ใต้แสงดาว

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1

เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากที่แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าริมทางทาทาบลงบนท้องถนน รถยุโรปสีขาวพาดน้ำเงินสองคันแล่นออกจากสถานีตำรวจตามหลังกันมาอย่างกระชั้นชิด ดวงไฟสีน้ำเงินบนหลังคาถูกเปิดสว่างวูบวาบเพื่อขอทางจากรถยนต์คันอื่นไปตามถนนสายหลัก ต้นไม้สองข้างทางเริ่มผลัดใบเปลี่ยนสี ใบไม้แห้งที่กองสุมอยู่ตามพื้นถนนหมุนคว้างไปตามแรงลมเมื่อรถยนต์แล่นผ่าน หลังจากเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกไฟแดงข้างหน้า และเลี้ยวขวาอีกครั้ง ไม่นานรถทั้งหมดเข้าไปจอดในบริเวณลานจอดรถย่านที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง

ตัวอักษรโดดๆ ขนาดใหญ่ซึ่งมีทั้งตัว ‘เอ’ ‘บี’ และ ‘ซี’ ที่ติดอยู่ตรงหน้าอาคารแต่ละหลังในละแวกเดียวกัน ทำให้พวกเขาจำแนกได้ง่ายว่าอาคารที่เป็นจุดหมายปลายทางนั้นคือหลังใด

บุรุษหลายนายในชุดเครื่องแบบสีกรมท่า ด้านหลังมีตัวอักษรสีขาวสกรีนเอาไว้อย่างเด่นชัดว่า ‘โปลิศ’ ปลายขากางเกงสอดเก็บหายเข้าไปในรองเท้าบูตหนังสีดำมันปลาบก้าวลงจากรถ ร้อยโทเจเรมี ซีมง ตำรวจหนุ่มรูปร่างสูงสง่า หลังและไหล่ตรงผึ่งผาย เงยหน้าขึ้นมองตึก ‘ซี’ อย่างพิจารณา อาคารหลังนี้เป็นอาคารสูงสิบชั้นเพียงแห่งเดียวท่ามกลางอาคารหลังอื่นที่สูงเพียงสี่ชั้น แม้มันจะตั้งตระหง่านมากว่าสามสิบปีแล้ว แต่ความเก่าคร่ำคร่ากลับกลมกลืนไปกับความเจริญที่แผ่ขยายอาณาบริเวณออกไปอย่างไม่เขินอายเลยสักนิด ชายหนุ่มลดสายตาลงมายังประตูทางเข้า สูดหายใจเข้าปอดเต็มแรงก่อนจะเดินนำทุกคนเข้าไปในตัวตึกซึ่งมีชายผู้หนึ่งเปิดประตูเอาไว้อย่างไม่รั้งรออีกต่อไป

ลำแสงจากดวงไฟบนหลังคารถยนต์ที่เปิดทิ้งไว้หมุนวับแวมตัดผ่านความมืดสลัวลางเป็นแนวกว้างสะท้อนเข้ากับกำแพงรั้วและตัวอาคารรอบด้าน ชาวบ้านหลายคนออกมารวมตัวกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนทำให้ความวุ่นวายในบริเวณดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางคนแต่งกายเรียบร้อย แต่ก็มีบางคนที่ยังอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ

สายตาของหญิงสาวผู้หนึ่งบนแท็กซี่ที่เพิ่งชะลอความเร็วลงและจอดนิ่งอยู่ริมถนน มองเหตุการณ์ผ่านกำแพงรั้วเหล็กเข้าไปด้วยความแปลกใจ ลานจอดรถกว้างขวางที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้พักอาศัย กลับมีรถยนต์แปลกปลอมหลายคันซึ่งมีสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นของตำรวจองค์กรหนึ่งจอดเรียงรายกันอยู่ นั่นยังไม่รวมถึงกลุ่มคนที่ยืนกระจัดกระจายอยู่บนสนามหญ้าและสายตรวจที่เดินขวักไขว่ไปมา ดูท่าว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

เสียงเพลงเล็ดลอดมาจากประตูรถยนต์ขณะดารินทร์ก้าวลงจากแท็กซี่ถูกแทนที่ด้วยเสียงเซ็งแซ่อึงคะนึงจากผู้คนมากหน้าหลายตา เธอมาเยือนที่นี่คืนนี้เพราะมีภารกิจบางอย่างที่ต้องจัดการให้แล้วเสร็จ แต่ความวุ่นวายอันเป็นอุปสรรคตรงหน้า ก็ทำให้หญิงสาวชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะสามารถจัดการธุระให้ลุล่วงได้อย่างที่ตั้งใจ

อาคารหลังนี้มีห้องพักของคนรู้จักอยู่บนนั้น แกลร์...ผู้เป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนร้านตุ๊กตาทำมือ ‘เลอปาราดี เดปูเป’ หรือ ‘สรวงสวรรค์แห่งตุ๊กตา’ ตั้งอยู่ริมถนนเลอกาเนอบีแยร์ใจกลางเมืองมาร์เซย ร้านแห่งนี้เปิดได้เกือบปีแล้ว เป็นร้านแห่งความภาคภูมิใจ ด้วยเป็นสิ่งที่มาเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของเธอเอง

เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีความฝันแสนธรรมดา

ความฝันของดารินทร์เริ่มต้นขึ้นตอนที่ได้ไปเที่ยวเมืองบรูจจ์ ประเทศเบลเยียมกับครอบครัวเมื่อนานมาแล้ว ที่นั่นเธอได้มีโอกาสเข้าไปเยือนร้านขายตุ๊กตาพื้นเมือง เด็กหญิงดารินทร์ในวัยสิบเอ็ดขวบจำได้ดีว่าตนเองมีความสุขมากเพียงใดที่ได้หลุดเข้าไปยังโลกอีกใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยของเล่นที่เธอโปรดปราน จนถึงประกาศออกมากลางร้านว่า

‘หนูชอบตุ๊กตา วันหนึ่งหนูจะมีร้านตุ๊กตาแบบนี้ให้ได้ค่ะ’

คำกล่าวนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนรอบกายครืนใหญ่ ด้วยคิดว่าเป็นเพียงคำพูดเพ้อฝันล่องลอยของเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ตรงข้ามกับเจ้าของความฝัน...ที่นำเสียงหัวเราะนั้นมาเพิ่มความมุ่งมั่นให้กับตนเอง และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมดารินทร์จึงเลือกเรียนทางด้านศิลปะมาโดยตลอด

ตลอดระยะเวลาหลายปีในการเรียนระดับชั้นมัธยม เธอทำคะแนนได้ดีและสูงลิ่วเสมอ จนสามารถผ่านเข้าเรียนต่อในโรงเรียนศิลปะและการออกแบบชั้นสูงที่กรุงปารีสได้ แล้วก็ใช้ชีวิตนักศึกษาอยู่ภายในนั้นเป็นเวลาห้าปีจนกระทั่งจบหลักสูตร

หลังจากเรียนจบดารินทร์ก็ได้เข้าไปทำงานในบริษัทเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง เป็นบริษัทไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพการตัดเย็บและมีลายผ้าเฉพาะตัว เธอทำงานในส่วนของการออกแบบลายผ้า ต้องดูแลเรื่องการออกแบบ สี และลวดลายให้ตรงกับเทรนด์ของช่วงนั้นๆ โดยทำงานร่วมกับดีไซเนอร์ และเมื่อชิ้นงานผ่านอนุมัติจากที่ประชุม ลายผ้าที่ถูกออกแบบไว้ก็จะไปปรากฏอยู่ตามผลิตภัณฑ์หลายประเภทของบริษัท จำพวก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผ้าพันคอ หรือแม้แต่ผ้าเช็ดหน้า

แม้ว่าการทำงานของหญิงสาวจะข้องเกี่ยวกับวงการแฟชั่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ทว่าเธอก็ยังไม่ยอมละทิ้งความฝันด้วยการใช้เวลาว่างหมั่นมานั่งศึกษาแพทเทิร์นมากมายที่ใช้ในการตัดเย็บตุ๊กตาผ้า จากนั้นจึงทดลองออกแบบด้วยตัวเองอยู่พักใหญ่ หัดตัดเย็บ หัดยัดใย พยายามฝึกปรือฝีมืออยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสามารถทำให้ตุ๊กตารูปร่างบิดเบี้ยวในคราแรกกลายมาเป็นตุ๊กตาหน้าตาน่ากอดได้ในที่สุด

ตอนที่เธอลาพักร้อนกลับมาเยี่ยมครอบครัวช่วงเทศกาลคริสต์มาสเมื่อปลายปีก่อน ป้ายประกาศเช่าร้านที่แปะอยู่หน้ากระจกของห้องว่างริมถนนสายช็อปปิงชื่อดัง ทำให้เธอเกิดความคิดที่จะนำความฝันในวัยเยาว์มาสานต่อให้เป็นจริง อีกทั้งในช่วงนั้นเธอต้องผจญกับปัญหาส่วนตัวบางอย่าง จึงวางแผนสิ่งที่จะทำเอาไว้ล่วงหน้า ก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่เธอทำมาเป็นเวลาสามปีเพื่อย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองมาร์เซยอีกครั้ง

ส่วนแกลร์ซึ่งในขณะนั้นทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ในร้านสตูดิโอขายภาพวาดสีน้ำมันแห่งหนึ่ง และใช้เวลาว่างทำงานฝีมือออกมาวางขายตามตลาดนัดเป็นประจำอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังแผนการของเธอเข้าก็สนใจที่จะลงทุนเปิดร้านร่วมกัน ทั้งสองจึงเริ่มติดต่อกับที่ว่าการเมืองมาร์เซยเพื่อทำสัญญาเช่าร้าน ติดต่อธนาคารเพื่อวางแผนการกู้เงินมาลงทุน จากนั้นจึงลงมือออกแบบและตกแต่งร้านด้วยตัวเอง ก่อนจะติดป้ายประกาศรับสมัครผู้ช่วยในช่วงที่ร้านใกล้แล้วเสร็จ และเธอก็ได้เจนนิเฟอร์ ผู้หลงรักงานศิลปะเช่นเดียวกันมาร่วมงาน

แน่นอนว่าดารินทร์ไม่ได้ทิ้งวิชาชีพที่ร่ำเรียนมา ด้วยผ้าที่นำมาทำตุ๊กตานั้น เธอเป็นผู้คิดค้นลวดลายด้วยตัวเองเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของร้าน ก่อนจะส่งแบบเข้าโรงงานตัดเย็บเพื่อนำมาประดิษฐ์เป็นงานฝีมือต่อไป

แม้ว่า เลอปาราดี เดปูเป เป็นเพียงร้านขนาดเล็กไม่กี่สิบตารางเมตร หนำซ้ำยังเพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก แต่พวกเธอก็ไม่หวั่นที่ต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง นับตั้งแต่การออกแบบ การตัดเย็บ การขาย ต้องปวดหัวกับการทำบัญชีค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการทำความสะอาดร้านทั้งก่อนและหลังเลิกงาน หากความสุขที่ได้รับจากการเฝ้ามองสีหน้าและรอยยิ้มของลูกค้ายามที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมสินค้าที่พวกเธอทำขึ้นนั้น ก็ทำให้หญิงสาวรู้ว่าเธอเลือกไม่ผิดที่เปิดร้านนี้ขึ้นมา เพราะทุกอย่างล้วนแต่ทำขึ้นด้วยใจจริงๆ

เจนนิเฟอร์เองก็เป็นผู้ช่วยที่ทำงานเข้าขากับพวกเธอได้ดี เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องของการตกแต่ง สำรวจสินค้า รวมถึงการทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้าแล้ว งานจุกจิกหลายหลากเธอก็ไม่เคยเกี่ยงงอนที่จะลงมือทำ จึงทำให้หญิงสาวปลาบปลื้มใจที่ตัดสินใจรับเธอเข้ามาร่วมงานเป็นอย่างมาก

เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นระบบระเบียบ ดารินทร์จึงตั้งกฎภายในไว้ว่า หากมีใครคนใดคนหนึ่งต้องการลาหยุดหรือมีกิจธุระจำเป็นที่ต้องขาดงาน ก็จำต้องแจ้งให้เธอหรือใครก็ตามทราบล่วงหน้า หรืออย่างน้อย...ต้องโทรศัพท์มาบอกกล่าวให้ทราบก็ยังดีหากมีธุระเร่งด่วน

ทว่าการหยุดงานของแกลร์ในครั้งนี้กลับต่างออกไป...

ก่อนหน้าที่แกลร์จะหายหน้าไปนั้น ดารินทร์สังเกตเห็นว่า พักหลังมานี้แกลร์มักจะทำงานพลาดอยู่บ่อยครั้ง จนบางคราวถึงขั้นใจลอยไม่ใส่ใจงานที่ทำอยู่เลยก็มี แน่นอนว่าหญิงสาวเอ่ยถามถึงสาเหตุ หากแกลร์มักจะบอกปัดอยู่เสมอว่า ‘ไม่มีอะไร’

กระทั่งเมื่อสองวันก่อน แกลร์ทำสินค้าที่ต้องส่งให้ลูกค้าในวันนั้นเสียหายไปจนเกือบหมด อารมณ์คุกรุ่นที่สะสมมาหลายวันของดารินทร์จึงปะทุขึ้นมา วันนั้นทั้งสองมีปากเสียงกัน แกลร์ร้องไห้เก็บกระเป๋าออกจากร้านไป และก็ยังไม่กลับเข้ามาทำงานอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

ดารินทร์ไม่สบายใจเท่าใดนัก เวลาผ่านไปเกือบสามวันแล้วที่หญิงสาวไม่สามารถติดต่อเพื่อนของเธอได้เลย แกลร์ไม่ยอมรับสาย ราวกับจงใจปิดเครื่องหนีด้วยซ้ำ ดังนั้นเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบลื่นและให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอทั้งสองกลับคืนดีดังเดิม เธอจึงมุ่งหน้ามายังอพาร์ตเมนต์ของแกลร์หลังเลิกงานทันทีเพื่อที่จะสามารถปรับความเข้าใจระหว่างกันได้นั่นเอง

รถแท็กซี่แล่นจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงแสงไฟสีแดงท้ายรถ หญิงสาวสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อไหมพรมตัวเก่ง เดินผ่านประตูรั้วเข้าไปตามทางคอนกรีต ป่านนี้เจนนิเฟอร์คงกำลังดินเนอร์กับแฟนหนุ่มอยู่ในร้านอาหารสินะ ดารินทร์คิด หลังจากที่ต้องเสียเวลาทุ่มเถียงกันก่อนเลิกงานพักใหญ่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางของเธอเอง

สาเหตุคือผู้ช่วยคนเก่งซึ่งมักทำตัวเป็นพี่ใหญ่ภายในร้านแม้จะมีอายุไล่เลี่ยกัน ไม่ต้องการให้เธอมาที่นี่เพียงลำพัง โดยอ้างเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวลังเลใจว่า การเดินทางตอนกลางคืนคนเดียวในเมืองที่เต็มไปด้วยแก๊งมาเฟียเช่นนี้ มันอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเห็นได้จากข่าวอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรจะมีใครสักคนไปด้วยน่าจะดีกว่า

ท้ายที่สุดเธอจำต้องปฏิเสธไป ด้วยไม่ต้องการให้เจนนิเฟอร์ยกเลิกนัดหมายสำคัญในค่ำคืนนี้กับแฟนหนุ่มโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะวันพิเศษอย่างวันครบรอบปีที่สองของทั้งคู่ แรกทีเดียวผู้ช่วยสาวทำท่าไม่ยอมรับเหตุผลนี้ หากเมื่อเธอยืนกรานหลายต่อหลายครั้งว่าสามารถดูแลตัวเองได้ และจะดูแลตัวเองให้ดี เจนนิเฟอร์จึงไม่ดันทุรังอีกต่อไป

ดารินทร์เดินตัดสนามหญ้า ตรงไปยังกลุ่มคนที่ยืนปักหลักคุยกันไม่ห่างจากตัวอาคารเท่าใดนัก ดวงตาคู่สวยสังเกตการทำงานของตำรวจที่เดินกระจัดกระจายอยู่ทั้งภายในและภายนอกอาคารด้วยความสนใจระคนใคร่รู้ ก่อนกระซิบถามหญิงวัยกลางคนร่างท้วมซึ่งยืนอยู่ใกล้ตัวที่สุดไปว่า

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือคะ ตำรวจถึงได้มากันเต็มไปหมดเลย”

หญิงผู้นั้นกวาดตาประเมินเธออยู่ครู่ “ตำรวจเข้ามาตรวจค้นห้องพักห้องบนตึกนี้น่ะจ้ะ เห็นเขาว่าได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาจากในห้องพัก แต่จะอยู่ชั้นไหน ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ มีคนลองไปเคาะประตูเรียกแล้ว แต่เคาะเท่าไรก็ไม่มีคนขานรับ คนเขาเลยกลัวว่าอาจจะมีคนตายอยู่ในนั้น ก็เลยโทร.ไปแจ้งตำรวจให้มาตรวจนี่แหละจ้ะ” หญิงร่างท้วมบอกพลางผายมือไปรอบตัว

หญิงสาวได้ฟังก็ใจหายวาบ ด้วยไม่คิดว่าการมาหาแกลร์ในคืนนี้จะประสบกับเรื่องน่าพรั่นใจจนแทบตั้งตัวไม่ติด

“ฉันเองก็ตกใจแทบแย่เลยนะที่ได้ยินเรื่องแบบนี้เข้า” หญิงผมแดงหยิกฟูซึ่งยืนอยู่ข้างหญิงร่างท้วม โผล่หน้าเอ่ยแทรกขึ้นมา “ฉันภาวนาว่าขอให้เป็นแค่กลิ่นของขยะเน่าที่เจ้าของห้องลืมเอาลงมาทิ้งก็พอ มันน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไร จริงไหม ถ้ามีคนตายอยู่ในตึกเดียวกัน แล้วถ้ายิ่งเป็นห้องข้างกันด้วยแล้ว...ฉันไม่อยากจะคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงต่อไปดี อีกอย่าง ถ้าพวกตำรวจพบศพจริงๆขึ้นมา...แล้วชันสูตรว่าเกิดจากการฆาตกรรมละก็ ฉันคงต้องเรียกร้องให้มีการเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมแน่” เธอบอกพร้อมกับลูบท่อนแขนของตนไปมาด้วยท่าทางขนพองสยองเกล้า

ดารินทร์พยักหน้าเห็นด้วย การอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอยู่อย่างไม่ขาดสายจากทั่วสารทิศนั้น นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาการแย่งที่อยู่อาศัยกันแล้ว ยังส่งผลให้ราคาที่ดินถีบตัวสูงขึ้นยิ่งกว่าราคาทองคำ ดังนั้นการย้ายไปอยู่ที่ใหม่จึงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายนัก นอกเสียจากว่าทางเจ้าของตึกจะปรับเปลี่ยนให้มีการเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดในตอนนี้

“เธอคงไม่ได้อยู่ที่นี่สินะ” หญิงคนแรกถาม

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉันแค่แวะมาหาเพื่อนค่ะ” ดารินทร์ตอบ ทันได้เห็นหญิงร่างท้วมพยักหน้ายิ้มๆ เมื่อได้รับคำตอบตรงกับที่คาดเดาเอาไว้

“ไม่ทราบว่าตำรวจขึ้นไปนานหรือยังคะ”

“ได้สักพักแล้วจ้ะ น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงได้”

“แล้วถ้าหากฉันไม่เกี่ยวข้องอะไร ฉันจะเข้าไปข้างในได้หรือเปล่า ห้องที่ฉันจะไปอาจจะอยู่คนละชั้นกันกับห้องที่ว่านั่นก็ได้”

หญิงร่างท้วมส่ายหน้า บอกว่า “เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ทางที่ดีฉันว่าเธอลองไปถามตำรวจพวกนั้นดูเองแล้วกันนะ” เธอว่าก่อนจะหันไปพูดคุยกับคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงอย่างออกรสออกชาติต่อ

ดารินทร์หันรีหันขวางมองหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อเห็นบุรุษในเครื่องแบบสองนายยืนอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า จึงเดินเข้าไปสอบถาม ครั้นได้รับคำตอบว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปจนกว่าเจ้าหน้าที่ข้างบนจะทำงานแล้วเสร็จ ก็ทำให้หญิงสาวจำต้องถอยหลังออกมาอย่างจนใจ

แน่ละ...พวกตำรวจคงไม่ยอมให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปเกะกะสถานที่เกิดเหตุอยู่แล้ว ดารินทร์กวาดตาไปรอบๆ โดยหวังว่าอาจเจอแกลร์ยืนปะปนอยู่กับกลุ่มคนที่ไหนสักแห่ง หากเมื่อไม่พบ เธอจึงตัดสินใจยืนรอดูสถานการณ์ต่อไป ระหว่างนั้นก็หยิบมือถือออกมาต่อหาแกลร์อีกครั้ง ก่อนจะถอนใจยาวเหยียด เมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณตอบรับเช่นเคย

*******************************

ขบวนตำรวจเดินออกจากลิฟต์ เลี้ยวขวาไปทางทิศตะวันออก และหยุดตรงหน้าห้องหมายเลขสี่ศูนย์เก้าซึ่งเป็นห้องเกือบริมสุดทางเดิน ประตูไม้บานนี้ถูกล็อกเอาไว้ ไร้ร่องรอยการถูกงัดแงะ มีกลิ่นเหม็นโชยออกมาบางเบา ตำรวจหนุ่มเจเรมีพยักหน้าให้สัญญาณเพื่อขอกุญแจห้องจากเจ้าของตึก ทันทีที่บานประตูถูกผลักเข้าไป กลิ่นคลื่นเหียนชวนอาเจียนก็ลอยมาปะทะจมูกจนตำรวจหลายนายถึงกับผงะ
แสงไฟจากโถงทางเดินลอดผ่านกรอบประตูเข้าไปช่วยให้มองเห็นตำแหน่งของแผงสวิตช์ไฟที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เจเรมีจึงเอื้อมมือภายใต้ถุงมือยางเพื่อกดเปิดใช้งานจนทั่วทั้งห้องสว่างขึ้นในทันที

ภายในห้องมีสภาพไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าใดนัก บางครั้งพวกเขาต้องก้าวข้ามสิ่งกีดขวางจำพวกนิตยสารซึ่งหล่นลงมาจากจุดที่เคยอยู่ หรือแม้กระทั่งดอกกุหลาบเหี่ยวเฉา เศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกกระจายเกลื่อนพื้นด้วยความระมัดระวัง สายตาคมกริบสีเทาล้ำลึกบนใบหน้าหล่อเหลามองกราดอย่างถ้วนทั่ว ก่อนส่งสัญญาณมือให้ตำรวจหลายนายที่ตามมาแยกย้ายกันสำรวจให้ทั่วทุกจุด

จากการประเมินด้วยสายตาอย่างคร่าวๆ พบว่า อพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีความกว้างราวสามสิบตารางเมตร ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปสำหรับการอยู่คนเดียว จุดที่พวกเขายืนอยู่คือห้องรับแขก ฝั่งขวามือมีห้องน้ำอยู่ติดกับห้องครัว ผ้าม่านโปร่งบางบนหน้าต่างห้องครัวถูกเก็บชายไว้อย่างเรียบร้อย เจเรมีพาร่างสูงโปร่งของตนเดินข้ามห้องรับแขกไปยังห้องนอนที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน พบว่า ยิ่งเดินใกล้เข้าไปเท่าไร กลิ่นเหม็นเน่าก็คละคลุ้งมากขึ้นเท่านั้น จวบจนกระทั่งเท้าทั้งสองข้างหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสีน้ำตาล

ณ เวลานี้ ชายหนุ่มยิ่งกว่าแน่ใจว่า กลิ่นนั้นต้องลอยลอดออกมาจากช่องว่างเล็กๆ ใต้ประตูเบื้องหน้าอย่างแน่นอน เจเรมีลองขยับลูกบิด พบว่าประตูถูกลงสลักกลอนเอาไว้จากด้านใน ไม่รอช้าเขาจึงใช้บางอย่างสอดผ่านช่องว่างใต้ประตูเข้าไปเพื่อตรวจสอบดูว่าไม่มีสิ่งกีดขวางในระยะใกล้ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งเกะกะอยู่ด้านใน ตำรวจนายหนึ่งถูกเรียกให้มาจัดการเปิดประตูด้วยการถีบอย่างแรง เสียงโครมดังขึ้นยามประตูบานนั้นเด้งไปชนกับผนังห้อง และเมื่อมันสะท้อนกลับมาเท่านั้น กลิ่นเหม็นราวซากศพก็พุ่งออกมาตามแรงลมจนฟุ้งกระจายเต็มอากาศโดยรอบทันที ตำรวจหนุ่มต้องก้าวถอยหลังและหันหน้าหนีเพื่อปรับอวัยวะรับกลิ่น ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้งอย่างไม่ลังเล

ไม่กี่วินาทีที่ความมืดมิดภายในห้องนอนถูกขับไล่ด้วยแสงไฟนีออน เสียงร้องเอ็ดอึงก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ตำรวจหลายนายถึงกับเบือนหน้าหนีเมื่อแสงไฟส่องสว่างให้เห็นร่างหญิงสาวผู้หนึ่งนอนเน่าอืดจมกองเลือดอยู่กลางห้อง เธอมีส่วนสูงไม่เกินหนึ่งเมตรหกสิบเซนฯ อายุคงราวยี่สิบต้นไม่เกินยี่สิบห้า ผมเป็นสีบลอนด์ธรรมชาติ สวมชุดกระโปรงติดกันสีครีม ชายกระโปรงเปิดเลิกจนถึงต้นขา มีมีดปลายแหลมปักอยู่บริเวณช่วงกลางอกเกือบมิดด้าม จากรอยแผลและกองเลือดที่พบ ผู้ตายคงจะเสียชีวิตจากการเสียเลือดมากเกินไป

“เธอน่าจะอยู่ที่นี่ไม่ต่ำกว่าสองวันมาแล้วครับ” ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากตรวจสอบสภาพศพอย่างคร่าวๆ

เจเรมีพยักหน้า ยืนนิ่งทำใจอยู่ครู่หนึ่ง พยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอด้วยความยากลำบาก ก่อนก้าวเท้าออกมาจากห้องและออกคำสั่งเสียงดังฟังชัดไปว่า

“เอาเทปไปกั้นที่ประตูหน้าห้องเอาไว้ บอกทุกคนที่ยังอยู่ในตึกให้ออกไปรวมตัวกันที่หน้าประตูทางเข้าอาคาร จัดการสอบปากคำพยาน แล้วโทร.ตามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้มาที่นี่ให้เร็วที่สุด”

***********************************

ลำแสงสว่างจ้าจากไฟหน้ารถฉุกเฉินที่แล่นเข้ามาในลานจอดรถทำให้ดารินทร์ประหลาดใจ ด้วยยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายนายก้าวลงมาจากขบวนรถเหล่านั้น เดินผ่านหน้าเธอเข้าไปในตัวอาคารพร้อมกระเป๋าอุปกรณ์หน้าตาแปลกประหลาดมากมาย ถ้าเธอตาไม่ฝาด พวกเขายังแบกอะไรบางอย่างคล้ายกับเปลกู้ภัยติดตัวไปด้วย

หญิงสาวมองผู้คนกลุ่มใหญ่ที่เพิ่งเดินลงมาจากตัวอาคาร...ไม่มีแกลร์อยู่ในนั้น เป็นไปได้ว่าอาจจะยังไม่กลับมาจากข้างนอก ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาพูดคุยซักถามบางอย่างกับคนกลุ่มดังกล่าวด้วยท่าทางเคร่งเครียด

ดารินทร์หยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนสาวคนสนิทอีกครั้ง ครั้นพบว่ายังไร้สัญญาณการตอบรับเหมือนเคย จึงหย่อนตัวนั่งรอบนขอบฟุตปาธด้วยอาการปลงตก เข็มนาฬิกาหมุนผ่านไปกว่าสองชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่เธอก้าวลงจากรถแท็กซี่ ผู้คนที่ยืนรอดูเหตุการณ์บริเวณหน้าอาคารดูบางตาลงไปพอสมควร แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงปักหลักพูดคุยกันไม่หยุด ไม่เว้นแม้แต่จุดที่หญิงสาวนั่งอยู่ จึงทำให้เธอต้องจำใจฟังบทสนทนาหลายหลาก ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงการซุบซิบนินทาเพื่อนบ้านอย่างสนุกปากที่ดังเข้าหูเป็นระยะเช่นกัน

หลายครั้งดารินทร์เกือบถอดใจโทรศัพท์เรียกรถแท็กซี่ให้มารับไปส่งที่บ้าน ทว่าเมื่อนึกถึงเวลาที่สูญเสียไปก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจอยู่ต่อทุกครั้ง แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดสลัวลงไปทุกขณะ อุณหภูมิลดลงต่ำอย่างน่าใจหาย ทั้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในปลายเดือนกันยายนเลยด้วยซ้ำ

ครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น ความหนาวเย็นทำให้หญิงสาวอดทนรอต่อไปไม่ไหว เสื้อไหมพรมตัวบางช่วยเหลือเธอไม่ได้อีกต่อไป จึงลุกขึ้นเตรียมเดินจากไปเมื่อตัดสินใจแล้วว่าค่อยมาหาแกลร์วันใหม่ก็แล้วกัน

“จริงหรือเปล่า ห้องที่เขาว่าได้กลิ่นเหม็นเน่านั่นอยู่ชั้นเดียวกับเธอ” เสียงใครบางคนเป็นผู้ถามคำถามนั้นขึ้นมา มีผลทำให้ดารินทร์ซึ่งกำลังก้มหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนพื้นหยุดฟังด้วยความสนใจ

“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่ย่ะ ห้องที่ว่านั้นอยู่ชั้นสี่ต่างหาก คนที่อยู่ห้องข้างๆ นั่นแหละที่เป็นคนโทร.ไปแจ้งเจ้าของตึกให้โทร. บอกตำรวจ” หญิงวัยกลางคนร่างผอมบางในชุดนอนตอบราวกับผู้รู้

“แล้วห้องที่ว่าคือห้องไหนล่ะ”

“ฉันได้ยินมาว่าห้องสี่ศูนย์เก้านะ”

“จริงหรือเนี่ย ตายแล้ว พูดแล้วก็ขนลุกไม่หายเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาในเขตที่พักของเราได้”

“นั่นน่ะสิ”

เสียงเออออตอบรับดังขึ้นเป็นระยะ บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป หากคนที่ได้รับรู้เรื่องราวแบบไม่ตั้งใจกลับรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง แทบไร้สติสตังทันทีที่ได้ยินหมายเลขห้องพักดังเต็มสองหู

“ขออนุญาตเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ด้วยครับ”

ประโยคขอร้องแกมออกคำสั่งดังนำผู้พูดมาจากตัวอาคาร ทำให้คนที่ยืนจับกลุ่มตรงหน้าประตูทางเข้าอาคารต่างกระวีกระวาดเปิดทางให้เจ้าหน้าที่เป็นพัลวัน หัวใจของดารินทร์กระตุกวูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเห็นบุรุษในเครื่องแบบหลายนายช่วยกันหามเปลกู้ภัยผ่านหน้าเธอไป มีห่อพลาสติกสีขาวขนาดเท่าร่างคนวางอยู่บนนั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นร่างที่ไร้ลมหายใจของใครบางคน...ซึ่งน่าจะเป็นคนที่เธอรู้จักดีอีกด้วย

ไม่มีทาง! บางทีเรื่องราวทุกอย่างอาจไม่ใช่อย่างที่เธอคิดก็เป็นได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าตามขบวนเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไป

“ขอโทษนะคะ” ดารินทร์ถามเสียงปร่า “ไม่ทราบว่าศพนี้ขนมาจากห้องไหนหรือคะ”

การเคลื่อนย้ายศพเข้าไปยังท้ายรถฉุกเฉินขลุกขลักไปเล็กน้อย สายตาแทบทุกคู่หันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียว ก่อนละความสนใจไว้แค่นั้น ราวกับคำถามของเธอเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จะมีก็เพียงตำรวจท่าทางผึ่งผายนายหนึ่งที่เพิ่งมาถึง ลอบมองหญิงสาวด้วยสายตาสนเท่ห์แกมไม่พอใจที่เธอเข้ามายุ่งวุ่นวายกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ หากเขาก็ยังมีมารยาทเอ่ยถามเธออย่างไม่แน่ใจไปว่า

“ขอโทษนะครับ”

เสียงทุ้มดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้ดารินทร์หันขวับกลับมามอง

“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไร คุณไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังทำงานกันอยู่”

“ขอโทษค่ะ” สีหน้าของเธอสลดวูบในบัดดล “คือฉันมีเรื่องอยากจะรบกวนค่ะ ฉันได้ยินคนพูดกันว่าศพที่พบอยู่ในห้องสี่ศูนย์เก้า คุณช่วยยืนยันกับฉันทีได้ไหมคะว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง” ดารินทร์กลั้นใจถามออกไปรัวเร็ว แม้จะเกรงสายตาดุๆ ที่ส่งมา “ฉันอาจจะหูฝาด หรือไม่พวกเขาก็คงเดาสุ่มไปเอง”

ชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยคำถามว่าหญิงสาวตรงหน้าต้องการสิ่งใดกันแน่ แต่เขาก็ยอมตอบคำถามของเธอโดยดี

“ผมยืนยันว่าศพถูกขนลงมาจากห้องสี่ศูนย์เก้าครับ”
คำกล่าวนั้นมีผลให้ลมหายใจของดารินทร์สะดุดไปชั่วอึดใจ มือไม้เย็นเฉียบขึ้นมาฉับพลัน

“ฉัน...” เธอกลืนน้ำลาย “คือฉันมีเพื่อนอยู่ในห้องนั้นค่ะ เธอชื่อแกลร์ บรูเนต์ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในถุงนั่นจะเป็นเพื่อนของฉันจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ฉันก็อยากจะพิสูจน์ให้เห็นกับตาค่ะ” หญิงสาวพยักพเยิดไปยังร่างในห่อพลาสติกสีขาวขุ่น แม้ปากจะซีด คอจะสั่นสักแค่ไหน เธอก็ไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตาของตนเอง

“คงไม่ได้หรอกครับ” เจเรมีปฏิเสธทันควัน สภาพศพที่เพิ่งผ่านตาไปนั้น ทำให้เขาตัดสินได้ใจว่าไม่ควรจะเปิดให้ใครชี้ศพสุ่มสี่สุ่มห้าน่าจะดีกว่า แม้ชื่อที่หญิงสาวเอ่ยมาจะตรงกับบัตรประจำตัวที่พบในซองธนบัตรของผู้ตายก็ตาม ทว่าริมฝีปากสั่นระริกกับหยาดน้ำที่รื้นตามขอบตาของเธอนี่สิ มันทำให้หัวใจของเขาวูบไหวอย่างไรชอบกล

“โธ่ ได้โปรด ให้ฉันได้พิสูจน์เถอะค่ะ เพราะในนั้นอาจจะไม่ใช่ร่างของเพื่อนฉันก็ได้”

เธอยังคงหวัง...หวังว่าศพนั้นอาจไม่ใช่ร่างของเพื่อนเธอ แม้จะได้รับคำยืนยันเต็มสองหูมาถึงสองครั้งสองคราแล้วว่า ร่างไร้วิญญาณในห่อสีขาวเบื้องหน้าถูกขนลงมาจากห้องพักของแกลร์ก็ตามที

ตำรวจหนุ่มนิ่งไปนิด เมื่อประสานเข้ากับดวงตาคลอน้ำที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของหญิงสาวตรงหน้าเข้า เขาก็ระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยใจ ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงตัดสินใจยอมพยักหน้าให้สัญญาณกับเจ้าหน้าที่อีกคนเพื่อเปิดทางให้เธอในที่สุด

ซิปสีขาวถูกเลื่อนลง ปากถุงบรรจุศพถูกแหวกออกกว้างจนเห็นใบหน้าของร่างนั้นอย่างชัดเจน ฉับพลันดวงตาของดารินทร์ก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

ใบหน้าศพที่ว่า...แม้ว่าบวมอืดจนแทบจำใบหน้าเดิมไม่ได้ แต่เค้าโครงแสนคุ้นตาทำให้เธอมั่นใจว่าเป็นวงหน้าของแกลร์จริงๆ ดารินทร์ถอยเท้าไปข้างหลัง ยกมือขึ้นปิดปาก ส่ายหน้าปฏิเสธในสิ่งที่ได้ประจักษ์

ไม่จริง...มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ แกลร์ยังไม่ตาย...แกลร์ต้องยังไม่ตายสิ

น้ำตาที่เปี่ยมปริ่มจนเกือบจะหยดในคราแรกไหลอาบแก้มอย่างไม่ขาดสาย ก่อนภาพตรงหน้าจะพร่าเลือนไป หญิงสาวก็ทันรู้สึกได้ว่ามีอ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนมารองรับเธอไว้ และทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบราวปิดสวิตช์ไฟในทันที...



ไหมมุก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ม.ค. 2556, 13:14:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ม.ค. 2556, 13:16:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 870





<< บทนำ    
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account