เหตุร้าย...พรางใจรัก
เพราะน้องชายของเธอ ดันไปพาน้องสาวของผู้ชายใจร้ายหนี เธอเลยต้องมารับกรรมอยู่แบบนี้ ทั้งๆที่เขาก็ร้ายแสนร้าย แต่ทำไมอยู่ๆหัวใจเจ้ากรรมถึงได้เต้นตึกตักเวลาเจอเขาก็ไม่รู้ ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 2
“หา! จริงหรือศศิ ฟ้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหมอนั่นจะทำเธอถึงขนาดนี้”
ทันทีที่รุ้งฟ้าได้ยินศศิมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังก็อดจะอุทานออกมาเสียงหลงไม่ได้ เธอเคยได้ยินชื่อของราม พัชรรุจิโรจน์มาบ้างในฐานะที่รุ้งฟ้าทำงานอิสระเกี่ยวกับออกแบบภายใน ต้องรับงานโรงแรมเป็นส่วนใหญ่ โรงแรมในเครือของพัชระกรุ๊ปก็มีมากมายทั่วฟ้าเมืองไทย นายรามนั้นดุ และจริงจังในเรื่องการทำงานมากจนเพื่อนร่วมสายงานพากันขึ้นหิ้งว่าทำงานด้วยแล้วเหนื่อยกายที่สุด
แต่ว่าสิ่งที่ทุกคนคิดตรงกันคือ แม้จะดุ และเรื่องมากแค่ไหน รสนิยมของผู้ชายคนนี้ดีพอที่จะคุยเรื่องดีไซน์แล้วไม่เหนือยใจเลย หากว่าความร้ายกาจที่เธอเพิ่งจะได้ยินจากปากเพื่อนสาวคนสนิท เขาจะต้องเป็นคนประเภทเผด็จการมากๆแน่ๆ
ศศิมายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เธอรู้สึกหายเครียดมากขึ้นบ้างที่ได้ระบายให้รุ้งฟ้าฟัง ลำพังเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในอกมันก็เครียดจนหัวจะระเบิด
“ที่ศศิโทรฯหาฟ้าเมื่อคืนก็เพราะเรื่องนี้สินะ ฟ้าขอโทษนะศศิที่ฟ้าไม่ได้รับโทรศัพท์ นี่ฟ้าดีใจนะที่ศศิมาหาฟ้าที่บ้านแล้วยอมเล่าให้ฟ้าได้ฟัง ได้ระบายอะไรออกมาบ้าง เรื่องราวมันเลวร้ายจริงๆ”
รุ้งฟ้าจับมือเพื่อนสาวอย่างรู้สึกผิด เพราะงานที่ทำหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้นอนเลยทำให้เมื่อคืนเธอหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียง หรือรู้สึกตัวเลย จนราวๆเที่ยงเธอได้ยินเสียงออดหน้าบ้านก็เลยตื่น สะลึมสะลือลงมาเปิดประตูในสภาพเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ผมเผ้าย้อมสีน้ำตาลอ่อนยังยุ่งเหยิงจนไม่ต้องเดาเลยว่าเจ้าของบ้านเพิ่งจะตื่น และเมื่อเห็นว่าเป็นศศิมาก็แปลกใจจนตาแทบสว่าง เวลานี้ วันธรรมดาแบบนี้ศศิมาควรจะทำงานอยู่ที่โรงแรมมากกว่ามาอยู่ตรงหน้าบ้านเธอ รุ้งฟ้ารีบเปิดประตูแล้วอย่างร้อนรน ศศิมาเข้ามานั่งในบ้าน ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
รุ้งฟ้าฟังแล้วก็เสียใจที่ไม่ได้อยู่ให้กำลังใจเพื่อนสาวในเวลาที่เลวร้ายนั้นเลย
“ไม่เป็นไรหรอกฟ้า” ศศิมายิ้มให้จากใจ
“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ นี่ก็ออกจากงานมาเลยแบบนี้ เล่นไม่ให้ตั้งตัวกันเลย ผู้บริหารเธอก็จริงๆเลย” แม้รุ้งฟ้าจะรู้ดีถึงเหตุผลที่ศศิมาบอกไว้ทีแรกว่า พัชระกรุ๊ปใหญ่โตเกินกว่าโรงแรมเล็กๆที่ทำงานเก่าของเธอจะไปต่อกรด้วย แต่ที่น่าห่วงต่อจากนี้คือ ไม่รู้นายรามจะเล่นไม้ไหนอีก เธอไม่อยากให้เขาทำอะไรจนมารดารู้เรื่องศิวาไปด้วย
“โชคยังดีนะ ยังได้เงินมาก้อนหนึ่ง ฉันคงจะหางานทำ ประสบการณ์ที่มีมาคงไม่ทำให้หางานยากเท่าไหร่ โรงแรมมีเป็นร้อยเป็นพันที่ ฉันไม่กล้วหรอกฟ้า ห่วงแต่แม่ ฉันไม่อยากให้แม่รู้ แม่สุขภาพไม่ค่อยดี” ศศิมาระบายด้วยความหนักใจกับสิ่งเดียวที่ห่วงจนต้องคิดหน้าคิดหลังมากกว่าเดิม ลำพังตัวเธอ ต่อให้เจออะไรจากนายรามนั่นก็ไม่กลัวหรอก ต่อให้บีบจนหลังชนฝา ศศิมาก็ไม่คิดจะยอมแพ้ผู้ชายที่ดีแต่ใช้อำนาจพรรค์นั้น!
ชายหนุ่มหญิงสาวพร้อมกระเป๋าสะพายกันคนละใบมาหยุดยืนตรงหน้าบ้านหลังเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมถนนขรุขระ รายล้อมด้วยสวนผลไม้เขียวครึ้ม ชายหนุ่มในเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์ซีดๆ สอดสายตาผ่านรั้วเก่าๆที่สีลอกไปแทบหมดแล้วไปยังตัวบ้าน จนกระทั่งพบร่างท้วมๆของชายสูงวัยที่กำลังๆก้มๆเงยๆอยู่ตรงต้นไม้ใต้ถุนบ้าน ก็ดีใจร้องเรียกเสียงดังลั่น
“พ่อครับ พ่อ!”
ชาตรี ชายสูงวัยชะงักจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ หันมอง เห็นว่าเป็นใครก็อดตกใจไม่ได้
“ศิวา!” พร้อมกับพากายท้วมไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีกรมมาสวมทับกายท่อนบนอันเปลือยเปล่า แล้วรีบเดินมาหาชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึง
“มาได้ยังไง! เข้ามาก่อนๆ”
ศิวายิ้มให้ชาตรี จึงหันไปบอกกับหญิงสาวข้างกาย
“รส นี่พ่อของพี่เอง พ่อครับ นี่รติรสครับ” ได้ยินดังนั้น รติรสรีบยกมือไหว้ผู้สูงวัยตรงหน้า
ชาตรีรับไหว้หญิงสาวผมยาวตรง สวมหมวกแก๊บคลุมผมไว้ ใบหน้าสะสวยหวานตา ผิวพรรณเนียนผ่องในเสื้อยืดสีชมพูหวาน กางเกงสี่ส่วนสีน้ำตาลเช้ม กริยาดูอ่อนหวานเรียบร้อย ดูแว่บเดียวก็รู้ว่ารติรสคงไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาๆแน่นอน
“ไหว้พระถึงจ้ะ เข้ามาก่อนๆ ทำไมไม่โทรฯบอกพ่อก่อนบ้าง ดูซิ บ้านช่องก็ไม่ได้เก็บ อ้าวๆ แม่ไพช่วยไปเอาน้ำท่ามาให้ลูกชายฉันหน่อยสิ” ชาตรีตื่นเต้นที่ลูกชายมาหาถึงที่ เดินรุดๆขึ้นบันไดบ้านไปบอกให้ประไพ ภรรยาคนใหม่ หลังจากที่หย่าร้างกับวิภาดา เขาก็มาทำงานเป็นครูชนบทที่บ้านเกิด และปลูกผลไม้ขายไปพลาง ส่วนประไพนั้นเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยเรียน ที่ได้มาอยู่เคียงคู่อยู่กันสองคนกันหลังจากพลัดพรากแยกจากกันไปเกือบยี่สิบห้าปี
“สวัสดีครับ ป้าประไพ” ศิวารู้จักประไพดี วิภาดาไม่เคยห้ามไม่ให้พ่อลูกพบหน้ากันรวมไปถึงภรรยาใหม่ของชาตรีด้วย ส่วนประไพก็ใจดีกับเขาเสมอๆเวลาที่เขามาเยี่ยมบิดาที่เชียงใหม่นี้
“คือ พ่อครับ ผมอยากจะมาขออยู่กับพ่อสักพักหนึ่ง ได้ไหมครับ” ศิวาเอ่ยกับบิดาเสียงเบา น้ำเสียงของเขาเหมือนเด็กที่เพิ่งทำความผิดอะไรมา ชาตรีมองหน้าบุตรชายอย่างรู้ทัน ก่อนจะถอนหายใจเฮือกยาวเมื่อเขาเหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้ การที่หอบผ้าหอบผ่อนมาหากันสองต่อสอง แถมหญิงสาวยังแต่งตัวปกปิดใบหน้า ราวกับหนีอะไรกันมา
“เอ้า ลองเล่ามาซิ ว่ามันเรื่องราวมันเป็นยังไง”
ศิวาชั่งใจถามรติรสผ่านสายตา เมื่อหญิงสาวพยักหน้า เขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาฟัง แน่นอนว่าชาตรีไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
“เฮ้ย! นี่แกพาเจ้าสาวนี่รึ! แกนี่มันเอาความบ้าบิ่นมาจากไหนวะ!” บิดาร้องลั่น ไอ้ลูกชายเขาคนนี้บ้าดีเดือดเสียจริง!
“พ่อครับ ผมไม่ได้อยากทำ แต่ทุกอย่างบังคับเรา” ศิวาพยายามอธิบาย
“หนูผิดเองค่ะคุณลุง อย่าว่าพี่ศิวาเลยนะคะ หนูไม่อยากแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รักหนู และหนูก็ไม่ได้รักเขาด้วย พี่ชายของหนูไม่ฟังอะไรเลย หนู ... หนูกับพี่ศิวาเรารักกัน รักกันมาตั้งนานแล้ว หนูก็เลยเป็นคนชวนพี่ศิวาหนีค่ะ” รติรสแทรกขึ้น รับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะเธอยังตกใจตัวเองเลยที่กล้าหาญทำเรื่องแบบนี้ได้ เธอไม่คิดหรอกว่านี่คือวิธีที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่ทำชีวิตเธอต้องตกนรกทั้งเป็นแน่นอน
รามไม่เคยฟังอะไรเธอสักอย่าง เขาใช้ตัวเองเป็นใหญ่มาตลอด แม้เหตุผลจะคือ เขาต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอ ธนา ผู้ชายคนนั้นที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มีนิสัยเรียบร้อย ขยันขันแข็งจนน่าจะเรียกว่าบ้างานมากกว่า รติรสเคยลองเปิดใจให้ธนาตามที่ศิวาแนะนำดูสักครั้ง แม้เธอจะฝืนใจและเสียใจที่ศิวาแนะนำให้เธอลองคุยกับคนที่พี่ชายเลือกให้ดูก่อน แต่ธนาก็ไม่ได้ใส่ใจ และให้ความสำคัญกับเธอจนเธอไม่อยากจะเจอหน้าเขา รติรสอธิบายทั้งไม้อ่อน หรือดื้อดึงใช้ไม้แข็งกับราม มันก็ไม่ได้ผล แถมการแต่งงานยังถูกเลื่อนเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีก
รติรสหมดทางเลือก เธอขอให้ศิวาพาเธอไปหนีไปพ้นจากกรงทองของราม โดยอาศัยช่วงเช้าตรู่วันที่พี่ชายและบิดาไปทำงานต่างประเทศ แอบหนีออกมาจนได้ และเธอก็หมายมั่นว่าจะไม่มีทางกลับไปที่นั่นอีก ถ้าพี่ชายยังไม่เลิกล้มที่จะบังคับจิตใจเธอในทุกๆเรื่อง!
“แต่มันผิดนะหนู พ่อแม่หนูจะเสียใจ และทุกข์ร้อนใจมากแค่ไหนหนูรู้ไหม การพากันหนีไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและควรทำ มันมีทางออกมากมายที่เราทำได้” ชาตรีพยายามอธิบาย เขาเข้าใจวัยของบุตรชายและสาวน้อยตรงหน้าดี เมื่อพวกเขาถูกกดดันจนหาทางออกอื่นไม่ได้ เด็กๆที่ใช้อารมณ์และหัวใจตัดสินก็มักจะทำกันแบบนี้
“พ่อเองก็น่าจะเข้าใจใช่ไหมครับ ว่าการที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักกัน มันทรมานขนาดไหน” ศิวาทำเอาคนฟังถึงกับจุก พูดไม่ออก ชาตรีพ่นลมหายใจเฮือกยาว เหลือบมองประไพทีกำลังนั่งเตรียมอาหารเย็นอยู่ตรงมุมบ้าน จริงอย่างที่บุตรชายบอกนั่นล่ะ เขาเข้าใจดีทีเดียว
เขากับวิภาดาไม่ได้รักกัน แต่เพราะบิดามารดาของชาตรีและวิภาดาเห็นแค่ความเหมาะสม ไม่ได้คิดถึงว่าเขาจะรักชอบประไพอยู่แค่ไหน หากเวลานั้น เขากลับเชื่อฟังพ่อแม่ และแต่งงานกับวิภาดา จนกระทั่งหย่าร้างกันไปเพราะไม่สามารถทนอยู่ด้วยกันได้
“พ่อ พ่อช่วยพวกเราเถอะนะครับ อย่างน้อย ผมก็อยากจะรอจนกว่าพี่ชายของรสจะยอมรับผม” ศิวาขอร้อง
“แล้วลูกพาน้องสาวเขาหนีแบบนี้ เขาจะยอมรับรึ เป็นพ่อ พ่อคงโกรธและไม่ยอมอภัยให้มากกว่า ... เฮ้อ! แต่เอาเถอะ วันนี้ก็พักที่นี่ก่อนละกัน เดี๋ยวเราโทรฯไปบอกแม่เราด้วยนะว่ามาอยู่กับพ่อ แม่เราหัวใจไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือไง อย่าให้เขาคิดมากจนร่างกายแย่ไปล่ะ เดี๋ยวพ่อจะไปเตรียมอาหารและที่นอนให้” ชาตรีมองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ลุกขึ้นเดินตรงไปยังภรรยาเพื่อบอกให้จัดหาอาหารให้บุตรชายและเด็กสาวทานก่อน เขาคิดว่าเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆหาตะล่อมให้ทั้งคู่กลับไปเผชิญความเป็นจริงในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ดูอีกที
ภายในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร รามว้าวุ่นใจจนทำงานไม่ได้ เขาปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าอย่างเหนื่อยไปทั้งตัวและใจ ทั้งเรื่องงานและเรื่องรติรส อีกทั้งบิดาที่พอทราบข่าวว่ารติรสหนีไป ก็ล้มป่วยลงจนเข้าโรงพยาบาลนอนหลับนิ่งอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้เขาฟิวส์ขาดบุกไปถึงโรงแรมที่พี่สาวของนายศิวาทำงานอยู่
ตั้งแต่เกิดมา รติรสไม่เคยห่างจากบ้านไปโดยปราศจากคนของบ้านพัชรรุจิโรจน์สักครั้ง เพราะพวกเขาห่วงเธอมากเหลือเกิน สำหรับลูกสาวคนเล็ก และน้องสาวคนเดียว ผู้เป็นแก้วตาดวงใจของเขา จนตอนนี้รามก็ไม่อยากจะคิดว่าสิ่งที่เขาทำกับรติรสนั่นมันเป็นสิ่งที่เกินไป เขาไม่เห็นว่านายธนาจะมีข้อเสียจนรติรสถึงกับรับไม่ได้ หนีไปแบบนี้
‘น้องทรมานที่จะต้องไปไหนมาไหนกับพี่ธนาค่ะ’
ภายในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ในบ้านหลังใหญ่ของพัชรรุจิโรจน์ รติรสบอกเขาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยหลังกลับมาจากออกไปรับประทานอาหารเที่ยงกับนายธนา
‘น้องควรเปิดใจให้ธนาดูบ้าง เขาไม่ใช่คนไม่ดี’ รามแนะนำ
‘ไม่เกี่ยวกับเรื่องดีไม่ดีหรอกค่ะ น้องแค่ไม่ได้รักเขา น้องคงตายทั้งเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมชีวิตกับผู้ชายที่น้องไม่ได้รัก’ รติรสอธิบาย อยากจะให้พี่ชายรับรู้ถึงความรู้สึกอึดอัดของเธอบ้าง แต่ก็หาไม่ รามผลุดลุก ใบหน้าที่เมื่อครู่เหมือนจะอารมณ์ดีกลับกลายเป็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธ
‘แล้วการที่น้องไปอยู่กับไอ้ศิวานั่น จะทำให้น้องสบายกว่าหรือไง มันรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้เลย จะมาดูแลน้องได้ยังไง อีกอย่าง พวกนั้นก็เหมือนกันหมด หวังอะไรจากเรา น้องดูไม่ออกหรือไง!’
‘พี่รามไม่รู้จักพี่ศิวาซะหน่อย เขาไม่ใช่คนแบบนั้น’ รติรสเถียงกลับ อยากจะขอความเป็นธรรมให้กับคนรักของเธอบ้าง ที่ถูกปรามาสว่าเป็นพวกหวังตกถังข้าวสาร
‘ทำไมคะ ทำไมพี่จะต้องจงเกลียด จงชังคนที่แตกต่างกับเรามากแบบนี้ด้วย รสไม่เข้าใจเลย เพียงเพราะแค่พี่รี...”
‘ยัยรส!’ เสียงของรามขัดขึ้นดังก้องไปทั้งห้อง รติรสเองแม้จะรู้ว่าหากพูดชื่อผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา พี่ชายเธอจะกลายเป็นปีศาจร้ายไปทันที ทว่าเธอก็ไม่กลัว เมื่อนั่นคือสิ่งที่ทำให้รามมองโลกแค่ด้านเดียว
‘น้องไม่ต้องพูดอะไรแล้ว งานแต่งงานจะจัดขึ้นในต้นเดือนหน้า น้องอยู่เฉยๆ ทุกอย่างพี่จะให้มานพและคุณอาจิตรีจัดการให้’ ร่างสูงพูดจบก็เดินฉับๆออกไปจากห้องนั่งเล่น แม้รติรสจะร้องเรียกเขาเสียงดัง รามก็ไม่เหลียวหลังมามองอีกเลย
รติรสร้องไห้แทบขาดใจ และนั่นทำให้เธอตัดสินใจที่จะทิ้งทุกสิ่งอย่างภายในบ้านหลังใหญ่นี้ หากจะต้องลำบาก ก็ยังได้อยู่กับผู้ชายที่เธอรัก และรักเธอ เธอก็ยังมีความสุขมากกว่า ... มากกว่ากรงทองที่ไม่มีใครเข้าใจเธอเลยสักคน!
รามไม่เข้าใจเธอ ... แม้รติรสจะหายออกจากบ้านไป รามก็ยังไม่เข้าใจทุกอย่างอยู่ดี ว่าเขาทำผิดอะไร
“รส รสหายไปไหนลูก พ่อขอโทษ” เสียงพึมพำจากบิดาที่ยังนอนหลับไม่ได้สติอยู่ ทำให้รามยิ่งกลุ้มใจ เขาเดินออกจากห้องพักมาจนถึงหน้าลิฟท์ จึงกดโทรศัพท์มือถือออกหาลูกน้องคนสนิท และสั่งการอะไรบางอย่างลงไปก่อนที่จะวางหู แล้วเดินหายเข้าไปในลิฟท์ตัวที่เปิดรออยู่
ศศิมากำลังเดินออกจากบ้านเพื่อไปสัมภาษณ์งานตามที่ได้นัดเอาไว้ เธอจะต้องเดินไปขึ้นรถประจำทางที่อยู่ปากซอยบ้าน ทว่าระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น กลับมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดขวางหน้าเธอไว้ เธอชะงักตัว สัณชาติญาณบอกว่าจะต้องมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงคิดจะหันหลังวิ่งหนี แต่ก็ช้าเกินไป เมื่อมือหนาของชายชุดดำตะปบเข้าที่ร่างบาง ก่อนที่จะถูกโปะผ้าเช็ดหน้าที่ชโลมยาสลบไว้ จนสติเธอเลือนรางและดับวูบไป
กว่าจะรู้สึกตัว ศศิมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้สีดำตัวใหญ่ ในห้องห้องหนึ่งที่แปลกตา และเมื่อลืมเต็มสองนัยน์ตา คนที่นั่งจ้องหน้าเธออยู่นั้นก็ทำให้เธอตกใจถึงกับกระเถิบหนีจนหลังชนเบาะ
ราม พัชรรุจิโรจน์!
แต่เพราะมือที่ถูกมัดติดกับที่วางแขนทั้งสองข้าง เธอเลยขยับหนีไปไหนไม่ได้
“คุณ คุณทำแบบนี้ทำไม จับตัวฉันมาทำไม” เธอถามเสียงดัง
“แลกกันไง ผมเสียน้องสาวไปให้น้องชายคุณ น้องชายคุณก็ต้องเสียพี่สาวอย่างคุณมาให้ผม” รามตอบเสียงเรียบ
“ว่าไงนะ! จะบ้าหรือเปล่า ปล่อยฉันนะ” ศศิมาพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ก็เสียแรงเปล่า เชือกที่มัดไว้แน่นเกินกว่าจะดิ้นแล้วหลุดง่ายๆ รามหัวเราะเย้ย นี่หรือผู้หญิงที่ปากดีใส่เขาเมื่อวันก่อน กำลังพยายามดิ้นเอาตัวรอดเหมือนลูกนกติดกับดัก
“งั้นก็ให้น้องชายคุณคืนน้องสาวมาให้ผมสิ แล้วผมจะปล่อยคุณ” รามยื่นข้อเสนอ
“ฉันบอกคุณไปกี่ครั้งแล้ว ว่าฉันไม่รู้ว่าน้องชายฉันอยู่ที่ไหน” ศศิมายังยืนยันคำเดิม แม้ศิวาจะติดต่อกลับมาหามารดาวันล่ะครั้ง แต่ก็ไม่ได้บอกถึงที่ที่พวกเขาอยู่เลย
“ผมไม่เชื่อ ... ผมรู้ว่าคุณรู้ แต่ถ้าคุณไม่บอก ผมจะไปถามจากแม่ของคุณละกัน” เพียงแค่รามเอ่ยถึงวิภาดา ก็ทำให้ศศิมาร้อนใจจนต้องร้องห้ามเขาเสียงดังทันที
“อย่านะ! คุณห้ามแตะต้องแม่ของฉันเด็ดขาด ห้ามให้บอกเขาให้รู้เด็ดขาด ถือว่าฉันขอร้อง ขอร้อง!”
น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาเอ่ยถึงมารดาหญิงสาว ทำให้รามรู้ถึงจุดอ่อนของผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทันที
“ทำไมผมต้องฟังคำขอร้องของคุณ ในเมื่อพ่อของผมเองก็นอนป่วยอยู่โรงพยาบาลเพราะการกระทำของน้องชายคุณเหมือนกัน!” รามเสียงดัง มันไม่ยุติธรรมเลย ศศิมาได้ฟังแล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างหวาดกลัว กลัวว่ารามจะไปบอกเรื่องนี้ให้มารดาทราบ เพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องนี้อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจจนอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ แม้จะได้ฟังว่าบิดาของชายหนุ่มเองก็อาการแย่เหมือนกันก็ตาม
แต่ว่า ...
“ขอร้องล่ะ คุณราม ฉันยอมทุกอย่าง อย่าให้แม่ฉันรู้เลยนะ จะให้ฉันทำอะไร ฉันยอม” ศศิมายอมแพ้ด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ทรมาน เธอไม่อยากจะยอมแพ้ผู้ชายใจยักษ์คนนี้จริงๆ
รามมองใบหน้าหญิงสาวตรงหน้า ผู้หญิงที่ใบหน้าแม้ไม่ได้สะสวยมากมายนัก แต่ความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวก็ทำให้เขาคิดว่าเธอกล้าและแปลกกว่าใครที่ได้เจอมา ทว่าตอนนี้ เธอกลับก้มหน้ายอมแพ้เขาอย่างง่ายดาย
เธอเป็นคนแบบไหนกันแน่ ศศิมา
“ก็ได้ ผมมีข้อเสนอ คุณต้องช่วยผมหาตัวน้องชายคุณให้เจอ” รามพูด ศศิมาเงยหน้ามองชายหนุ่มผ่านหยาดน้ำตา “และต้องมาทำงานที่โรงแรมของผมจนกว่าจะเจอตัวรติรส!”
// ขอบคุณคอมเมนท์นะคะ คนเขียนเพิ่งเคยเขียนนิยายครั้งแรก อาจจะยังบรรยายไม่ค่อยเก่ง ยังไงก็ฝากนิยายด้วยนะคะ ^^
ทันทีที่รุ้งฟ้าได้ยินศศิมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังก็อดจะอุทานออกมาเสียงหลงไม่ได้ เธอเคยได้ยินชื่อของราม พัชรรุจิโรจน์มาบ้างในฐานะที่รุ้งฟ้าทำงานอิสระเกี่ยวกับออกแบบภายใน ต้องรับงานโรงแรมเป็นส่วนใหญ่ โรงแรมในเครือของพัชระกรุ๊ปก็มีมากมายทั่วฟ้าเมืองไทย นายรามนั้นดุ และจริงจังในเรื่องการทำงานมากจนเพื่อนร่วมสายงานพากันขึ้นหิ้งว่าทำงานด้วยแล้วเหนื่อยกายที่สุด
แต่ว่าสิ่งที่ทุกคนคิดตรงกันคือ แม้จะดุ และเรื่องมากแค่ไหน รสนิยมของผู้ชายคนนี้ดีพอที่จะคุยเรื่องดีไซน์แล้วไม่เหนือยใจเลย หากว่าความร้ายกาจที่เธอเพิ่งจะได้ยินจากปากเพื่อนสาวคนสนิท เขาจะต้องเป็นคนประเภทเผด็จการมากๆแน่ๆ
ศศิมายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เธอรู้สึกหายเครียดมากขึ้นบ้างที่ได้ระบายให้รุ้งฟ้าฟัง ลำพังเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในอกมันก็เครียดจนหัวจะระเบิด
“ที่ศศิโทรฯหาฟ้าเมื่อคืนก็เพราะเรื่องนี้สินะ ฟ้าขอโทษนะศศิที่ฟ้าไม่ได้รับโทรศัพท์ นี่ฟ้าดีใจนะที่ศศิมาหาฟ้าที่บ้านแล้วยอมเล่าให้ฟ้าได้ฟัง ได้ระบายอะไรออกมาบ้าง เรื่องราวมันเลวร้ายจริงๆ”
รุ้งฟ้าจับมือเพื่อนสาวอย่างรู้สึกผิด เพราะงานที่ทำหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้นอนเลยทำให้เมื่อคืนเธอหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียง หรือรู้สึกตัวเลย จนราวๆเที่ยงเธอได้ยินเสียงออดหน้าบ้านก็เลยตื่น สะลึมสะลือลงมาเปิดประตูในสภาพเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ผมเผ้าย้อมสีน้ำตาลอ่อนยังยุ่งเหยิงจนไม่ต้องเดาเลยว่าเจ้าของบ้านเพิ่งจะตื่น และเมื่อเห็นว่าเป็นศศิมาก็แปลกใจจนตาแทบสว่าง เวลานี้ วันธรรมดาแบบนี้ศศิมาควรจะทำงานอยู่ที่โรงแรมมากกว่ามาอยู่ตรงหน้าบ้านเธอ รุ้งฟ้ารีบเปิดประตูแล้วอย่างร้อนรน ศศิมาเข้ามานั่งในบ้าน ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
รุ้งฟ้าฟังแล้วก็เสียใจที่ไม่ได้อยู่ให้กำลังใจเพื่อนสาวในเวลาที่เลวร้ายนั้นเลย
“ไม่เป็นไรหรอกฟ้า” ศศิมายิ้มให้จากใจ
“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ นี่ก็ออกจากงานมาเลยแบบนี้ เล่นไม่ให้ตั้งตัวกันเลย ผู้บริหารเธอก็จริงๆเลย” แม้รุ้งฟ้าจะรู้ดีถึงเหตุผลที่ศศิมาบอกไว้ทีแรกว่า พัชระกรุ๊ปใหญ่โตเกินกว่าโรงแรมเล็กๆที่ทำงานเก่าของเธอจะไปต่อกรด้วย แต่ที่น่าห่วงต่อจากนี้คือ ไม่รู้นายรามจะเล่นไม้ไหนอีก เธอไม่อยากให้เขาทำอะไรจนมารดารู้เรื่องศิวาไปด้วย
“โชคยังดีนะ ยังได้เงินมาก้อนหนึ่ง ฉันคงจะหางานทำ ประสบการณ์ที่มีมาคงไม่ทำให้หางานยากเท่าไหร่ โรงแรมมีเป็นร้อยเป็นพันที่ ฉันไม่กล้วหรอกฟ้า ห่วงแต่แม่ ฉันไม่อยากให้แม่รู้ แม่สุขภาพไม่ค่อยดี” ศศิมาระบายด้วยความหนักใจกับสิ่งเดียวที่ห่วงจนต้องคิดหน้าคิดหลังมากกว่าเดิม ลำพังตัวเธอ ต่อให้เจออะไรจากนายรามนั่นก็ไม่กลัวหรอก ต่อให้บีบจนหลังชนฝา ศศิมาก็ไม่คิดจะยอมแพ้ผู้ชายที่ดีแต่ใช้อำนาจพรรค์นั้น!
ชายหนุ่มหญิงสาวพร้อมกระเป๋าสะพายกันคนละใบมาหยุดยืนตรงหน้าบ้านหลังเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมถนนขรุขระ รายล้อมด้วยสวนผลไม้เขียวครึ้ม ชายหนุ่มในเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์ซีดๆ สอดสายตาผ่านรั้วเก่าๆที่สีลอกไปแทบหมดแล้วไปยังตัวบ้าน จนกระทั่งพบร่างท้วมๆของชายสูงวัยที่กำลังๆก้มๆเงยๆอยู่ตรงต้นไม้ใต้ถุนบ้าน ก็ดีใจร้องเรียกเสียงดังลั่น
“พ่อครับ พ่อ!”
ชาตรี ชายสูงวัยชะงักจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ หันมอง เห็นว่าเป็นใครก็อดตกใจไม่ได้
“ศิวา!” พร้อมกับพากายท้วมไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีกรมมาสวมทับกายท่อนบนอันเปลือยเปล่า แล้วรีบเดินมาหาชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึง
“มาได้ยังไง! เข้ามาก่อนๆ”
ศิวายิ้มให้ชาตรี จึงหันไปบอกกับหญิงสาวข้างกาย
“รส นี่พ่อของพี่เอง พ่อครับ นี่รติรสครับ” ได้ยินดังนั้น รติรสรีบยกมือไหว้ผู้สูงวัยตรงหน้า
ชาตรีรับไหว้หญิงสาวผมยาวตรง สวมหมวกแก๊บคลุมผมไว้ ใบหน้าสะสวยหวานตา ผิวพรรณเนียนผ่องในเสื้อยืดสีชมพูหวาน กางเกงสี่ส่วนสีน้ำตาลเช้ม กริยาดูอ่อนหวานเรียบร้อย ดูแว่บเดียวก็รู้ว่ารติรสคงไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาๆแน่นอน
“ไหว้พระถึงจ้ะ เข้ามาก่อนๆ ทำไมไม่โทรฯบอกพ่อก่อนบ้าง ดูซิ บ้านช่องก็ไม่ได้เก็บ อ้าวๆ แม่ไพช่วยไปเอาน้ำท่ามาให้ลูกชายฉันหน่อยสิ” ชาตรีตื่นเต้นที่ลูกชายมาหาถึงที่ เดินรุดๆขึ้นบันไดบ้านไปบอกให้ประไพ ภรรยาคนใหม่ หลังจากที่หย่าร้างกับวิภาดา เขาก็มาทำงานเป็นครูชนบทที่บ้านเกิด และปลูกผลไม้ขายไปพลาง ส่วนประไพนั้นเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยเรียน ที่ได้มาอยู่เคียงคู่อยู่กันสองคนกันหลังจากพลัดพรากแยกจากกันไปเกือบยี่สิบห้าปี
“สวัสดีครับ ป้าประไพ” ศิวารู้จักประไพดี วิภาดาไม่เคยห้ามไม่ให้พ่อลูกพบหน้ากันรวมไปถึงภรรยาใหม่ของชาตรีด้วย ส่วนประไพก็ใจดีกับเขาเสมอๆเวลาที่เขามาเยี่ยมบิดาที่เชียงใหม่นี้
“คือ พ่อครับ ผมอยากจะมาขออยู่กับพ่อสักพักหนึ่ง ได้ไหมครับ” ศิวาเอ่ยกับบิดาเสียงเบา น้ำเสียงของเขาเหมือนเด็กที่เพิ่งทำความผิดอะไรมา ชาตรีมองหน้าบุตรชายอย่างรู้ทัน ก่อนจะถอนหายใจเฮือกยาวเมื่อเขาเหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้ การที่หอบผ้าหอบผ่อนมาหากันสองต่อสอง แถมหญิงสาวยังแต่งตัวปกปิดใบหน้า ราวกับหนีอะไรกันมา
“เอ้า ลองเล่ามาซิ ว่ามันเรื่องราวมันเป็นยังไง”
ศิวาชั่งใจถามรติรสผ่านสายตา เมื่อหญิงสาวพยักหน้า เขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาฟัง แน่นอนว่าชาตรีไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
“เฮ้ย! นี่แกพาเจ้าสาวนี่รึ! แกนี่มันเอาความบ้าบิ่นมาจากไหนวะ!” บิดาร้องลั่น ไอ้ลูกชายเขาคนนี้บ้าดีเดือดเสียจริง!
“พ่อครับ ผมไม่ได้อยากทำ แต่ทุกอย่างบังคับเรา” ศิวาพยายามอธิบาย
“หนูผิดเองค่ะคุณลุง อย่าว่าพี่ศิวาเลยนะคะ หนูไม่อยากแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รักหนู และหนูก็ไม่ได้รักเขาด้วย พี่ชายของหนูไม่ฟังอะไรเลย หนู ... หนูกับพี่ศิวาเรารักกัน รักกันมาตั้งนานแล้ว หนูก็เลยเป็นคนชวนพี่ศิวาหนีค่ะ” รติรสแทรกขึ้น รับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะเธอยังตกใจตัวเองเลยที่กล้าหาญทำเรื่องแบบนี้ได้ เธอไม่คิดหรอกว่านี่คือวิธีที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่ทำชีวิตเธอต้องตกนรกทั้งเป็นแน่นอน
รามไม่เคยฟังอะไรเธอสักอย่าง เขาใช้ตัวเองเป็นใหญ่มาตลอด แม้เหตุผลจะคือ เขาต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอ ธนา ผู้ชายคนนั้นที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มีนิสัยเรียบร้อย ขยันขันแข็งจนน่าจะเรียกว่าบ้างานมากกว่า รติรสเคยลองเปิดใจให้ธนาตามที่ศิวาแนะนำดูสักครั้ง แม้เธอจะฝืนใจและเสียใจที่ศิวาแนะนำให้เธอลองคุยกับคนที่พี่ชายเลือกให้ดูก่อน แต่ธนาก็ไม่ได้ใส่ใจ และให้ความสำคัญกับเธอจนเธอไม่อยากจะเจอหน้าเขา รติรสอธิบายทั้งไม้อ่อน หรือดื้อดึงใช้ไม้แข็งกับราม มันก็ไม่ได้ผล แถมการแต่งงานยังถูกเลื่อนเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีก
รติรสหมดทางเลือก เธอขอให้ศิวาพาเธอไปหนีไปพ้นจากกรงทองของราม โดยอาศัยช่วงเช้าตรู่วันที่พี่ชายและบิดาไปทำงานต่างประเทศ แอบหนีออกมาจนได้ และเธอก็หมายมั่นว่าจะไม่มีทางกลับไปที่นั่นอีก ถ้าพี่ชายยังไม่เลิกล้มที่จะบังคับจิตใจเธอในทุกๆเรื่อง!
“แต่มันผิดนะหนู พ่อแม่หนูจะเสียใจ และทุกข์ร้อนใจมากแค่ไหนหนูรู้ไหม การพากันหนีไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและควรทำ มันมีทางออกมากมายที่เราทำได้” ชาตรีพยายามอธิบาย เขาเข้าใจวัยของบุตรชายและสาวน้อยตรงหน้าดี เมื่อพวกเขาถูกกดดันจนหาทางออกอื่นไม่ได้ เด็กๆที่ใช้อารมณ์และหัวใจตัดสินก็มักจะทำกันแบบนี้
“พ่อเองก็น่าจะเข้าใจใช่ไหมครับ ว่าการที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักกัน มันทรมานขนาดไหน” ศิวาทำเอาคนฟังถึงกับจุก พูดไม่ออก ชาตรีพ่นลมหายใจเฮือกยาว เหลือบมองประไพทีกำลังนั่งเตรียมอาหารเย็นอยู่ตรงมุมบ้าน จริงอย่างที่บุตรชายบอกนั่นล่ะ เขาเข้าใจดีทีเดียว
เขากับวิภาดาไม่ได้รักกัน แต่เพราะบิดามารดาของชาตรีและวิภาดาเห็นแค่ความเหมาะสม ไม่ได้คิดถึงว่าเขาจะรักชอบประไพอยู่แค่ไหน หากเวลานั้น เขากลับเชื่อฟังพ่อแม่ และแต่งงานกับวิภาดา จนกระทั่งหย่าร้างกันไปเพราะไม่สามารถทนอยู่ด้วยกันได้
“พ่อ พ่อช่วยพวกเราเถอะนะครับ อย่างน้อย ผมก็อยากจะรอจนกว่าพี่ชายของรสจะยอมรับผม” ศิวาขอร้อง
“แล้วลูกพาน้องสาวเขาหนีแบบนี้ เขาจะยอมรับรึ เป็นพ่อ พ่อคงโกรธและไม่ยอมอภัยให้มากกว่า ... เฮ้อ! แต่เอาเถอะ วันนี้ก็พักที่นี่ก่อนละกัน เดี๋ยวเราโทรฯไปบอกแม่เราด้วยนะว่ามาอยู่กับพ่อ แม่เราหัวใจไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือไง อย่าให้เขาคิดมากจนร่างกายแย่ไปล่ะ เดี๋ยวพ่อจะไปเตรียมอาหารและที่นอนให้” ชาตรีมองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ลุกขึ้นเดินตรงไปยังภรรยาเพื่อบอกให้จัดหาอาหารให้บุตรชายและเด็กสาวทานก่อน เขาคิดว่าเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆหาตะล่อมให้ทั้งคู่กลับไปเผชิญความเป็นจริงในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ดูอีกที
ภายในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร รามว้าวุ่นใจจนทำงานไม่ได้ เขาปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าอย่างเหนื่อยไปทั้งตัวและใจ ทั้งเรื่องงานและเรื่องรติรส อีกทั้งบิดาที่พอทราบข่าวว่ารติรสหนีไป ก็ล้มป่วยลงจนเข้าโรงพยาบาลนอนหลับนิ่งอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้เขาฟิวส์ขาดบุกไปถึงโรงแรมที่พี่สาวของนายศิวาทำงานอยู่
ตั้งแต่เกิดมา รติรสไม่เคยห่างจากบ้านไปโดยปราศจากคนของบ้านพัชรรุจิโรจน์สักครั้ง เพราะพวกเขาห่วงเธอมากเหลือเกิน สำหรับลูกสาวคนเล็ก และน้องสาวคนเดียว ผู้เป็นแก้วตาดวงใจของเขา จนตอนนี้รามก็ไม่อยากจะคิดว่าสิ่งที่เขาทำกับรติรสนั่นมันเป็นสิ่งที่เกินไป เขาไม่เห็นว่านายธนาจะมีข้อเสียจนรติรสถึงกับรับไม่ได้ หนีไปแบบนี้
‘น้องทรมานที่จะต้องไปไหนมาไหนกับพี่ธนาค่ะ’
ภายในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ในบ้านหลังใหญ่ของพัชรรุจิโรจน์ รติรสบอกเขาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยหลังกลับมาจากออกไปรับประทานอาหารเที่ยงกับนายธนา
‘น้องควรเปิดใจให้ธนาดูบ้าง เขาไม่ใช่คนไม่ดี’ รามแนะนำ
‘ไม่เกี่ยวกับเรื่องดีไม่ดีหรอกค่ะ น้องแค่ไม่ได้รักเขา น้องคงตายทั้งเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมชีวิตกับผู้ชายที่น้องไม่ได้รัก’ รติรสอธิบาย อยากจะให้พี่ชายรับรู้ถึงความรู้สึกอึดอัดของเธอบ้าง แต่ก็หาไม่ รามผลุดลุก ใบหน้าที่เมื่อครู่เหมือนจะอารมณ์ดีกลับกลายเป็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธ
‘แล้วการที่น้องไปอยู่กับไอ้ศิวานั่น จะทำให้น้องสบายกว่าหรือไง มันรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้เลย จะมาดูแลน้องได้ยังไง อีกอย่าง พวกนั้นก็เหมือนกันหมด หวังอะไรจากเรา น้องดูไม่ออกหรือไง!’
‘พี่รามไม่รู้จักพี่ศิวาซะหน่อย เขาไม่ใช่คนแบบนั้น’ รติรสเถียงกลับ อยากจะขอความเป็นธรรมให้กับคนรักของเธอบ้าง ที่ถูกปรามาสว่าเป็นพวกหวังตกถังข้าวสาร
‘ทำไมคะ ทำไมพี่จะต้องจงเกลียด จงชังคนที่แตกต่างกับเรามากแบบนี้ด้วย รสไม่เข้าใจเลย เพียงเพราะแค่พี่รี...”
‘ยัยรส!’ เสียงของรามขัดขึ้นดังก้องไปทั้งห้อง รติรสเองแม้จะรู้ว่าหากพูดชื่อผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา พี่ชายเธอจะกลายเป็นปีศาจร้ายไปทันที ทว่าเธอก็ไม่กลัว เมื่อนั่นคือสิ่งที่ทำให้รามมองโลกแค่ด้านเดียว
‘น้องไม่ต้องพูดอะไรแล้ว งานแต่งงานจะจัดขึ้นในต้นเดือนหน้า น้องอยู่เฉยๆ ทุกอย่างพี่จะให้มานพและคุณอาจิตรีจัดการให้’ ร่างสูงพูดจบก็เดินฉับๆออกไปจากห้องนั่งเล่น แม้รติรสจะร้องเรียกเขาเสียงดัง รามก็ไม่เหลียวหลังมามองอีกเลย
รติรสร้องไห้แทบขาดใจ และนั่นทำให้เธอตัดสินใจที่จะทิ้งทุกสิ่งอย่างภายในบ้านหลังใหญ่นี้ หากจะต้องลำบาก ก็ยังได้อยู่กับผู้ชายที่เธอรัก และรักเธอ เธอก็ยังมีความสุขมากกว่า ... มากกว่ากรงทองที่ไม่มีใครเข้าใจเธอเลยสักคน!
รามไม่เข้าใจเธอ ... แม้รติรสจะหายออกจากบ้านไป รามก็ยังไม่เข้าใจทุกอย่างอยู่ดี ว่าเขาทำผิดอะไร
“รส รสหายไปไหนลูก พ่อขอโทษ” เสียงพึมพำจากบิดาที่ยังนอนหลับไม่ได้สติอยู่ ทำให้รามยิ่งกลุ้มใจ เขาเดินออกจากห้องพักมาจนถึงหน้าลิฟท์ จึงกดโทรศัพท์มือถือออกหาลูกน้องคนสนิท และสั่งการอะไรบางอย่างลงไปก่อนที่จะวางหู แล้วเดินหายเข้าไปในลิฟท์ตัวที่เปิดรออยู่
ศศิมากำลังเดินออกจากบ้านเพื่อไปสัมภาษณ์งานตามที่ได้นัดเอาไว้ เธอจะต้องเดินไปขึ้นรถประจำทางที่อยู่ปากซอยบ้าน ทว่าระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น กลับมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดขวางหน้าเธอไว้ เธอชะงักตัว สัณชาติญาณบอกว่าจะต้องมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงคิดจะหันหลังวิ่งหนี แต่ก็ช้าเกินไป เมื่อมือหนาของชายชุดดำตะปบเข้าที่ร่างบาง ก่อนที่จะถูกโปะผ้าเช็ดหน้าที่ชโลมยาสลบไว้ จนสติเธอเลือนรางและดับวูบไป
กว่าจะรู้สึกตัว ศศิมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้สีดำตัวใหญ่ ในห้องห้องหนึ่งที่แปลกตา และเมื่อลืมเต็มสองนัยน์ตา คนที่นั่งจ้องหน้าเธออยู่นั้นก็ทำให้เธอตกใจถึงกับกระเถิบหนีจนหลังชนเบาะ
ราม พัชรรุจิโรจน์!
แต่เพราะมือที่ถูกมัดติดกับที่วางแขนทั้งสองข้าง เธอเลยขยับหนีไปไหนไม่ได้
“คุณ คุณทำแบบนี้ทำไม จับตัวฉันมาทำไม” เธอถามเสียงดัง
“แลกกันไง ผมเสียน้องสาวไปให้น้องชายคุณ น้องชายคุณก็ต้องเสียพี่สาวอย่างคุณมาให้ผม” รามตอบเสียงเรียบ
“ว่าไงนะ! จะบ้าหรือเปล่า ปล่อยฉันนะ” ศศิมาพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ก็เสียแรงเปล่า เชือกที่มัดไว้แน่นเกินกว่าจะดิ้นแล้วหลุดง่ายๆ รามหัวเราะเย้ย นี่หรือผู้หญิงที่ปากดีใส่เขาเมื่อวันก่อน กำลังพยายามดิ้นเอาตัวรอดเหมือนลูกนกติดกับดัก
“งั้นก็ให้น้องชายคุณคืนน้องสาวมาให้ผมสิ แล้วผมจะปล่อยคุณ” รามยื่นข้อเสนอ
“ฉันบอกคุณไปกี่ครั้งแล้ว ว่าฉันไม่รู้ว่าน้องชายฉันอยู่ที่ไหน” ศศิมายังยืนยันคำเดิม แม้ศิวาจะติดต่อกลับมาหามารดาวันล่ะครั้ง แต่ก็ไม่ได้บอกถึงที่ที่พวกเขาอยู่เลย
“ผมไม่เชื่อ ... ผมรู้ว่าคุณรู้ แต่ถ้าคุณไม่บอก ผมจะไปถามจากแม่ของคุณละกัน” เพียงแค่รามเอ่ยถึงวิภาดา ก็ทำให้ศศิมาร้อนใจจนต้องร้องห้ามเขาเสียงดังทันที
“อย่านะ! คุณห้ามแตะต้องแม่ของฉันเด็ดขาด ห้ามให้บอกเขาให้รู้เด็ดขาด ถือว่าฉันขอร้อง ขอร้อง!”
น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาเอ่ยถึงมารดาหญิงสาว ทำให้รามรู้ถึงจุดอ่อนของผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทันที
“ทำไมผมต้องฟังคำขอร้องของคุณ ในเมื่อพ่อของผมเองก็นอนป่วยอยู่โรงพยาบาลเพราะการกระทำของน้องชายคุณเหมือนกัน!” รามเสียงดัง มันไม่ยุติธรรมเลย ศศิมาได้ฟังแล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างหวาดกลัว กลัวว่ารามจะไปบอกเรื่องนี้ให้มารดาทราบ เพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องนี้อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจจนอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ แม้จะได้ฟังว่าบิดาของชายหนุ่มเองก็อาการแย่เหมือนกันก็ตาม
แต่ว่า ...
“ขอร้องล่ะ คุณราม ฉันยอมทุกอย่าง อย่าให้แม่ฉันรู้เลยนะ จะให้ฉันทำอะไร ฉันยอม” ศศิมายอมแพ้ด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ทรมาน เธอไม่อยากจะยอมแพ้ผู้ชายใจยักษ์คนนี้จริงๆ
รามมองใบหน้าหญิงสาวตรงหน้า ผู้หญิงที่ใบหน้าแม้ไม่ได้สะสวยมากมายนัก แต่ความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวก็ทำให้เขาคิดว่าเธอกล้าและแปลกกว่าใครที่ได้เจอมา ทว่าตอนนี้ เธอกลับก้มหน้ายอมแพ้เขาอย่างง่ายดาย
เธอเป็นคนแบบไหนกันแน่ ศศิมา
“ก็ได้ ผมมีข้อเสนอ คุณต้องช่วยผมหาตัวน้องชายคุณให้เจอ” รามพูด ศศิมาเงยหน้ามองชายหนุ่มผ่านหยาดน้ำตา “และต้องมาทำงานที่โรงแรมของผมจนกว่าจะเจอตัวรติรส!”
// ขอบคุณคอมเมนท์นะคะ คนเขียนเพิ่งเคยเขียนนิยายครั้งแรก อาจจะยังบรรยายไม่ค่อยเก่ง ยังไงก็ฝากนิยายด้วยนะคะ ^^
Hamster
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2554, 01:09:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2554, 01:09:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 1759
<< บทนำ - ตอนที่ 1 |