หทัยรักบรรณาการ{สนพ.เดซี่ตีพิมพ์}
Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย
ตอน: บทที่ 8
สิบวันให้หลัง คนตัวโตที่มักมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆกลับหายหน้าหายตาไป โดยให้คนนำจดหมายมาให้ ข้อความในจดหมายนั้นบอกเพียงว่า ยุ่งมาก ต้องตามเสด็จเจ้าชายอัคคัญญ์ไปนู่นมานี่ คงไม่ได้มาหาสักพัก ศาศวัตราทำเป็นไม่สนใจ พยายามทำตัวให้เป็นปกติอย่างที่เคยเป็นมาตลอดสิบห้าปี หากเอาเข้าจริงแล้ว หัวใจดวงน้อยกลับว่างโหวงแปลกๆ จะด้วยเหตุผลอะไรนั้น เจ้าตัวนึกไม่ออกเลยจริงๆ
หญิงสาวไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนอีก จะไปไกลสุดก็แค่ตลาดกลางเมืองเพื่อนำดอกไม้ และผัก ผลไม้ไปส่งให้ร้านค้าที่รับซื้อสามสี่ร้านเพียงเท่านั้น จากนั้นเธอก็จะกลับบ้าน มาคอยดูแลแปลงกุหลาบที่ตนเองปลูกกับมือ บางต้นที่ดูโรยรา เจ้าตัวจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะไม่อยากให้ใครบางคนดูถูกเอาได้
‘ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้จะปลูกได้หรือ ไม่ทำต้นกุหลาบตายเสียหมดหรือไร’
ตายักษ์เคยพูดเช่นนั้นในวันที่เธอพาเขามาชมแปลงกุหลาบของตัวเอง หวังหมดใจว่าอีกฝ่ายจะทึ่ง ชูนิ้วโป้งชื่นชม และบอกว่าเธอเก่ง ทว่าสิ่งที่เธอได้รับกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นศาศวัตราตอบแทนคำกล่าวหาของเขาด้วยการชกท้องเขาไปเสียหนึ่งที อีกทั้งยังปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะคอยดูแลไม่ให้ต้นกุหลาบต้นใดของเธอเหี่ยวแห้งหรือตายไปอย่างแน่นอน
ศาศวัตราใช้เวลาช่วงเช้าก่อนออกไปเรียนดูแลเอาใจใส่กุหลาบทุกต้น เมื่อเรียนเสร็จและกลับมาบ้านในตอนเย็น เธอก็จะวุ่นวายกับมันอยู่นาน แม้ตอนตกดึกก่อนนอน หญิงสาวก็ไม่วายคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วออกไปชื่นชมผลงานอันแสนน่าภูมิใจของตนเองจนมารดาถึงกับเอ่ยถามในวันหนึ่งว่า
‘กุหลาบของเจ้ามันปลูกยากนักหรือ ศาศวัตรา ทำไมเจ้าต้องดูแลเอาใจใส่มันขนาดนั้น’
ศาศวัตราไม่รู้จะตอบว่ากระไร จึงได้แต่ยิ้ม ก่อนหลบเลี่ยงไปทำอย่างอื่นเสีย
เช้านี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอออกมาดูแลต้นกุหลาบเกือบสี่สิบต้นที่ปลูกเองกับมือ รดน้ำพรวนดินเรียบร้อยแล้ว จึงคว้ากระเป๋าสะพาย และเอ่ยลามารดาก่อนขึ้นควบเจ้าดำมุ่งหน้าสู่ป่าใหญ่
มารดาของเธอคงคิดว่าเธอคงไปเรียนหนังสือกับอาจารย์เซติตามเคย แต่เปล่าเลย วันนี้หญิงสาวขอลาอาจารย์ บอกว่ารู้สึกไม่สบาย อยากพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ทั้งที่ใจจริงแล้วเธออยากจะหนีเที่ยว
การเที่ยวครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เพราะหลังจากได้ทราบจากถ้อยรับสั่งของท่านพี่ธรว่าบรรดาเจ้าหญิงเจ้าชายจะเสด็จไปเที่ยวน้ำตกสุวดี...น้ำตกที่ไม่ได้สวยที่สุดในอาวันตี แต่อยู่ใกล้และเดินทางไปถึงง่ายที่สุด...ศาศวัตราก็หาข้อแก้ตัวไม่ไปเรียนกับอาจารย์เซติในทันใด และวันนี้เธอก็พร้อมแล้วสำหรับการ ‘แอบดู’ ว่ายามออกเที่ยว หรือยามมีเวลาว่าง...บรรดาเจ้าผู้สูงศักดิ์นั้นทำอะไรกันบ้าง จะกระโดดลงไปแหวกว่ายในน้ำใสเย็น หรือทรุดกายลงนั่งใต้ต้นไม่ใหญ่ สัมผัสกลิ่นอายของดินหญ้าแบบเธอบ้างไหม
ศาศวัตรากระตุกบังเหียนสั่งให้เจ้าดำวิ่งเร็วขึ้น แล้วยิ้มกับตัวเอง เมื่อยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอสุขใจ
...ไม่ได้พบหน้ากันสามวัน อยากรู้นักตายักษ์ตัวโต...โตขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า ส่วนตัวเธอนั้น เชื่อขนมกินได้เลยว่าสูงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน...แม้จะเพียงเล็กน้อยก็เถอะ
ยืนเทียบกันคราวนี้คงใกล้บ่าของตายักษ์ขี้เก๊กบ้างล่ะน่า...
ศาศวัตรามาถึงจุดหมายปลายทางแล้วผูกบังเหียนเจ้าดำไว้กับต้นไม้ห่างจากตำแหน่งน้ำตกพอสมควร โดยให้ม้าของตนหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางหญ้ารกชัฏและกลุ่มต้นไม้ใหญ่ จากนั้นจึงคว้ากระเป๋าของตนมาสะพายข้างไว้ เดินเท้าตรงไปยังน้ำตก พร้อมกับมองหาทำเลเหมาะๆสำหรับการซุ่มดูอย่างเงียบๆ ร่างเล็กเงยหน้ากวาดตามองซ้ายขวา เพียงไม่นานเจ้าตัวก็พบที่ซ่อนตัวอันเหมาะเจาะ นั่นคือต้นไม้สูงใหญ่แผ่นกิ่งก้านสาขาโอบคลุมพื้นที่รอบตัวมันหลายเมตร หญิงสาวไม่รอช้า ค่อยๆปีนป่ายขึ้นไปยังกิ่งขนาดใหญ่ที่สุดของต้นไม่ต้นนั้น เมื่อขึ้นมานั่งเรียบร้อยก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อตนเองสามารถกวาดตามองรอบๆน้ำตกแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน ทีนี้ไม่ว่าใครจะยืนหรือทำอะไรตรงไหนก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเธอไปได้
ศาศวัตรานั่งรอไม่นาน เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดินเป็นจังหวะอันวุ่นวายสับสนก็ดังขึ้น ร่างเล็กกลั้นใจเพ่งมองลงไปเบื้องล่าง อาศัยร่มไม้ใบบังของต้นไม้ต้นนั้นพรางตัวของตนเองไว้ ดูเหมือนการซ่อนตัวของเธอผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เมื่อเหล่าทหารทั้งหลายไม่ได้สำเหนียกเลยว่ามีใครอื่นอยู่แถวนั้นด้วย
หญิงสาวระบายลมหายใจบางเบา ก่อนเอื้อมมือลงไปในกระเป๋าสะพายที่ปกติแล้วมักบรรจุเครื่องเขียนหรือสมุดสำหรับเรียนหนังสืออยู่เป็นประจำ หากคราวนี้กลับเป็นผลไม้ที่ตนเองชื่นชอบอย่างแอปเปิ้ลเขียวกับองุ่นแดง ร่างเล็กคว้าเจ้าแอปเปิ้ลลูกกลมขึ้นมาเช็ดกับเสื้อผ้า ก่อนกัดกร้วมอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ทหารเบื้องล่างกำลังตั้งกระโจมเพื่อใช้เป็นที่พักสำหรับเจ้าชายเจ้าหญิงอยู่ริมลำธาร
เสียงน้ำตกดังสะท้อนกลางหุบเขาผสานกับเสียงนกร้องทำให้ศาศวัตราอดเพลิดเพลินกับการมาเที่ยวเพียงลำพังในวันนี้ไม่ได้ ที่มากกว่านั้นคือเธอได้มาสังเกตอย่างชัดๆอีกครั้งว่าเจ้าหญิงปวริศาที่ว่ากันว่าทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าสตรีใดนั้นงามเฉกเช่นนางฟ้านางสวรรค์จริงหรือไม่
ชั่วขณะที่เจ้าตัวกวาดตามองนั้น ใครจะนึกว่าคนที่เธอสะดุดตาเป็นคนแรกคือตายักษ์ขี้เก๊ก!
เขาอยู่ในชุดทหารสีดำสนิท โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันกำลังยืนเอามือไพล่หลังเยื้องไปทางเบื้องพระปฤษฎางค์ของเจ้าชายอัคคัญญ์ผู้ซึ่งกำลังแย้มสรวลและตรัสอะไรบางอย่างกับเจ้าชายธราธร
ศาศวัตรามองจ้องเขาตาไม่กะพริบ ยามอยู่ในหน้าที่การงานเช่นนี้ เธอรู้สึกได้ถึงพลังความดุดัน ทรงอำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ใบหน้าที่มักยิ้มละไมยามอยู่กับเธอตอนนี้จะเรียกว่าบึ้งตึงก็คงใช่กระมัง...ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง
คนตัวเล็กกัดริมฝีปาก...นึกอยากจะปรี่เข้าไปถามเสียเดี๋ยวนั้นเลย นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังซ่อนตัวอยู่ล่ะก็ เธอคงไม่รีรอที่จะโพล่งถามออกไปอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระแสจิตของเธอหรือเปล่า...จู่ๆคนตัวโตก็เงยหน้าขึ้นมา มิใช่ชื่นชมความงามของท้องฟ้า แต่ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องทางทางเธอ เหมือนเห็นชัดว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองอยู่
คนถูกมองขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนักว่าอีกฝ่ายจะเห็นว่าเธอนั่งอยู่บนกิ่งไม้นี้ได้ ทว่า...นายทหารหนุ่มผู้นั้นได้ยืนยันว่าเห็นเธอแล้วด้วยการชูนิ้วโป้งขึ้นมาเสมอไหล่ เพียงชั่วอึดใจก่อนหันกลับไปมองเบื้องหน้าตามเดิม
คนถูกจับได้ไม่โกรธ แต่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ตายักษ์จับได้ว่าเธอซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่คราวแรกเธอทะนงตัวไว้เสียดิบดีว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นหรือหาตัวเธอพบ...มันน่าเจ็บใจจนอยากหาทางเอาชนะเสียจริง
ศาศวัตราเพิ่งตระหนักได้ในตอนนั้นเองว่า...ไม่เคยเอาชนะผู้ชายตัวโตราวยักษ์ปักหลั่นผู้นั้นได้เลยแม้สักครั้ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เธอมักจะถูกตอกกลับ ล่อลวง ล่อหลอกให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทุกครั้งไป ตอนนี้ยังเหลือเรื่องการแข่งม้าที่สัญญากันไว้ว่าอีกสามปีจะมาแข่งกัน ถ้าเธอแพ้อีก สงสัยเขาคงต้องกลายเป็นคู่แข่งเธอทุกชาติไปเสียแล้วกระมัง
ศาศวัตราพ่นลมหายใจ กัดแอปเปิ้ลอีกคำเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนละสายตาจากร่างสูงใหญ่นั้นมามองเจ้าชายอัคคัญญ์ในฉลองพระองค์สีดำขลิบมอง พระองค์ตรัสอะไรบางอย่างกับเจ้าชายธราธรผู้ซึ่งสวมฉลองพระองค์สีฟ้าเข้มและกำลังสรวลอย่างรื่นเริง
ขณะที่เจ้าหญิงแพรพิไล พระขนิษฐาต่างพระมารดานั้นกำลังกอดพระอุระ ประทับยืนพิงต้นไม่ริมลำธาร ทอดเนตรสายน้ำที่รินไหลผ่านพระพักตร์อย่างไม่สนพระทัยในผู้ใด ฉลองพระองค์สีชมพูปลิวสะบัดตามแรงลมจนต้องละหัตถ์จากพระอุระมาจับมันไว้มั่น ไม่ห่างกันนั้นคือเจ้าหญิงปวริศา...เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งพรหมราชในฉลองพระองค์สีปีกแมลงทับ พระองค์ทรงกำลังสั่งความอะไรบางอย่างกับนายทหารผู้หนึ่ง ก่อนจะหันไปรับสั่งกับเจ้าหญิงแห่งอาวันตี
ยามเมื่อทั้งสองพระองค์ประทับยืนเคียงกัน ความสง่างามของเจ้าหญิงปวริศาบดบังรัศมีของเจ้าหญิงแพรพิไลไปจนสิ้น ทั้งพระฉวีขาวราวงาช้าง พระพักตร์แสนอ่อนหวาน และรอยแย้มสรวลอ่อนโยน ทุกอย่างที่รวมกันเป็นพระองค์ช่างเหมาะเจาะลงตัว...สมแล้วที่ใครๆต่างยกให้พระองค์งามเลิศกว่าใครในแถบนี้
ศาศวัตรามองเจ้าหญิงแห่งพรหมราชอย่างเพลิดเพลิน ทั้งเพลินตาในพระสิริโฉม และเพลินใจในจริยาวัตรอันสง่างามของพระองค์ ยามทรงเยื้องยุรยาตรดูเนิบช้าและงดงามทุกกระเบียดนิ้ว หญิงสาวเชื่อแล้วว่าทั่วทั้งดินแดนสามอาณาจักร...อาวันตี หฤษคีรีและพรหมราขนั้นไม่สามารถหาสตรีใดเทียบพระองค์ได้เลยแม้สักคน
ศาศวัตราเฝ้ามองอย่างเงียบๆจนตะวันขึ้นตรงศีรษะ อากาศหนาวยามเช้าเริ่มอุ่นขึ้น หญิงสาวรับประทานแอปเปิ้ลหมดไปสองลูก กับองุ่นอีกหนึ่งพวงใหญ่ๆ ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังยัดองุ่นแดงใส่ปากได้เรื่อยๆ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะอิ่มเลยสักนิด
หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นท่านพี่ธรถอดฉลองพระองค์แล้วกระโดดลงไปแหวกว่ายในน้ำใสเย็น ตามด้วยนายทหารอีกสี่ห้าคน ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ ยามนี้ทรงเข้าไปประทับนั่งชมวิวทิวทัศน์และฟังเสียงน้ำตกกระเซ็นซ่านอย่างสบายพระอารมณ์
เจ้าชายอัคคัญญ์ไม่ได้กระโดดลงไปในน้ำด้วย แต่ประทับยืนเอาพระหัตถ์ไพล่ไว้เบื้องหลังพระปฤษฎางค์ ข้างๆกันนั้นเป็นทหารอาวันตีที่เธอเคยเห็นหน้ามาแล้วตอนที่เขาเอาจดหมายไปให้ผู้เป็นนายของตัวเองที่บ้านของเธอ
ศาศวัตราขมวดคิ้ว...นึกสงสัยขึ้นมาครามครันว่าเหตุใดราชองครักษ์คนสำคัญจึงไม่ยืนอยู่เคียงข้างเจ้าชายของตนเอง หญิงสาวกวาดตามองหาคนที่แสนคุ้นตา ทว่ามองไปทางใดก็ไร้วี่แววบุรุษผู้นั้น
ยังไม่ทันที่เธอจะคิดทำอะไรต่อ ก้อนหินเล็กๆก้อนหนึ่งก็ลอยมากระทบแผ่นหลังของเธอ คราแรกศาศวัตราเพียงแค่ยกมือคลำบริเวณที่ถูกหินกระทบแล้วบ่นพึมตามประสา ต่อเมื่อครั้งที่สองนั่นล่ะ เธอจึงหันขวับไปมองทางด้านล่าง ความหงุดหงิดจึงเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณเมื่อเห็นว่าต้นเหตุคือผู้ใด
“ท่านกล้าทำร้ายข้าเรอะ!”
อยากตะโกนออกไปสุดเสียง หากก็กลัวจะถูกจับได้ว่ามาแอบซุ่มอยู่ตรงนี้จึงทำได้เพียงป้องปากแล้วเปล่งเสียงออกไปอย่างไม่ดังนัก
“ข้าแค่หยอก”
อัคเองก็หาได้ตะโกนไม่ เขาพูดเสียงเบาแต่อ้าปากกว้างและเอ่ยทีละคำอย่างชัดเจน
“หยอกบ้าอะไร!”
คนถูกหยอกรีบไต่ลงมาด้านล่าง ทว่า...ไม่รู้ว่าเพราะความรีบร้อน ความกรุ่นโกรธในอกในใจ หรือเป็นความซวยของเธอกันแน่ ร่างเล็กก้าวพลาดพลัดตกลงจากกิ่งไม้ใหญ่ มือเล็กพยายามจะเอื้อมคว้ากิ่งบนไว้หากก็ไม่ทัน สุดท้ายเจ้าตัวจึงกรีดร้อง หลับตาสนิทอย่างหวาดกลัว คิดว่าคราวนี้ตนเองคงไม่อาจมีชีวิตรอด หรือถ้ามีชีวิตรอดคงได้กลายเป็นคนพิการเป็นแน่แท้
แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อสิ่งที่รองรับเธอนั้นหาใช่พื้นดินแข็งๆไม่ แต่เป็นเรือนร่างแข็งแกร่งของ ‘เพื่อน’ จากต่างแดนนั่นเอง
ศาศวัตราแว่วเสียงโอดครวญจากร่างที่เธอนอนคว่ำหน้าทับอยู่ จึงเปิดเปลือกตาขึ้นมองทีละน้อย เห็นใบหน้าเหยเกของตายักษ์อยู่ห่างไม่ถึงคืบ ดวงตาดำสนิททอดมองมาอย่างระอาใจกึ่งขบขัน คำพูดขอบใจจึงกลืนหาย กลายเป็นความหงุดหงิดที่ตนเองเสียหน้าแทน
“เพราะท่านคนเดียวที่ทำให้ข้าต้องอยู่ในสภาพนี้”
ตอนนั้นเธอกำลังจะต่อว่าเขาให้หายเจ็บใจ แต่อัครีบลุกขึ้นยืนโดยแบกเธอพาดบ่า ก่อนออกวิ่งไปจากตรงนั้นโดยเร็ว
“ท่านจะพาข้าไปไหน”
“เงียบไว้ตัวเปี๊ยก”
ศาศวัตรากำลังจะอ้าปากเถียงแต่ได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าทหารทั้งหลายจึงปิดปากเงียบ เดาออกว่าพวกเขาเหล่านั้นคงได้ยินเสียงเธอกรีดร้องจึงรีบรุดออกตามหา ดีแล้วที่อัคพาเธอหนีออกมาจากตรงนั้น ไม่เช่นนั้นเธอคงถูกจับได้เป็นแน่แท้
วิ่งมาได้พอสมควร อัคก็วางเธอลงบนพื้น ก่อนใช้มือกดศีรษะเล็กให้ก้มต่ำ ซ่อนตัวท่ามกลางหญ้าสูงท่วมศีรษะ เฝ้ารอจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา จึงปล่อยมือ...คนที่ถูกกดจนหน้าแทบจะจูบพื้นดินถึงกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนพ่นออกมาเต็มแรง เท่านั้นยังไม่พอเจ้าตัวยังใช้สองมือผลักคนข้างกายให้สุดเรี่ยวแรงที่มีจนคนที่นั่งยองๆล้มก้นจ้ำเบ้า
เห็นดังนั้น คนตัวเล็กก็ยกมือปิดเสียงหัวเราะอย่างขบขันของตัวเองอย่างสาแก่ใจ
“เจ้าทำแบบนี้กับข้าได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าไว้ไม่ให้ถูกจับแท้ๆ”
“เรื่องช่วยข้าก็ขอบใจ” ศาศวัตราหยุดหัวเราะ แต่ยังคงยิ้มละไมในหน้า “แต่เรื่องที่ท่านทำข้าตกต้นไม้ ข้าต้องเอาคืน”
“อะไรนะ? ข้าน่ะหรือทำเจ้าตกต้นไม้ เจ้าต่างหากที่ปีนลงมาแล้วพลาดเอง จะมาว่าข้าว่าเป็นต้นเหตุได้อย่างไร”
“ก็ถ้าท่านไม่ขว้างก้อนหินใส่ข้า ข้าก็คงไม่โมโหจนต้องรีบลงมาจนก้าวพลาดแบบนั้นหรอก”
คนตัวโตส่ายหน้าน้อยๆ ถอนหายใจเฮือกราวกับการต่อกรกับเด็กอย่างเธอเป็นเรื่องน่าหนักใจเป็นนักหนา
“แต่ถึงอย่างไรข้าก็เอาตัวของข้ารับตัวของเจ้านะ...ไม่อย่างนั้นเจ้าคงคอหักตายไปเสียแล้วกระมัง”
เป็นประโยคที่ทำให้ศาศวัตราไม่กล้าเถียง ได้แต่ทำปากยื่นปากยาวไม่สบอารมณ์ แล้วรีบลุกขึ้นยืน
“วันนี้ไม่สนุกแล้ว ข้ากลับบ้านดีกว่า”
ร่างเล็กกำลังจะเดินจากไป แต่ถูกคนที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นคว้าแขนไว้ ยื้อยุดไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนีไปง่ายๆ
“เจ้าเป็นหนี้บุญคุณข้านะ ตัวเปี๊ยก”
“หนี้บุญคุณอะไร”
คนที่ไม่ชอบเป็นหนี้ใครถามกลับอย่างเอาเรื่อง
“ข้าช่วยเจ้าถึงสองครั้งสองครา...ช่วยไม่ให้เจ้าคอหักตายแถมยังช่วยให้หนีทหารพวกนั้นมาได้อีก เจ้าไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณข้าหรือไร”
คนตัวเล็กกระชากมือออกจากมือใหญ่ ยกมือเท้าสะเอว แล้วพ่นลมออกจากปากด้วยทีท่าราวกับหนุ่มน้อยมิใช่เด็กสาวแต่อย่างใด
“หักลบเรื่องที่ท่านเอาก้อนหินปาใส่ข้า ก็ถือว่าข้าเป็นหนี้ท่านหนึ่งครั้ง”
นายทหารหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนพยักหน้า
“ได้...ตามนั้น” ท่าทางสมใจของคนที่นั่งอยู่ทำให้ศาศวัตราหงุดหงิดในหัวใจเหลือจะกล่าว หญิงสาวดึงผ้าโพกศีรษะของตนเองออกปล่อยผมดำขลับยาวสยาย ถ้าไม่รวมกับชุดดำเปรอะเปื้อนที่สวมอยู่ กับท่าทางการเสยผมลวกๆเช่นนั้น เธอคงกลายเป็นเด็กสาวที่น่ารักพอดูทีเดียว
“แล้วท่านจะให้ข้าตอบแทนท่านอย่างไรล่ะ”
อัคยกมือลูบไรหนวดตามปลายคางของตนเอง ชั่วอึดใจจึงตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า
“เจ้าต้องไปเที่ยวกับข้าโดยแต่งตัวเป็นหญิงหนึ่งวัน”
ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่พอใจ จึงเสริมไปว่า
“เจ้าต้องเป็นหญิงเต็มตัว ห้ามทำท่าทางกระโดกกระเดกแบบผู้ชาย ต้องเป็นกุลสตรีตลอดเวลาหนึ่งวันเต็ม!...” นิ่งไปอึดใจ ก่อนรีบเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้าปาก “...ทำตัวเหมือนเจ้าหญิงปวริศาน่ะ...ทำเป็นไหม”
ตอนแรกเจ้าตัวเล็กจะโวยแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายซึ่งมีสำเนียงดูถูกเล็กๆ เธอจึงเปลี่ยนเป็นพยักหน้า ตอบออกไปอย่างมั่นใจว่า
“ได้...คนอย่างศาศวัตราทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว!”
คนตัวโตหัวเราะในลำคอ...เฝ้าคอยวันที่จะได้เห็นเจ้าตัวเปี๊ยกเป็นผู้หญิงเต็มตัวอย่างขบขัน นึกไม่ออกเลยว่าท่าทางของศาศวัตราจะประดักประเดิดเพียงใด แต่ก็เอาเถิด...อีกไม่นานเขาจะได้รู้ได้เห็นแล้วว่าเด็กกะโปโลอย่างเธอจะกลายเป็นหงส์ที่แสนสง่างามได้หรือไม่
อีกห้าวันถัดมา ศาศวัตราก็ต้องวุ่นกับการลองชุด...ไม่ใช่ชุดดำแบบบุรุษที่เธอมักสวมใส่เป็นประจำ แต่เป็นชุดกระโปรงแบบยาวกรอมเท้าแบบที่สตรีทั่วไปใส่กัน หญิงสาวจำไม่ได้แล้วว่านับแต่ตื่นมาเธอเปลี่ยนชุดไปกี่ชุด ที่แน่ๆมันทำให้เธอยิ้มไม่ออก แถมยังหงุดหงิดเสียจนอยากจะตะบันหน้าคนต้นคิดเสียเหลือเกิน
“เจ้าว่าชุดไหนดี เนรา”
สตรีสูงวัยถามความเห็นจากคนที่ยืนเยื้องไปทางเบื้องหลัง ทว่ากลับละเลยความเห็นของบุตรสาวเสียอย่างนั้น
“ชุดไหนก็เหมือนกันแหละค่ะ ศาไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน”
เจ้าตัวก้มลงมองชุดยามกรอมเท้าสีฟ้าแขนแขนยาวถึงข้อมือ ทางด้านหน้าประดับโบว์แสนน่ารัก ส่วนช่วงเอวก็รัดแน่นเสียจนเธอหายใจแทบไม่ออก...ศาศวัตราถอนหายใจเฮือก เกิดความอยากรู้ขึ้นมาเป็นนักหนาว่าสาวๆทั้งหลายทนอยู่ได้อย่างไรในชุดที่น่าอึดอัดเช่นนี้ เธอแค่สวมเพียงอึดใจก็แทบอยากจะฉีกทึ้งมันทิ้งเสียแล้ว!
“ป้าเนราซื้อมากี่ชุดกัน ศาว่ามันมากเกินไป จริงๆเลือกให้ศาแค่ชุดเดียวก็พอ...ศาจะได้ไม่ต้องมาลองชุดนั้น เปลี่ยนชุดนี้เป็นสิบรอบแบบนี้”
คนตัวเล็กบ่นอุบ...เข้าใจอยู่หรอกว่าทั้งมารดาและป้าเนราตื่นเต้นเพียงใดที่เธอเกิดอุตริประกาศว่าจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงหนึ่งวัน เธอยังจำได้...ทันทีที่เธอบอกทั้งสองเมื่อวันก่อนนั้น ป้าเนราถึงกับยกมือทาบอก อ้าปากค้าง เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ มารดาของเธอเพียงเลิกคิ้ว ก่อนถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
‘เจ้าน่ะหรืออยากแต่งเป็นหญิง?’
‘ค่ะ’ ศาศวัตราตอบเสียงเบาในลำคอ ดูไม่ชอบใจในสิ่งที่ตนเองประกาศออกมาเลยแม้แต่น้อย และอดีตพระชายาศิริรัตนาย่อมรู้และจับความรู้สึกของเธอได้
‘ไปพนันกับใครไว้หรือเปล่า’
คนตัวเล็กเม้มปากส่ายหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ผู้เป็นมารดาก็ไม่เซ้าซี้
‘ก็ดีเหมือนกัน...ทำตัวเป็นผู้หญิงเหมือนคนอื่นเขาเสียบ้าง เจ้าน่ะสิบห้าแล้วนะ ศาศวัตรา ผู้หญิงคนอื่นพอถึงสิบห้าเขาก็รู้จักรักสวยรักงาม อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนกันแล้ว แต่เจ้ายังเอาแต่เที่ยวเล่น กระโดกกระเดกไปวันๆอยู่เลย’
ก่อนที่มารดาจะสาธยายอะไรไปมากกว่านี้ ศาศวัตราก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน เธอไม่อยากถูกบ่นจนหูชาเหมือนครั้งก่อนๆอีก
‘คราวนี้ศาจะทำตัวเป็นกุลสตรีจริงๆค่ะ...จะลองดูสักวัน’
ถ้อยคำนั้นจุดความพึงพอใจในดวงตางดงามของผู้เป็นมารดา ...กระทั่งบัดนี้ความพอใจนั้นยังไม่จางหายไป หญิงสูงวัยมองบุตรสาวในคราบ ‘กุลสตรี’ อย่างชื่นชม
“แม่ล่ะนึกขอบคุณคนที่ทำให้เจ้ายอมพยายามทำตัวเป็นกุลสตรีเสียจริง...คนคนนั้นเป็นใคร บอกแม่ได้หรือเปล่า”
เอ่ยถามยิ้มๆพร้อมกับจ้องตาของลูกสาวแน่วแน่
“แม่รู้จักเขาดีเลยล่ะค่ะ”
“อ้อ...” ศิริรัตนาพึมพำรับรู้ในลำคอ ยิ้มกว้างสดใส ก่อนเอ่ย
“แม่ดีใจจริงที่เจ้ามีพ่อหนุ่มอัคเป็นเพื่อน”
คนเป็นลูกทำปากยื่นปากยาวพร้อมกับทำเสียงบางอย่างในลำคอบอกชัดว่าเห็นตรงกันข้ามกับผู้เป็นมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย
ยามตะวันขึ้นตรงศีรษะ อดีตพระชายาศิริรัตนาและป้าเนราก็เลือกชุดที่เหมาะสมให้ศาศวัตราได้ กระจกตั้งพื้นฉายภาพให้เห็นร่างอรชรในชุดกระโปรงยามกรอมเท้าสีครีม แขนยาวประดับลูกไม้จนถึงข้อมือ ช่วงเอวรัดเสียจนคนสวมหายใจติดขัด ถึงกับนิ่วหน้า เอ่ยกับมารดาของตนว่า
“ท่านแม่ช่วยคลายเชือกด้านหลังให้หน่อยไม่ได้หรือคะ ศาอัดอัดหายใจไม่ทั่วท้องเลย”
คนถูกร้องขอระบายลมหายใจบางเบา ก่อนทำตามแต่โดยดี แม้ศาศวัตราจะยังรู้สึกอึดอัดหากก็ ‘หายใจหายคอ’ ได้ดีกว่าเมื่อครู่ จึงไม่เซ้าซี้ใดๆอีก
“ขอแม่ดูผมเจ้าหน่อยซิ”
ผมดำขลับซึ่งถูกมัดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ถูกผู้เป็นมารดาปล่อยลงมาให้ยาวสยายเต็มกลางหลัง ขับวงหน้านวลให้อ่อนหวานขึ้น ยิ่งตอนนี้เมื่อใบหน้านั้นถูกแต่งแต้มด้วยแป้งบางๆ พร้อมกับเติมสีให้ริมฝีปากด้วยขี้ผึ้งผสมสีแดง ศาศวัตราที่เคยแก่นแก้วราวหนุ่มน้อยจึงกลายร่างเป็นสาวดรุณีแรกรุ่นในบัดดล
ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง กระดากอายและหงุดหงิดใจ...ถ้าไม่ใช่เพราะต้องตอบแทนบุญคุณตายักษ์จอมกวนประสาทผู้นั้นแล้วล่ะก็ เธอจะไม่มีวันแต่งตัวแบบนี้ ไม่ทาหน้าและทำให้ริมฝีปากตัวเองเป็นสีแดงระเรื่อแบบนี้หรอก
ร่างเล็กจ้องตัวเองในกระจกแล้วถอนใจเฮือก...รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดอย่างไรไม่ทราบได้
“ถ้าเจ้าแต่งตัวแบบนี้บ่อยๆ เจ้าก็จะคุ้นกับมันเองนั่นล่ะ”
มารดาเอ่ยเหมือนมานั่งอยู่ในใจบุตรสาว ศาศวัตรายิ้มอย่างจืดเจื่อน ไม่คิดหรอกว่าตนเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแบบนี้...หลังจากพ้นวันนี้ไป เธอจะขอกลับมาใส่ชุดดำสีหม่นของเธอตามเดิม สะดวกสบายแถมไม่ดูเก้งก้างแบบนี้ด้วย
“แล้วนี่เพื่อนของเจ้าจะมารับตอนไหนรึ”
ยังไม่ทันจะตอบ เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องของมันที่ศาศวัตราจำได้แม่นแล้วว่าเป็นเสียงของเจ้าขาว
“คงมาถึงแล้วล่ะค่ะ”
คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือก ทำคอตก...รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกนำไปประหารอย่างไรไม่ทราบได้ อยากจะวิ่งหนีเข้าไปขังตัวอยู่ในห้องเสียเดี๋ยวนั้น ทว่า...ด้วยความที่รับคำไว้แล้ว แถมยังประกาศว่าคนอย่างศาศวัตราทำได้ทุกอย่างนั้น หญิงสาวจึงไม่สามารถทำให้ตัวเองขายหน้าได้ ร่างเล็กย่อตัวลามารดา ก่อนสาวเท้าเดินตรงไปยังประตู ทันทีที่ผลักออกไป ร่างสูงใหญ่ก็ยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้า เขายกมือที่กำลังจะเดาะประตูค้างกลางอากาศ เมื่อพบว่าคนที่เดินมาต้อนรับเขานั้นเป็นดรุณีแรกรุ่น...ผุดผ่อง บริสุทธิ์ ต่างจากเจ้าตัวเปี๊ยกแสนมอมแมมและกะโปโลเสียเหลือเกิน
หัวหน้าหน่วยนักรบทมิฬกระพริบตามอง ‘เพื่อน’ ด้วยความรู้สึกแปร่งแปลกในหัวใจ...ทั้งตกตะลึง คาดไม่ถึง และชื่นชมนิดๆ
ไม่น่าเชื่อว่า...สาวน้อยกระโดกกระเดกอย่างศาศวัตรายามเมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องตามแบบสตรีทั่วไป อีกทั้งเมื่อมีสีแดงระเรื่อแตะแต้มบนริมฝีปากด้วยแล้ว...จากลูกเป็ดขี้เหร่กลับกลายเป็นหงส์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ดูเอาเถิด...ท่าทางการยืนประสานมือไว้ทางด้านหน้า หลังตรงแน่ว คางเชิดเล็กน้อยดูมีจริตจก้านแบบหญิงสาวคนอื่นๆช่างไม่เหมือนศาศวัตราคนเดิมเลย
...นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน เขาคงคิดว่าเธอเป็นสตรีประเภทหยิ่งจองหองและถือตัวเป็นแน่แท้
“ศาศวัตรา...”
เสียงที่เขาเอื้อนเอ่ยมันแหบแห้งอย่างไรพิกล...ไม่รู้เป็นเพราะตกตะลึงในความงาม หรือกลัวว่าเพื่อนตัวจ้อยจะเปลี่ยนแปลงเป็นสตรีผู้เย่อหยิ่งในเร็ววันจนทำตัวห่างเหินกับเขาก็ไม่อาจทราบได้
“เจ้า...”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ คนตรงหน้าก็ขัดขึ้นมาเสียโดยเร็ว
“ข้าพร้อมแล้ว ไปกันได้หรือยังล่ะท่านอัค”
แม้ท่าทางและการแต่งตัวจะเปลี่ยนไป หากสุ้มเสียงของเธอก็ยังเป็นเจ้าตัวเปี๊ยกของเขาเหมือนเดิม
‘ของเขา’ อย่างนั้นหรือ...อัคอมยิ้มน้อยๆเมื่อถือวิสาสะ ‘ยึด’ เอาศาศวัตราไปเป็นของตนในห้วงความคิด และคงจะได้แค่คิดเท่านั้น ถ้าเผลอพูดออกไป รับรองว่าหญิงสาวต้องต่อว่า อาละวาดให้เขาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าอีกเป็นแน่แท้
“ไปซิ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา สาวเท้าเข้าไปเอ่ยลาสตรีสูงวัยทั้งสอง ให้คำสัญญาว่าจะพาศาศวัตรามาส่งก่อนค่ำ จากนั้นจึงเดินกลับมา ร่างเล็กไม่ได้ยืนอยู่ตรงประตูแล้ว แต่ขึ้นไปนั่งรออยู่บนหลังเจ้าดำเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าจะขี่เจ้าดำไป?”
“อื้อ...ทำไม...ท่านมีปัญหาอะไร”
คนตัวโตเลิกคิ้ว วางมือลงบนแผงคอเจ้าดำก่อนเอ่ย
“ไม่ได้ไปไหนไกล มานั่งม้าตัวเดียวกับข้าดีกว่า”
เห็นคนตัวเล็กทำสีหน้าดื้อดึง เขาจึงสำทับลงไปว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าพาเจ้าดำตะลอนๆไปนู่นมานี่ทั่วอาวันตีแทบทุกวัน...วันนี้ให้มันพักบ้างเถิด”
นั่นละ...คนตัวเล็กจึงคล้อยตาม หญิงสาวยอมลงจากหลังเจ้าดำ ฝากฝังป้าเนราให้พามันไปพักผ่อนในคอก ก่อนจะมาหยุดยืนข้างเจ้าขาวที่คนตัวโตขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ขึ้นมาซิ”
ชายหนุ่มยื่นมือออกไป รอจนอีกฝ่ายวางมือลงจึงดึงตัวเธอขึ้นมานั่งทางด้านหน้า ไม่ได้ขึ้นควบ แต่เป็นการนั่งหันข้างอย่างเช่นสตรีทั่วไป
“นั่งแบบนี้ค่อยเหมือนผู้หญิงหน่อย”
ศาศวัตราไม่ได้ต่อปากต่อคำ...เพียงทำเสียงไม่พอใจในลำคอ
เมื่อเจ้าขาวออกวิ่ง ศาศวัตราก็พยายามเกร็งตัวไม่ให้ตัวเองเบียดแนบชิดกับเรือนกายสูงใหญ่มากนัก แต่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเย็นเหลือคณา จนเธอเมื่อยขบไปหมด
...รู้อย่างนี้ ขี่เจ้าดำมาเองยังจะดีกว่า!
“เจ้าจะทำตัวเป็นหินแบบนี้ไปตลอดทางเลยหรือไร”
อัคกระตุกบังเหียนให้เจ้าขาวชะลอฝีเท้า แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับตัวเธอให้เอนมาซบบนอกเขา
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เจ้าตัวเปี๊ยกขืนตัวไว้ เงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่มด้วยแววตาระแวง เห็นดังนั้นอัคจึงอธิบายต่อ
“ข้าเป็นบุรุษ ส่วนเจ้าเป็นสตรีก็จริง แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก...เด็กเหลือเกินในสายตาของข้า”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างและวาวจ้าด้วยความขุ่นเคืองใจ
‘เด็กเหลือเกิน’ ช่างเป็นถ้อยคำดูถูกอย่างเหลือที่จะกล่าวจริงๆ!
“ข้ารับรองได้ว่าข้าไม่คิดล่วงเกินอะไรเจ้าแน่...ถ้าเจ้าไม่เชื่อ จะให้ข้าสาบานก็ได้”
ศาศวัตราเม้มปากแน่น ไม่เอ่ยว่ากระไร ก่อนจะสะบัดหน้าพรืด...เป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับการค้อน จนทำให้อัคเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่านขำอะไรไม่ทราบ!”
“เจ้าอย่ารู้เลย”
“เอ๊ะ...ก็ข้าอยากรู้นี่” หญิงสาวหันขวับกลับมามองอย่างเอาเรื่อง ขณะที่คนตัวโตกลั้นหัวเราะ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ก่อนใช้มือปัดผมที่ถูกลมพัดจนมาปรกวงหน้านวล...บดบังความงามราวกุหลาบแรกแย้มของเธอออก แล้วเหน็บไว้ตรงข้างหู ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเป็นทางการมากขึ้น
“ข้าว่าอีกสองสามปี หัวกระไดบ้านเจ้าต้องไม่แห้งแน่ๆ ตัวเปี๊ยก”
คนตัวเล็กเลิกคิ้ว เหมือนไม่ค่อยเข้าใจ อยากจะซักถามให้ได้ความ หากประโยคถัดมาทำให้เจ้าตัวหงุดหงิดจนไม่อยากรู้ในเรื่องใดอีกต่อไป
“แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็ยังห่างจากเจ้าหญิงปวริศาอยู่หลายขุม!”
“เฮอะ!” ศาศวัตราทำเสียงขัดกับเสื้อผ้าหน้าผมของตนเอง
“ข้าว่าไม่มีใครงามเกินเจ้าหญิงของท่านแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ท่านกำลังหลงรักนางหัวปักหัวปำ!!”
อัคไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับทันควัน
“เจ้าเข้าใจคำว่าหลงรักแล้วหรือ...ไปหลงรักใครเขาเข้าแล้วล่ะ”
คนถูกถามส่ายหน้าเร็วรี่
“ไม่มี ข้าไม่ได้ใจง่ายจนหลงรักใครง่ายๆเหมือนท่านหรอก!...แต่ก็ไม่แน่ อีกสองสามปี ข้าอาจจะหลงรักใครสักคนเข้าก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าคงตอบคำถามท่านได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ”
นายทหารแห่งหฤษคีรีไม่ได้ถามอะไรต่อ เขากระตุกบังเหียนเจ้าขาวให้ห้อทะยานไปเบื้องหน้าเร็วขึ้น พร้อมๆกับที่ความหงุดหงิดในหัวใจแล่นขึ้นมาชั่วขณะอย่างไม่มีเหตุผล
-------------------------------------------------
จบบทที่ ๘ แล้วค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะจบบทนี้ตรงที่ไปเที่ยวกลับมาแล้ว แต่มันดูเหมือนจะยาวเกินไป เลยให้ตัดจบตรงนี้ก่อนดีกว่า ไปลุ้นกันตอนหน้าต่อนะคะ ^___^ ....ตายักษ์กับตัวเปี๊ยกใกล้จะจากกันแล้วค่า มาเอาใจช่วยคู่พระ-นางและคนเขียนด้วยนะค้า
ขอบคุณทุกคอมเม้นและขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
หญิงสาวไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนอีก จะไปไกลสุดก็แค่ตลาดกลางเมืองเพื่อนำดอกไม้ และผัก ผลไม้ไปส่งให้ร้านค้าที่รับซื้อสามสี่ร้านเพียงเท่านั้น จากนั้นเธอก็จะกลับบ้าน มาคอยดูแลแปลงกุหลาบที่ตนเองปลูกกับมือ บางต้นที่ดูโรยรา เจ้าตัวจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะไม่อยากให้ใครบางคนดูถูกเอาได้
‘ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้จะปลูกได้หรือ ไม่ทำต้นกุหลาบตายเสียหมดหรือไร’
ตายักษ์เคยพูดเช่นนั้นในวันที่เธอพาเขามาชมแปลงกุหลาบของตัวเอง หวังหมดใจว่าอีกฝ่ายจะทึ่ง ชูนิ้วโป้งชื่นชม และบอกว่าเธอเก่ง ทว่าสิ่งที่เธอได้รับกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นศาศวัตราตอบแทนคำกล่าวหาของเขาด้วยการชกท้องเขาไปเสียหนึ่งที อีกทั้งยังปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะคอยดูแลไม่ให้ต้นกุหลาบต้นใดของเธอเหี่ยวแห้งหรือตายไปอย่างแน่นอน
ศาศวัตราใช้เวลาช่วงเช้าก่อนออกไปเรียนดูแลเอาใจใส่กุหลาบทุกต้น เมื่อเรียนเสร็จและกลับมาบ้านในตอนเย็น เธอก็จะวุ่นวายกับมันอยู่นาน แม้ตอนตกดึกก่อนนอน หญิงสาวก็ไม่วายคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วออกไปชื่นชมผลงานอันแสนน่าภูมิใจของตนเองจนมารดาถึงกับเอ่ยถามในวันหนึ่งว่า
‘กุหลาบของเจ้ามันปลูกยากนักหรือ ศาศวัตรา ทำไมเจ้าต้องดูแลเอาใจใส่มันขนาดนั้น’
ศาศวัตราไม่รู้จะตอบว่ากระไร จึงได้แต่ยิ้ม ก่อนหลบเลี่ยงไปทำอย่างอื่นเสีย
เช้านี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอออกมาดูแลต้นกุหลาบเกือบสี่สิบต้นที่ปลูกเองกับมือ รดน้ำพรวนดินเรียบร้อยแล้ว จึงคว้ากระเป๋าสะพาย และเอ่ยลามารดาก่อนขึ้นควบเจ้าดำมุ่งหน้าสู่ป่าใหญ่
มารดาของเธอคงคิดว่าเธอคงไปเรียนหนังสือกับอาจารย์เซติตามเคย แต่เปล่าเลย วันนี้หญิงสาวขอลาอาจารย์ บอกว่ารู้สึกไม่สบาย อยากพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ทั้งที่ใจจริงแล้วเธออยากจะหนีเที่ยว
การเที่ยวครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เพราะหลังจากได้ทราบจากถ้อยรับสั่งของท่านพี่ธรว่าบรรดาเจ้าหญิงเจ้าชายจะเสด็จไปเที่ยวน้ำตกสุวดี...น้ำตกที่ไม่ได้สวยที่สุดในอาวันตี แต่อยู่ใกล้และเดินทางไปถึงง่ายที่สุด...ศาศวัตราก็หาข้อแก้ตัวไม่ไปเรียนกับอาจารย์เซติในทันใด และวันนี้เธอก็พร้อมแล้วสำหรับการ ‘แอบดู’ ว่ายามออกเที่ยว หรือยามมีเวลาว่าง...บรรดาเจ้าผู้สูงศักดิ์นั้นทำอะไรกันบ้าง จะกระโดดลงไปแหวกว่ายในน้ำใสเย็น หรือทรุดกายลงนั่งใต้ต้นไม่ใหญ่ สัมผัสกลิ่นอายของดินหญ้าแบบเธอบ้างไหม
ศาศวัตรากระตุกบังเหียนสั่งให้เจ้าดำวิ่งเร็วขึ้น แล้วยิ้มกับตัวเอง เมื่อยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอสุขใจ
...ไม่ได้พบหน้ากันสามวัน อยากรู้นักตายักษ์ตัวโต...โตขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า ส่วนตัวเธอนั้น เชื่อขนมกินได้เลยว่าสูงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน...แม้จะเพียงเล็กน้อยก็เถอะ
ยืนเทียบกันคราวนี้คงใกล้บ่าของตายักษ์ขี้เก๊กบ้างล่ะน่า...
ศาศวัตรามาถึงจุดหมายปลายทางแล้วผูกบังเหียนเจ้าดำไว้กับต้นไม้ห่างจากตำแหน่งน้ำตกพอสมควร โดยให้ม้าของตนหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางหญ้ารกชัฏและกลุ่มต้นไม้ใหญ่ จากนั้นจึงคว้ากระเป๋าของตนมาสะพายข้างไว้ เดินเท้าตรงไปยังน้ำตก พร้อมกับมองหาทำเลเหมาะๆสำหรับการซุ่มดูอย่างเงียบๆ ร่างเล็กเงยหน้ากวาดตามองซ้ายขวา เพียงไม่นานเจ้าตัวก็พบที่ซ่อนตัวอันเหมาะเจาะ นั่นคือต้นไม้สูงใหญ่แผ่นกิ่งก้านสาขาโอบคลุมพื้นที่รอบตัวมันหลายเมตร หญิงสาวไม่รอช้า ค่อยๆปีนป่ายขึ้นไปยังกิ่งขนาดใหญ่ที่สุดของต้นไม่ต้นนั้น เมื่อขึ้นมานั่งเรียบร้อยก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อตนเองสามารถกวาดตามองรอบๆน้ำตกแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน ทีนี้ไม่ว่าใครจะยืนหรือทำอะไรตรงไหนก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเธอไปได้
ศาศวัตรานั่งรอไม่นาน เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดินเป็นจังหวะอันวุ่นวายสับสนก็ดังขึ้น ร่างเล็กกลั้นใจเพ่งมองลงไปเบื้องล่าง อาศัยร่มไม้ใบบังของต้นไม้ต้นนั้นพรางตัวของตนเองไว้ ดูเหมือนการซ่อนตัวของเธอผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เมื่อเหล่าทหารทั้งหลายไม่ได้สำเหนียกเลยว่ามีใครอื่นอยู่แถวนั้นด้วย
หญิงสาวระบายลมหายใจบางเบา ก่อนเอื้อมมือลงไปในกระเป๋าสะพายที่ปกติแล้วมักบรรจุเครื่องเขียนหรือสมุดสำหรับเรียนหนังสืออยู่เป็นประจำ หากคราวนี้กลับเป็นผลไม้ที่ตนเองชื่นชอบอย่างแอปเปิ้ลเขียวกับองุ่นแดง ร่างเล็กคว้าเจ้าแอปเปิ้ลลูกกลมขึ้นมาเช็ดกับเสื้อผ้า ก่อนกัดกร้วมอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ทหารเบื้องล่างกำลังตั้งกระโจมเพื่อใช้เป็นที่พักสำหรับเจ้าชายเจ้าหญิงอยู่ริมลำธาร
เสียงน้ำตกดังสะท้อนกลางหุบเขาผสานกับเสียงนกร้องทำให้ศาศวัตราอดเพลิดเพลินกับการมาเที่ยวเพียงลำพังในวันนี้ไม่ได้ ที่มากกว่านั้นคือเธอได้มาสังเกตอย่างชัดๆอีกครั้งว่าเจ้าหญิงปวริศาที่ว่ากันว่าทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าสตรีใดนั้นงามเฉกเช่นนางฟ้านางสวรรค์จริงหรือไม่
ชั่วขณะที่เจ้าตัวกวาดตามองนั้น ใครจะนึกว่าคนที่เธอสะดุดตาเป็นคนแรกคือตายักษ์ขี้เก๊ก!
เขาอยู่ในชุดทหารสีดำสนิท โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันกำลังยืนเอามือไพล่หลังเยื้องไปทางเบื้องพระปฤษฎางค์ของเจ้าชายอัคคัญญ์ผู้ซึ่งกำลังแย้มสรวลและตรัสอะไรบางอย่างกับเจ้าชายธราธร
ศาศวัตรามองจ้องเขาตาไม่กะพริบ ยามอยู่ในหน้าที่การงานเช่นนี้ เธอรู้สึกได้ถึงพลังความดุดัน ทรงอำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ใบหน้าที่มักยิ้มละไมยามอยู่กับเธอตอนนี้จะเรียกว่าบึ้งตึงก็คงใช่กระมัง...ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง
คนตัวเล็กกัดริมฝีปาก...นึกอยากจะปรี่เข้าไปถามเสียเดี๋ยวนั้นเลย นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังซ่อนตัวอยู่ล่ะก็ เธอคงไม่รีรอที่จะโพล่งถามออกไปอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระแสจิตของเธอหรือเปล่า...จู่ๆคนตัวโตก็เงยหน้าขึ้นมา มิใช่ชื่นชมความงามของท้องฟ้า แต่ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องทางทางเธอ เหมือนเห็นชัดว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองอยู่
คนถูกมองขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนักว่าอีกฝ่ายจะเห็นว่าเธอนั่งอยู่บนกิ่งไม้นี้ได้ ทว่า...นายทหารหนุ่มผู้นั้นได้ยืนยันว่าเห็นเธอแล้วด้วยการชูนิ้วโป้งขึ้นมาเสมอไหล่ เพียงชั่วอึดใจก่อนหันกลับไปมองเบื้องหน้าตามเดิม
คนถูกจับได้ไม่โกรธ แต่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ตายักษ์จับได้ว่าเธอซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่คราวแรกเธอทะนงตัวไว้เสียดิบดีว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นหรือหาตัวเธอพบ...มันน่าเจ็บใจจนอยากหาทางเอาชนะเสียจริง
ศาศวัตราเพิ่งตระหนักได้ในตอนนั้นเองว่า...ไม่เคยเอาชนะผู้ชายตัวโตราวยักษ์ปักหลั่นผู้นั้นได้เลยแม้สักครั้ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เธอมักจะถูกตอกกลับ ล่อลวง ล่อหลอกให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทุกครั้งไป ตอนนี้ยังเหลือเรื่องการแข่งม้าที่สัญญากันไว้ว่าอีกสามปีจะมาแข่งกัน ถ้าเธอแพ้อีก สงสัยเขาคงต้องกลายเป็นคู่แข่งเธอทุกชาติไปเสียแล้วกระมัง
ศาศวัตราพ่นลมหายใจ กัดแอปเปิ้ลอีกคำเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนละสายตาจากร่างสูงใหญ่นั้นมามองเจ้าชายอัคคัญญ์ในฉลองพระองค์สีดำขลิบมอง พระองค์ตรัสอะไรบางอย่างกับเจ้าชายธราธรผู้ซึ่งสวมฉลองพระองค์สีฟ้าเข้มและกำลังสรวลอย่างรื่นเริง
ขณะที่เจ้าหญิงแพรพิไล พระขนิษฐาต่างพระมารดานั้นกำลังกอดพระอุระ ประทับยืนพิงต้นไม่ริมลำธาร ทอดเนตรสายน้ำที่รินไหลผ่านพระพักตร์อย่างไม่สนพระทัยในผู้ใด ฉลองพระองค์สีชมพูปลิวสะบัดตามแรงลมจนต้องละหัตถ์จากพระอุระมาจับมันไว้มั่น ไม่ห่างกันนั้นคือเจ้าหญิงปวริศา...เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งพรหมราชในฉลองพระองค์สีปีกแมลงทับ พระองค์ทรงกำลังสั่งความอะไรบางอย่างกับนายทหารผู้หนึ่ง ก่อนจะหันไปรับสั่งกับเจ้าหญิงแห่งอาวันตี
ยามเมื่อทั้งสองพระองค์ประทับยืนเคียงกัน ความสง่างามของเจ้าหญิงปวริศาบดบังรัศมีของเจ้าหญิงแพรพิไลไปจนสิ้น ทั้งพระฉวีขาวราวงาช้าง พระพักตร์แสนอ่อนหวาน และรอยแย้มสรวลอ่อนโยน ทุกอย่างที่รวมกันเป็นพระองค์ช่างเหมาะเจาะลงตัว...สมแล้วที่ใครๆต่างยกให้พระองค์งามเลิศกว่าใครในแถบนี้
ศาศวัตรามองเจ้าหญิงแห่งพรหมราชอย่างเพลิดเพลิน ทั้งเพลินตาในพระสิริโฉม และเพลินใจในจริยาวัตรอันสง่างามของพระองค์ ยามทรงเยื้องยุรยาตรดูเนิบช้าและงดงามทุกกระเบียดนิ้ว หญิงสาวเชื่อแล้วว่าทั่วทั้งดินแดนสามอาณาจักร...อาวันตี หฤษคีรีและพรหมราขนั้นไม่สามารถหาสตรีใดเทียบพระองค์ได้เลยแม้สักคน
ศาศวัตราเฝ้ามองอย่างเงียบๆจนตะวันขึ้นตรงศีรษะ อากาศหนาวยามเช้าเริ่มอุ่นขึ้น หญิงสาวรับประทานแอปเปิ้ลหมดไปสองลูก กับองุ่นอีกหนึ่งพวงใหญ่ๆ ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังยัดองุ่นแดงใส่ปากได้เรื่อยๆ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะอิ่มเลยสักนิด
หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นท่านพี่ธรถอดฉลองพระองค์แล้วกระโดดลงไปแหวกว่ายในน้ำใสเย็น ตามด้วยนายทหารอีกสี่ห้าคน ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ ยามนี้ทรงเข้าไปประทับนั่งชมวิวทิวทัศน์และฟังเสียงน้ำตกกระเซ็นซ่านอย่างสบายพระอารมณ์
เจ้าชายอัคคัญญ์ไม่ได้กระโดดลงไปในน้ำด้วย แต่ประทับยืนเอาพระหัตถ์ไพล่ไว้เบื้องหลังพระปฤษฎางค์ ข้างๆกันนั้นเป็นทหารอาวันตีที่เธอเคยเห็นหน้ามาแล้วตอนที่เขาเอาจดหมายไปให้ผู้เป็นนายของตัวเองที่บ้านของเธอ
ศาศวัตราขมวดคิ้ว...นึกสงสัยขึ้นมาครามครันว่าเหตุใดราชองครักษ์คนสำคัญจึงไม่ยืนอยู่เคียงข้างเจ้าชายของตนเอง หญิงสาวกวาดตามองหาคนที่แสนคุ้นตา ทว่ามองไปทางใดก็ไร้วี่แววบุรุษผู้นั้น
ยังไม่ทันที่เธอจะคิดทำอะไรต่อ ก้อนหินเล็กๆก้อนหนึ่งก็ลอยมากระทบแผ่นหลังของเธอ คราแรกศาศวัตราเพียงแค่ยกมือคลำบริเวณที่ถูกหินกระทบแล้วบ่นพึมตามประสา ต่อเมื่อครั้งที่สองนั่นล่ะ เธอจึงหันขวับไปมองทางด้านล่าง ความหงุดหงิดจึงเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณเมื่อเห็นว่าต้นเหตุคือผู้ใด
“ท่านกล้าทำร้ายข้าเรอะ!”
อยากตะโกนออกไปสุดเสียง หากก็กลัวจะถูกจับได้ว่ามาแอบซุ่มอยู่ตรงนี้จึงทำได้เพียงป้องปากแล้วเปล่งเสียงออกไปอย่างไม่ดังนัก
“ข้าแค่หยอก”
อัคเองก็หาได้ตะโกนไม่ เขาพูดเสียงเบาแต่อ้าปากกว้างและเอ่ยทีละคำอย่างชัดเจน
“หยอกบ้าอะไร!”
คนถูกหยอกรีบไต่ลงมาด้านล่าง ทว่า...ไม่รู้ว่าเพราะความรีบร้อน ความกรุ่นโกรธในอกในใจ หรือเป็นความซวยของเธอกันแน่ ร่างเล็กก้าวพลาดพลัดตกลงจากกิ่งไม้ใหญ่ มือเล็กพยายามจะเอื้อมคว้ากิ่งบนไว้หากก็ไม่ทัน สุดท้ายเจ้าตัวจึงกรีดร้อง หลับตาสนิทอย่างหวาดกลัว คิดว่าคราวนี้ตนเองคงไม่อาจมีชีวิตรอด หรือถ้ามีชีวิตรอดคงได้กลายเป็นคนพิการเป็นแน่แท้
แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อสิ่งที่รองรับเธอนั้นหาใช่พื้นดินแข็งๆไม่ แต่เป็นเรือนร่างแข็งแกร่งของ ‘เพื่อน’ จากต่างแดนนั่นเอง
ศาศวัตราแว่วเสียงโอดครวญจากร่างที่เธอนอนคว่ำหน้าทับอยู่ จึงเปิดเปลือกตาขึ้นมองทีละน้อย เห็นใบหน้าเหยเกของตายักษ์อยู่ห่างไม่ถึงคืบ ดวงตาดำสนิททอดมองมาอย่างระอาใจกึ่งขบขัน คำพูดขอบใจจึงกลืนหาย กลายเป็นความหงุดหงิดที่ตนเองเสียหน้าแทน
“เพราะท่านคนเดียวที่ทำให้ข้าต้องอยู่ในสภาพนี้”
ตอนนั้นเธอกำลังจะต่อว่าเขาให้หายเจ็บใจ แต่อัครีบลุกขึ้นยืนโดยแบกเธอพาดบ่า ก่อนออกวิ่งไปจากตรงนั้นโดยเร็ว
“ท่านจะพาข้าไปไหน”
“เงียบไว้ตัวเปี๊ยก”
ศาศวัตรากำลังจะอ้าปากเถียงแต่ได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าทหารทั้งหลายจึงปิดปากเงียบ เดาออกว่าพวกเขาเหล่านั้นคงได้ยินเสียงเธอกรีดร้องจึงรีบรุดออกตามหา ดีแล้วที่อัคพาเธอหนีออกมาจากตรงนั้น ไม่เช่นนั้นเธอคงถูกจับได้เป็นแน่แท้
วิ่งมาได้พอสมควร อัคก็วางเธอลงบนพื้น ก่อนใช้มือกดศีรษะเล็กให้ก้มต่ำ ซ่อนตัวท่ามกลางหญ้าสูงท่วมศีรษะ เฝ้ารอจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา จึงปล่อยมือ...คนที่ถูกกดจนหน้าแทบจะจูบพื้นดินถึงกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนพ่นออกมาเต็มแรง เท่านั้นยังไม่พอเจ้าตัวยังใช้สองมือผลักคนข้างกายให้สุดเรี่ยวแรงที่มีจนคนที่นั่งยองๆล้มก้นจ้ำเบ้า
เห็นดังนั้น คนตัวเล็กก็ยกมือปิดเสียงหัวเราะอย่างขบขันของตัวเองอย่างสาแก่ใจ
“เจ้าทำแบบนี้กับข้าได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าไว้ไม่ให้ถูกจับแท้ๆ”
“เรื่องช่วยข้าก็ขอบใจ” ศาศวัตราหยุดหัวเราะ แต่ยังคงยิ้มละไมในหน้า “แต่เรื่องที่ท่านทำข้าตกต้นไม้ ข้าต้องเอาคืน”
“อะไรนะ? ข้าน่ะหรือทำเจ้าตกต้นไม้ เจ้าต่างหากที่ปีนลงมาแล้วพลาดเอง จะมาว่าข้าว่าเป็นต้นเหตุได้อย่างไร”
“ก็ถ้าท่านไม่ขว้างก้อนหินใส่ข้า ข้าก็คงไม่โมโหจนต้องรีบลงมาจนก้าวพลาดแบบนั้นหรอก”
คนตัวโตส่ายหน้าน้อยๆ ถอนหายใจเฮือกราวกับการต่อกรกับเด็กอย่างเธอเป็นเรื่องน่าหนักใจเป็นนักหนา
“แต่ถึงอย่างไรข้าก็เอาตัวของข้ารับตัวของเจ้านะ...ไม่อย่างนั้นเจ้าคงคอหักตายไปเสียแล้วกระมัง”
เป็นประโยคที่ทำให้ศาศวัตราไม่กล้าเถียง ได้แต่ทำปากยื่นปากยาวไม่สบอารมณ์ แล้วรีบลุกขึ้นยืน
“วันนี้ไม่สนุกแล้ว ข้ากลับบ้านดีกว่า”
ร่างเล็กกำลังจะเดินจากไป แต่ถูกคนที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นคว้าแขนไว้ ยื้อยุดไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนีไปง่ายๆ
“เจ้าเป็นหนี้บุญคุณข้านะ ตัวเปี๊ยก”
“หนี้บุญคุณอะไร”
คนที่ไม่ชอบเป็นหนี้ใครถามกลับอย่างเอาเรื่อง
“ข้าช่วยเจ้าถึงสองครั้งสองครา...ช่วยไม่ให้เจ้าคอหักตายแถมยังช่วยให้หนีทหารพวกนั้นมาได้อีก เจ้าไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณข้าหรือไร”
คนตัวเล็กกระชากมือออกจากมือใหญ่ ยกมือเท้าสะเอว แล้วพ่นลมออกจากปากด้วยทีท่าราวกับหนุ่มน้อยมิใช่เด็กสาวแต่อย่างใด
“หักลบเรื่องที่ท่านเอาก้อนหินปาใส่ข้า ก็ถือว่าข้าเป็นหนี้ท่านหนึ่งครั้ง”
นายทหารหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนพยักหน้า
“ได้...ตามนั้น” ท่าทางสมใจของคนที่นั่งอยู่ทำให้ศาศวัตราหงุดหงิดในหัวใจเหลือจะกล่าว หญิงสาวดึงผ้าโพกศีรษะของตนเองออกปล่อยผมดำขลับยาวสยาย ถ้าไม่รวมกับชุดดำเปรอะเปื้อนที่สวมอยู่ กับท่าทางการเสยผมลวกๆเช่นนั้น เธอคงกลายเป็นเด็กสาวที่น่ารักพอดูทีเดียว
“แล้วท่านจะให้ข้าตอบแทนท่านอย่างไรล่ะ”
อัคยกมือลูบไรหนวดตามปลายคางของตนเอง ชั่วอึดใจจึงตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า
“เจ้าต้องไปเที่ยวกับข้าโดยแต่งตัวเป็นหญิงหนึ่งวัน”
ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่พอใจ จึงเสริมไปว่า
“เจ้าต้องเป็นหญิงเต็มตัว ห้ามทำท่าทางกระโดกกระเดกแบบผู้ชาย ต้องเป็นกุลสตรีตลอดเวลาหนึ่งวันเต็ม!...” นิ่งไปอึดใจ ก่อนรีบเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้าปาก “...ทำตัวเหมือนเจ้าหญิงปวริศาน่ะ...ทำเป็นไหม”
ตอนแรกเจ้าตัวเล็กจะโวยแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายซึ่งมีสำเนียงดูถูกเล็กๆ เธอจึงเปลี่ยนเป็นพยักหน้า ตอบออกไปอย่างมั่นใจว่า
“ได้...คนอย่างศาศวัตราทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว!”
คนตัวโตหัวเราะในลำคอ...เฝ้าคอยวันที่จะได้เห็นเจ้าตัวเปี๊ยกเป็นผู้หญิงเต็มตัวอย่างขบขัน นึกไม่ออกเลยว่าท่าทางของศาศวัตราจะประดักประเดิดเพียงใด แต่ก็เอาเถิด...อีกไม่นานเขาจะได้รู้ได้เห็นแล้วว่าเด็กกะโปโลอย่างเธอจะกลายเป็นหงส์ที่แสนสง่างามได้หรือไม่
อีกห้าวันถัดมา ศาศวัตราก็ต้องวุ่นกับการลองชุด...ไม่ใช่ชุดดำแบบบุรุษที่เธอมักสวมใส่เป็นประจำ แต่เป็นชุดกระโปรงแบบยาวกรอมเท้าแบบที่สตรีทั่วไปใส่กัน หญิงสาวจำไม่ได้แล้วว่านับแต่ตื่นมาเธอเปลี่ยนชุดไปกี่ชุด ที่แน่ๆมันทำให้เธอยิ้มไม่ออก แถมยังหงุดหงิดเสียจนอยากจะตะบันหน้าคนต้นคิดเสียเหลือเกิน
“เจ้าว่าชุดไหนดี เนรา”
สตรีสูงวัยถามความเห็นจากคนที่ยืนเยื้องไปทางเบื้องหลัง ทว่ากลับละเลยความเห็นของบุตรสาวเสียอย่างนั้น
“ชุดไหนก็เหมือนกันแหละค่ะ ศาไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน”
เจ้าตัวก้มลงมองชุดยามกรอมเท้าสีฟ้าแขนแขนยาวถึงข้อมือ ทางด้านหน้าประดับโบว์แสนน่ารัก ส่วนช่วงเอวก็รัดแน่นเสียจนเธอหายใจแทบไม่ออก...ศาศวัตราถอนหายใจเฮือก เกิดความอยากรู้ขึ้นมาเป็นนักหนาว่าสาวๆทั้งหลายทนอยู่ได้อย่างไรในชุดที่น่าอึดอัดเช่นนี้ เธอแค่สวมเพียงอึดใจก็แทบอยากจะฉีกทึ้งมันทิ้งเสียแล้ว!
“ป้าเนราซื้อมากี่ชุดกัน ศาว่ามันมากเกินไป จริงๆเลือกให้ศาแค่ชุดเดียวก็พอ...ศาจะได้ไม่ต้องมาลองชุดนั้น เปลี่ยนชุดนี้เป็นสิบรอบแบบนี้”
คนตัวเล็กบ่นอุบ...เข้าใจอยู่หรอกว่าทั้งมารดาและป้าเนราตื่นเต้นเพียงใดที่เธอเกิดอุตริประกาศว่าจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงหนึ่งวัน เธอยังจำได้...ทันทีที่เธอบอกทั้งสองเมื่อวันก่อนนั้น ป้าเนราถึงกับยกมือทาบอก อ้าปากค้าง เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ มารดาของเธอเพียงเลิกคิ้ว ก่อนถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
‘เจ้าน่ะหรืออยากแต่งเป็นหญิง?’
‘ค่ะ’ ศาศวัตราตอบเสียงเบาในลำคอ ดูไม่ชอบใจในสิ่งที่ตนเองประกาศออกมาเลยแม้แต่น้อย และอดีตพระชายาศิริรัตนาย่อมรู้และจับความรู้สึกของเธอได้
‘ไปพนันกับใครไว้หรือเปล่า’
คนตัวเล็กเม้มปากส่ายหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ผู้เป็นมารดาก็ไม่เซ้าซี้
‘ก็ดีเหมือนกัน...ทำตัวเป็นผู้หญิงเหมือนคนอื่นเขาเสียบ้าง เจ้าน่ะสิบห้าแล้วนะ ศาศวัตรา ผู้หญิงคนอื่นพอถึงสิบห้าเขาก็รู้จักรักสวยรักงาม อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนกันแล้ว แต่เจ้ายังเอาแต่เที่ยวเล่น กระโดกกระเดกไปวันๆอยู่เลย’
ก่อนที่มารดาจะสาธยายอะไรไปมากกว่านี้ ศาศวัตราก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน เธอไม่อยากถูกบ่นจนหูชาเหมือนครั้งก่อนๆอีก
‘คราวนี้ศาจะทำตัวเป็นกุลสตรีจริงๆค่ะ...จะลองดูสักวัน’
ถ้อยคำนั้นจุดความพึงพอใจในดวงตางดงามของผู้เป็นมารดา ...กระทั่งบัดนี้ความพอใจนั้นยังไม่จางหายไป หญิงสูงวัยมองบุตรสาวในคราบ ‘กุลสตรี’ อย่างชื่นชม
“แม่ล่ะนึกขอบคุณคนที่ทำให้เจ้ายอมพยายามทำตัวเป็นกุลสตรีเสียจริง...คนคนนั้นเป็นใคร บอกแม่ได้หรือเปล่า”
เอ่ยถามยิ้มๆพร้อมกับจ้องตาของลูกสาวแน่วแน่
“แม่รู้จักเขาดีเลยล่ะค่ะ”
“อ้อ...” ศิริรัตนาพึมพำรับรู้ในลำคอ ยิ้มกว้างสดใส ก่อนเอ่ย
“แม่ดีใจจริงที่เจ้ามีพ่อหนุ่มอัคเป็นเพื่อน”
คนเป็นลูกทำปากยื่นปากยาวพร้อมกับทำเสียงบางอย่างในลำคอบอกชัดว่าเห็นตรงกันข้ามกับผู้เป็นมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย
ยามตะวันขึ้นตรงศีรษะ อดีตพระชายาศิริรัตนาและป้าเนราก็เลือกชุดที่เหมาะสมให้ศาศวัตราได้ กระจกตั้งพื้นฉายภาพให้เห็นร่างอรชรในชุดกระโปรงยามกรอมเท้าสีครีม แขนยาวประดับลูกไม้จนถึงข้อมือ ช่วงเอวรัดเสียจนคนสวมหายใจติดขัด ถึงกับนิ่วหน้า เอ่ยกับมารดาของตนว่า
“ท่านแม่ช่วยคลายเชือกด้านหลังให้หน่อยไม่ได้หรือคะ ศาอัดอัดหายใจไม่ทั่วท้องเลย”
คนถูกร้องขอระบายลมหายใจบางเบา ก่อนทำตามแต่โดยดี แม้ศาศวัตราจะยังรู้สึกอึดอัดหากก็ ‘หายใจหายคอ’ ได้ดีกว่าเมื่อครู่ จึงไม่เซ้าซี้ใดๆอีก
“ขอแม่ดูผมเจ้าหน่อยซิ”
ผมดำขลับซึ่งถูกมัดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ถูกผู้เป็นมารดาปล่อยลงมาให้ยาวสยายเต็มกลางหลัง ขับวงหน้านวลให้อ่อนหวานขึ้น ยิ่งตอนนี้เมื่อใบหน้านั้นถูกแต่งแต้มด้วยแป้งบางๆ พร้อมกับเติมสีให้ริมฝีปากด้วยขี้ผึ้งผสมสีแดง ศาศวัตราที่เคยแก่นแก้วราวหนุ่มน้อยจึงกลายร่างเป็นสาวดรุณีแรกรุ่นในบัดดล
ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง กระดากอายและหงุดหงิดใจ...ถ้าไม่ใช่เพราะต้องตอบแทนบุญคุณตายักษ์จอมกวนประสาทผู้นั้นแล้วล่ะก็ เธอจะไม่มีวันแต่งตัวแบบนี้ ไม่ทาหน้าและทำให้ริมฝีปากตัวเองเป็นสีแดงระเรื่อแบบนี้หรอก
ร่างเล็กจ้องตัวเองในกระจกแล้วถอนใจเฮือก...รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดอย่างไรไม่ทราบได้
“ถ้าเจ้าแต่งตัวแบบนี้บ่อยๆ เจ้าก็จะคุ้นกับมันเองนั่นล่ะ”
มารดาเอ่ยเหมือนมานั่งอยู่ในใจบุตรสาว ศาศวัตรายิ้มอย่างจืดเจื่อน ไม่คิดหรอกว่าตนเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแบบนี้...หลังจากพ้นวันนี้ไป เธอจะขอกลับมาใส่ชุดดำสีหม่นของเธอตามเดิม สะดวกสบายแถมไม่ดูเก้งก้างแบบนี้ด้วย
“แล้วนี่เพื่อนของเจ้าจะมารับตอนไหนรึ”
ยังไม่ทันจะตอบ เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องของมันที่ศาศวัตราจำได้แม่นแล้วว่าเป็นเสียงของเจ้าขาว
“คงมาถึงแล้วล่ะค่ะ”
คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือก ทำคอตก...รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกนำไปประหารอย่างไรไม่ทราบได้ อยากจะวิ่งหนีเข้าไปขังตัวอยู่ในห้องเสียเดี๋ยวนั้น ทว่า...ด้วยความที่รับคำไว้แล้ว แถมยังประกาศว่าคนอย่างศาศวัตราทำได้ทุกอย่างนั้น หญิงสาวจึงไม่สามารถทำให้ตัวเองขายหน้าได้ ร่างเล็กย่อตัวลามารดา ก่อนสาวเท้าเดินตรงไปยังประตู ทันทีที่ผลักออกไป ร่างสูงใหญ่ก็ยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้า เขายกมือที่กำลังจะเดาะประตูค้างกลางอากาศ เมื่อพบว่าคนที่เดินมาต้อนรับเขานั้นเป็นดรุณีแรกรุ่น...ผุดผ่อง บริสุทธิ์ ต่างจากเจ้าตัวเปี๊ยกแสนมอมแมมและกะโปโลเสียเหลือเกิน
หัวหน้าหน่วยนักรบทมิฬกระพริบตามอง ‘เพื่อน’ ด้วยความรู้สึกแปร่งแปลกในหัวใจ...ทั้งตกตะลึง คาดไม่ถึง และชื่นชมนิดๆ
ไม่น่าเชื่อว่า...สาวน้อยกระโดกกระเดกอย่างศาศวัตรายามเมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องตามแบบสตรีทั่วไป อีกทั้งเมื่อมีสีแดงระเรื่อแตะแต้มบนริมฝีปากด้วยแล้ว...จากลูกเป็ดขี้เหร่กลับกลายเป็นหงส์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ดูเอาเถิด...ท่าทางการยืนประสานมือไว้ทางด้านหน้า หลังตรงแน่ว คางเชิดเล็กน้อยดูมีจริตจก้านแบบหญิงสาวคนอื่นๆช่างไม่เหมือนศาศวัตราคนเดิมเลย
...นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน เขาคงคิดว่าเธอเป็นสตรีประเภทหยิ่งจองหองและถือตัวเป็นแน่แท้
“ศาศวัตรา...”
เสียงที่เขาเอื้อนเอ่ยมันแหบแห้งอย่างไรพิกล...ไม่รู้เป็นเพราะตกตะลึงในความงาม หรือกลัวว่าเพื่อนตัวจ้อยจะเปลี่ยนแปลงเป็นสตรีผู้เย่อหยิ่งในเร็ววันจนทำตัวห่างเหินกับเขาก็ไม่อาจทราบได้
“เจ้า...”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ คนตรงหน้าก็ขัดขึ้นมาเสียโดยเร็ว
“ข้าพร้อมแล้ว ไปกันได้หรือยังล่ะท่านอัค”
แม้ท่าทางและการแต่งตัวจะเปลี่ยนไป หากสุ้มเสียงของเธอก็ยังเป็นเจ้าตัวเปี๊ยกของเขาเหมือนเดิม
‘ของเขา’ อย่างนั้นหรือ...อัคอมยิ้มน้อยๆเมื่อถือวิสาสะ ‘ยึด’ เอาศาศวัตราไปเป็นของตนในห้วงความคิด และคงจะได้แค่คิดเท่านั้น ถ้าเผลอพูดออกไป รับรองว่าหญิงสาวต้องต่อว่า อาละวาดให้เขาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าอีกเป็นแน่แท้
“ไปซิ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา สาวเท้าเข้าไปเอ่ยลาสตรีสูงวัยทั้งสอง ให้คำสัญญาว่าจะพาศาศวัตรามาส่งก่อนค่ำ จากนั้นจึงเดินกลับมา ร่างเล็กไม่ได้ยืนอยู่ตรงประตูแล้ว แต่ขึ้นไปนั่งรออยู่บนหลังเจ้าดำเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าจะขี่เจ้าดำไป?”
“อื้อ...ทำไม...ท่านมีปัญหาอะไร”
คนตัวโตเลิกคิ้ว วางมือลงบนแผงคอเจ้าดำก่อนเอ่ย
“ไม่ได้ไปไหนไกล มานั่งม้าตัวเดียวกับข้าดีกว่า”
เห็นคนตัวเล็กทำสีหน้าดื้อดึง เขาจึงสำทับลงไปว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าพาเจ้าดำตะลอนๆไปนู่นมานี่ทั่วอาวันตีแทบทุกวัน...วันนี้ให้มันพักบ้างเถิด”
นั่นละ...คนตัวเล็กจึงคล้อยตาม หญิงสาวยอมลงจากหลังเจ้าดำ ฝากฝังป้าเนราให้พามันไปพักผ่อนในคอก ก่อนจะมาหยุดยืนข้างเจ้าขาวที่คนตัวโตขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ขึ้นมาซิ”
ชายหนุ่มยื่นมือออกไป รอจนอีกฝ่ายวางมือลงจึงดึงตัวเธอขึ้นมานั่งทางด้านหน้า ไม่ได้ขึ้นควบ แต่เป็นการนั่งหันข้างอย่างเช่นสตรีทั่วไป
“นั่งแบบนี้ค่อยเหมือนผู้หญิงหน่อย”
ศาศวัตราไม่ได้ต่อปากต่อคำ...เพียงทำเสียงไม่พอใจในลำคอ
เมื่อเจ้าขาวออกวิ่ง ศาศวัตราก็พยายามเกร็งตัวไม่ให้ตัวเองเบียดแนบชิดกับเรือนกายสูงใหญ่มากนัก แต่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเย็นเหลือคณา จนเธอเมื่อยขบไปหมด
...รู้อย่างนี้ ขี่เจ้าดำมาเองยังจะดีกว่า!
“เจ้าจะทำตัวเป็นหินแบบนี้ไปตลอดทางเลยหรือไร”
อัคกระตุกบังเหียนให้เจ้าขาวชะลอฝีเท้า แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับตัวเธอให้เอนมาซบบนอกเขา
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เจ้าตัวเปี๊ยกขืนตัวไว้ เงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่มด้วยแววตาระแวง เห็นดังนั้นอัคจึงอธิบายต่อ
“ข้าเป็นบุรุษ ส่วนเจ้าเป็นสตรีก็จริง แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก...เด็กเหลือเกินในสายตาของข้า”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างและวาวจ้าด้วยความขุ่นเคืองใจ
‘เด็กเหลือเกิน’ ช่างเป็นถ้อยคำดูถูกอย่างเหลือที่จะกล่าวจริงๆ!
“ข้ารับรองได้ว่าข้าไม่คิดล่วงเกินอะไรเจ้าแน่...ถ้าเจ้าไม่เชื่อ จะให้ข้าสาบานก็ได้”
ศาศวัตราเม้มปากแน่น ไม่เอ่ยว่ากระไร ก่อนจะสะบัดหน้าพรืด...เป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับการค้อน จนทำให้อัคเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่านขำอะไรไม่ทราบ!”
“เจ้าอย่ารู้เลย”
“เอ๊ะ...ก็ข้าอยากรู้นี่” หญิงสาวหันขวับกลับมามองอย่างเอาเรื่อง ขณะที่คนตัวโตกลั้นหัวเราะ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ก่อนใช้มือปัดผมที่ถูกลมพัดจนมาปรกวงหน้านวล...บดบังความงามราวกุหลาบแรกแย้มของเธอออก แล้วเหน็บไว้ตรงข้างหู ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเป็นทางการมากขึ้น
“ข้าว่าอีกสองสามปี หัวกระไดบ้านเจ้าต้องไม่แห้งแน่ๆ ตัวเปี๊ยก”
คนตัวเล็กเลิกคิ้ว เหมือนไม่ค่อยเข้าใจ อยากจะซักถามให้ได้ความ หากประโยคถัดมาทำให้เจ้าตัวหงุดหงิดจนไม่อยากรู้ในเรื่องใดอีกต่อไป
“แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็ยังห่างจากเจ้าหญิงปวริศาอยู่หลายขุม!”
“เฮอะ!” ศาศวัตราทำเสียงขัดกับเสื้อผ้าหน้าผมของตนเอง
“ข้าว่าไม่มีใครงามเกินเจ้าหญิงของท่านแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ท่านกำลังหลงรักนางหัวปักหัวปำ!!”
อัคไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับทันควัน
“เจ้าเข้าใจคำว่าหลงรักแล้วหรือ...ไปหลงรักใครเขาเข้าแล้วล่ะ”
คนถูกถามส่ายหน้าเร็วรี่
“ไม่มี ข้าไม่ได้ใจง่ายจนหลงรักใครง่ายๆเหมือนท่านหรอก!...แต่ก็ไม่แน่ อีกสองสามปี ข้าอาจจะหลงรักใครสักคนเข้าก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าคงตอบคำถามท่านได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ”
นายทหารแห่งหฤษคีรีไม่ได้ถามอะไรต่อ เขากระตุกบังเหียนเจ้าขาวให้ห้อทะยานไปเบื้องหน้าเร็วขึ้น พร้อมๆกับที่ความหงุดหงิดในหัวใจแล่นขึ้นมาชั่วขณะอย่างไม่มีเหตุผล
-------------------------------------------------
จบบทที่ ๘ แล้วค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะจบบทนี้ตรงที่ไปเที่ยวกลับมาแล้ว แต่มันดูเหมือนจะยาวเกินไป เลยให้ตัดจบตรงนี้ก่อนดีกว่า ไปลุ้นกันตอนหน้าต่อนะคะ ^___^ ....ตายักษ์กับตัวเปี๊ยกใกล้จะจากกันแล้วค่า มาเอาใจช่วยคู่พระ-นางและคนเขียนด้วยนะค้า
ขอบคุณทุกคอมเม้นและขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2556, 13:11:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ม.ค. 2556, 15:28:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 2238
<< บทที่ 7 |
ศศิภา 25 ม.ค. 2556, 15:00:06 น.
คิมหันตุ์ : ต้องติดตามต่อไปค่า ^^
phugan : ขอบคุณมากค่า
แว่นใส : ขอบคุณค่ะ
angelK : มาต่อแลวค่ะ ขอบคุณที่ติดตามค่า
คิมหันตุ์ : ต้องติดตามต่อไปค่า ^^
phugan : ขอบคุณมากค่า
แว่นใส : ขอบคุณค่ะ
angelK : มาต่อแลวค่ะ ขอบคุณที่ติดตามค่า
คิมหันตุ์ 25 ม.ค. 2556, 15:05:50 น.
ยาวไปก็ไม่ลำบากค่า..อ่านได้ๆ ไม่ต้องเกรงใจ....คิคิ (ล้อเล่นนะคะ)
มาให้กำลังใจองค์ชาย ^^
ยาวไปก็ไม่ลำบากค่า..อ่านได้ๆ ไม่ต้องเกรงใจ....คิคิ (ล้อเล่นนะคะ)
มาให้กำลังใจองค์ชาย ^^
แว่นใส 25 ม.ค. 2556, 21:49:22 น.
ต้องรอสามปีจริง ๆ เหรอ ระหว่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
ต้องรอสามปีจริง ๆ เหรอ ระหว่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
angelK 26 ม.ค. 2556, 20:07:29 น.
รอตอนต่อไปค่ะ หวังว่าตอนกลับมาเจอกันพระเอกคงไม่โหดร้ายกับนางเองมากเกินไปน้า
(แถมนิดนึงค่ะ แอบเห็นคำแปลกๆ อีกแล้ว สีเปลือกแมลงทับอ่ะค่ะ มันไม่น่าจะมีนะคะ (หรือมี) เคยได้ยินแต่สีเปลือกมังคุด กับ สีปีกแมลงทับ อ่ะค่ะ ไม่ได้จะจับผิดนะคะ แต่มันเห็นเอง )
รอตอนต่อไปค่ะ หวังว่าตอนกลับมาเจอกันพระเอกคงไม่โหดร้ายกับนางเองมากเกินไปน้า
(แถมนิดนึงค่ะ แอบเห็นคำแปลกๆ อีกแล้ว สีเปลือกแมลงทับอ่ะค่ะ มันไม่น่าจะมีนะคะ (หรือมี) เคยได้ยินแต่สีเปลือกมังคุด กับ สีปีกแมลงทับ อ่ะค่ะ ไม่ได้จะจับผิดนะคะ แต่มันเห็นเอง )