ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 7 (เดินหน้า... 2)

บทที่ 7
(เดินหน้า... 2)

เสียงคลุกคลักที่ดังมาจากห้องครัวด้านล่างประจำในทุกเช้า พร้อมกับกลิ่นหอมๆ ของเนย ที่มักจะลอยมาเตะจมูกเขาทุกครั้งที่ก้าวลงบันได ภาพของร่างบางกำลังแต่งหน้าเค้กอย่างตั้งอกตั้งใจ วันนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดกางเกงขาสามส่วนสีดำกับรองเท้าสานส้นเตี้ยเข้ากับชุด ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้าอยู่ด้านหลังอย่างที่เคยเห็นอยู่ทุกวัน เหมือนเธอจะรู้สึกว่าถูกจับจ้องจึงเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะยิ้มหวานให้กับ

“อรุณสวัสด์ค่ะผู้กอง รับกาแฟไหมคะ”

“ได้สักแก้วก็ดีครับ”

หญิงสาวยิ้มรับคำก่อนจะวางมือจากเค้กที่แต่งเสร็จแล้วลงหน้าไปใส่ตู้เย็น ก่อนจะจัดการชงกาแฟให้เขา ดลินาเตรียมแซนวิชไข่ง่ายๆ ให้เขาก่อนหันเป็นชิ้นพอดีคำจัดใส่จาน แล้วก็จัดการชงกาแฟในแบบที่เขาชอบแล้ววางลงตรงโต๊ะตรงหน้าของเขา ศิวกรมองหญิงสาวทำนู้นทำนี้อย่างเพลินตา วันนี้เขาไม่ได้แต่งเครื่องแบบอย่างเคย แต่มาในชุดนอกเครื่องแบบ แผลจากการผ่าตัดตอนนี้มันแห้งตกสะเก็ดแล้วนั้นก็หมายความว่าเขาไม่ต้องไปนั่งทำงานอยู่หลังโต๊ะที่แสนน่าเบื่อนั้นอีกแล้ว

ดลินาเดินเอาเค้กที่แต่งหน้าเสร็จแล้วไปใส่ตู้โชว์ที่หน้าร้าน เพราะกับคุกกี้และแซนวิชนานาชนิดน่าทาน ส่วนศิวกรก็นั่งดื่มกาแฟ ทานแซนวิช แล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะหลังร้านอย่างสบายใจ

“7 โมงกว่าแล้วนะคะยังไม่รีบไปเดี๋ยวก็สายหรอก”

ดลินาพูดในขณะที่ยังเดินไปเดินมาระหว่างหน้าร้านกับในห้องครัว

“เดี๋ยวผมช่วยคุณเปิดร้านเสร็จแล้วค่อยไปก็ได้ครับ”

เขาพูดอย่างไม่เดือดร้อน จนหญิงสาวโพล่มาแต่ใบหน้าจากหน้าร้านขมวดคิ้วมองเขาอย่างสงสัย เพราะถ้าปรกติแล้วยังไม่ทัน 6 โมงครึ่งเขาก็ออกจากร้านไปแล้ว

“ทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะ”

“ก็... ไม่ทำหรอกค่ะ ก็แค่แปลกใจ”

พูดจบเธอก็หดหัวกลับไปเตรียมหน้าร้านตามเดิม แซนวิชชิ้นสุดท้ายก็ถูกลำเลียงลงกระเพาะเขาไป ศิวกรจัดการล้างคว่ำเรียบร้อยแล้วเดินตามไปสบทบกับร่างบางที่หน้าร้าน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นร่างบาง แต่ว่าประตูหน้าร้านถูกเปิดทิ้งเอาไว้

เขารีบวิ่งออกไปที่หน้าร้านอย่างตกใจเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะถูกใครลักพาตัวไป เขามองซ้ายมองขวา แล้วก็ต้องโล่งอกเมื่อเห็นร่างเล็กของเธอกำลังหอบดอกกุหลาบสีส้มโอล์ดโรสกว่าร้อยดอกเดินหน้าบานมาไกลๆ ดลินาแปลกใจที่เห็นเขามายืนรอเธอที่หน้าร้าน แต่เมื่อเห็นสายตาดุๆนั้นแล้วก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเขาเป็นอะไร

...ตายแกยายข้าว ชีวิตจะหาไม่ก็คราวนี้แหละวะ...

จากที่เดินหน้าบานเป็นจานเชิงตอนนี้มันแห่งเหี่ยวแทนเสียแล้ว สีหน้าสำนึกผิดอย่างเห็นได้ชัด เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วยิ้มแหยๆไปให้ แต่ความไม่ยิ้มตอบ ยังคงใช้สายตาดุเธออยู่อย่างนั้น

“คราวหน้าข้าวจะไม่ทำอีกแล้ว อย่าดุข้าวสิคะ”

หญิงสาวพูดหน้าสลดเสียงอ้อนเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิดแล้วต้องง้อขอโทษเขา ศิวกรยังคงยืนส่งสายตาดุๆ ให้เธอ ก่อนจะถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วก็จูงมือเธอเดินเข้าไปในร้าน

********************************************************

แสงแดดที่แผดเผาลงมากลางศีรษะก็ไม่ได้ทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงยืนคุมเชิงกันอยู่โดยไม่มีการเจรจาใดๆเกิดขึ้นเลย เนื่องจากลูกพี่ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาทั้งคู่ รถยนต์สีดำสนิท 2 คันแล่นเข้ามายังโกดังสินค้าที่ท่าเรือแห่งหนึ่งพร้อมๆ กัน คันหนึ่งจอดทางด้านขวา ส่วนอีกคันจอดทางด้านซ้าย
คนขับรถต่างก็วิ่งเอาร่มคันใหญ่มากางให้กับเจ้านายของตนที่เปิดประตูรถลงมา แล้วทั้งคู่ก็ได้มาประจันหน้ากันอีกครั้ง โดยที่การเจรจาครั้งนี้มีสายตาของคนอีก 4 คนกำลังจับจ้องอยู่ห่างๆ

“สวัสดีครับคุณก้องภพ แหมมาตรงเวลาดีแท้”

รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้พูดยากนักที่เดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แว่นตาดำอำพรางสายตายิ่งทำให้ไม่สามารถอ่านแววตาให้หยั่งลงไปถึงสิ่งที่นึกคิดอยู่ ทำให้ก้องภพต้องพยายามข่มใจเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ เพราะถึงแม้จะเคยได้พบปะกันมาเพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็รู้ได้ว่าคนคนนี้แตกต่างไปจากการค้าครั้งที่ผ่านมา

“คุณก็เหมือนกันนะครับคุณสมเกียรติ์ ตรงเวลาเช่นกัน”

“ขอบคุณครับที่ชม ผมก็คนทำธุรกิจคนหนึ่งที่เวลาเป็นเงินเป็นทอง”

สมเกียรติ์หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ

“งั้นคุณก็เลือกที่จะทำธุรกิจกับคุณได้ถูกต้องแล้วครับ เพราะว่าเวลาของผมก็เป็นเงินเป็นทองเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นขอดูของตัวอย่างหน่อยได้หรือเปล่าครับ”

“ได้ครับเชิญตามผมมาทางนี้ได้เลย”

แล้วก้องภพก็เดินนำสมเกียรติ์ตรงไปยังตู้คอนเทนเนอร์ที่มีสนิทเกาะดูจะพังมิพังแหล่ ก่อนจะเปิดประตูตู้เข้าไป สมเกียรติ์ต้องปราบสีหน้าที่ตกตะลึงนั้นอย่างรวดเร็วแม้แต่คนที่ยืนใกล้เขาที่สุดก็ไม่ทันสังเกตเห็น ภายในตู้คอนเทนเนอร์นั้นภายในประจุเต็มไปด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด

“แหม... อย่างนี้ธุรกิจของเราคงจะเป็นไปอย่างราบรื่นนะครับ”

กล่าวจบก็เดินชื่มชนอาวุธเหล่านั้นด้วยความสนใจ

********************************************************

ภายในสวนอาหารของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ตอนนี้คับคั่งไปด้วยผู้คน เพราะเป็นเวลาพักกลางวัน ศิวกรและทนงศักดิ์กำลังนั่งทานข้าวกลางวันอย่างสบายใจอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนอาหารแห่งนั้น

“ทดลองอยู่ก่อนแต่งเป็นไงบ้าง”

ทนงศักดิ์โพล่งออกมาจนทำให้ศิวกรที่กำลังดื่มน้ำอยู่นั้นถึงกับสำลักเลยทีเดียว

“ไอ้บ้า!! พูดวอนหาเท้าหรือไงวะ พูดอย่างนี้คุณข้าวเขาเสียหายนะเว้ย”

“อ้อหรอครับ... แหมไอ้เพื่อนเวร รู้ว่าเขาจะเสียหายดันทะลึ่งไปอยู่กับเขาซะงั้น แกคิดอะไรของแกอยู่วะ ไม่คิดบ้างหรอว่าแกทำแบบนี้คนอื่นเขาจะมองผู้หญิงเขาอย่างไร”

“ฉันมีเหตุผลของฉันก็แล้วกัน”

ศิวกรพูดสีหน้าไร้อารมณ์ ทนงศักดิ์ก็ทำปากขมุบขมิบบ่มในลำคออยู่คนเดียว เขารู้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้เป็นสุภาพบุรุษพอ แต่ดูเหมือว่าจะเป็นมากเสียด้วยซ้ำ (จริงหรอ...ดลินา) คงไม่ทำอะไรให้ผู้หญิงเขาเสื่อมเสีย

ทนงศักดิ์นั่งเอนหลังพิงกับพนักพิงมองดูผู้คนเดินไปเดินมาตามร้านอาหาร แล้วเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกับเดินชนเขาอย่างจัง ขนาดเขานั่งอยู่เฉยๆไม่วายยังมีคนมาชนเขาอีก เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งทาปากแดงแจ๋ แต่งตัวเปรี้ยวสุดฤทธิ์

“ตายแล้ว ขอโทษค่ะขอโทษ”

เธอไม่พูดขอโทษเปล่าแทนยังจับตัวเขาไปมาเหมือนจะดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างหลนใส่ในกระเป่าเสื้อของเขา ศิวกรเองก็สังเกตเห็นเช่นกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมองดูเหตุการณ์เหมือนเป็นคนนอก

“ขอโทษทีนะคะ สงสัยเมื่อเช้า ‘นกพิราบเดินผ่าน’ ไข้หวัดนกคงติดฉันมามีความรู้สึกเหมือนจะเป็นลม”

เธอพูดพลางส่งสายตาเชิญชวนเล็กน้อย ทนงศักดิ์ยิ้มแหยๆ ส่วนศิวกรตอนนี้เลิกสนใจทั้งสองคนนั้นแล้ว กำลังนั่งดื่มน้ำแล้วก้มองซ้ายมองขวาไปเรื่อยอย่างไม่สนใจ

“นี้เบอร์โทรฉันนะคะ มีไรโทรมานะ”

แล้วเธอก็ยัดเศษกระดาษใส่มือเขาก่อนจะขยิบตาให้ทีหนึ่งก่อนจะเดินจากไป ทนงศักดิ์ขนลุกซู่เลยทีเดียว
“เป็นไงชอบไม่ใช่หรอแบบนั้น”

“ชอบกับผีอะไรล่ะ อิ่มยัง...ไปกลับโว้ย วันนี้ดวงไม่ดี”

พูดจบทนงศักดิ์ก็ลุกขึ้นเดินนำศิวกรไปก่อนแล้ว ศิวกรส่ายศีรษะเบาก่อนจะลุกตามไปเช่นกัน

********************************************************

รถรถโฟร์วิวไดร์ฟสีแดงเลือดหมูของศิวกรที่มีทนงศักดิ์นั่งอยู่ข้างๆ กำพลังติดแหงกอยู่ที่สี่แยกที่นับว่าติดอันดับโหดที่สุดในกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ ความจริงเขาเขาเลี่ยงไปทางอื่นได้แต่ก็ไม่ทำ

“ขนลุกว่ะ”

“เป็นอะไรของแกเห็นบอกขนลุกตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

“หรือว่าแกไม่สังเกต เมื่อกี้มันหญิงเทียมชัดๆ โอ้ยขนลุก”

“ฮะ ฮะ ดีโดนซะบ้าง จะได้หายบ้าเสียที”

ทะนงศักดิ์มองศิวกรด้วยหงตาอย่างไม่พอใจก่อนจะล้วงกระเป๋าเสื้อตัวเองออกมา ก็พบเข้ากับแฮนด์ดี้ไดร์ขนาด 8 GB อยู่ในมือเขาตอนนี้ ศิวกรเองก็นั่งมองอยู่เช่นกัน ทนงศักดิ์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับศิวกร

“8 GB! โอ้แม่เจ้าข้อมูลเยอะไปไหมครับ ดูกันตาบวมสิครับท่านงานนี้”

“เลิกบ่นได้แล้ว ลองเปิดดูกับคอมฯ สิว่าเราได้อะไรมาบ้าง

ศิวกรหันไปพูดกับคนขี้บ่นอย่างลำคาญ ทนงศักดิ์มองค้อนเพื่อนเขาก่อนจะหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 11 นิ้ว ขึ้นมาเพื่อดูข้อมูลสดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งได้รับ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอเล่นเอาทนงศักดิ์ตะลึงพูดไม่ออก

“มันจะไปทำสงครามกับใครที่ไหนวะ แกดูสิแต่ละรุ่นเจ็บๆ ทั้งนั้น”

ทนงศักดิ์หันหน้าจอไปให้เพื่อนของเขาดู บรรยากาศภายในรถเปลี่ยนไปเคร่งเครียดทันตา

“อะไรมันจะขนาดนั้นวะ”

“นั้นน่ะสิ เอาของร้ายแรงขนาดนี้เข้าประเทศมาได้ มันมากเกินไปแล้วงานนี้สงสัยกว่าจะจบเรื่องได้ เลือดไม่สาดเต็มจอเลยหรือไงวะ”

“แล้วเบอร์โทรศัพท์ของคุณน้องสุดสวยคนนั้นล่ะ”

ทนงศักดิ์หยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นข้อความข้างในทนงศักดิ์แทบจะขยำๆ ให้เป็นก้อนแล้วปาเจ้าเศษกระดาษแผ่นนั้นออกไปนอกรถ ก่อนจะจีบปากจีบคออ่านออกเสียงให้ศิวกรได้ยิน

“น้องรู้นะคะว่าคุณพี่ชอบแบบน้อง น้องว่างเสมอเมื่อคุณพี่ต้องการ แต่ว่าตอนนี้เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเบอร์โทรศัพท์ของน้องยังไม่ให้นะคะ แต่เอาเบอร์ของคุณพ่อน้องไปก่อนแล้วกัน รักนะจากนกพิราบเดินดิน
จุ๊บ!”

ศิวกรหัวเราะร่วนเมื่อทนงศักดิ์อ่านจบประโยค เข้าเกียร์ขับรถเคลื่อนที่ไปตามจังหวะสัญญาณไฟจราจร

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ฉันไม่เห็นมันจะตลกตรงไหน ขนลุกว่ะ”

“เห็นแกบ้าๆ บอๆ นึกว่าจะชอบอะไรแบบนี้”

“พอเลยไอ้ศิลา ฉันมาดแมน แบบชายไทยแท้ 100% เว้ย”

“ครับ... ผู้กองศักดิ์ ผมทราบแล้วครับ”

ศิวกรหยอกกลับแบบไม่ใส่ใจนัก ทนงศักดิ์นั่งนึกด่าคุณผู้หญิงเทียมคนนั่งไปตลอดทาง

********************************************************

แสงไฟสีส้มนวลที่ส่องสว่างจากโคมไฟบนโต๊ะทำงานของดลินา ถึงแม้ว่าจะไม่สว่างจนทั่วห้องแต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ ดลินานั่งทำบัญชีอย่างมีสมาธิ นาฬิกาแขวนที่พนังบอกเวลา 23 นาฬิกากว่าแล้ว แต่เขาคนนั้นก็ยังไม่กลับมาเสียที พักหลังๆ มานี้เขาไม่เคยกลับมาก่อนเที่ยงคืนเลยสักวัน ...หรือว่าเขาไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายอีกแล้ว

คิดแล้วก็พาให้เธอเครียดจนนอนไม่หลับเสียแล้ว เธอเดินไปปิดไฟที่โต๊ะทำงานก่อนจะเปิดประตูห้องเดินลงไปยังชั้นล่าง เมื่อเธอเดินลงมาถึงห้องนั่งเล่นของเธอพอดีกับจังหวะที่ประตูถูกเปิดขึ้น พร้อมกับแสงสว่างจากดวงไฟภายในห้องพี่เขาเป็นคนเปิด

“ยังไม่นอนอีกหรอครับ”

เขาถามพร้อมรอยยิ้มละไม แต่ดูจากสีหน้าที่อ่อนล้าของเขาแล้วก็อดสงสารไม่ได้

“ยังค่ะ ข้าวนอนไม่หลับ”

เธอลงมานั่งที่โซฟาตัวสีน้ำตาลหน้าโทรทัศน์ก่อนจะเปิดดู เขาตามมาสมทบทีหลังสายตาเธอจ้องมองไปยังโทรทัศน์แล้วเปลี่ยนช่องไปเรื่อยอย่างไม่สนใจเท่าไหร่นัก แล้วเธอก็รู้สึกถึงน้ำหนักของอะไรบางอย่างบนตักของเธอ ดลินาก้มหน้าลงมองก็เห็นศิวกรล้มตัวลงนอนโดยใช้ตักของเธอเป็นหมอนหนุนดูแสนจะสบาย เธอกำลังจะเอ่ยปากว่าเขาแต่ดูจากสีหน้าที่อิดโรยของเขาเธอก็ทำไม่ลง

“งานหนักมากเลยหรือคะ”

ดลินาเอ่ยถาม พร้อมกับใช้มืออังที่หน้าผากของเขาดูว่าเขาไม่สบายหรือเปล่า แล้วใบหน้าคมเข้มนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยโดยที่ยังปิดเปลือกตาอยู่ เขายกมือตัวเองขึ้นไปจับมือเล็กที่อังที่หน้าผากแล้วจูบเบาๆ ที่กลางฝ่ามือก็จะกำเอาไว้หลวม

“ทำไมไม่ลาพักร้อนสักอาทิตย์ล่ะคะ คุณน่ะร่างกายยังไม่เข้าที่เข้าทางยังจะทำงานหนักอีก แบบนี้ฉันไม่ชอบเลย”

เธอพูดเสียงไม่พอใจ ศิวกรเปิดเปลือกตาขึ้นมองใบหน้าหวานที่แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างมากด้วยความรู้สึกพึงใจที่ได้ยินว่าเธอห่วงใยเขาขนาดไหน รอยแย้มที่ริมฝีปากคลี่ออกมาเล็กน้อย

“ยังจะมายิ้มอีก”

“คุณร้องเพลงกล่อมผมหน่อยสิครับ”

คนพูดหน้าเป็น แต่คนฟังนั้นหน้าแดง

“ไม่เอา...เดี๋ยวคุณจะยิ่งได้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ แล้วอีกอย่างฉันไม่อยากให้คุณมานอนบนโซฟาแบบนี้ มันไม่สบายตัว”

“ใครบอก! ไม่จริงเสียหน่อย สบายสุดๆ เลยต่างหาก ยิ่งได้หนอนหนุนดีๆ อย่างนี้ด้วยแล้วต่อให้มีเตียงที่ทำจากนุ่นที่นุ่มที่สุดก็ไม่สบายเท่านี้หรอกครับ”

“ปากหวาน”

ดลินาอายจนไม่รู้หน้าจะแดงอย่างไรดีแล้ว เลยแก้เขินด้วยการหยิกเข้าไปที่แขนแข็งแรงของคนปากหวานสักหนึ่งที

“โอ้ย!! ผมเจ็บนะครับ มาทำร้ายผมทำไม”

ศิวกรร้องเสียงหลงที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ นึกแล้วดลินาก็ขำยามอยู่ที่ทำงานเขาช่างเงียบช่างขรึมแถมช่างเก๊กได้ตลอดเวลา แต่เมื่อมาอยู่กับเธอเพียงสองคนเขากลับกลายมาเป็นเด็กชายผู้แสนออดอ้อนเสียงอย่างนั้น

“จะฟ้องศาลก็ได้ฉันไม่กลัวหรอก... ทนายดี”

ดลินาพูดอย่างถ้าทาย ศิวกรเด้งตัวขึ้นมานั่งจนดลินาสะดุ้งเฮือก แต่ก็เตรียมตัวตั้งรับเต็มที่

“แต่ผมใช่ศาลเตี้ยนะครับ แล้วศาลเตี้ยของผมคุณคงไม่อยากรู้หรอกว่ามันน่ากลัวแค่ไหน”

เขาพูดเสียงเซ็กซี่ กระซิบที่ข้างหูของเธอ ดลินายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหูนั่งชันเข่าหลังผงพนักโดยมีหมอนเป็นกำแพงกั้นแบ่งเขตแดนระหว่างเธอกับเขา ซึ่งมันดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าข้าศึกจะบุกข้ามฝั่งมา ศิวกรหัวเราะร่วนกับท่าทีของเธอ ดลินาด้วยความหมั่นไส้ก็เลยเอาหมอนที่ใช้เป็นกำแพงขว้างใส่เขา แต่เขารับได้เสียอย่างนั้น

“จะประกาศสงครามหรือครับ งั้นผมลุยล่ะนะ”

ศิวกรทำท่าจะจู่โจมเข้ามาดลินารีบเด้งตัวขึ้นยืนบนโซฟาก่อนจะกระโดดลงมายืนที่หลังโซฟา แล้วถอยกรูไปตั้งหลักหลังชนโทรทัศน์ที่ยังคงเปิดทิ้งไว้อยู่

“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ ไม่งั้นฉันจะ... จะ...”

...จะเอาไรดีวะ ดูยังไงก็เสียเปรียบเห็นๆ คิดถูกคิดผิดเนี่ยที่ให้เขามาอยู่ด้วย...

“จะอะไรครับ”

ส่วนฝ่ายข้าศึกขาเลิกคิ้วข้างขวาขึ้นถามนั่งวางมาดอยู่บนโซฟาเยี่ยงราชา

“ไม่รู้ล่ะ... ฉันไปนอนดีกว่า”

ว่าแล้วเธอก็เดินตรงไปยังบันไดเตรียมเดินขึ้นห้อง แต่ก็ถูกมือใหญ่ๆของเขาที่ไม่รู้มาถึงตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ฉุดเธอให้ลงไปนั่งบนตักของเขา แล้วใช่แขนที่แข็งแรงเหมือนตรวนที่รัดรอบเอวเธอเอาไว้ กันเธอหนี

“ปล่อยน๊า....”

หญิงสาวร้องเสียงหลงดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงนั้น

“อย่าดิ้นสิครับ คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ามันกำลังจะทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่อยู่”

ได้ผลชะงัก ร่างบางหยุดนิ่งทันทีแถมยังนั่งนิ่งตัวเกร็งอีกต่างหาก เขาพยักหน้าอย่างพอใจปนโล่งอก เขาพูดจริงทุกคำเพราะเขาต้องพยายามอดกลั้นควบคุมตัวเองเต็มที่ไม่ให้ทำอะไรหญิงสาวลงไป ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนเธอเกลียดสามชาติสิบชาติแน่ๆ

“ดีมาก เป็นเชลยที่ว่านอนสอนง่ายมาก เอาล่ะในเมื่อเชลยโดนจับตัวมา ก็ต้องยอมทำตามผู้ชนะนะครับ”
ดลินาพยักหน้าหงึกมองสบอยู่ตรงหน้าอกของเขา

“ไหนลองเรียกผมว่า ‘พี่ศิลา’ สิครับ”

ดลินาขมวดคิ้วจนเป็นก้นหอยก่อนจะเงยหน้ามองเขาอย่างงงๆ

“ว่าไงนะคะ เมื่อกี้ฉันคงหูฝาด”

“ผมว่า ไหนคุณลองเรียกผมว่า ‘พี่ศิลา’ แทนที่จะเรียกผมว่าผู้กอง”

“ไม่เอาอ่ะ ไม่ชินปาก”

หญิงสาวปฏิเสธพลางนึกในใจ ถ้าเกิดเธอเรียกเขาว่า’พี่ศิลา’ มันคงจะไม่สะดวกปากเธอเป็นแน่

“ทำไมล่ะครับ ถ้าวันหนึ่งผมเลื่อนขึ้นเป็นสารวัตร คุณก็ไม่ต้องเรียกผมว่าสารวัตร สารวัตรหรอกหรอ แล้วเป็นท่านรองด้วยแล้ว... ผมไม่อยากจะนึก”

พอเธอได้ยินเหตุผลของเขาก็หัวเราะคิกออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ศิวกรมองคนในอ้อมกอดที่หัวเราะอย่างงอนๆ

“ตายแล้วผู้กอง คิดได้ยังไงคะนั้น ฉันยังนึกไม่ถึงขั้นนั้นเลยนะคะ ฮะ... ฮะ... ฮ่า”

เธอยังคงหัวเราะไม่หยุดจนเขาเลยงอนเธอ เมื่อเธอรู้สึกว่าเขาเงียบไปไม่โต้ตอบอะไรกลับมาเหมือนปรกติ ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นทำหน้าบึ้งปากแบะอยู่ก่อนแล้ว มันยิ่งทำให้เธออยากจะหัวเราะออกมาอีก แต่ก็ต้องกลั้นไว้สุดชีวิตเพราะกลัวว่าเขาจะโกรธเธอเข้าจริงๆ

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ ไม่น่ารักเลยนะ”

เขาเหลือบตาลงสบกับตาสีน้ำตาลเข้มนั้น ก่อนจะเบื่อหน้าหนีไปอีกทาง

“โอ๋ๆๆ อย่างอนข้าวอย่างนั้นสิคะ ไปอาบน้ำนอนได้แล้วค่ะพรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่หรือคะ”

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากคนตัวโตแต่ขี้ใจน้อย ดลินาส่ายหน้าน้อยๆ

“เร็วสิคะพี่ศิลา ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว”

คราวนี้เธอทำเสียงหวานปนออดอ้อนใส่พร้อมกับคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องหันหน้ามายิ้มปากแทบฉีก

“โอเคครับ”

แล้วเขาก็ปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด รอจนกว่าเธอลุกขึ้นเขาจึงลุกตาม แล้วเขาก็เดินผิวปากขึ้นบันไดตรงไปยังห้องตรงข้ามของหญิงสาวอย่างสบายอารมณ์

********************************************************

ร่างของชายผู้หนึ่งกำลังยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น หลังจากการบุกเข้ามาของตำรวจที่ไม่ได้มาตรวจเหมือนตามปรกติเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ แถมยังบุกขึ้นมาถึงบนห้องของเขาเสียด้วยซ้ำ ในตอนนั้นก้องภพที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย แต่กลับวางท่าท้าทายอีกต่างหาก เพราะว่ายังไงคนพวกนี้คงต้องเกรงใจผู้เป็นพ่อของเขาที่คอยหนุนหลังเขาอยู่ ลูกน้องคนสนิททั้ง 2 คน ยืนขนาบข้าง
ร่างสูงใหญ่ถึงจะแต่งนอกเครื่องแบบแต่เขาก็จำได้ว่าเขาคนนั้นเป็นใครเดินก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่เกรงกลัวบารมีใดๆ ทั้งสิ้น

“สวัสดีครับ แหมผู้กองศิวกรนายตำรวจมือหนึ่งของกรมตำรวจมาเยือนผมถึงที่ช่างเป็นเกียรติ์จริง”

น้ำเสียงเย้ยหยันเคลือบยาพิษดังกังวาน แต่ศิวกรยังคงนิ่งสีหน้าเรียบไร้ความรู้สึกแบบที่ก้องภพเห็นแล้วไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

“ผมว่าเราเข้าประเด็นเลยดีกว่าครับ คุณต้องการให้ผมช่วยอะไรครับ”

“ผมมาขอพบลูกน้องของคุณ ‘นายสุรชัย’ และผมคิดว่าเขาคงจะอยู่ในห้องนี้ด้วย”

“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับคนของผม”

“ผมมีเอกสารบางอย่างอยากจะให้กับลูกน้องของคุณ”

“เอกสารอะไรครับ”

“หมายจับ... ในข้อหาผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าเอเย่นต์ค้ายาเสพติดรายใหญ่”

พร้อมกับยื่นหมายจับนายสุรชัยลงบนโต๊ะ แล้วศิวกรก็พยักหน้าให้กับลูกน้องของเขาเข้าไปจับกุมนายสุรชัยที่ยืนขนาบอยู่ทางขวามือของเขาทันที ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าเข้าเสียงตะโกนห้ามดังลั่นจากก้องภพก็ทำให้นายตำรวจคนนั้นถึงกับชะงักเลยทีเดียว

“หยุดนะ!! มันจะมากไปแล้วนะผู้กอง คุณกล้ามาจับคนของผมถึงถิ่นเลยหรอ”

“กล้าไม่กล้าผมก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว และคงจะไม่กลับไปถ้าไม่มีตัวนายสุรชัยไปด้วย หมวดอรุณไปจับตัวเขามา”

“ครับผม”

ว่าแล้วผู้หมวดอรุณที่ตามมาด้วยก็ตรงเข้าไปพร้อมกับกุญแจมือเข้าจับกุมนายสุรชัยที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของห้องทันที และแน่นอนว่าสุรชัยต้องขัดขืน ปล้ำกันอยู่นานกว่าจะจับใส่กุญแจมือได้ เขาถูกพาตัวออกไปเพื่อดำเนินการต่อไป ก้องภพโกรธจนลมออกหู หน้าตา หูแดงหมด จ้องมองศิวกรอย่างอาฆาตแค้น อยากจะเอาปืนออกมายองจ่อหัวเข้าไปสักนัด

“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ คุณเป็นพลเมืองที่ดีจริงๆ”

น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับเชือดเฉือนใจคนฟังยิ่งนัก ศิวกรยิ้มเย็นให้ก้องภพก่อนจะเดินออกนอกห้องตรงกลับไปยังรถสีขาวสลับแดงเลือดหมูที่จอดรออยู่หน้าสถานบันเทิงแห่งนี้

“แก! ไอ้ศิวกร... มันกล้ามาก”

“นายจะทำอย่างไรต่อไปครับ”

ลูกน้องที่ยืนทางซ้ายเอ่ย ส่วนคนที่ยืนอยู่ทางขวาเอ่ยสมทบมาอีกคน

“นายครับ... ผมว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงได้นึกถึงนายสมเกียรติ์คนนั้นขึ้นมาเฉย เราไว้ใจไอ้สมเกียรติ์อะไรนั้นได้หรือครับ ผมว่ามันดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ผมว่า...มันต้องเป็นตำรวจปลอมตัวมา”

เสียงลูกน้องคนสนิทของก้องภพถามขึ้น ก้องภพยังคงยืนหันหลังให้มองลอดออกหน้าต่างดูบรรยายกาศใน

“ไวท์ไวน์” ที่กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง อย่างใช่ความคิด

“นายคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง กลิ่นสาบของตำรวจมันโฉยออกมาขนาดนั้น”

ก้องภพพูดเสียงต่ำเย็นยะเยือก

“มันกล้ามาท้าทายนายอย่างนี้ สงสัยอยากตาย”

“ใช่! มันอยากตายถึงได้มากระตุกหนวดเสืออย่างฉัน”

“แล้วนายจะทำอย่างไรต่อไปครับ”

ก้องภพนิ่งเงียบอย่างใช่ความคิด ก่อนรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ไว้เมื่อถึงเวลานั้นแกก็จะรู้เอง หึหึ ฉันจะเล่นพวกมันให้เจ็บเลย”

…แกกล้าลองดีกับฉันงั้นหรือไอ้ศิวกร ไอ้ทนงศักดิ์ โดยเฉพาะแกไอ้ศิวกรฉันจะทำให้แกโทษตัวเองไปจนวันตายเลย ตอบแทนที่แกบังอาจกล้ามาจับคนของฉันถึงถิ่น... ก้องภพหัวเราะในคออย่างสะใจ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคำสนทนาเหล่านั้นได้เข้าหูของใครบางคนที่ยืนอยู่ภายในห้องนั้นชัดทุกถ้อยคำ

********************************************************

“ทุกคนเข้าใจแผนแล้วนะ อาทิตย์หน้าเราจะทำการตกลงซื้อขายกับนายก้องภพ ส่วนการส่งมอบสินค้าจะมีขึ้นอีก 1 เดือน ในระหว่างนั้นผมอยากให้พวกคุณระวังไว้ทุกฝีก้าวเข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจครับผม”

“ดี... ถ้างานนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ผมเลี้ยงใหญ่ให้พวกคุณเลย”

ท่านผู้กำกับประจำสถานีพูดเพื่อปลุกกำลังใจในการทำงานของลูกน้อง และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล แต่ละคนดูกระตือรือร้นขึ้นเยอะ

“ผู้กองศิวกร ผู้กองทนงศักดิ์ หมวดอรุณ และจ่าดำรงค์ ไปพบผมที่ห้องด้วยนะ”

“ครับผม”

ภายในห้องทำงานของท่านผู้กำกับ นายตำรวจทั้ง 3 กำลังยืนฟังคำบอกเล่าจากปากของท่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เมื่อคืนคุณทำได้ดีมากผู้กองแล้วผมจะรายงานเบื้องบนให้”

“ขอบคุณครับ”

ศิวกรพูดหน้านิ่ง

“ตอนนี้ก้องภพรู้แล้วว่าเรากำลังล่อซื้ออาวุธกับมันอยู่”

ท่านผู้กำกับเงียบไปสักพักก่อนจะบอกเล่าสิ่งที่สายรายงานมาต่อ

“ปัญหาอยู่ที่ว่าก้องภพจะทำอย่างไรต่อไปอันยากที่จะคาดเดา”

“แล้วสายของเราล่ะครับ พอจะสืบทราบได้หรือเปล่า”

เสียงของทนงศักดิ์เอ่ยถามขึ้น ท่านผู้กำกับส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

“ผมก็เลยอยากจะถามความเห็นจากพวกคุณว่าจะทำอย่างไรกันนี้ ทางเบื้องบนให้เวลาเรา 3 เดือนในการเผด็จศึกนายก้องภพ นี้ก็ผ่านไปเกือบจะ 1 เดือนแล้ว จริงอยู่ถึงจะมีเวลาเหลืออีก 2 เดือนก็ตาม แต่ผมคงไม่ปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างไร้ค่า”

“ท่านครับแล้วถ้าเราดัดหลังนายก้องภพล่ะครับ”

“หมายความว่าอย่างไร ขยายความหน่อยผู้กองศิลา”

“นายก้องภพเองก็คงรู้เรื่องพวกเราอย่างที่พวกเราก็รู้เรื่องของพวกเขา ถ้าเราอาศัยจังหวะการติดต่อครั้งที่จะถึงนี้ให้เป็นประโยชน์ มันคงคิดว่าเราคงไม่ทำอะไรกระโตกกระตากในทันที แล้วอาศัยจังหวะ...”

********************************************************

เสียงกระดิ่งที่หน้าร้านดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของคนที่มาอาศัยอยู่ที่ร้านยอดข้าวได้พักใหญ่สาวเท้าเข้ามาอย่างเป็นจังหวะ ดลินามองเขาอย่างแปลกใจ ปรกติถ้าไม่เที่ยงคืนคงไม่กลับแต่วันนี้กลับมาตั้งแต่ยังไม่ 5 โมงเย็นเสียด้วยซ้ำ ...แสดงว่ามันต้องมีอะไรผิดปรกติ

“กลับมาแล้วหรือคะ”

ดลินาเลือกที่จะไม่ซักไซ้เขา พูดต้อนรับอย่างอารมณ์ดี เพราะอย่างไรแล้วถ้าเขามีอะไรเขาก็คงจะบอกเธอเองแหละ ศิวกรเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาท์เพื่อที่จะพูดคุยกับเธอได้เป็นการส่วนตัว เพราะในร้านไม่ได้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นแต่ยังมีลูกค้าอยู่ 2-3 คน แก้วน้ำใสที่ภายในบรรจุด้วยน้ำกระเจี๊ยบใส่น้ำแข็งท่าทางจะเย็นชื่นใจถูกวางลงตรงหน้าของคนตัวสูง เขาขอบคุณเธอเบาๆ

ดลินาสังเกตเห็นสีหน้าที่มีแต่รอยแห่งความกังวลฉายออกมาอย่างเด่นชัดอย่างเป็นห่วง เขาคงต้องมีเรื่องอะไรที่กวนใจอยู่เป็นแน่

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่ค่อยดีเลย หรือว่าไม่สบาย”

ดลินาเอ่ยถาม ศิวกรสบตากับเธออย่างพยายามจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ยอมเปิดปากพูดออกมา

“เปล่าหรอกครับ ผมสบายดี”

“แต่ว่าสีหน้าคุณแย่มากๆเลยนะคะ”

“วันนี้คุณปิดร้านก่อนเวลาได้หรือเปล่าครับ”

เขาพูดน้ำเสียงแฝงแววอ้อนวอน ดลินามองเข้าไปในตัวตาของเขาเหมือนจะค้นหาคำตอบ แต่เธอกลับเห็นแค่แววตาแห่งความกังวลและการขอร้องจากเขา ดลินาอยากจะตอบปฏิเสธแต่ใจกลับสั่งใกล้เธอพยักหน้ารับคำเขาแทน

“ได้ค่ะ... แต่ต้องรอให้ลูกค้าชุดนี้ออกไปก่อนนะคะ”

“ได้ครับ ผมรอได้แล้วเดี๋ยวเราไปเที่ยวกันดีกว่า”

พูดจบเขาก็เดินไปหันป้ายปิดออกนอกร้านโดยที่ไม่รอให้เธอคัดค้านอะไรได้อีก

********************************************************

แสงไฟข้างทางช่วยส่องสว่างให้เส้นทางเรียบขนานกับทะเลช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถในยามค่ำคืน รถยนต์โฟร์วิลไดรฟ์สีแดงเลือดหมูมาหยุดลงตรงเกือบจะท้ายหาดที่เงียบสงบ หลังจากที่เขาพาเธอไปทานอาหารทะเลใกล้ๆบริเวณนั้นแล้วเขาก็พาหญิงสาวมายังท้ายหาดที่เขามักจะมาผ่อนคลายหลังจากทำงานเป็นประจำ

ดลินาลงมาจากรถหลังจากที่เขาเปิดประตูให้ เขาจูงมือเธอเบาๆพาเดินลงไปยังหาดทรายที่แสนจะนุ่มเท้า ดลินาเดินถอดรองเท้าเพื่อที่จะได้เดินบนพื้นทรายได้ถนัดถนี่ยิ่งขึ้น ดวงจันทร์กลมโตเต็มดวงส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า

ดลินาวางรองเท้าของตนลงข้างๆแล้วอ้างแขนกว้างขนานกับพื้นสุดหายใจลึกๆรับลมทะเล นานแล้วที่เธอไม่ได้มาทะเล ไม่ได้มารับกลิ่นไอทะเลแบบนี้

“สดชื้นจังเลยนะคะ ฉันไม่ได้มาทะเลนานมากแล้ว พอมาอีกทีรู้สึกว่าตัวเองบ้านนอกอย่างไรก็ไม่รู้ทำอย่างกับไม่เคยเห็นทะเลมาก่อน”

ดลินาหันมายิ้มให้กับด้วยรอยยิ้มที่สดใส ศิวกรเดินเข้ามากอดเธอจากด้านหลังเกยคางไว้กับไหล่บางของเธอ

“นี่คุณ...ปล่อยนะ”

คนตัวเล็กพยายามดิ้นขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั้นด้วยความเขินแต่ดูจะไม่เป็นผล เขายิ่งกอดเธอแน่ขึ้น สุดท้ายก็ต้องยอมหยุดดิ้นไม่มีการโวยวายใดๆอีก ในเมื่อเธอเองก็ปฏิเสธอ้อมกอดนี้ไม่ได้เช่นกัน
เสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นจังหวะช่วยทำให้จิตใจของทั้งคู่สบงได้อย่างแปลกประหลาด ศิวกรยังคงกอดเธอไว้อย่างนั้นเหมือนกันกำลังชาร์ตพลังให้กับร่างกายของตน เงียบ...เขาเงียบจนผิดปรกติ

“มีอะไรหนักใจหรือเปล่าคะ หรือว่าเครียดเรื่องงาน”

เธอหันไปถามคนที่ใช่ไหล่เธอเป็นหมอนหนุนด้วยเสียงที่อ่อนโยน

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากกอดคุณอย่างนี้ก็เท่านั้นเอง”

“ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าคะ รู้หรือเปล่าว่าชักจะหวานเลี่ยนขึ้นทุกวันแล้วนะคะ... แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว อายชาวบ้านชาวช่อเขา”

เธอถามเขาเพื่อกลบเกลื่อนความอายของตน ตีแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวเธอไว้ 1 ทีจนเขาทำหน้ามุ่ยใส่เธอ

“เรื่องอะไรจะปล่อย ผมชอบอยู่กับคุณแบบนี้ หรือว่าคุณไม่ชอบ”

“จะบ้าหรอ... พูดออกมาได้”

“จริงๆนะครับ ตัวคุณนุ่มจะตายไป กอดแล้วจะได้หลับฝันดี”

เขาพูดหยอกเธอ และดูเหมือนว่าคนตัวเล็กกว่าอายจนหน้าแดงไปเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่แสงไฟบริเวณนั้นไม่สว่างมากนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เห็นดีกรีของหน้าเธอที่แดงยิ่งกว่ามะเขือเทศเป็นแน่



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ม.ค. 2556, 11:28:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ม.ค. 2556, 11:28:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1245





<< บทที่ 7 (เดินหน้า... 1)   บทที่ 8 (เพื่อเธอ... 1) >>
Auuuu 18 ม.ค. 2556, 16:22:36 น.
น่ารักกกก :)))


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account