ชะตาฟ้า...ลิขิตรัก (ฟ้าดลรัก)
จากหญิงสามัญชนกลับกลายเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมาย และเธอจะมีโอกาสได้เคียงคู่กับเจ้าชายที่แสนดีอย่างในนิทานหรือไม่....
Tags: เจ้าชาย-เจ้าหญิง

ตอน: บทที่ 9

บทที่ 9

ภาพข่าวการปะทะกันของประชาชนสองกลุ่ม ดูจะรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน เจ้าหน้าที่รัฐก็ทำได้เพียงแยกคู่กรณี และลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งก็ตั้งข้อกล่าวหาได้เพียงก่อความวุ่นวาย หากลึกลงไปกว่านั้นก็ยังทำการใดไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ใครที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์จริงก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับใด น่ากลัวเฉกเช่นที่สื่อนำเสนอหรือเปล่า

“นายธัญญ์”

“จะโทรมาทำไมทุกวัน” ฟังดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิด แต่คนได้ยินก็พอจับกระแสได้ว่าคนปลายสายพูดไปอย่างนั้นเอง

“ก็เป็นห่วง”

“ห่วงใคร ฉันหรือหญิงกัญญ์”

“หึหึ ก็ห่วงทุกคน ไม่ว่าครอบครัวนายหรือประชาชนของนาย เรื่องราวมันรุนแรงเหมือนที่ข่าวนำเสนอหรือเปล่า”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เพียงแต่มีความพยายามเร่งเร้าให้เหตุการณ์มันสุกงอมมากกว่า”

“มันมีอะไรมากกว่าภาพที่สื่อเผยแพร่ใช่ไหม” วริทธิ์ธรถามอย่างประเมินสถานการณ์ได้ เหตุการณ์บางอย่างมันไม่น่าจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ

“ฉันก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็เตรียมรับสถานการณ์ไว้บ้างแล้ว ฉันมีอะไรจะบอกนายอย่างหนึ่งอย่าคิดว่าคนของเราจะเป็นคนของเราเสมอไป นายเตรียมใจไว้บ้างก็ดีนะ” แม้ประโยคนั้นจะส่อแววหยอกล้อด้วยเรื่องของคนใกล้ตัว หากมกุฎราชกุมารแห่งมุราดาก็เข้าใจความนัยที่แฝงมา

“ก็ถ้าของตายกลายเป็นของเป็นขึ้นมา ฉันก็จับใส่กรงใจซะก็หมดเรื่อง ถ้ายังไม่สิ้นฤทธิ์ก็จัดการขั้นเด็ดขาด จะปล่อยให้ออกนอกลู่นอกทางให้เราช้ำใจเล่นทำไม” แว่วเสียงแช่มชื่นไม่วิตกกับสิ่งที่ได้ยินแม้แต่น้อย

“งั้นฉันจะลองยุหญิงกัญญ์ให้เลิกเป็นของตาย ดูสินายจะทำได้อย่างที่พูดหรือจะแดดิ้นตายเพราะเจ้าหญิงน้อย” ธุติยะธรหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“ธัญญ์ ถ้าฉันจะให้หญิงกัญญ์เสด็จเยือนมุราดาอย่างเป็นทางการ มีปัญหาอะไรไหม”

“ไม่มี แต่ฉันว่ามันยังไม่ถึงเวลา เอาไว้ให้ทุกอย่างมันลงตัวกว่านี้ ฉันส่งเจ้าหญิงน้อยถึงมือนายแน่” เจ้าชายหนุ่มตอบทันควันไม่เสียเวลาคิด

“นายน่าจะหาสายสิญจน์มากันวิญญาณเร่ร่อนไว้หน่อยก็ดีนะ ปล่อยให้มันออกมาเผ่นพ่านให้รกหูรกใจอยู่ได้” เจ้าชายแห่งมุราดาเฉไฉไปเรื่องอื่นอีก

“อิทธิฤทธิ์กล้าแกร่ง คิดจะปราบคงยากหน่อย อีกอย่างฉันไม่ชอบยุ่งกับภูตผีปีศาจ ฉันถือคติคนดีพระคุ้มครอง พวกผองภัยมารต้องแพ้พ่ายไป”

“แต่บางครั้งคนดีก็เจอวิบากกรรมจนแทบเอาตัวไม่รอด ส่วนไอ้ผีลืมหลุมก็เสวยสุขกันไป แถมยังมาสร้างบาปสร้างกรรมไว้กับคนอื่นอีก”

“นายไม่ต้องห่วง ฉันเชื่อว่าในที่สุดคนดีต้องมีที่ยืน ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนก็ตาม”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอก”

“นายคงไม่อยากโดนข้อหาแทรกแซงการเมืองประเทศเพื่อนบ้านใช่ไหม” จบประโยคก็ได้ยินเสียงหัวเราะของสหายรัก

“บางทีเราลองมาตีกันเองก็ดีเหมือนกันนะ”

“ถ้านายพร้อมจะเห็นน้ำตาเจ้าหญิงน้อยนะ” อันนี้ไม่ใช่คำพูดเกินจริง ในสมัยเยาว์วัย การเล่นกันตามประสาลูกผู้ชายมันก็ต้องมีการเจ็บตัวกันบ้าง และเมื่อใดที่พี่ชายสองคนหน้าช้ำตาบวม น้องน้อยคนเดียวก็ตาช้ำตาบวมแข่งกับพี่ชาย เพียงแต่ต่างที่มาเท่านั้น ดังนั้นน้ำตาของเจ้าหญิงน้อยเป็นสิ่งที่เขาสองคนหวงแหนมากที่สุด หากไม่จำเป็นไม่เคยคิดทำให้น้องเสียน้ำตาอีกเลย

“นายฟ้า เข้มงวดแถวตะเข็บชายแดนมินธุรากับมุราดาไว้หน่อยก็ดีนะ”

“ถ้านายกลัวพวกสวมรอยก็ไม่ต้องกลัว เพราะฉันพร้อมเปิดสงครามกับมินธุราโดยไม่สนใจใครหน้าไหน โอเคไหมเพื่อน” วริทธิ์ธรเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง

“ตกลงตามนั้น ฉันจะส่งหญิงกัญญ์ไปเป็นทัพหน้า ดูสิว่าใครหน้าไหนมันจะกล้าทำอย่างที่พูดหรือเปล่า”

“ให้ตายสิ!”

“หึหึ บังเอิญว่าจุดอ่อนของนาย คือจุดแข็งของฉัน” เสียงหัวเราะบาดจิตบาดใจอีกฝ่ายจนอยากตะบันหน้าหล่อๆ ของคนมีจุดแข็งสักตุ๊บสองตุ๊บ

“นายยังกวนประสาทฉันได้ขนาดนี้ก็คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ฉันรบกวนเวลานายแค่นี้แล้วกัน”

“นายไม่ต้องโทรมาบ่อยนัก ฉันรำคาญ เข้าใจไหม” สามคำหลังย้ำหนักแน่น เหมือนต้องการให้ประทับลงในใจอีกฝ่าย

“รู้แล้วน่า ทำอย่างกับฉันอยากโทรหานายงั้นแหละ แค่นี้นะ” สัญญาณขาดหายไปแล้ว ธุติยะธรก็ต้องผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แม้ยังไม่มีเหตุการณ์ใดน่าเป็นห่วง แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม เมื่อความสว่างค่อยๆ ถูกกลืนกินด้วยเงามืดอย่างช้าๆ ทั้งที่รู้ทั้งที่เห็นแต่ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งมันได้ นอกจากจะชะลอมันไว้ให้นานที่สุดก่อนจะถึงวันแตกหัก

ด้านหลังเวทีปราศรัยมีโต๊ะขนาดยาวและเก้าอี้พลาสติกที่ใช้สำหรับเป็นที่ประชุมชั่วคราวของหัวหน้าแกนนำของผู้ชุมนุม และในขณะนี้เก้าอี้ประมาณ 20 ตัวก็ถูกจับจองไม่เหลือว่างสักตัว สีหน้าแต่ละคนก็ไม่สู้ดีนัก แถมด้วยใบหน้าที่ใบเกรียมเพราะโดนแดดเผามาเป็นเวลานานนับเดือน

“ยื้อกันนานกว่านี้มันจะไม่ดีนะ คนอื่นที่ได้รับผลกระทบด้วยจากไม่เลือกข้างก็จะเลือกยืนฝ่ายตรงข้ามเรา อีกอย่างคนของเราก็ใกล้หมดแรงเต็มทีแล้ว” เสียงแหบแห้งกล่าวด้วยความขึงเครียด

“เราต้องหาวิถีกดดันให้มากกว่านี้ คงต้องเริ่มจากรัฐบาลก่อน” ความห้วนและเข้มของน้ำเสียงบอกได้เป็นอย่างดีว่านี่คือหน่วยฮาร์ดคอร์ เน้นความดุดันและดื้อรั้น พร้อมลุยทุกที กลุ่มคนเหล่านี้มักจะเป็นคนปลุกระดมขวัญและกำลังใจให้กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เพราะมีความหนักแน่น น่าเชื่อถือ และมีความเป็นผู้นำสูง

“คิดว่าจะได้ผลหรือ” ผู้ร่วมอุดมการณ์ถามอย่างไม่มั่นใจนัก

“ถ้ามีเฉพาะเราก็คงไม่สะเทือน แต่อย่าลืมเรายังมีวิธีจัดการได้อยู่หมัด เมื่อมวลชนอย่างเดียวทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องหาเครื่องทุนแรง ก่อนอื่นเราต้องทำให้สถานการณ์มันงวดเข้ากว่าเดิมก่อน” วิถีทางคนกล้าบ้างครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์เพียงอย่างเดียว เพราะอุดมการณ์มิได้ทำให้ปากท้องอิ่ม แต่เป็นการปูทางไปสู่จุดปลายทางเท่านั้น ส่วนเส้นทางที่ต้องเดินผ่านไปนั้น มันไม่จำเป็นต้องขาวสะอาดก็ได้

“ทำอย่างไรล่ะ”

“กวนเมือง”

หลังจากได้ข้อสรุป หัวข้อการประชุมก็แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งที่หลายคนเสนอความคิดเห็น ใครอาจจะมองว่าการก่อม็อบเป็นเรื่องง่าย อยากจะประท้วงอะไรก็รวมตัวกันออกมา แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่มุ่งหวังเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ การทำกระทำการใดๆ ต้องเป็นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ต้องมีแผนที่รัดกุม เพราะหากทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวัง อุดมการณ์ที่กินไม่ได้หรือคิดว่าเป็นเพียงนามธรรมก็สามารถสร้างความหายนะให้กับผู้เรียกร้องอุดมการณ์เหล่านั้นได้

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมรับโดยไม่มีข้อสงสัยก็คือ การชุมนุมแต่ละครั้งผู้กินอุดมการณ์ก็มีอยู่มาก ผู้ที่มาเพื่อปากท้องก็มีอยู่เยอะ หลายคนมาเพียงเพื่อเงินค่าตอบแทนมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่บทบาทความสำคัญ หากเป็นแค่ผู้ประท้วงก็อาจจะได้ค่าตอบแทนไม่เท่ากับการ์ดหรือแกนนำตัวหลักๆ แต่ก็ทำให้มีรายได้มากกว่านั่งอยู่บ้านหรือตะลอนรับจ้างเป็นวันๆ ไป และหลายคนก็คาดหวังว่าหากปฏิบัติการครั้งนี้สัมฤทธิ์ผล ชีวิตที่แสนลำบากของตนก็คงสุขสบายขึ้น เพราะคำสัญญิงสัญญาจากปากผู้นำกลุ่มที่หว่านล้อมชักชวนมา

การ์ดหลายสิบคนที่ได้รับการว่าจ้างให้มาตรวจตราความปลอดภัยรอบๆ บริเวณถูกเรียกตัวเข้าพบ เมื่อการประชุมผ่านพ้นไป ทุกคนยืนหน้ากระดานเรียงหนึ่งในชุดเสื้อสีดำคาดผ้าสีเดียวกันที่หน้าผาก ซึ่งมีตราสัญลักษณ์สกรีนไว้ และมีไม้พลองอยู่ในมือทุกนาย

“จากนี้ต่อไปฉันอยากให้พวกนายตรวจเข้มกว่าเดิม เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลจัดการได้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่ง” เสียงห้วนห้าวสั่งเฉียบขาดราวกับไม่ต้องการได้รับคำปฏิเสธหรือคำโต้แย้งใดๆ ก็ตาม

“ครับ” การ์ดก็ขานรับอย่างรู้หน้าที่

“และฉันอยากให้พวกนายหาคนมาเพิ่ม เพราะหลังจากนี้เราจะจัดระเบียบคนเข้าออก ไม่ใช่ปล่อยให้เข้าออกบริเวณที่ชุมนุมกันตามสบายอย่างเดิม”

“ทำไมครับ” หน่วยกล้าตายคนหนึ่งเอ่ยปากถาม

“เพราะเราอาจจะอยู่นานกว่าที่คิด และตอนนี้พวกนายก็รู้ว่าไม่ใช่มีแต่เราเพียงกลุ่มเดียวที่ออกมาเรียกร้อง กลุ่มอื่นๆ ก็เริ่มออกมาต่อต้านการกระทำของเรา ซึ่งนั้นหมายความว่าหากเรายังหละหลวม ภัยอาจจะมาถึงตัวได้ และฉันขอให้พวกนายคัดคนที่หามาหน่อยนะ ไม่ใช่สักแต่หาพวกที่หิวเงินที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ใครพาใครมาก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ส่วนใครที่ต้องการสมัครก็พาไปพบกับคุณโฆษณ์”

“ครับ”

“กลับไปประจำที่ได้ อย่าลืมที่สั่งตรวจเข้ม คนในไม่ให้ออก คนนอกไม่ให้เข้า”

“ครับ” ทั้งหมดรับคำอีกครั้งแล้วก็แยกย้ายกันไปประจำการตามจุดต่างๆ ท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนระอุ


อุณหภูมิตามท้องถนนที่ว่าร้อนระอุยังเทียบไม่ได้กับความร้อนแห่งอุณหภูมิอารมณ์ที่อยู่ในห้องประชุมขนาดใหญ่ การถกเถียงกันมีให้เห็นเป็นประจำสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมสภาแห่งราชอาณาจักรมินธุรา เพียงแต่ครั้งนี้มีความรุนแรงกว่าที่ผ่านมา ฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายก็ต้องค้าน ไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นร้อนนอกสภา

“เรียนท่านสภาสูงที่เคารพ ผมเห็นควรอย่างยิ่งที่จะจัดการกับม็อบนอกระบบที่มีอยู่เกลื่อนเมืองในขณะนี้ เพราะนอกจากจะสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนคนอื่นแล้ว ยังทำให้ภาพพจน์ประเทศรักสงบอย่างมินธุราเสียหายไปด้วย” หนึ่งในสมาชิกสภาประชาราษฎร์ กล่าวเปิดประเด็น ยังไม่ทันได้กล่าวคำใดต่อไปอีก เรียกกริ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับผู้แทนจากอีกฟากก็ซักค้าน

“ผมต้องขออภัยที่ขัดจังหวะการอภิปรายของท่านสมาชิกและขออภัยต่อการเสียมารยาทครั้งนี้ต่อผู้นำสภาสูง ผมเห็นด้วยกับการจัดระเบียบม็อบ แต่ไม่เห็นด้วยหากจะใช้ความรุนแรง เพราะไม่ว่าอย่างไรกลุ่มผู้ชุมนุมก็คือประชาชนมินธุรา และเขาก็มีสิทธิ์ในการเรียกร้องในสิ่งที่เขาพึ่งได้ อีกทั้งมันก็ยังไม่ได้ข้ามเขตแดนแห่งความพอดี การใช้ความรุนแรงอาจจะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ ผมอยากให้ท่านสภาสูงวินิจฉัยการณ์ครั้งนี้ให้ดี เพราะมันจะมีผลกระทบกับหลายฝ่าย”

“แต่สิ่งที่คนกลุ่มนั้นเรียกร้องเป็นสิ่งที่มีผลกระทบกับความรู้สึกของประชาชนทั่วไป ซึ่งหากปล่อยไว้เช่นนี้ คงไม่เป็นผลดีกับประเทศอย่างแน่นอน” ผู้เสนอให้จัดการกับม็อบก็ยังแย้งด้วยเหตุผลของตน จนคนกลางปวดหัว ด้วยทั้งเข้าใจสถานการณ์และเข้าใจเจตนาที่ดีของผู้แทนทั้งสองฝ่าย

“เอาล่ะครับท่านผู้แทนผู้ทรงเกียรติทั้งสองท่าน ผมเข้าใจในเจตนาของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี เราทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข ซึ่งผมก็เห็นควรที่จะจัดการกับผู้ชุมนุมและเห็นด้วยว่าไม่ควรใช้ความรุนแรง ผมจึงขอวินิจฉัยประเด็นนี้ว่า ให้เราเลือกตัวแทนจากผู้ทรงเกียรติในที่นี้จำนวนสี่ท่าน จากนั้นก็ไปเจรจากับแกนนำของผู้ชุมนุม แล้วก็นำข้อสรุปที่ได้มาปรึกษาหารือกันอีกครั้งหนึ่ง” สภาสูงตัดสินอย่างเป็นกลางและคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

“เชิญท่านศตรรฆ (สะ-ตัก) ครับ” สภาสูงอนุญาตให้สมาชิกสภาประชาราษฎร์อีกท่านเสนอความคิดเห็น

“เรียนท่านสภาสูงที่เคารพ ผมเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของท่าน หากอยากจะเสริมเล็กน้อย เราควรให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบ้านเมืองมากขึ้น เนื่องจากจะเห็นว่าตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมแบ่งเป็นหลายฝักหลายฝ่าย มีทั้งสนับสนุนและต่อต้าน ควรให้อำนาจการตัดสินใจเด็ดขาดกับหัวหน้าปฏิบัติการณ์รักษาความสงบในครั้งนี้ในยามที่เกิดเหตุการณ์คับขันโดยไม่มิต้องแจ้งผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และช่วยให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด”

“ในส่วนนั้นท่านก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของสภาสูง เราทำได้ขอความร่วมมือจากหน่วยพิทักษ์สันติราษฎร์ ซึ่งผมคิดว่าทางเจ้าหน้าที่หน่วยก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถแล้ว และผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของหน่วยนี้ก็คือผู้ที่มีทั้งประสบการณ์และความสามารถรอบด้าน คงไม่ปล่อยให้บ้านเมืองนี้เกิดความวุ่นวายจนควบคุมไม่อยู่” ท่านสภาสูงสุดกล่าวอย่างเป็นกลาง ด้วยไม่อาจจะก้าวก่ายงานที่นอกเหนือจากอำนาจของตนได้

“ขอบคุณครับ” ศตรรฆโค้งคำนับก่อนจะนั่งลงประจำที่ปล่อยให้สมาชิกท่านอื่นได้เสนอความคิดต่อไป

“เชิญ ท่านยชญ์ ครับ”

“ขอบคุณครับ ท่านสภาสูงที่เคารพ ผมมีข้อสงสัยและต้องการคำชี้แจงจากผู้ที่เกี่ยวข้อง จากเหตุการณ์บ้านเมืองที่เริ่มวุ่นวายในขณะนี้ เริ่มจากการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตย ถือเป็นเรื่องปกติของบ้านเมือง เมื่อประชาชนเห็นว่าเกิดความไม่เป็นธรรม หรือเกิดเหตุผิดปกติที่ทำให้พวกเขาคิดว่าอำนาจอธิปไตยกำลังถูกรุกราน ซึ่งในเบื้องต้นกระผมก็คิดว่า พวกเขาเหล่านั้นมาด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลที่ได้มาเริ่มเปลี่ยนแนวคิดของกระผม เนื่องจากรายชื่อแกนนำผู้ชุมนุม ล้วนแล้วแต่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของท่านสมาชิกสภาประชาราษฎร์ท่านหนึ่ง ซึ่งถ้าเท้าความกันต่อไปก็จะเห็นว่าเบื้องหลังท่านสมาชิกสภาประชาราษฎร์ก็มีเงาทะมึนแผ่ปกคุ้มครองอยู่ ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าการก่อม็อบในครั้งนี้มีเจตนาใดแอบแฝงหรือไม่”

“กรุณาเอ่ยชื่อบุคคลที่ท่านพาดพิงถึงด้วยครับ อย่าเพียงกล่าวขึ้นลอยๆ อาจจะทำให้บุคคลอื่นเสียหายได้” สมาชิกสภาประชาราษฎร์น้องใหม่ป้ายแดงยกมือขออนุญาตก่อนลุกขึ้นถามอย่างเป็นทางการ

“จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยนามท่าน ท่านก็น่าจะรู้ หากเพื่อความชัดเจน กระผมอยากให้ท่านขิ่นนำ ผู้แทนจากเขตชายแดน ให้ความกระจ่างแก่สมาชิกผู้ทรงเกียรติในที่นี้ด้วยครับ”

“เชิญท่านขิ่นนำ ชี้แจ้งเรื่องที่ถูกพาดพิงถึงครับ” สภาสูงหันไปยังทิศทางที่เจ้าของชื่อนั่งประจำอยู่

“ขอบคุณครับ ท่านสภาสูงที่เคารพ จริงๆ ผมไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงอะไรเลย เนื่องจากเรื่องที่เกิดนอกสภาแห่งนี้เป็นความต้องการของประชาชนกลุ่มหนึ่ง ที่พวกเขาคิดว่าสิทธิ์เสรีภาพที่พวกเขาได้รับยังอยู่ในวงจำกัด ซึ่งขัดต่อระบอบการปกครองในบ้านเมืองนี้ อีกทั้งข้อกล่าวอ้างของท่านยชญ์ก็หาใช่ข้อมูลจริงไม่ กระผมยอมรับว่าครั้งหนึ่งแกนนำผู้ชุมนุมบางคนเคยร่วมงานกับผม แต่เขาก็ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไปนานแล้ว เรื่องที่เขาทำจึงไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับผมทั้งสิ้น และเรื่องเงามืดอะไรนั้น ผมก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านยชญ์หมายถึงสิ่งใด การที่ผมเสนอตัวมาปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และต้องการเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนอย่างแท้จริง นี่คือข้อชี้แจงที่เป็นความสัตย์จริงครับ และในเมื่อผมถูกพาดพิงด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวผม กระผมก็เรียนถามกลับไปว่า บุคคลนอกสภาที่ท่านพาดพิงถึงนั้นก็เคยเข้าออกสำนักงานประจำพรรคของท่านบ่อยๆ มิใช่หรือครับ ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงต้องเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยสิครับ อ้อ! รวมถึงผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนท่านและผลักดันท่านอยู่เงียบๆ ด้วยหรือเปล่าครับ” เมื่อมีการเปิดประเด็นแฉ แน่นอนว่าฝ่ายถูกโจมตีก่อน ไม่ยอมเป็นเป้านิ่งอย่างแน่นอน

และเรื่องมันก็เริ่มบานปลายเพราะมีการพาดพิงกันไปพาดพิงกันมา จนในที่สุดการประชุมในครั้งนี้ก็ล่ม หาข้อยุติไม่ได้ ต้องการเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ เค้าลางความยุ่งยากมีเพิ่มมากขึ้น เมื่อคลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และอาจจะซัดโถมมาโดยไม่ให้ตั้งตัว หรืออาจจะสลายไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ม.ค. 2556, 09:35:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ม.ค. 2556, 09:35:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1324





<< บทที่ 8   
icewinter 12 ม.ค. 2556, 21:00:36 น.
หวังว่าเหตุการรณ์จะคลี่คลายเรววันนะคะ รออ่านตอนต่อไปค่ะ


หมูอ้วน 13 ม.ค. 2556, 07:21:06 น.
เริ่มยุ่งแล้วนะเนี่ย


Oleang 13 ม.ค. 2556, 19:32:59 น.


Auuuu 13 ม.ค. 2556, 20:03:55 น.
ขอให้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางเน้อ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account