ชะตาฟ้า...ลิขิตรัก (ฟ้าดลรัก)
จากหญิงสามัญชนกลับกลายเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมาย และเธอจะมีโอกาสได้เคียงคู่กับเจ้าชายที่แสนดีอย่างในนิทานหรือไม่....
Tags: เจ้าชาย-เจ้าหญิง

ตอน: บทที่ 8


ก่อนอื่นขอกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ค่ะ เทศกาลความสุขผ่านพ้นไป เทศกาลการทำงานก็กลับมาดังเดิม ^^

บทที่ 8

นั่งร้านหลายสิบตัวต่อเรียงกันขึ้นเป็นโครงเพื่อรองรับแผ่นไม้กระดานที่ทอดตัวเรียงกันเป็นพื้นเวที อีกส่วนก็ถูกต่อขึ้นไปในแนวดิ่งเป็นเพื่อขึ้งผ้าที่มีอักษรตัวขนาดใหญ่เรียงเป็นประโยคประกาศเจตนารมณ์ของผู้ที่มาร่วมชุมนุม ซึ่งไม่ใช่ภาพแปลกตาของชาวมินธุราอีกแล้ว เมื่อคนกลุ่มหนึ่งยึดพื้นที่บริเวณนี้เพื่อปราศรัยเรียกร้องในสิ่งที่ตนต้องการมาเป็นเวลาแรมเดือน และดูท่าว่าจะยืดเยื้อไปอีกนาน เพราะไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการตอบสนองจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากข้อเรียกร้องนั้นอาจจะส่งผลกระทบในมุมกว้าง และอาจจะลามเลยกลายเป็นสงครามกลางเมือง แต่ใช่กว่าการปล่อยให้ผู้ชุมนุมเรียกร้องไปเรื่อยๆ แบบนี้จะเป็นการดี ตลอดเวลาที่ผ่านมามีหลายฝ่ายพยายามเข้าไปไกล่เกลี่ยหาข้อยุติ แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อสิ่งที่เรียกร้องนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว หรือบัญญัติลงไปได้ว่าขอบเขตมันสิ้นสุดตรงไหน ครอบคลุมเนื้อหาประมาณใด

‘เสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียม และประชาธิปไตย’

หลายคนออกมากู่ก้องร้องป่าวเรียกร้องตามผู้นำกลุ่ม โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองเรียกร้องนั้นคืออะไร หลายคนเคยถูกตั้งคำถามว่าที่มาชุมนุมเรียกร้องเพื่ออะไร ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน ‘เราเป็นคนมินธุรา ต้องการการปกครองที่มาจากเสียงของประชาชน เราต้องการเสรีภาพในการแสดงออก คนมินธุราจะต้องเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน แผ่นดินนี้เป็นของเราทุกคนไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง และต้องไม่มีใครมีอำนาจเหนือประชาชน’ ถ้าฟังเพียงผิวเผินก็เหมือนการประกาศเจตนารมณ์เท่านั้น หากแต่เจาะลึกลงไปในถ้อยคำเหล่านั้น จะรู้ว่ามันแฝงนัยยะอะไรไว้หลายอย่าง ซึ่งทำให้คนอีกกลุ่มรับไม่ได้และเริ่มก่อตัวเพื่อต่อต้าน ประเทศที่เคยสงบสุขเริ่มร้อนระอุ เพราะความเห็นของประชาชนที่เริ่มแตกต่างกัน หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องออกปฏิบัติการ แยกผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย สุดท้ายก็ไม่พ้นโดนข้อกล่าวหาว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และถูกนำไปเป็นหัวข้อโจมตีบนเวทีปราศรัย

“สวัสดีพี่น้องที่รักทุกท่าน ผมต้องขอขอบคุณในความเสียสละของทุกคนที่มารวมตัวกันในที่นี้ และไม่ถอดใจกลับบ้านกันไปก่อน ผมอยากให้ทุกคนอดทน อีกไม่นานชัยชนะจะเป็นของเรา ขอเพียงเรายืนหยัดเรียกร้องความถูกต้อง ประเทศนี้เป็นของเรา เราก็ต้องต่อสู้เพื่อประเทศและลูกหลานของเราในอนาคต เราจะไม่ยอมให้พวกมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้อีกแล้ว ประเทศนี้เป็นของชาวมินธุราโดยชอบธรรมใช่ไหม” แกนนำเดินขึ้นไปเปิดการปราศรัยและปลุกระดมในเชิงจิตวิทยา

“ใช่” เสียงผู้ชุมนุมตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง

“เราต้องการเสรีภาพ เราต้องการความเสมอภาค และประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”

“เย้ๆๆๆๆ” เสียงปรบมือและโห่ร้องดังก้องทั่วบริเวณ

“พี่น้องผู้รักแผ่นดินทั้งหลาย ไม่ต้องไปหวั่นเกรงต่ออำนาจมืด หรือเงาที่มองไม่เห็น เพราะมันไม่มีอยู่จริง เรากำลังจะได้เป็นผู้ครองแผ่นดินที่แท้จริง ต่อไปบ้านเมืองนี้จะเดินไปสู่หลักสากล เหมือนอารยประเทศทั่วโลก เราจะประกาศตัวเป็นอารยชนที่มีความพร้อมในทุกด้าน เราจะนำพาประเทศของเราไปสู่ความสำเร็จ โดยการพึ่งพาตนเอง เราต้องไม่อยู่ใต้อำนาจของใครอีก เราต้องการปลดแอกจากสิ่งเดิมๆ เพื่อก้าวไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า และเราจะได้สิ่งนั้นในเร็ววัน ขอเพียงเราสู้และไม่ยอมถอยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

“สู้ๆ” ความฮึกเหิมที่ถูกปลุกโดยพลังเสียงของผู้นำกลุ่ม ส่งผลให้หลายคนลืมตัว เตรียมสู้จนขาดใจ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นผลตอบแทนมันจะคุ้มค่าหรือไม่

ณ.มุมหนึ่งห่างจากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ไกลนัก ร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสวมหมวกเบสบอลโดยมีแว่นดำปกปิดดวงตาและใบหน้าไปกว่าครึ่ง ข้างๆ ก็มีเด็กหนุ่มที่แต่งกายคล้ายถึงกันยืนประกบทั้งซ้ายขวา

“อะไรคือเสรีภาพ” คำถามถูกถามขึ้นลอยๆ โดยไม่แน่ใจว่าคนถามต้องการคำตอบหรือไม่

“ก็คงหมายถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องอยู่กระมัง” เด็กหนุ่มด้านขวามือตอบไม่เต็มเสียงนัก

“ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อยสิว่าในความคิดของเธอ ประเทศนี้มีเสรีภาพหรือไม่” คนที่ยืนอยู่ตรงกลางเหลือบตาไปถามเด็กหนุ่มคนเดิม

“ถ้าเสรีภาพหมายถึง การที่เรามีสถานภาพเป็นคนมินธุราเต็มขั้น ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายบ้านเมือง สามารถเดินทางไปไหนในทุกพื้นที่ของมินธุรา มีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง อยากทำอะไรก็ได้ภายใต้กรอบกฎหมาย มินธุราก็เป็นประเทศที่มีเสรีภาพมากกว่าอีกหลายประเทศ”

“แต่มันไม่มากพอใช่ไหม พวกเขาถึงได้มาเรียกร้อง”

“มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนมากกว่า พี่ว่าเราควรจะกลับได้แล้ว การหนีออกมาเที่ยวตามลำพังแบบนี้ ไม่ดีเลยรู้ไหม” เสียงทุ้มที่ตอบกลับมาทำให้ทั้งสามคนที่ยืนมองเหตุการณ์การชุมนุมสะดุ้งสุดตัว และหนุ่มหน้าอ่อนที่ยืนขนาบข้างเจ้าของร่างโปร่งถึงกับสั่นเป็นเจ้าเข้า

“สงสัยตอนนี้อรทัยกับอรสาคงกำลังโดนคุกคามเสรีภาพอยู่นะเนี่ย” คนทำผิดยังมีแก่ใจเย้าคนสนิท ก่อนจะเดินไปกอดแขนชายหนุ่มที่ยืนกอดอกสีหน้าเรียบเฉยอย่างออดอ้อน

“รู้ไหมว่ามันอันตราย อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ หญิงก็รู้อยู่แก่ใจว่า สถานการณ์บางอย่างมันก็อยู่เหนือการควบคุม และไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” แม้จะส่งสายตาอ้อนยังไง ครั้งนี้ก็ไม่เป็นผล เพราะคนเป็นพี่ทำหน้าเข้มกว่าเดิม

“หญิงขอโทษค่ะพี่ชาย หญิงแค่อยากรู้ว่าคนที่มาชุมนุมเป็นยังไงบ้าง ถึงยังไงเขาก็เป็นชาวมินธุรานะคะ พี่ชายดูสิคะมีทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ นอนกลางดินกินกลางทรายกันมาเป็นเดือนๆ แล้ว หญิงเป็นห่วงและอยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับการมารวมตัวกันเรียกร้อง มันคุ้มค่ากับความลำบากที่ได้รับหรือเปล่า” กัญญ์วราพยายามอ้างถึงเหตุผล

“แล้วหญิงได้คำตอบไหม” เจ้าหญิงผู้แสนอ่อนโยนส่ายหน้าปฏิเสธ

“กลับกันก่อนเถอะ มีอะไรไปคุยกันที่บ้าน ป่านนี้ทูลกระหม่อมทั้งสองของหญิงคงกังวลพระทัยจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วล่ะ”

“หญิงขอโทษค่ะ” เจ้าชายหนุ่มโอบบ่าผู้เป็นน้อง รั้งให้เดินไปยังจุดนัดพบที่นัดแนะไว้กับองครักษ์คนสนิทก่อนเดินตามหาแม่ตัวยุ่ง งานนี้เขาคงต้องฟ้องคนที่สามารถคุมความประพฤติของน้องสาวได้อยู่หมัดแล้วกระมัง


คนสวยหน้ามุ่ยหลังจากโดนบ่นเป็นกระบุงโกยข้ามประเทศ ซึ่งปกติจะคุ้นชินกับลายมือเรียงสวยเป็นระเบียบมากกว่าเสียงทุ้มนุ่มที่ดังมาตามคลื่น แต่เพราะวันนี้ได้ก่อวีรกรรมชวนนางกำนัลคนสนิทปลอมตัวไปสำรวจบริเวณใกล้เวทีปราศรัยของผู้ชุมนุม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนอีกประเทศทราบข่าวนี้ได้ยังไง

“พี่ชายใจร้าย”

“หึหึ” เจ้าของเสียงหัวเราะหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวเคียงคู่น้องสาว และแน่นอนว่าคนขี้อ้อนต้องขยับมาซุกกับอกอย่างที่ทำเป็นประจำหากมีเวลาอยู่ด้วยกัน

“พี่ชายคะ หญิงไม่เข้าใจเลยค่ะ บ้านเมืองของเราเกิดอะไรขึ้นคะ”

“หญิงอย่ามองอะไรมุมเดียวสิ มองให้หลากหลายมุม สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้”

“หญิงพยายามคิดแล้ว หญิงไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง เพราะสิ่งเหล่านั้นประชาชนมินธุราก็ได้รับโดยเท่าเทียมกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ”

“บางครั้งอุดมการณ์ก็ถูกหยิบยกมาเป็นเครื่องมือ การจะเรียกร้องให้ผู้คนคล้อยตามไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องหยิบยกเรื่องละเอียดอ่อนขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก อย่างที่หญิงพูดก็ถูก ทุกคนได้สิทธิ์ความเป็นประชาชนมินธุราเท่าเทียมกัน แต่สถานภาพของแต่ละคนก็ไม่เท่าเทียมกัน แม้เราจะไม่เคยคิดแบ่งชั้นวรรณะ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าประชาชนของเรายากดีมีจนต่างกัน และความต่างตรงนี้ล่ะมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ”

“หมายความว่ายังไงคะ”

“เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเสมอภาค และประชาธิปไตย อยู่ที่ใจ ถ้าพี่พูดแบบนี้หญิงพอจะเข้าใจไหม” เจ้าชายรัชทายาทเอ่ยช้าๆ ย้ำเน้นๆ พยายามให้พระขนิษฐาคิดและพิจารณาเอง พระองค์มิได้ทรงโทษใครว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด ทุกคนมีสิทธิ์คิดและเรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับตัวเอง

“เมื่อใจตอบโจทย์ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นเพียงพอต่อความต้องการของเราแล้ว ไม่ว่าเราจะยากดีมีจนยังไง เราก็ไม่สนใจใช่ไหมคะ”

“ใช่ เพราะสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกร้องอยู่นั้น มันเป็นนามธรรม มันวัดค่าไม่ได้ สิ่งที่สามารถวัดค่าของเสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเสมอภาคนั้นก็คือ ‘ใจ’ หากเรามองว่าสิ่งที่ได้รับนั้นยังไม่เท่าเทียมกัน ใจเราก็จะเอียนเองไปยังฝั่งที่มีความต้องการเหมือนกับเรา”

“แล้วประชาธิปไตยที่พวกเขาเรียกร้องล่ะคะคืออะไร ในเมื่อบ้านเมืองเราก็ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เหตุใดเขาจึงออกมาเรียกร้องอีก” กัญญ์วราถามอย่างสงสัย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอเคยเป็นคนชั้นสามัญ ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้อง จึงไม่เคยใจใส่เรื่องการเมือง และเมื่อต้องมาอยู่ในฐานะผู้สูงศักดิ์ เธอก็ทุ่มเทเวลาให้กับโครงการต่างๆ ที่เธอคิดและทำ แม้จะเป็นหญิงยุคใหม่ หากก็ใช่ว่าอยากจะยุ่งกับการเมืองที่ยุ่งเหยิงนัก เธอจึงเลือกสนใจปากท้องของพี่น้องประชาชนมากกว่า และมาถึงนาทีนี่เองที่เธอคิดว่า เธอพลาดไปอย่างไม่น่าอภัย เธอน่าจะใจใส่เรื่องการปกครองบ้าง จะได้เข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้แท้ที่จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่

“หญิงคิดว่าหลักของประชาธิปไตยคืออะไร” ธุติยะธรเอ่ยถามนำไป ด้วยอยากรู้ว่าความคิดของพระขนิษฐา

“ถ้าพูดในเชิงวิชาการการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็มีทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็คือประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิตภายใต้กรอบกฎหมาย ทางอ้อมก็คือประชาชนจะเลือกตัวแทนขึ้นมาเพื่อบริหารประเทศและวางรากฐานของกฎหมายให้อยู่ในกรอบของคำว่าประชาธิปไตย” นี่เป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้คนส่วนใหญ่รับทราบ

“ในโลกใบนี้ไม่มีมาตรฐานของคำว่าประชาธิปไตยตายตัว ทุกประเทศทั่วโลกที่ปกครองในระบอบนี้ล้วนแล้วแต่ปรับให้เข้ากับสังคมและประชาชนของตัวเองทั้งสิ้น ในหลายประเทศผู้นำสูงสุดคือประธานาธิบดี และในอีกหลายประเทศผู้นำสูงสุดก็คือกษัตริย์อย่างประเทศเรา ผู้คนได้รับการพัฒนา ประชาธิปไตยก็มีการพัฒนาต่อเนื่องมายาวนานเช่นกัน”

“หญิงก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเรียกร้องอยู่ดี”

“เมื่อวิวัฒนาการของโลกก้าวไกล ทำให้โลกใบนี้เล็กลง การแลกเปลี่ยนทางความคิดมีมากขึ้น การศึกษาความเป็นไปข้ามสัญชาติก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างมินธุรา หญิงคงจะเห็นว่าประชาชนของเราได้รับการศึกษามากขึ้น ไม่เพียงแค่ในประเทศ หากยังเดินทางไปศึกษายังต่างประเทศ เพื่อนำวิทยาการใหม่ๆ มาพัฒนาบ้านเมืองของเรา การได้เห็นโลกกว้างขึ้น ก็ทำให้ทัศนคติและความเชื่อเปลี่ยนไป จนบางครั้งก็ยึดติดกับสิ่งใหม่ๆ มากเกินไป โดยไม่สนใจว่ามันเหมาะสมกับวัฒนธรรมประเพณีดั่งเดิมของเราหรือไม่ บางครั้งการหลุดออกจากกรอบเดิมๆ ก็ทำให้คนบางกลุ่มอยากเปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีกว่า ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันจะดีกว่าจริงหรือเปล่า”

“หญิงจะเห็นว่าในช่วงนี้มีผู้คนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นมากมาย นำบ้านเมืองของเราไปเปรียบเทียบกับอารยะประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจ มองประเทศตัวเองเป็นชนล้าหลัง พยายามผลักดันทุกอย่างให้เดินไปสู่เส้นทางศรีวิไล จนบางครั้งลืมหยุดมองตนเองว่าเราเหมาะกับการดำรงชีวิตในแบบนั้นหรือเปล่า”

“การชุมนุมครั้งนี้ประชาชนได้อะไรจากชัยชนะ ผู้นำกลุ่มได้ประโยชน์อะไรจากการชุมนุม บางทีเป้าหมายหลักของการชุมนุม อาจไม่ใช่เพราะต้องการเสรีภาพ ความเสมอภาค หรือแม้แต่ประชาธิปไตย แต่สิ่งที่คนกลุ่มนั้นต้องการคือการเปลี่ยนแปลงที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่คาดคิดมาก่อนก็ได้ หญิงลองเอาคำบอกเล่าของพี่ไปตรองให้หนัก ว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายหลักของการชุมนุมครั้งนี้คืออะไร เมื่อได้คำตอบแล้ว หญิงจะรู้ว่าจากนี้ไปหญิงควรปฏิบัติตัวอย่างไร แล้วเพราะอะไรพี่ถึงได้บอกเรื่องวันนี้กับชายฟ้า” ธุติยะธรโยกศีรษะพระขนิษฐาสองสามครั้งก่อนจะผละลุกขึ้น โบกพระหัตถ์ลา เดินออกจากห้องนั่งเล่นตำหนักใหญ่กลับที่พักของตนเองอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ปล่อยน้องสาวตัวดีนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ทบทวนคำพูดทั้งหมดของพระเชษฐาเพียงลำพัง

“ถ้าเป้าหมายไม่ใช่สิ่งที่กำลังเรียกร้อง แต่คือสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลง แล้วสิ่งใดล่ะคือการเปลี่ยนแปลงที่คนกลุ่มนั้นต้องการ หรือว่า...” ดวงเนตรแววหวานเบ่งกว้างขึ้นอย่างตกใจ หากเป็นเช่นที่พระองค์คิด บ้านเมืองนี้จะเป็นเช่นไร การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง และคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือใคร ผู้มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดในบ้านเมืองนี้จะตัดสินใจอย่างไร จะสู้หรือจะถอย หนทางไหนถึงเรียกว่าถูกต้องและดีที่สุดกัน

แสงจันทร์ยวงเย็นตา หากไม่สามารถทำให้ใจรุ่มร้อนเย็นลงได้ สายตาที่ทอดมองดวงจันทร์บนฟากฟ้าฉายแววหม่นและครุ่นคิด รอยย่นบนหน้าผากมิใช่เกิดขึ้นเพียงเพราะกำลังคิดหนัก หากส่วนขึ้นเกิดขึ้นตามกาลเวลาที่ผันผ่าน เพียงแต่ในค่ำคืนนี้รอยกดเป็นเส้นย้ำลึกลงมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง

“ท่านพี่” มือของหญิงวัยกลางคนตอนปลายเอื้อมไปแตะแขนที่เคยกำยำ แต่ปัจจุบันนี้กล้ามเนื้อก็คล้อยลงตามอายุที่มากขึ้น

“ถ้าเรื่องมันลุกลามไปใหญ่โต ก็คงถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจโดยเด็ดขาดแล้วสินะ”

“เรื่องมันอาจจะไม่บานปลายก็ได้นี่เพคะท่านพี่”

“เราไม่ควรหลอกตัวเอง แต่ก็ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้สินะ”

“การเปลี่ยนแปลงมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย หากเราไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้มิใช่หรือเพคะ”

“ขอบใจนะรวิ ขอบใจที่คอยเป็นกำลังใจและร่วมฝ่าฟันปัญหาด้วยกันมาตลอด”

“หม่อมฉันถือว่าหม่อมฉันเป็นข้าแผ่นดินตั้งแต่กำเนิด และในวันที่ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อที่จะได้ถวายการรับใช้พระองค์ เป็นวันที่หม่อมฉันให้คำสัตย์กับตัวเองเช่นเดียวกันว่าชีวิตนี้หม่อมฉันอุทิศให้ชาติบ้านเมือง สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชน หม่อมฉันพร้อมที่จะปฏิบัติในทันที และในครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันก็จะยืนเคียงข้างพระองค์และประชาชนของเราเพคะ”

“สามสิบปีกว่าปีแล้วสินะที่เราสองคนร่วมแรงร่วมใจเพื่อประเทศชาติ ได้เห็นความสุข ความทุกข์ของประชาชน ได้เป็นส่วนหนึ่งในการฝ่าฟันวิกฤตนานัปการไปพร้อมกับประชาชน ได้เห็นการพัฒนาที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ จนถึงทุกวันนี้ วันที่มินธุรากำลังจะเติบโตไปในอีกขั้น และเป็นก้าวที่สำคัญที่อาจจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ประชาชนทุกคน เราก็หวังว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี”

“ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรานะเพคะท่านพี่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน เราเป็นเพียงตัวแทนในการประกาศเจตนารมณ์ของประชาชนเท่านั้น แม้อำนาจสูงสุดอยู่ในมือของพระองค์ แต่ก็ไม่มีครั้งใดที่พระองค์ตัดสินใจโดยไม่เห็นแก่ประชาชน ไม่มีใครใดที่พระองค์ตัดสินใจทำเพื่อตนเอง ดังนั้นประเทศนี้จะดำเนินต่อไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนชาวมินธุรา ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพระองค์มิใช่หรือเพคะ”

“ความแตกแยกจะนำพามาซึ่งความหายนะ เราเกรงเหลือเกินว่าความคิดที่ต่างกันราวกับขั้วบวกกับขั้วลบจะนำพาความเสียหายมาสู่ประเทศชาติ” สมเด็จพระราชาธิบดีถอนพระทัยด้วยความความรู้สึกหนักอึ้ง

“พระองค์ก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะว่าขั้วบวกและขั้วลบที่พระองค์ทรงกล่าวถึง ท้ายที่สุดอาจจะเป็นขั้วเดียวกัน และหากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความหายนะที่จะเกิดก็คงไม่ร้ายแรงไปกว่าที่ทรงคิด อย่าทรงหนักพระทัยไปมากกว่านี้เลยเพคะ ปัญหามีไว้เพื่อแก้ วันนี้เราอาจจะยังสางปัญหาทั้งหมดไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะแก้ไม่ได้เลย เชือกที่ผูกปมจนยุ่งเหยิงยังหลุดออกเป็นเส้นยาวไร้ปมได้ด้วยการทยอยแก้ทีละปมไม่ใช่หรือเพคะ”

“นั่นสินะ บางทีการมองอะไรไกลตัว อาจจะทำให้เราหลงลืมสิ่งที่ใกล้ตัว เราคงต้องเริ่มจากสิ่งที่ตาเห็นตรงหน้าก่อนสินะ ขอบใจอีกครั้งนะเจ้า” พระหัตถ์เรียวถูกคว้าไปกุมด้วยพระหัตถ์หนา แม้การเวลาผ่านล่วงเลยมานานแค่ไหน ของหัตถ์ก็ยังกุมกันแน่นเสมอมา และจะเป็นเช่นนี้เสมอไป


ปล.1 ขออินเทรนกับเขาสักนิด สำหรับละครเหนือเมฆ 2 อินเทรนทั้งๆ ที่ต้องยอมรับว่า ไม่ได้ดู แต่ตามข่าวจาก Facebook บ้าง อะไรบ้าง ก็ทำให้รู้ว่าเรื่องนี้ถูกแบนเพราะพาดพิงการเมือง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า...นิยายเรื่องนี้ของเราจะโดนแบนด้วยหรือเปล่าหว่า เพราะจากบทนี้เป็นต้นไปเนื้อหาก็เสี่ยงภัยเหมือนกันนะเนี่ย...555 เอาเป็นว่าอย่างที่เคยออกตัวไว้แต่แรกก่อนโพสนิยาย... มันเป็นแค่จินตนาการและความคิดเห็นส่วนตัว...แค่คิดต่างไม่ผิดใช่ไหมคะ ^^

ปล.2 หลังจากนี้กว่าพระนางจะได้ป๊ะกันอีกครั้ง...อีกหลายยยบทเลยทีเดียว...ตอนเริ่มเขียนบทนี้มันมือไปหน่อย มันเลยลากยาวไปหลายบท...^^



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ม.ค. 2556, 10:38:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ม.ค. 2556, 10:38:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1387





<< บทที่ 7   บทที่ 9 >>
Auuuu 5 ม.ค. 2556, 15:23:17 น.
นึกถึงบ้านเมืองเรา เฮ้อออออ


หมูอ้วน 5 ม.ค. 2556, 18:31:19 น.
เอาใจช่วยสองศรีพี่น้องค่าาา


icewinter 6 ม.ค. 2556, 21:44:22 น.
รอต่อค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account