ไทรนาง
“ช่วย...ด้วย ช...ช่ว...ด้ว...ย ช่...วย....ด้ว...ย”
...ใครก็ได้...ช่วยฉันที...ฉันกำลังจะตาย...ช่วยด้วย...อนุสติสุดท้ายก่อนที่ลมหายใจจะหลุดลอยบอกหล่อนว่าทางรอดของหล่อนคงไม่มีอีกแล้วในชาตินี้ หากแม้นเพียงมีชาติหน้ารอคอยอยู่จริงขอให้หล่อนได้กลับมาเพื่อทวงคืนซึ่งความยุติธรรมให้แก่ชีวิตไร้ค่าในชาตินี้....แต่ทว่า ชาติหน้าสำหรับหล่อนไม่มีอีกแล้ว มีเพียงดวงวิญญาณที่ถูกจองจำด้วยตรวนแห่งอาคมของผู้มีวิชา...ทั้งความแค้น ความเจ็บปวด และความผิดหวังในชายคนรัก ที่ถูกผนึกไว้พร้อมดวงวิญญาณของหล่อนได้หล่อหลอมให้หล่อนกลายเป็นภูติร้ายสิงสู่อยู่ประจำต้นไทร...คงถึงแก่กาลแล้วสำหรับพันธนาการที่จะถูกปลดปลง...

Tags: ความตาย,วิญญาณ,ความรัก

ตอน: ตอนที่...1 - สัญญาที่กำลังจะมาถึง

...สัญญา...สัญญา...

เจ้าของร่างสูงสมส่วนของบุรุษเพศผวาลุกขึ้นนั่งเพื่อตั้งสติ ก่อนจะใช้มือแกร่งปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบริเวณหน้าผากอย่างใช้ความคิด เสียงแว่วที่แผ่วเบากับดวงตาแดงก่ำในความฝันยังคงติดแน่นในความทรงจำ ดวงตาคู่นี้ที่เขาฝันถึงมาตั้งแต่เด็กจนสามารถจดจำมันได้เป็นอย่างดี แต่ที่ทำให้เขาต้องผุดลุกขึ้นอย่างใช้ความคิดนั้นเพราะแววตาที่วาวโรจน์ไปด้วยความคั่งแค้นมันชัดเจนจนเกินที่เขาจะปล่อยผ่านไปได้

“คุณเป็นใครกันแน่?” วสุพึมพำอย่างใช้ความคิด พลางเอามือลูบตะกรุดที่ห้อยคอไว้อย่างเผลอไผล ของดีที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นทวดเขาไม่เคยถอดห่างกาย หากแต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่ามันกลายเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ให้เขาได้รู้เรื่องราวบางอย่าง

‘เมื่อถึงเวลา ลูกจะรู้เอง ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก วาระกรรมของแต่ละคนมันจะเวียนมาเมื่อถึงเวลาของมัน’ คำบอกที่เหมือนคำสั่งเสียของบิดาทำให้เขาไม่เคยคิดจะถอดมันออกสักครั้ง เขาต้องอดทนรอวาระกรรมของเขาตามที่ท่านได้บอกไว้

เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณบอกเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า ...ไอ้โต้ง...ไก่หลงที่เขาเก็บมาเลี้ยงไว้ไม่เคยผิดเวลาเลยสักครั้ง ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทยจึงลุกขึ้นเก็บที่นอน จัดการธุระส่วนตัวก่อนจะลงไปด้านล่างเพื่อเตรียมไปวัดกับมารดา

“ให้ผมช่วยนะครับแม่” เสียงบอกของบุตรชายทำให้นางมาลัยหันมายิ้มน้อยๆ ก่อนจะอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มแบบชายไทยของลูกอย่างเต็มตา วันนี้บุตรชายของนางผิดไปจากทุกวัน ใบหน้าของเขาดูกระจ่างตาจนนำพาให้รู้สึกแปลกๆ

“วสุ...”
เสียงเรียกสั้นๆ ของมารดาทำให้เขาเข้าใจได้ทันที ก่อนจะอธิบายเสียงเรียบตามสไตล์ “แรมสิบห้าค่ำเดือนสี่ วันนี้เป็นวันพุธเดือนดับครับแม่” เพียงคำอธิบายเท่านี้ผู้เป็นแม่ก็ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ เป็นอันว่าคืนนี้นางมาลัยคงต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านตามลำพังกับคนรับใช้ เพราะทุกวันพุธในคืนเดือนดับบุตรชายของหล่อนจะต้องไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดกับพระผู้ใหญ่ผู้มีศักดิ์เป็นทั้งลุงและพระอาจารย์

“วสุ พักนี้แม่ใจคอไม่ค่อยดีเลยลูก” นางมาลัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เขาจึงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคลายความกังวลใจของมารดาด้วยถ้อยคำปลอบโยนประโยคเดิมๆ “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับแม่ ไม่มีใครเลี่ยงได้ไม่ว่าผมหรือแม่”

“แม่ก็รู้ลูก...แต่แม่กลัว...” สีหน้าเป็นกังวลที่ยังไม่คลายลงของมารดายิ่งทำให้เขายิ้มมากขึ้น

“แม่ครับ...อย่ากลัวไปเลยครับ เมื่อผมมีอะไรที่ติดค้างใครไว้...ผมก็จำเป็นต้องชดใช้ให้เขานี่ครับ”

“วสุ!!!” เสียงเอ่ยเรียกที่ยังไม่คลายกังวลทำให้เขาต้องเอ่ยขัดโดยปราศจากร่องรอยของความกังวลใจใดใด ซึ่งมันตรงกันข้ามกับในห้วงลึกของความคิดที่เขาเองก็อดไม่ได้จะระลึกถึงอยู่ทุกคืนวัน “เราไปวัดกันเถอะครับแม่ อย่าเพิ่งกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลยครับ”

เมื่อเห็นท่าทีที่เย็นใจของบุตรชายทำให้นางมาลัยได้แต่ถอนใจก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจนใจ โดยพยายามอย่างยิ่งที่จะปลุกปลอบใจตนเองให้นิ่งเหมือนกับที่บุตรชายทำ แต่ก็อดภาวนาถึงสามีผู้ล่วงลับอยู่ในใจไม่ได้

...คุ้มครองลูกด้วยนะพี่เทพ ช่วยคุ้มครองเขาด้วย...

ชายหนุ่มพายเรือพามารดามาถึงวัดโดยใช้เวลาเพียงไม่นานเนื่องจากวัดและบ้านของเขาอยู่ไม่ห่างกันนัก เช้าตรู่ของวันนี้บนศาลามีเพียงลูกศิษย์วัดสามสี่คนกำลังทำความสะอาดกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยของวสุก้าวตามหลังร่างท้วมของนางมาลัยทั้งหมดจึงยิ้มกว้าง ด้วยความสนิทสนมและรู้ดีว่าวันนี้พี่ชายใจดีจะต้องมีอะไรติดไม้ติดมือมาฝาก

“สวัสดีครับป้ามาลัย สวัสดีครับพี่วสุ” ท่าทางการไหว้แม้จะดูเก้งก้างไปบ้างแต่ก็แสดงให้เห็นว่าเด็กวัดกลุ่มนี้ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี

“สวัสดีจ้าแขก เอ้านี้ป้าให้ไปแบ่งกับเพื่อนๆนะลูก เก็บไว้ไปโรงเรียนนะจ้ะ” สาวใหญ่หยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ส่งให้เด็กหนุ่ม แววตาเอื้ออารีของนางมาลัยทำให้เด็กแขกรีบไหว้ขอบคุณ ก่อนที่พรรคพวกอีกสามคนจะหันมาทำตาม ทุกครั้งที่มาวัดนางและบุตรชายจะทำอย่างนี้เสมอ ครั้งแรกๆ เด็กวัดกลุ่มนี้ไม่กล้ารับของจากนางหากแต่เพราะความคุ้นเคย และคำอนุญาตจากหลวงพ่อทำให้ทุกคนกล้ารับความหวังดีจากสองแม่ลูก

“คืนนี้พี่วสุจะมาค้างกับพวกผมใช่ไหมครับ?” คราวนี้เด็กต้นเป็นคนถามขึ้น ด้วยเพราะจำได้ว่าวันนี้เป็นวันพุธในคืนเดือนดับ พี่ชายใจดีจะมาปฏิบัติธรรมที่วัดกับหลวงพ่อเสมอนับตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว

“อืม...แต่พี่จะกลับไปส่งแม่ก่อนน่ะ ยังไงก็ฝากทำห้องพี่ด้วยนะ”

“พวกผมทำไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ เข้าไปถูแป๊บเดียวก็ใช้ได้ พี่วสุไม่ต้องห่วง” คราวนี้เด็กโอ๊ตพูดอย่างโอ่ๆ บ้างสำหรับพวกเขาแล้ว พี่วสุเป็นต้นแบบให้ดำเนินรอยตาม หลายอย่างที่กลุ่มเด็กวัดได้สัมผัสจากตัวตนของชายหนุ่มนั้นพาให้พวกเขายกย่องให้เป็น...ลูกพี่...ได้ไม่ยาก

หลังจากสั่งความอะไรกันเรียบร้อยแล้ววสุจึงพามารดาของเขามาตักข้าวใส่บาตรและจัดกับข้าว รวมไปถึงขนมหวานใส่ถ้วยชามที่ทางวัดเตรียมไว้เพื่อความสะดวกของบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่มากันในวันพระนี้ ก่อนจะให้มารดามานั่งรอเวลาพระเทศน์อยู่ใกล้ๆ ธรรมาสน์ ส่วนตัวเขาก็มาช่วยกลุ่มเด็กวัดจัดของอยู่บริเวณที่จัดไว้สำหรับตักบาตร โดยระหว่างนั้นชาวบ้านทั้งหลายที่คุ้นหน้าคุ้นตากันก็ค่อยทยอยกันขึ้นมาบนศาลา สำหรับในวันนี้ศาลาวัดดูแคบลงไปถนัดใจเมื่ออยู่ในช่วงปิดเทอม วัดต่างจังหวัดก็ดีอย่างนี้เอง เด็กๆ มักถูกชักชวนมาร่วมทำบุญเสมอในยามที่มีโอกาส

“ต๊ายยยย คุณมาลัยไม่พบกันเสียนานเลยนะคะ” เสียงทักทายแหลมบาดหูทำเอาสาวใหญ่ถึงกับหันขวับ นางมาลัยเขม้นมองอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อเจ้าของเสียงแหลมสูงนั้นกลับเข้ามาสู่ความทรงจำ

“อ่อ คุณริน...ไม่ได้พบกันเสียนานนะคะ ไปไงมาไงคะเนี้ย”

“โอ๊ยยยย ก็ไม่ไปยังไงหรอกค่ะ ฉันกลับมาเปิดโฮมสเตย์ที่บ้านนี่ล่ะค่ะ ถึงได้มาทำบุญได้” ท่าทางจีบปากจีบคอพูดของเรรินทำให้ผู้ที่นั่งร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยนั้นได้แต่ลอบเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้ ก็คงมีแต่นางมาลัยที่นั่งนิ่งด้วยท่าทีสงบ

“อ่อค่ะ” ด้วยเพราะเป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไรนางมาลัยจึงไม่ได้ต่อความ ทำเอาคนชวนคุยได้แต่นึกขัดเคืองอยู่ในใจ

“ว่าแต่ว่าคุณมาลัยมาคนเดียวหรือคะ” คำถามนี้ทำให้คนถูกถามอดปรายตามองหน้าของคนถามไม่ได้ ด้วยเห็นแววตาของเรรินแล้วนางมาลัยก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ทีหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชอบนักที่จะหาทางทางข่มคนอื่น หาทางกระแนะกระแหนคนอื่นด้วยใจที่ริษยาไม่ชอบเห็นใครได้ดี

“โถคุณรินไม่เห็นต้องถาม คุณมาลัยเธอก็มากับลูกชายน่ะสิ หรือจะให้มากับกิ๊กแบบคุณนายเรรินล่ะ” คราวนี้คนตอบไม่ใช่นางมาลัย หากแต่เป็นเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เสียงหัวเราะครืนก็ดังตามมาทันทีที่จบประโยคหยิกแกมหยอกของยายเหมือนผู้เฒ่าวัยใกล้ฝั่งแต่ยังแข็งแรงทั้งกายและใจ ก็ยิ่งทำให้...คุณนาย...หน้าตึงอย่างไม่สบอารมณ์

“แหมยายเหมือนก็ ทำเป็นรู้เรื่องของฉันดีนะจ้ะ อ่อไม่ใช่สิ คงต้องพูดว่ายายน่ะรู้เรื่องของคนอื่นดีถึงจะถูก” พูดจบก็ปรายตามองไปยังยายเหมือน ไม่ต้องแปลความก็เข้าใจได้ไม่ยากถึงนัยของประโยคนั้น แต่คนฟังกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ใส่ใจ คนที่กรุ่นโกรธจึงกลายเป็นคนที่ตั้งใจหลอกด่าเสียเอง

“ว่าแต่วัดบ้านเรานี่มันทั้งเก่า ทั้งโทรม ทำไมถึงไม่ซ่อมแซมให้มันดูใหม่ทันสมัยสวยๆ งามๆ เหมือนวัดในกรุงเทพบ้างล่ะเนี้ย โอยหากใครไปใครมาเที่ยวคงได้อายเขาตาย” คำวิจารณ์ที่เปลี่ยนประเด็นไปของเรรินทำเอาชาวบ้านที่ได้ยินพากันหน้าตึงด้วยความไม่พอใจ วัดอันเป็นศูนย์กลางของชาวบ้านแห่งนี้คงไว้ด้วยความเก่าและเงียบสงบซึ่งทุกคนพอใจที่เป็นแบบนี้เสมอมา

“จริงๆแล้ววัดไม่ได้มีดีที่สวยทันสมัยใหญ่โตโอ่อ่าหรอกครับคุณน้า ผมว่าคุณน้าคงเข้าใจอะไรผิดไปเล็กน้อย ก็เหมือนกับคนล่ะครับความสวยภายนอกมันก็ไม่ได้บอกความดีที่อยู่ภายในได้” คำอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทของชายหนุ่มชุดขาววัยคราวลูกทำให้เรรินแทบควันออกหูด้วยความโกรธ ก่อนจะตวัดสายตาไปค่อนเอากับคุณมาลัยผู้เป็นมารดาที่จู่ๆ บุตรชายของนางเดินมาสั่งสอนแกมด่าถึงที่

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มไม่ลืมยกมือไหว้คนตรงหน้าด้วยความอาวุโส หากสายตาของเขายังไวพอที่จะสังเกตเห็นคนรอบๆ กายหันไปลอบยิ้มด้วยความสะใจ...เขาได้แต่ขอลุแก่โทษอยู่ในใจ เพราะเขาไม่มีเจตนาจะฉีกหน้าหรือสั่งสอนอะไรสาวใหญ่เลยแม้แต่น้อย หากทำแค่เพียงอธิบายด้วยถ้อยคำในแบบของเขาเท่านั้น

“สวัสดีจ้ะ ไม่ได้กันเสียนานเลยนะหลานวสุ” คำทักทายอย่างเสียมิได้กับท่าทางรับไหว้แบบแกนๆ ของเรรินทำให้ชายหนุ่มนึกขันอยู่ในใจ ท่าทีของสาวใหญ่ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจกลับดูน่าขันมากกว่าน่าเกรง

“ครับคุณน้า...ไม่ได้พบกันเสียนานคุณน้าสบายดีนะครับ”

“ก็สบายดีจ้ะ...ว่าแต่พ่อวสุเถอะตอนนี้ทำการทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างล่ะ” คำพูดที่ฟังดูขัดหูพาให้คนที่ได้ยินได้แต่นึกระอาม่ายสาวใหญ่ เพราะไม่ว่าจะผ่านไปนานสักกี่ปีนิสัยของหล่อนก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“งานวาดภาพของผมเป็นชิ้นเป็นอันเสมอล่ะครับ” วสุยังคงตอบเสียงเรียบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ท่าทางของเขาคล้ายผู้ใหญ่เอ็นดูผู้น้อยมากกว่าต้องการโต้ตอบอย่างเอาเรื่องเอาราวกับเรริน ฝ่ายนางมาลัยก็คงทำได้แต่มองบุตรชายอยู่เงียบๆ ทั้งยังคล้ายว่านางเห็นรัศมีบางอย่างเปล่งออกจากใบหน้าของบุตรชายด้วยซ้ำไป

“นี่...คุณนายเรรินไม่รู้เหรอว่าพ่อวสุน่ะเขาขายภาพได้ทีละหลายแสนเชียวนะ นี่เดือนละสามสี่ภาพเขาก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” คำบอกเล่าของผู้ที่รู้ลึกรู้จริงอย่างยายเหมือนเจ้าเก่า ยิ่งกระพือแรงริษยาในจิตใจของเรรินให้มากยิ่งขึ้น หากถามหาเหตุผลว่าทำไมหล่อนต้องอิจฉาตาร้อนมากขนาดนี้ เจ้าตัวเองก็คงตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้มันก่อขึ้นในใจของตนได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่าหล่อนไม่อยากเห็นใครในครอบครัวนี้ได้ดีไปกว่าก็เท่านั้น

“ต๊ายตาย...ราคาภาพหรือราคาคุยจ้ะยายเหมือน” พูดจบม่ายสาวใหญ่ก็แสร้งหัวเราะไปกับถ้อยคำที่เหมือนหยอกเย้าของตน เพื่อกลบเกลื่อนความริษยาที่อยู่ในใจเอาไว้อย่างแนบเนียน แต่ด้วยเพราะรู้นิสัยกันเป็นอย่างดีบรรดาคนที่ได้ยินได้ฟังจึงได้แต่พากันทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของเรรินเท่านั้น

สงครามน้ำลายที่ตั้งท่าจะยืดเยื้อเพราะยายเหมือนกำลังจะเริ่มต่อความนั้นสงบลงโดยพลันเมื่อเห็นท่านเจ้าอาวาสเดินนำพระลูกวัดเข้ามายังศาลา ก่อนจะขึ้นนั่งบนอาสนะนำพระทั้งหมดกราบพระประธาน จากนั้นตัวของท่านจึงแยกมานั่งบนธรรมาสน์สำหรับเทศนาให้บรรดาญาติโยมได้ฟัง พิธีการต่างๆดำเนินไปโดยมัคนายกประจำวัด จนกระทั้งท่านเจ้าอาวาสเริ่มเทศนาไปได้เพียงไม่กี่ประโยคเรรินก็ก้มกราบลาและลุกขึ้นออกจากที่ตรงนั้นท่ามกลางสายตาตำหนิของคนทั้งศาลา มีเพียงแต่สายตาของภิกษุชราเท่านั้นที่มองตามไปอย่างเอื้ออารี

“อย่าตำหนิเขาเลย...ใจเขาร้อนก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางเขา อย่าเอาเขามาเป็นอารมณ์ให้ใจต้องขุ่นเลย มิเช่นนั้นใจของพวกคุณนั่นแหละที่จะร้อนตาม”

เมื่อได้ฟังดังนั้นทุกคนก็กลับเข้าสู่ความสงบโดยไม่ใส่ใจกับบุคคลที่จากไป มีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่ยังคงหันหลังมองตามม่ายสาวใหญ่ไปอย่างสนใจ ชั่วเพียงพ้นประตูของศาลาวัดไปวสุก็เห็นเงาร่างหนึ่งทาบทับอยู่บนร่างของม่ายสาวใหญ่ แต่เพียงแค่เขากระพริบตามเท่านั้นภาพที่เห็นก็หายไปเหลือแต่เพียงม่ายสาวใหญ่เดินไปเพียงลำพังตามที่ควรจะเป็น สิ่งที่เขาบอกตัวเองได้ในตอนนี้คืออาจเป็นเพียงกลของแสงเงายามเช้าที่ทำให้เขาเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยมโนสำนึกในส่วนที่พิเศษกว่าคนทั่วไปกลับบอกเขาว่า...สิ่งที่เห็นไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ฉันภัตหารเช้าเสร็จภิกษุผู้มากด้วยพรรษาก็กลับเข้าไปพักยังกุฏิโดยมีชายหนุ่มผู้เป็นหลานประคองไปส่ง เนื่องด้วยสุขภาพทางกายของท่านไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เมื่อจัดที่ทางให้หลวงลุงเรียบร้อยแล้วเขาก็ถอยมานั่งชงน้ำชาอยู่ข้างๆ
หลวงลุงยิ้มน้อยๆกับท่าทีสำรวมของผู้เป็นหลานก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องที่คาดเดาว่าวสุคงคาใจอยู่ไม่น้อย “กำลังนึกถึงคุณเรรินรึ?”

“ครับหลวงลุง” วสุตอบสั้นๆ เขาไม่ได้ถามต่อว่าหลวงลุงรู้ได้อย่างไร เพราะลองว่าท่านเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเขาเองแล้วล่ะก็คงต้องรู้มากกว่าที่ตัวเขาเองรู้เสียอีก

“เขาร้อนจิต...ไยเราต้องร้อนตาม ยังไม่ถึงเวลา ไยเราต้องเร่งรีบ ยังไม่ต้องรู้ ไยเราถึงอยากรู้”

“ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในตัวของคุณเรรินน่ะครับหลวงลุง ผมเลยไม่อยากให้ความสงสัยของผมอยู่นาน เพราะผมแน่ใจว่าเธอคนนั้นมีเจตนาให้ผมเห็น” เขาเล่าสิ่งที่เห็นและข้อสังเกตให้หลวงลุงฟังอย่างไม่ปิดบัง ความผิดปกติของเขาไม่ใช่เรื่องที่จะเล่าให้ใครฟังได้ง่ายๆ นอกจากหลวงลุงแล้วคนที่เขาจะเล่าให้ฟังได้ก็คงมีแต่มารดาเท่านั้น แต่ทว่าการจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟังก็คงจะสร้างแต่ความทุกข์และกังวลใจเสียมากกว่าเนื่องจากท่านไม่เคยรับเรื่องพวกนี้ได้โดยที่ไม่หวาดกลัว

“สีกาตนนั้นเขาเจตนาให้เจ้าเห็นจริงๆ แต่ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะได้รู้ฉะนั้นก็วางมันไปเสียก่อน”

“แต่...หลวงลุงครับ...” หลวงลุงโบกมือไม่ให้วสุพูดต่อเป็นการตัดบท “เจ้าไปส่งโยมมาลัยเถิด เมื่อถึงเวลาก็จะได้รู้เอง”

“ครับหลวงลุง” เขารับคำก่อนจะก้มลงกราบลา ตัดใจที่จะถามคำถามต่อด้วยรู้แน่ว่าหลวงลุงคงไม่บอกอะไรไปมากกว่านี้ บางครั้งเขาก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับตัวเองอยู่ไม่น้อยเพราะความพิเศษที่เขาได้รับไม่เคยจะช่วยให้อะไรมันกระจ่างได้เลยจริงๆ

“อ่อ...ไม่ต้องปิดประตูห้องนะวสุ” หลวงลุงสั่งสำทับมาอีกครั้งเมื่อเห็นเขาทำท่าจะปิดประตู วสุจึงปล่อยให้บานประตูเปิดอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะเดินลงบันไดแล้วหายไปทางท่าน้ำที่ผูกเรือไว้ โดยไม่มีโอกาสได้เห็นดวงตาวาววับอีกคู่หนึ่งที่มองตามเขาไปจนสุดสายตา

“อาศัยร่างคนอื่นอยู่แบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักนะสีกา...กรรมมันจะเพิ่มพูน”
บทสนทนาที่ดังอยู่ในความเงียบมีเพียงคู่สนทนาทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่ได้ ภาพเบื้องหน้าก็คงจะเป็นเพียงแค่ภิกษุผู้มากด้วยพรรษากำลังอยู่ในสมาธิ โดยที่มีคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งที่ไร้ตัวตนสำหรับสายตาคนปกตินั่งพับเพียบนิ่งอยู่หน้าประตูกุฏิ

“หากไม่ทำแบบนี้ดิฉันจะเข้ามาที่นี่ได้หรือเจ้าคะ พระคุณเจ้าเองก็น่าจะรู้ดีกว่าดิฉัน”

“สีกามีเหตุจำเป็นใดจึงต้องมาหาอาตมา” คำถามของภิกษุชราทำให้ร่างบางที่หมอบก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมาฉับพลันโดยไม่ได้เกรงกลัวอำนาจพุทธบารมีที่อยู่เบื้องหลังท่านแม้แต่น้อย ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์ไปด้วยไฟแห่งกิเลสก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงห้าวต่ำบ่งบอกถึงความไม่เป็นมนุษย์

“สัญญา...ดิฉันมาทวงสัญญา...มันสมควรแก่เวลาแล้ว...พระคุณเจ้าอย่าได้หน่วงไว้อีกเลยเจ้าค่ะ”

“มันเป็นเรื่องของวาระกรรม ไม่ใช่สีกาเป็นฝ่ายตัดสินเองว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง อาตมาไม่เคยหน่วงเวลาไว้เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น” น้ำเสียงเรียบและแววตาเอื้ออารีมิได้ทำให้วิญญาณสาวผู้มาเยือนข่มแรงโทสะลงได้ น้ำเสียงที่ตอบกลับมาจึงกรุ่นไปด้วยแรงอารมณ์ที่ไม่ได้ดังใจปรารถนา

“มุสา!!! พระคุณเจ้ามุสา ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านป่านนี้มันคงระลึกถึงคำสัญญาของเจ้าแม่ได้แล้ว”

“สีกาเข้าใจผิดแล้ว อาตมาไม่ได้โกหก ...มันยังไม่ถึงเวลาจริงๆ ต่อให้หลานของอาตมาจำได้ก็ไม่ได้หมายความว่าสีกาและคนอื่นๆจะได้รับการปลดปล่อยเสียเดี๋ยวนี้ซะเมื่อไหร่”

“ดิฉันไม่เชื่อ!!!...เจ้าแม่บอกดิฉันว่าถ้ามันจำได้ ดิฉันจะเป็นอิสระ” เมื่อได้ฟังดังนั้นภิกษุชราถึงกับส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเช่นเดิม

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้สีกาก็ลอบหนีออกมาจากเขตอาคมเช่นนั้นสิ ไม่กลัวว่านายของสีกาจะรู้รึ?”

“ดิฉันไม่กลัว...เจ้าแม่กักวิญญาณของดิฉันได้อีกไม่นาน จะว่าไปตอนนี้พลังอำนาจของดิฉันก็กล้าแข็งมาก หากจะหนีออกมาจริงๆ ย่อมทำได้...หรือพระคุณเจ้าไม่เชื่อ?”

“อาตมาว่าสีกากลับไปเถิด เวลาที่สีกาและนายของสีการอคอยมันใกล้จะมาถึงแล้ว และหากเมื่อถึงเวลาจริงๆอาตมาจะไม่เข้าไปยุ่งเลยแม้แต่น้อย”

“จำคำของพระคุณเจ้าไว้ให้ดีนะเจ้าคะ เมื่อถึงเวลานั้นก็อย่าได้คืนคำให้มันผิดศีลผิดสัตย์ก็แล้วกัน” พูดจบวิญญาณสาวก็สลายไปทันที เช่นเดียวกับดวงตาที่ผ่านโลกมามากของหลวงพ่อที่เปิดขึ้น ความเหนื่อยและหนักใจยังคงไม่คลายลงง่ายๆ ในเมื่อเวลาที่ทั้งท่านและบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วของวสุหวั่นเกรงกำลังจะมาถึง และคงไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงได้

....................................................................

ชายหนุ่มพายเรือกลับมาที่วัดอีกครั้งหลังจากไปส่งมารดากลับบ้านแล้ว เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นกลุ่มคนมุงอยู่ที่บริเวณท่าน้ำด้านหน้าวัด เพราะโดยปกติแล้วเวลาบ่ายอย่างนี้ไม่ค่อยมีใครจะลงมาแถวนี้เท่าไหร่ และหากจะบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่มาทัวร์ไหว้พระเก้าวัดตามสมัยนิยมด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะวัดแห่งนี้ไม่ได้เปิดรับนักท่องเที่ยวเหมือนกันที่อื่นๆ เมื่อเขาเอาเรือเข้าจอดที่อู่ของวัดเรียบร้อยแล้วก็เลี่ยงเดินขึ้นกุฏิทางบันไดที่อยู่ด้านหลัง แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวขึ้นบันได เสียงโวยวายจากกลุ่มเด็กวัดก็เรียกเขาไว้เสียก่อน

“พี่วสุครับ พี่วสุ เกิดเรื่องแล้วครับพี่” เด็กหนุ่มพูดพลางหอบแฮกด้วยความเหนื่อยเพราะรีบวิ่งมา

“มีอะไรเหรอแขกวิ่งหน้าตื่นมาเชียว” เขาถาม

“ศพครับพี่ ศพ” เด็กวัดที่ชื่อแขกพูดได้เพียงเท่านั้นก็ฉุดมือของวสุให้วิ่งตามไปยังท่าน้ำหน้าวัดทันที จากที่เมื่อครู่เขาเห็นคนกลุ่มใหญ่นั้นก็คงมาชุมนุมกันตามประสาไทยมุงเท่านั้นเอง ยังไม่ทันจะถึงบริเวณที่แขกบอกว่าศพนอนอยู่ เขาก็ต้องเบ้หน้าด้วยเพราะกลิ่นเน่าที่ลอยอวลมานั้นรุนแรงจนแทบผงะ แต่ทันทีที่เขาได้เห็นร่างไร้วิญญาณวสุก็อดตกใจไม่ได้เมื่อสภาพภายนอกไม่มีส่วนใดเลยที่บอกว่าร่างนั้นจะส่งกลิ่นเน่าที่เขาสัมผัสได้เมื่อครู่นี้

“มีใครตามตำรวจหรือยังครับ”

“ลุงให้คนโทรไปแจ้งตำรวจแล้วล่ะพ่อวสุ อีกเดี๋ยวคงมากัน” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำบอกเล่าจากชายหาปลาวัยย่างเจ็ดสิบที่ชื่อว่าลุงเชิด เนื้อตัวที่ยังคงเปียกชื้นมีน้ำหยดนั้นทำให้เขาคาดเดาได้ว่าลุงคนนี้คงเป็นคนที่พบและพาศพขึ้นมาบนท่าน้ำแห่งนี้เอง

“ลุงเชิดเจอคนแรกใช่ไหมครับ”

“ใช่สิพ่อ...เฮี้ยนนักนะรายนี้ พูดแล้วก็ขนลุกไม่รู้จะเจออะไรซวยไหมเนี่ย” ลุงเชิดพูดพลางลูบแขนราวกับหนาวหนักหนาทั้งๆที่แดดบ่ายออกเปรี้ยงขนาดนี้

“โธ่คิดมากน่าลุง ไม่มีอะไรหรอกครับ ลุงอย่าพูดเกินไปหน่อยเลยน่า”

“แหมพ่อวสุก็พูดได้นี่ ไม่ใช่คนเจอเสียหน่อย ลุงพายเรือมาอยู่ดีๆดันคว้าไม้พายลุงเสียฉิบ ไม่บอกว่าเฮี้ยนยังไงทนไหว” คำบอกเล่าของลุงเชิดทำเอาคนที่มุงดูอยู่นั้นออกอาการฮือฮาตามประสาชาวบ้านผู้มีความเชื่อเช่นนี้อยู่เป็นกำลัง

“เอาเถอะครับลุง ผมว่าลุงกลับไปอาบน้ำเถอะ หรือว่าถ้าลุงไม่สบายใจให้หลวงลุงแกพรมน้ำมนต์ให้เสียหน่อยก็ได้นะครับ”

“เออดีเหมือนกัน เดี๋ยวลุงขึ้นไปหาหลวงพ่อเสียหน่อย ว่าแต่ลุงไม่ต้องรอตำรวจมาเร๊อะ? คราวที่แล้วที่เจอศพคนเรือล่มน่ะ ไอ้มีเพื่อนลุงยังต้องไปเล่าให้ตำรวจฟังที่โรงพักเลย”

“อ่อต้องไปให้ปากคำครับ แต่ว่าลุงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม กลัวจะเป็นไข้แดดไปเสียก่อนน่ะครับ”

“โอยหนังเหนียวเคี้ยวยากอย่างลุงน่ะไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวรอเล่าให้ตำรวจฟังเลยดีกว่า ไม่อยากไปขึ้นโรงพักหรอก ลุงไม่ค่อยถูกด้วยน่ะ” พูดจบลุงเชิดก็หัวเราะร่วน ใครต่อใครรู้ทั้งนั้นว่าลุงเชิดแกเป็นนักพนันบ่อนงานศพ งานไหนงานนั้นต้องมีลุงแกไปร่วมลุ้นแต้ม ถึงคราวโดนแจ้งจับเมื่อไหร่แกเป็นต้องติดหนึ่งในนั้นทุกที

“งั้นเดี๋ยวให้เด็กไปเอาผ้าขาวม้ามาให้ห่มนะครับลุง...เจ้าต้นไปเอาผ้าขาวม้าของพี่มาให้ลุงแกห่มหน่อยนะ” ท้ายประโยคชายหนุ่มหันไปสั่งเด็กวัดที่เขาสนิทสนม จากนั้นจึงเดินเข้ามาสำรวจศพใกล้ๆด้วยความสนใจ นี่ไม่ใช่ศพนิรนามศพแรกที่จมน้ำตายในสายน้ำแห่งนี้ แต่ว่าก็เป็นศพแรกที่ลอยมาขึ้นท่าที่นี่ ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหนหรือที่มาที่ไปเป็นอย่างไรเสียด้วย ขณะที่กวาดสายตาไปเรื่อยๆ วสุก็พบรอยแดงๆที่รอบคอของศพ รอยคล้ายถูกเชือกรัดเพียงเท่านั้นเขาก็พอจะเดาได้ว่าศพนี้อาจจะถูกฆาตกรรมจากที่อื่นแล้วมาโยนลงในแม่น้ำเพื่ออำพรางคดี แต่ยังไม่ทันที่จะพิจารณาอะไรได้ชัดเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง และเริ่มต้นตรวจสอบศพและเก็บหลักฐาน เขาจึงเลี่ยงออกมาตั้งท่าจะเดินกลับไปที่กุฏิของหลวงลุง ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายของฤดูร้อนที่ยังแรงกล้านั้นเขากลับรู้สึกหนาวยะเยือก แถมที่ปลายหางตายังทันได้เห็นหญิงสาวคนเดียวกับที่ได้เห็นเมื่อเช้า ควงวิญญาณที่ซ้อนทับมาในร่างของม่ายสาวเรรินยืนอยู่ตรงโคนต้นตะเคียนใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำ คำถามจึงผุดขึ้นในใจแทบจะทันที

“เรื่องที่เกิดขึ้นมันเกี่ยวกับเรางั้นหรือ?”



ญาตรีฬาห์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ม.ค. 2556, 11:18:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2556, 21:21:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 981





<< บทนำ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account