งท่วงท่า สายตาที่มองคู่ต่อสู้และการใช้ร่างกาย ผิดกับอาศิรพิศที่เริ่มร้อนรนทุกขณะด้วยรู้ว่าตัวเองตกเป็นรองอีกฝ่าย

ลูกสาวบุญธรรมของเธอไม่เคยยอมแพ้ใครตั้งแต่อายุหกขวบ แต่ดูเหมือนวันนี้ความพ่ายแพ้จะมาเยือนเจ้าตัวแสบอีกครั้งกับคู่ต่อสู้ที่เจนจัดกว่า อายุมากกว่า และเหนือกว่าทั้งพละกำลังและสรีระ เกสรีได้แต่อมยิ้มขณะมองอาศิรพิศหอบฮัก เหงื่อไหลท่วมชุดคาราเต้จนชุ่ม แล้วความพ่ายแพ้ก็มาเยือนจริง ๆ เมื่อบันซาคุจับงูเขียวตัวน้อยทุ่มลงบนเวทีด้วยท่วงท่าของยูโด

“ป้ง ” เกสรีพึมพำเบา ๆ เพราะรู้ผลแพ้ชนะกันแล้ว จากนั้นจึงเดินไปที่ตู้เก็บเสื้อเพื่อหยิบผ้าขนหนูให้เด็กทั้งสอง แต่แล้วเสียงว้ากจากเวทีก็ทำให้เธอต้องเหลียวหลังมองและทันเห็นอาศิรพิศพุ่งเข้าใส่บันซาคุที่ยืนหอบอยู่ตรงกลาง

“เจ้าเขียว !” เกสรีตะโกนอย่างไม่พอใจ เพราะลูกสาวกำลังโกงอีกฝ่ายด้วยการโจมตีคู่ต่อสู้ที่ไม่ทันระวังตัว แต่บันซาคุไหวตัวทัน เขาจับล็อกเอวของอาศิรพิศไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างในลักษณะโอบเอวและยกตัวขึ้นคล้ายจะทุ่มอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าของมวยปล้ำ แต่พอคิดได้ว่าเวทีนี้ไม่ใช่เวทีมวยปล้ำ เขาจึงย่อเข่าลงเพื่อเปลี่ยนเป็นท่าของยูโด แต่อาศิรพิศยกศอกทุบไหล่ของเขาก่อน เด็กหนุ่มจึงล้มลงไปนอนแผ่โดยที่มือยังไม่คลายจากเอวของเด็กผมสั้นตัวแสบ

“บ้าฉิบ !” เด็กหนุ่มสบถเมื่อรู้สึกปวดหลังจี๊ด แต่แล้วเขาก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อพบว่าร่างเล็ก ๆ ที่ยังนอนทับเขาอยู่นี้ทั้งนุ่มนิ่มและบอบบางมากเพียงใด ลำคอสีน้ำผึ้งอ่อนเพรียวระหงของ ‘ขิหยาว’ ประชิดติดริมฝีปากของเขา เด็กหนุ่มต้องห้ามใจอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ตนเผลอเลียชิมเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาตามแนวคางซึ่งทอดโค้งอย่างละมุนตา

“โอย” เด็กแสบขยับศีรษะเล็กน้อยเพราะเวียนหัว ทำให้ร่างกายขยับยุกยิกบนลำตัวที่ใหญ่กว่าของเด็กหนุ่ม บันซาคุกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อลำคอของเด็กน้อยถูไถกับปากของเขา ความเห่อร้อนพุ่งวาบไปทั้งร่างก่อนจะวิ่งไปรวมตัวกันอยู่ที่จุดกึ่งกลางของร่างกาย

“อ๊ากกกกก !” เด็กหนุ่มร้องลั่นและผลักอาศิรพิศไปอีกทาง จากนั้นก็ลุกขึ้นและกระโดดพรวดพราดลงจากเวทีมวย เขาวิ่งไปถึงประตูแล้วก่อนจะวกกลับมารวบเสื้อผ้าของตนและวิ่งออกไปจากโรงฝึกโดยไม่เหลียวหลัง อาศิรพิศยกตัวขึ้นนั่งชันขา เกาศีรษะแรง ๆ อย่างงุนงง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเกสรีจ้องเขม็งอยู่

“แม่เกด” เด็กหญิงเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิดเพราะรู้ดีว่าตนโกงการต่อสู้ แต่เกสรีเบือนหน้าไปทางประตูที่เด็กหนุ่มเพิ่งวิ่งออกไปสักครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมามองลูกบุญธรรม

“แม่เกดเห็นเหรอ” อาศิรพิศถามเสียงเบากริบพลางลุกขึ้นยืน แต่เกสรีไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะพยักหน้าหรือทำกิริยาใด ๆ เพื่อเป็นการโต้ตอบเธอ เด็กหญิงหน้าเจื่อนลงทันทีเพราะคิดว่าแม่เกดโกรธ

“เขียวขอโทษ เขียวจะไม่ทำอีกแล้ว”

เกสรียังนิ่ง แต่คราวนี้มีกิริยากอดอกตามมา ทำให้อาศิรพิศหน้าซีดและรีบละล่ำละลักพูด “เอาอย่างนี้นะคะ เขียวจะไปขอโทษเขา แม่เกดอย่าโกรธเขียวนะ”

“ไม่ต้องหรอก ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” พูดเท่านั้น เกสรีก็หมุนตัว เดินออกจากโรงฝึก ปล่อยให้ลูกบุญธรรมรับคำและเดินคอตกเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ

โดยหารู้ไม่ว่าที่เกสรีเงียบไปไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะเธอครุ่นคิดถึงภาพที่ตนได้เห็นต่างหาก อาการของบันซาคุดูอย่างไรก็เหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะตกหลุมรักผู้หญิงเป็นครั้งแรก แถมแวบหนึ่งนั้น เธอยังเห็นด้วยว่าบางจุดของเขากำลังขยับขยาย...

หญิงสาวยิ้มอย่างนึกสนุก หล่อนเริ่มเห็นลู่ทางแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงบันซาคุอย่างไรโดยที่ไม่ต้องใช้ภาษาในการสื่อสาร แต่ก็นั่นแหละ ลูกสาวของเธอเพิ่งจะสิบสองขวบ แม้จะสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันแต่ก็ยังไม่โตเป็นสาว ต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อฝึกฝนแม่หนูให้กลายเป็นกุลสตรี ซึ่งดูเหมือนจะยากเสียยิ่งกว่าการบอกให้ลูกชายของปิยรัตน์เลิกเข้มงวดกับตัวเองเสียอีก เพราะเจตนารมณ์ของอาศิรพิศชัดเจนมาตลอดว่าต้องการเป็นแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกด้านกีฬาศิลปะการต่อสู้

แต่ถ้าทั้งสองคนเป็นเนื้อคู่กันจริง อย่างไรก็ไม่มีวันคลาดแคล้วกันไปได้หรอก เกสรีเชื่ออย่างนั้น

จบบทที่ 1



pulala
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ธ.ค. 2555, 10:13:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ธ.ค. 2555, 10:13:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1314





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account