ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 8 (เพื่อเธอ... 2)

บทที่ 8
( ...เพื่อเธอ... 2)

ดลินามองร่างหนาที่นั่งดูทีวีอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าตาจะจ้องดูโทรทัศน์แต่ว่าจิตใจเหมือนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูจากบรรยากาศความเครียดที่ลอยอยู่รอบตัวเขาแล้ว ดลินาก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้ หลังจากที่ก้องภพออกจากร้านไปแล้ว กว่าที่ศิวกรจะเดินไปยังหลังร้านอย่างเงียบขรึมก็เกือบ 2 นาที

ดลินาต้องบอกขอโทษลูกค้าในร้านเป็นการใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจมันทำให้เธอรู้สึกโล่องอก แล้วออกปากว่าพวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าอาหาร เพราะทำให้พวกเขาต้องตกใจ กว่าเหล่าลูกค้าทั้งหลายจะยอมให้เธอเลี้ยงร่างบางก็ต้องพูดอ้อนวอนเสียตั้งนาน

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างเรียกกำลังใจ ถึงแม้ว่าเวลาที่เขาอยู่กับเธอจะใจดีและอ่อนโยน แต่สถานการณ์ตอนนี้เธอก็เดาอารมณ์เขาไม่ถูกเหมือนกัน

...เอาวะตายเป็นตาย ยอดข้าวสู้ๆ...

ดลินาเดินเข้าไปหาเขาทางด้านหลังโดยมีพนังโซฟาเป็นกำแพงกั้นไว้ระหว่างเขากับเธอก่อนจะโอบแขนรอบคอของเขา คางมนเกยอยู่กับไหล่กว้างของเขาอย่างออดอ้อน แก้มใสเนียนนุ่มชนกับแก้มสากๆของเขานั้นทำให้ศิวกรตื่นจากห้วงแห่งความคิดของตนเองทันที มือหนาเลื่อยขึ้นมาจับที่มือบางก่อนจะบรรจงพรมจูบที่มือน้อยๆอย่างรักใคร่

“เป็นอะไรไปคะ นั่งเงียบเชียว... คิดอะไรอยู่”

น้ำเสียงอ่อนหวานแฝงไปด้วยความเป็นห่วงที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของหญิงสาวนั้นทำให้เขารู้สึกชื้นใจขึ้นมาทันที

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเครียดเรื่องงานน่ะ”

“เรื่องงาน!? สงสัยต้องเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายแน่ๆเลยใช่ไหมคะ”

น้ำเสียงไม่พอใจของเธอทำให้เขาหัวเราะออกมาน้อยๆ

“มันก็ไม่ได้อันตรายมากนักหรอกครับ”

“ไม่อันตราย! พูดมาได้ไงไม่อันตราย งานแต่ละเรื่องที่คุณทำน่ะอันตรายทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือคะ คราวนี้ก็คงไม่แคล้ว”

“ใครบอกคุณว่างานของผมอันตรายทั้งนั้น ไม่จริงเสียหน่อย”

“ก็คุณแม่อารีไงคะ! ท่านบอกว่าสมัยตอนที่คุณอยู่ชายแดนนะ คุณน่ะบู้ล้างพลาญอย่างกับอะไรดี ไม่เห็นใจคนแก่ที่นอนเป็นห่วงอยู่บ้านเลย พอย้ายมาประจำในกรุงเทพฯ นึกว่าจะเลิกบู้ล้างพลาญได้ มาอยู่ได้วันเดียวก็กลับไปตีกับมาเฟียเสียอย่างนั้น”

ดลินาพูดถึงเรื่องที่ได้รับฟังจากมารดาของคนรักแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่ใช่จะไม่เข้าใจว่างานของเขาเป็นอย่างนี้ แต่มันก็อดห่วงไม่ได้จริงๆ

“แม่ผมก็โม้ไปงั้นแหละครับ สงสัยคงจะงอนลูกชาย”

“ท่านจะงอนเรื่องอะไรล่ะคะ”

“ก็งอนเรื่องที่ผมไม่ยอมมีหลานให้ท่านอุ้มเสียที”

ว่าแล้วก็หอมแก้มใสเข้าหนึ่งที ดลินาด้วยความเขินก็ใช้มือข้างหนึ่งที่โอบคอเขาไว้ตีเพี๊ยะเข้าไปที่หน้าอกแข็งแรง 1 ทีเป็นการลงโทษแต่ก็ยังโอบเขาไว้อยู่อย่างนั้น

“ตีผมอีกแล้ว ดีนะตีไม่โดนหัวใจผมไม่อย่างนั้นคุณก็คงจะเจ็บไปด้วย”

“พอเลยนะมุขเสี่ยวๆแบบนั้น เลี่ยนจะตาย”

เดี๋ยวนี้เธอเริ่มแทนชื่อเล่นตัวเองกับเขาแทนทีจะเรียกกันอย่างเหินห่างเหมือนสมัยก่อน แต่เรื่องที่จะให้เธอเรียกเขาว่า ‘พี่ศิลา’ นี่มันสุดความสามารถเธอจริงๆ กว่าเขาจะยอมเธอก็ต้องอ้างนู้นอ้างนี้สารพัด แต่ก็ไม่ได้ผลสุดท้ายก็ต้องใช้วิธีง้อที่เลนเอาเธอไม่กล้าเข้าใกล้เขาไป 2 วันเต็มๆ เขาถึงจะยอมหายงอนเธอ

“ก็อยากกอดคุณบ้างนี่หนา ไม่ได้เจอคุณตั้งหลายชั่วโมง”

“ตอนนี้ก็บอกว่าคิดถึง พอนานไปคุณก็คงจะเบื่อหน้าข้าวแล้วล่ะค่ะ”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ผมไม่มีวันเบื่อคุณหรอกครับ”

น้ำเสียที่หนักแน่นจริงจังดังออกมาจากปากของเขา เธอรู้ว่าเขาเป็นคนพูดจริงทำจริง แต่ก็นะนิสัยของผู้หญิงที่จะถามเซ้าซี้เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ

“ให้มันจริงเถอะค่ะ ถ้าคุณโกหกข้าวล่ะก็ ข้าวจะเอาปืนยิงคุณก่อนแล้วค่อย...”

“แล้วค่อยฆ่าตัวตายตามหรือครับ”

“เปล่า! พอฆ่าคุณเสร็จข้าวก็หาแฟนใหม่สิคะ เรื่องอะไรข้าวจะตายตามคนใจร้ายไป”

แล้วเสียงหัวเราะอย่างขำขันก็ดังออกมาจากปากของเธอพร้อมกับปล่อยมือที่โอบอยู่รอบคอเอาออกแล้วเดินหนีไปทันที แล้วก็แน่นอนว่าต้องหนีไม่ทันอ้อมแขนของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อกี้นี้ที่ตอนนี้เขากระโดดข้ามมันมาแล้วคว้าเอวบางเข้ามาหาตัว ทำให้ดลินาปะทะเข้ากับอกกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาอย่างจัง

“เจ็บนะ คุณชอบเล่นแรงอยู่เรื่อยเลย”

ดลินาลูบตีเข้าไปที่อกกว้างนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแววตาที่ดูจะเศร้าสร้อยจากเขา

“เป็นอะไรไปคะ ข้าวทำให้คุณโกรธหรอ”

มือบางทั้งสองข้างเอื้อมมาประคองอยู่บนใบหน้าสากของเขา สีหน้าแสดงความเสียใจแล้วปากเตรียมจะเอ่ยวาจาขอโทษเขาไป แต่เขาก็ขัดไว้ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร

“เมื่อตอนเย็น... ก้องภพ เขาทำอะไรคุณหรือเปล่า”

อยู่ดีๆเขาก็ถามเปลี่ยนเรื่องทันที ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย แล้วก็ส่ายหน้าอย่างงงๆ
“เขาไม่ได้ทำอะไรข้าวหรอกค่ะ ก็แค่พูดจาไม่เข้าหูบ้างก็เท่านั้น”

ดลินาเล่าแบบพอจับใจความสำคัญ ขืนลงรายละเอียดมากไปกว่านั้นคงได้เห็นพายุลูกใหญ่พัดในบ้านเธอแน่ๆ
“หรอครับ”

เขาปล่อยเธอเป็นอิสระก่อนจะจูงมือเดินนำมาที่โซฟา แล้วนั่งลงโดยให้เธอนั่งซ้อนอยู่บนตักของเขา ดลินาเองก็ทำตามความต้องการของเขาอย่างว่าง่าย คนตัวโตใช้มือคล้องเอวบางไว้หลวม

“ใช่ค่ะ แค่นั้นจริงๆ คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ถ้าเขาแตะต้องตัวข้าวล่ะก็ ข้าวจะเอาปากกาในมือทิ่มคอเขาเหมือนในหนัง”

“ขี้โม้”

“อ้าวจริงๆนะ ข้าวไม่ยอมให้เขามาแตะต้องตัวฉันง่ายๆหรอก แต่ถ้าเขาจะแตะต้องฉันล่ะก็ข้าวยอมตายเสียดีกว่า”

คนพูดคิดอย่างนั้นจริงๆ ถ้าเกิดก้องภพคิดจะลวนลามเธอแล้วล่ะก็เธอจะฆ่าตัวตายต่อหน้าเขาดีกว่าที่จะยอมให้คนอย่างนั้นมาข่มเหง ศิวกรมองเข้าไปในตาสีน้ำตาลเข้มอย่างจะหยั่งลึกให้เข้าไปถึงจิตใจของคนพูด ไม่... ไม่มีทาง เขาไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด แม้จะต้องเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลกก็ตาม เพื่อเธอแล้วเขายอมแลกกับทุกสิ่ง คำพูดสุดท้ายก่อนที่ก้องภพจะเดินออกจากร้านไปเมื่อเย็นนั้นก็แล่นเข้ามาในความนึกคิดของเขาทันที

‘คนสวยๆอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นของแกเลยนะ รักษาไว้ดีๆล่ะเพราะว่าฉันกำลังคิดจะแย่งเธอไปจากแก แล้วหลังจากนั้นฉันจะทำให้เธอเหมือนตกนรกทั้งเป็น ฮะฮะ’

*****************************************************

แล้ววันอาทิตย์ที่ได้ทำการนัดหมายกันก็มาถึง ดลินายังคงเปิดร้านตามปรกติ เธอไม่รู้เลยว่าเวลาในอนาคตอันใกล้นี้กำลังจะมีการจับกุมครั้งใหญ่ขึ้นที่ร้านของเธอ เธอเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมวันอาทิตย์แท้ๆ เขายังต้องไปทำงานอีก ทั้งที่วันนี้เขาก็ไม่ได้เข้าเวร แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมาก คิดว่าก็คงเป็นเพราะมีงานที่สำคัญมากๆจะต้องไปทำ ดลินาเดินไปเดินมาระหว่างหลังร้านและหน้าร้าน

วันนี้ตั้งแต่เช้ายังไม่มีลูกค้าเข้าร้านเธอเลย แต่สิ่งที่เธอเริ่มจะคิดว่ามีเรื่องผิดปรกติเกิดขึ้นก็ตรงที่มีผู้ชายสวมแว่นดำแต่งชุดซาฟารีสีน้ำเงินเข้ม 2-3 คนยืนอยู่หน้าร้านเธอมาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว สมองเธอก็เริ่มสั่งการไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ตื่นตัว อยู่ดีๆ เหงื่อเธอก็เริ่มซึมออกมาจากหน้าฝากทั้งที่ภายในร้านก็เปิดแอร์เอาไว้ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเธอว่าควรจะรีบหนีไปจากที่นี้ แต่เธอก็ไม่ทำ ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดเช่นกัน

4 โมงตรง เสียงกระดิ่งจากประตูที่หน้าร้านดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยกลุ่มคนจำนวนมากเดินเข้ามาในร้าน ชายคนหนึ่งที่เธอคิดว่าคงจะเป็นหัวหน้าเพราะว่าเขาเดินอยู่กลางวงล้อมของลูกน้องที่แต่งตัวรัดกุม เดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้ตัวหนึ่งส่วนลูกน้องเขาก็เดินมาเป็นวอลเปเปอร์อยู่ข้างหลังเป็นกำแพงทะมึน

ถ้าเธอไม่คิดไปเองรู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งจ้องมองเธอจากคนกลุ่มนั้นแต่ไม่รู้ว่ามาจากคนไหนเพราะทุกคนต่างใส่แว่นดำหมด บรรยากาศน่ากลัวเหล่านี้มันทำให้เธอไม่กล้าจะเดินไปหาพวกเขาเลย ได้แต่ยืนตัวสั่นหน้าซีดอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์เท่านั้น

มู่ลี่ที่ใช้บังแสงแดดยามเช้าที่สอดส่องเข้ามายามนี้มันได้ถูกปิดลงอีกครั้งด้วยฝีมือลูกน้องของผู้ชายคนนั้นเพื่ออำพลางจากสายตาของคนภายนอก แล้วลูกน้องเขาอีกคนเดินตรงมาทางเธอแล้วพูดเสียงเหยียบเย็นปนข่มขู่
“ขอกาแฟดำแล้วก็น้ำเย็นเอามาให้ผมตรงเคาท์เตอร์นี่เข้าใจหรือเปล่า”

“ขะ เข้าใจแล้วค่ะ รอสักครู่นะคะ”

แล้วดลินาก็จัดแจงชงกาแกทันทีอย่างรนราน ...น่ากลัวอ่า ผู้กองขาช่วยข้าวด้วย...

2 นาทีต่อมากาแฟดำและน้ำเย็นก็ได้ถูกนำมาวางบนถาดใส แล้วเธอก็ส่งถาดนั้นไปให้ผู้ชายชุดดำที่ยืนดูทุกการกระทำของเธออย่างจับผิด เขาส่ง ธนบัตรใบละ 1000 บาทมาให้เธอแล้วเธอก็รู้สึกว่ามีกระดาษอะไรที่นอกเหนือไปจากธนบัตรซ้อนอยู่ด้านหลัง

ดลินาเอาธนบัตรออกก็เห็นกระดาษที่ตัดขนาดเล็กกว่าธนบัตรเล็กน้อย ในนั้นมีข้อความเขียนไว้ ข้อความนั้นเขียนโดยลายมือศิวกร...เธอจำได้ว่าเป็นลายมือของเขา ดลินารีบหันหลังให้กับภายนอกแล้วลงมืออ่านทันที

‘ทันทีที่นายก้องภพเข้ามาในร้าน คุณพยายามหาทางรีบหนีออกไปทางประตูหลังร้านนะครับ พยายามทำให้เป็นปรกติที่สุด ที่นั้นศักดิ์เขาจะรอรับคุณอยู่ข้างนอก ถ้าไม่ใช่ศักดิ์คุณห้ามไปกับคนอื่นเด็ดขาด’
ดลินาอ้าปากค้างอยากตกใจแล้วรีบหันไปมองคนกลุ่มนั้นก็เห็นมีใครบางคนจ้องมายังเธอแล้วภาพในวันแรกที่ทั้งคู่ได้เจอกันก็ซ้อนเข้ามาในความทรงจำของเธอ

“ผู้กอง!”

เธอพึมพำออกมาแทบไม่มีเสียง อะไรบางอย่างบอกเธออย่างนั้น คนที่เธอรักกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เขากำลังทำงานอยู่ ดลินาไม่จำเป็นต้องอ่านข้อความนั้นทวนซ้ำสอง เธอจัดการฉีกมันเป็นชิ้นๆอย่างละเอียดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ทิ้งลงถังขยะไป

เธอนั่งลงบนเก้าอี้หลังเคาท์เตอร์แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทำตัวเหมือนปรกติทุกอย่าง แต่สายตาก็คอยเหลือบขึ้นไปมองที่ประตูเป็นระยะๆ ศิวกรมองอาการนั่งเฉยของหญิงสาวแล้วก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ที่เขาไม่ให้เธอหนีออกไปทันทีเพราะกลัวว่าก้องภพเข้ามาในร้านแล้วจะผิดสังเกต แต่ของก็ต้องชื่นชมเธอว่าสติดีหรือเกิน

มันไม่น่าจะเป็นวันนี้ ทั้งที่สามารถขอเรื่อยวันเข้าจับกุมได้แท้ๆ แต่เมื่อเบื้องบนสั่งลงมาแล้วเขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ แม้กระทั่งเจ้าของสถานที่นัดพบในครั้งนี้เขาก็ยังบอกไม่ได้เลย เมื่อนึกถึงเขาก็เจ็บใจตัวเองทุกครั้งเสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะตามมาด้วยกลุ่มคนของนายก้องภพเดินเข้ามาในร้าน เขาหันไปมองดลินาที่กำลังลุกขึ้นเดินไปหลังร้านอย่างมีสติด้วยความโล่งอก... เธอกำลังจะปลอดภัยแล้ว

“สวัสดีครับคุณเจ้าของร้านคนสวย เราเจอกันอีกแล้วนะ”

เสียงก้องภพดังขึ้นทำให้ดลินาที่กำลังเปิดผ้าม่านที่กั้นหลังร้านกับหน้าร้านต้องชะงักทันที แล้วหันมามองเขาด้วยแววตาราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ศิวกรแทบจะกระโจนออกไปปกป้องเธอทันทีที่เห็นก้องภพเดินตรงไปหาเธอที่เคาท์เตอร์ แต่ก็มีมือของใครคนหนึ่งสะกิดเตือนเขาไว้

“สวัสดีค่ะ ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเจอคุณอีก ประหลาดใจเหมือนกัน”

“ก็ผมบอกแล้วว่าเราต้องได้เจอกันอีก”

“ค่ะ วันนี้คุณมากันเยอะหวังว่าคงจะหาที่นั่งเองได้ใช่หรือเปล่าคะ”

ดลินาถามเป็นปรกติ ไม่มีพิรุธอะไรแสดงออกมา ท่าทีเหล่านั้นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองด้วยความชื่นชม... ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะสามารถควบคุมสติได้เป็นอย่างดี และใจเด็ดถึงขนาดนี้ สมแล้วกับที่ผู้กองศิวกรเลือก

“ครับ แล้วก็รบกวนขอกาแฟเย็นๆ สักแก้วนะครับ แต่ถ้าได้ตัวคุณมาเป็นของหวานด้วยก็ยินดี”

อาจจะอาเจียน... ดลินารู้สึกขยะแขยงกับนายก้องภพคนนี้จริงๆ ทั้งที่หน้าตา ฐานะทางบ้านก็ดี แต่ไม่น่ามีนิสัยที่น่ารังเกียจแบบนี้เลย ดลินามองเขาที่เดินจากไปนั่งลงยังเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับคนที่เข้ามาก่อนในตอนแรก

ดลินาลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะทำท่าทีว่ากำลังจะชงกาแฟ หยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ แล้วเธอก็เปิดตู้นู้น ปิดตู้นี้ ก้มๆเงยๆ เหมือนกำลังจะอะไรบางอย่างอยู่ แล้วเธอก็ทำจิ๊จ๊ะในคอเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่างแล้วเดินเข้าไปหลังร้านทันที

...เธอไปหลังร้านแล้ว ขอบคุณสวรรค์…

เขาคิดในใจอย่างนั้น คราวนี้เขาคงจะทำงานได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว ศิวกรจ้องมองก้องภพผ่านแว่นสีดำเลยทำให้ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แว่นดำหนาเตอะบวกกับปิดหนวดบนริมฝีปากบนเล็กน้อย หน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“คุณมาช้านะครับ คุณก้องภพ”

“แหม... ผมต้องขอโทษด้วยแล้วกันพอดีมีปัญหาเรื่องธุรกิจกับลูกค้ารายอื่นเล็กน้อย”

“เรื่องนั้นผมไม่อยากรู้หรอก เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”

แล้วสมเกียรติ์ก็ดีดนิ้วหนึ่งที ก่อนที่ลูกน้องของเขาจะเดินเอากระเป๋ามาวางบนโต๊ะแล้วเปิดมันออกเผยให้เห็นธนบัตรสกุลเงินต่างชาติบรรจุอยู่เต็มกระเป๋า ก้องภพมองอย่างพอใจแล้วหยิบเงินปึกหนึ่งขึ้นมากรีดดูว่าเป็นของจริงทั้งหมดหรือเปล่า

“เงินนี้มันหอมหวานจริงนะครับ มันทำให้คนเรากลายมาเป็นปีศาจได้”

“นั้นสิครับ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ผมก็ชอบ อำนาจ เกียรติยศ เงินทอง และผู้หญิง ใครบ้างที่ไม่ต้องการ”
ก้องภพเอ่ยพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน เหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติสำหรับเขา แต่คนฟังกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนในความคิดเขาก้องภพเป็นอย่างมาก

“ส่วนนี้เป็นรายการของทั้งหมดที่ผมต้องการ”

เขาพูดตัดบทก่อนจะส่งกระดาษแผ่นหนึ่งที่ภายในระบุถึงอาวุธแต่ละชนิด รุ่น และจำนวนอย่างละเอียดให้ก้องภพ ก้องภพกวาดตามองรายชื่อของที่ลูกค้าคนนี้เขาต้องการอย่างแปลกใจ เพราะสิ่งที่เขาต้องการแต่ละอย่างหาง่ายทั้งนั้น

“ผมขอเวลาสัก 1 อาทิตย์ที่จะเตรียมของให้พวกคุณ”

“ได้ครับไม่มีปัญหา แล้วผมจะรายงานเรื่องนี้ให้เจ้านายผมทราบ หวังว่างานหน้าเราคงได้มีโอกาสได้ทำธุรกิจกับคุณอีกนะครับ”

“เช่นกันครับ”

ทั้งสองต่างก็จับมือซึ่งกันและกัน แล้วจังหวะนั้นสมเกียรติ์ก็เอากุญแจมือใส่เข้าไปที่ข้อมือของก้องภพทันทีอย่างไม่ให้ตั้งตัว ก้องภพเงยหน้ามองก้องภพอย่างไม่เข้าใจในตอนแรก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโกรธแค้น

“แก...”

ถึงก้องภพจะรู้ว่าเขาเป็นสายตำรวจปลอมตัวมาแต่ก็ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือจับกุมเขาตอนนี้ และที่นี่... เขาประมาทไป

“ผมขอจับคุณข้อหาค้าอาวุธสงคราม ค้ายาเสพติด และจ้างวานฆ่าคนตาย”

“ปล่อยนะเว้ย”

ลูกน้องของก้องภพที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างก็ชักปืนออกมาเตรียมยิงต่อสู้ ฝ่ายของตำรวจก็เช่นกันชักปืนออกมาเตรียมป้องกันตัวเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเสียเปรียบเพราะว่าในกลุ่มคนของก้องภพมีสายตำรวจแฝงตัวอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็จ่อปืนไปยังพวกก้องภพจากทางด้านหลัง ดูยังไงคราวนี้เขาไม่มีทางรอดเป็นแน่

“ปล่อยกูนะเว้ย ไม่อย่างนั้นนางนั้นตาย”

สิ้นเสียงข่มขู่ของก้องภพร่างบางของดลินาก็ถูกกระชากออกมาจากหลังร้านอย่างแรง ใบหน้าช้ำเหมือนถูกตบอย่างแรง น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ไหลริน ชายชุดเข้มเอาปืนจ่อที่ศีรษะของเธอ มือหนึ่งล็อคคอของเธอเอาไว้

หลังจากที่ดลินาพยายามจะเดินหนีไปทางประตูหลังร้าน ทันทีที่เธอเปิดประตูออกไปก็เห็นทนงศักดิ์กำลังสู้อยู่กับคนของก้องภพ 2 คน ถึงแม้ว่าทนงศักดิ์จะเก่งขนาดไหนแต่ด้วยกำลังคนที่น้อยกว่า และแรงเริ่มตกทำให้เสียท่าพลาดพลั้ง โดนชายคนหนึ่งเอาท่อนไม้ตีเข้าไปที่หลังอย่างแรงจนทรุดลงไปนอนกับพื้น ดลินากำลังจะก้าวเท้าวิ่งหนีแต่ก็โดดชายคนหนึ่งจับข้อมือไว้ได้ก่อน

เธอพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการลุกลานนั้นแต่ก็ไม่เป็นผล ร่างบางเลยกัดเข้าไปที่ข้อมือจนจมเขี้ยว ทำให้ชายคนนั้นร้องออกอย่างเจ็บปวด

เพี้ยะ!!!!

เสียงฝ่ามือกระทบเข้าใบหน้าของดลินาอย่างแรงจนทำให้เธอลงไปกองกับพื้น ความเจ็บปวดที่ใบหน้าเริ่มส่งผลทำให้แก้มเธอบวมและช้ำ ความเจ็บที่แก้มทำให้เธอไม่มีแรงแม้กระทั่งส่งเสียร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย แล้วเขาก็จัดการลากเธอกลับเข้าไปที่หลังร้านทันที่เห็นก้องภพกำลังจะเสียทีให้กับตำรวจ

*****************************************************

ศิวกรมองคนที่กำลังเอาปืนจ่อดวงใจของเขาด้วยอารมณ์โกรธ และแค้นอย่างมาก เขากัดฟันกรอดๆ ตั่วสั่นอย่างแรงด้วยฤทธิ์โทสะ

“ปล่อยกู ไม่งั้นลูกกระสุนได้ฝั่งสมองของนางนั้นแน่ ปล่อยสิวะ!”

เขาตวาดก้องร้าน แล้วลูกน้องของก้องภพก็บีบคางมนของดลินาอย่างแรงจนเธอร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด สะบัดหน้าเพื่อหนีให้พ้นการกระทำนั้น แต่ยิ่งดิ้นแรงบีบก็ยิ่งมากขึ้น

“ปล่อยนะ ฉันเจ็บ”

แม้จะเป็นเสียงร้องเบาๆ แต่ก็สะท้านไปทั้งใจ ศิวกรแทบอยากจะฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ทำให้หญิงสาวตรงหน้าต้องได้รับบาดเจ็บ

“จ่า... ทำตามที่เขาต้องการ”

เสียงเย็นยะเยือกจากผู้ที่มีอำนาจสั่งการณ์สูงสุดในการเข้าจับกุมครั้งนี้สั่งขึ้น สมเกียรติ์ต้องทำตามคำสั่งเพราะชีวิตของตัวประกันสำคัญกว่า แล้วยิ่งตัวประกันตอนนี้เป็นคนสำคัญของเจ้านายของพวกเขาด้วยแล้ว ตำรวจหลายนายก็ไม่กล้าเสี่ยง

เมื่อเป็นอิสระ... ก้องภพก็หยิบปืนที่ตัวเองซ้อนเอาไว้ขึ้นมาจ่อไปยังพวกเขา เดินถอยหลังอย่างคุมเชิงไปยืนอยู่ข้างๆลูกน้องของตัวเองที่ยืน ล็อกคอของหญิงสาวอยู่ เหล่าลูกน้องอีก 4 คนก็ถอยตามเขาไปเช่นกัน

“ถ้าแกทำอะไรเธอ รับรองแกจะเสียใจไปตลอดชีวิต”

เสียงศิวกรเอ่ยอย่างเยือกเย็น แววตาจ้องมองก้องภพอย่างโกรธแค้น แล้วก็เหลือบไปมองร่างบางที่ร่างกายดูเหมือนว่าจะรับไม่ไหวแล้วพร้อมจะทรุดลงไปกองกับพื้นทุกเมื่อนั้นอย่างเจ็บปวดแทนเธอ... เขารู้ว่าร่างเล็กนั้นบอบบางแค่ไหน

“คนอย่างแกจะทำอะไรฉันได้ อย่าตามมานะเว้ย ไม่อย่างนั้นกูเบาในสมองนางนี่กระจาย”

ว่าแล้วก้องภพก็เดินเลี่ยงไปทางหลังร้าน ลูกน้องของเขาก็ฉุดกระชากร่างบางอย่างไม่ปราณีไปด้วย
“ผู้กองคะ ช่วยข้าวด้วย”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวที่แผ่วเบาแต่บาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจของเขาพร้อมกับน้ำใสๆที่เริ่มไหลรินออกจากดวงตาคู่สวย ศิวกรเตรียมจะพุ่งเข้าไปช่วยเธอแต่ลูกน้องของเขาต้องเข้ามาขวางไว้ก่อน
“อย่าครับผู้กอง ใจเย็นๆ อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเดี๋ยวคุณดลินาจะได้รับอันตรายนะครับ”

ศิวกรต้องพยายามข่มใจตัวเองให้สงบลง แล้วเดินตามพวกนั้นไปช้าๆ อย่างไม่ให้คลาดสายตา
ต่างฝ่ายต่างถือปืนขึ้นมาเตรียมยิงอย่างคุมเชิงแต่ก็ไม่มีใครลงมือทำอะไร พอออกมาจากประตูหลังร้านได้ ก้องภพก็เห็นรถที่กระบะที่ลูกน้องของเขาเอามาจอดเอาไว้ก็เดินตรงไปกระโจนขึ้นไปยังกระบะหลังทันที พวกลูกน้องทั้งหลายก็ตามขึ้นไปติดๆ

เหล่าตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งหลายต่างเข้ามาล้อมกรอบรถกระบะคันนั้นไว้เพื่อให้หนี แต่ตัวประกันที่อยู่กับผู้ร้ายนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไรบู่มบ่ามออกไป

“ก้องภพปล่อยเธอซะ”

เสียงตะโกนจากศิวกรทำให้ก้องภพแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะประกาศกร้าว

“เปิดทาง ไม่อย่างนั้นก็ไปหาคนสวยในนรกแทนก็แล้วกัน”

จากสถานการณ์ที่ตัวเองเหนือกว่าเขาจึงมีอำนาจในต่อรอง ศิวกรได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างอาฆาตแค้นในตัวก้องภพ ร่างของใครคนหนึ่งที่ขยับน้อยบนพื้นทำให้ศิวกรหันไปดูก็เห็นร่างของเพื่อนรักพยายามพยุงตังเองขึ้นช้าๆ ใบหน้ามีรอยฟกช้ำจากการต่อสู้ วูบหนึ่งสายตาของเขาสั่นเล็กน้อย จ่าดำรงเข้าไปช่วยพยุงให้ทนงศักดิ์ยืนขึ้น แล้วพาหลบไปหลังฉากทันที

“ว่ายังไงครับผู้กองศิวกร จะเปิดทางให้ผมดีๆ หรือว่าจะให้ผมเป่าสมองเธอล่ะครับ”

“โธ่เว้ย!!! เปิดทาง”

ศิวกรเอ่ยออกมาอย่างจำใจ สายตาเขาจ้องมองไปยังร่างบางที่ดูเหมือนกำลังจะหมดสติ รถกระบะคันสีดำก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ เมื่อเห็นช่องทางที่ตำรวจต้องแหวกออก

“ฮะ...ฮะ...ฮะ... บอกแล้วว่าแกไม่มีทางชนะฉันได้หรอก ส่งนางตัวดีมาให้ฉัน”

เสียงก้องภพสั่งลูกน้อง แล้วเขาก็ได้ตัวของดลินาไปก้องภพใช่มือหนึ่งล็อคคอเธอเอาไว้อีกมือก็เอาปืนจ่ออยู่ที่เอวของเธอ แล้วก็หอมแก้มบางเย้ยศิวกร ดลินาเบี่ยงหน้าหนีอย่างรังเกียจ ศิวกรแทบจะวิ่งเข้าปากชกปากของก้องภพแล้วก็กระทึบให้ตายคาเท้าของเขา แต่ลูกน้องหลายคนก็ต้องเข้ามาช่วยกันห้ามไว้

“ขอบใจนะครับผู้กองที่เปิดทางให้ ส่วนสาวน้อยคนนี้เดี๋ยวผมจะส่งคืนให้เมื่อแน่ใจว่าผมรอดแล้ว ไปนะครับ”

เมื่อรถเคลื่อนตัวอีกครั้งคราวนี้เคลื่อนตัวไปอย่างเร็ว และเมื่ออกตัวไปได้พอสมควรในระยะไม่พ้นสายตาก้องภพอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครคาดคิด... เขาผลักหญิงสาวลงจากรถทันที แล้วเสียงหัวเราะอย่างสะใจของก้องภพก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็เบาลงเลื่อยๆตามระยะทางที่เริ่มห่างออกไป... ห่างออกไป...

“ข้าว!!!”

เสียงตะโกนหลุดออกมาจากปากของศิวกรอย่างจะขาดใจ เมื่อเห็นร่างบางถูกผลักรถจากรถอย่างไม่เกรงกลัวว่าเธอจะเป็นอย่างไร แรงผลักบวกกับความเร็วของรถทำให้ดลินากลิ้งไปหลายตลบก่อนจะนอนนิ่งไม่กระดิกตัว ศิวกรรีบวิ่งตรงเข้าไปหาร่างบางที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะวิ่งได้เร็วขนาดนั้น

“รถพยาบาล ตามรถพยาบาลมาเร็ว”

เสียงตะโกนของใครใครบางคนดังโหวกเหวกอยู่เบื้องหลัง เหล่าบรรดาไทยมุงเริ่มเข้ามาดูเหตุการณ์อย่างอยากรู้ ศิวกรวิ่งมาถึงร่างบางแล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นร่างที่เขาเคยหยอกล้อ เคยกอดก่อนนอนอยู่ทุกคืน มาบัดนี้กลับนอนอยู่บนพื้นมีเลือดไหลออกมาจากศีรษะของเธอ ตามร่างกายมีรอยแผลเลือดเริ่มซึม เขาทรุดเข่าลงข้างๆเธอไม่กล้าแตะต้องอะไรตัวเธอ เพราะถ้าเขาไปขยับตัวเธอเข้าอาจจะทำให้เธอเป็นอัมพาตก็เป็นได้

“ข้าว! ข้าวคุณพื้นขึ้นมาคุยกับผมหน่อยสิ รถพยาบาล!! รถพยาบาลมาหรือยัง”

เสียงอ้อนวอนขอร้องจากศิวกรดังราวจะขาดใจอยู่ตรงนั้น แต่เหมือนว่าคนฟังจะไม่รับรู้อะไร เขาอยากจะร้องไห้ใจจะขาดแต่ว่าน้ำตามันไม่ยอมไหลออกมา มันยิ่งทำให้เขาทรมานมากขึ้นไปอีก

“กันคนออกไปเร็ว กันคนออกไปกันออกไปให้ไกลที่สุดเร็วเข้า”

เสียงของทนงศักดิ์ที่เพิ่งฟื้นตัวดังขึ้นสั่งการแทนเพื่อนเขาทั้งหมด ใจเขาหล่นวูบทันทีที่เห็นร่างคนรักของเพื่อนนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น

เสียงรถพยาบาลที่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดลงใกล้ๆ ผู้ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่รีบลงมาจากรถพร้อมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลต่างๆ และรถเข็นเข้ามายังร่างของเธอ ทนงศักดิ์ต้องเข้ามาล็อคตัวและออกแรงกระชากเพื่อนเขาให้ออกมาจากที่ดลินานอนสลบอยู่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวกขึ้น

“ปล่อยนะไอศักดิ์!! ปล่อยสิวะ!!”

เสียงตะโกนโวยวายจากศิวกรพร้อมกับอาการดิ้นรนอย่างสุดชีวิตทำให้ทนงศักดิ์แทบจะเอาเขาไม่อยู่แล้ว

“จ่ามาช่วยผมหน่อยเร็วสิ”

แล้วจ่าดำรงค์กับจ่าทรงยศที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยกันฉุดรั้งศิวกรไว้อีกแรง แต่ด้วยความที่เป็นห่วงหญิงสาวแรงมหาศาลที่ไม่รู้ว่าเขาไปเอามาจากไหนก็สะบัดตัวหลุดออกจากการเกาะกุมของนายตำรวจทั้ง 3 ได้ เตรียมจะวิ่งเข้าไปหาร่างบางทันที

“โธ่โว้ย!!”

ทนงศักดิ์ร้องออกมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะวิ่งไปดักหน้าศิวกรก่อนจะชกหน้าเขาไปอย่างเต็มแรง ทำให้ศิวกรทรุดลงไปกองกับพื้นปากแตก คนที่ถูกชกเงยหน้าขึ้นมองทนงศักดิ์อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วเตรียมจะลุกขึ้นไปขย้ำให้เขาตายคามือ

“สงบสติอารมณ์ลงหน่อยสิวะ แกอยากให้คุณข้าวเห็นแกในสภาพนี้หรือยังไงห๊ะ หันไปดูนั้นสิคุณข้าวเขากำลังมองแกอยู่นะ”

ทนงศักดิ์เดินเข้ามากระชากคอเสื้อเพื่อนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเรียกสติ ศิวกรหันไปมองหญิงสาวอย่างที่เพื่อนบอกก็เห็นร่างบางกำลังลืมตาขึ้นมองมายังเขา น้ำตาไหลออกมาจากตาคู่สวยนั้น ปากก็พึมพำอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ก่อนมันจะปิดลงไปอีกครั้ง พร้อมกับร่างที่ถูกพาขึ้นรถพยาบาลไป



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ม.ค. 2556, 21:49:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ม.ค. 2556, 21:49:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1383





<< บทที่ 8 (เพื่อเธอ... 1)   บทที่ 8 (เพื่อเธอ... 3) >>
Auuuu 21 ม.ค. 2556, 22:38:52 น.
นายก้องภพนี่ไม่น่าเกิดมาเป็นคนเลยแฮะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account