หทัยรักบรรณาการ{สนพ.เดซี่ตีพิมพ์}

Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ 7

ตอนใหม่มาแล้วค่า ^_^


คุณphugan : ดีใจที่ชอบค่า อยากให้ยิ้มแบบนี้ไปเรื่อยๆ อิอิ ...แต่ตอนท้ายๆจะดราม่ามากจนยิ้มไม่ออกรึเปล่าไม่รู้นะคะ ^^"

คุณโซดา : ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

คุณangelK : ขอบคุณสำหรับคำผิดค่า /\

คุณจิรารัตน์ : ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า ^^

คุณคิมหันต์ : ดราม่ากว่าค่ะ แต่มากน้อยแค่ไหนยังไม่แน่ใจนะคะ แหะๆ ^^

คุณแว่นใส : เอาใจช่วยนางเอกด้วยนะค้า ^^



ตั้งแต่บทนี้ไม่ได้ลงให้อ่านทุกวันแล้วนะคะ...แล้วแต่เวลาจะอำนวยค่ะ ^^!

------------------------------------------


ห้าวันต่อมา ศาศวัตราได้ตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อได้รู้ว่าคณะทูตจากรัฐพรหมราชเดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับอาวันตีเฉกเช่นเดียวกับหฤษคีรี โดยจะมาถึงในวันมะรืนนี้ อาจารย์เซติแวะมาส่งข่าวและตั้งใจจะส่งเธอไปดูลาดเลาเหมือนเคย หากคราวนี้เธอไม่ได้ไปเพียงลำพัง เพราะเมื่อเผลอ ‘หลุดปาก’ บอกคนตัวโตว่าจะไปขี่ม้าเที่ยวเล่นในป่า ชายหนุ่มก็ประกาศกร้าวว่าจะติดสอยห้อยตามไปด้วย

‘ท่านไปไม่ได้’

‘ทำไมข้าจะไปไม่ได้ ตอนนี้เราไปไหนมาไหนด้วยกันออกบ่อย ทำไมคราวนี้ข้าไปกับเจ้าไม่ได้’

เป็นคำถามที่คนตัวเล็กหาคำตอบไม่ได้ จนต้องปล่อยเลยตามเลย ยอมนับรบทมิฬผู้นี้อีกจนได้

หลายวันที่ได้ตระเวนเที่ยวด้วยกัน ศาศวัตราเหมือนได้เพื่อนใหม่ แต่...จะเรียกว่าเพื่อนอย่างเต็มปากเต็มคำได้หรือเปล่านั้น เธอเองก็ยังไม่แน่ใจนัก

เพราะ...ถึงจะมีตอนที่ ‘ดี’ กันอยู่บ้าง แต่เมื่อนับครั้งที่พบหน้ากันแล้วมักจะมีแต่ ‘ถกเถียง’ กันเสียมากกว่า...

“ท่านว่ากุหลาบสีไหนสวยที่สุด”

เจ้าตัวเล็กเอ่ยถามเมื่อตอนที่พาเจ้ายักษ์ขี้เก๊กไปชื่นชมแปลงเพาะพันธุ์กุหลาบของตน ทางด้านซ้ายเป็นกลุ่มกุหลาบสีแดง ถัดมาคือสีเหลือง ส้ม ชมพู และขาว แต่ละสีกำลังชูช่ออวดความงดงามของตัวเองต่อแสงตะวัน

ศาศวัตรากวาดตามองด้วยความชื่นชมที่ตนเองลงมือลงแรงช่วยมารดาและป้าเนราอย่างแข็งขันจนกุหลาบงามออกดอกสะพรั่งน่าดูชม

“ว่าไงล่ะ...ท่านว่าสีไหนสวยสุด”

เจ้าตัวเปี๊ยกพยายามทำตัว ‘เป็นมิตร’ เพื่อตอบแทนความใจดี โอบอ้อมอารี...หรือจะเรียกอะไรก็ตามในวันนั้น...วันที่หัวใจของเธอบอบช้ำจนไม่สามารถทนกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ได้

...ก็วันที่ตายักษ์อยู่เป็นเพื่อนเธอจนค่ำมืด แถมยังทำให้เธอออกจะลืมๆความเศร้าในหัวใจลงไปได้บ้าง เธอเลยตั้งใจจะตอบแทนเขาด้วยการ...ยอมๆ...เป็นเพื่อนเสียหน่อย...

“ข้าว่า...” คนตัวโตยกมือลูบไรเขียวครึ้มตรงปลายคางที่เริ่มรกเรื้อแบบที่คนตัวเล็กเคยต่อว่าต่อขานเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า

‘น่ากลัวอย่างกะโจร!’

‘แล้วถ้าข้าเป็นโจร เจ้าจะยังเป็นเพื่อนข้าอยู่รึเปล่า’

คนตัวเล็กทำสีหน้าครุ่นคิด และลังเลอยู่ชั่วอึดใจเท่านั้น

‘ข้าไม่ชอบโจร’ หญิงสาวตอบพร้อมกับมองจ้องเขาเต็มตา ‘เพราะฉะนั้น...ถ้าเจ้าเป็นโจร หรือเป็นคนไม่ดีล่ะก็...ความเป็นเพื่อนของเราเป็นอันขาดกัน...เข้าใจไหม’

เมื่อเห็นเจ้ายักษ์ทำเพียงมองนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น เจ้าเปี๊ยกจึงถามย้ำอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง

‘เข้าใจไหม ตายักษ์!’

นึกมาถึงตรงนี้ อัคก็อดขำไม่ได้ เขาพ่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ และทำให้คนที่กำลังรอคอยคำตอบหงุดหงิด

“นี่!...ท่านไม่ได้ฟังที่ข้าถามเลยรึไง”

“ฟังซิ! ก็ฟังอยู่ แต่ขอเวลาคิดนานหน่อยไม่ได้รึไง”

“ท่านจะคิดอีกนานแค่ไหน อีกหกสิบปีเรอะ” ศาศวัตราค่อนแคะอย่างมีน้ำโห “ถึงตอนนั้นข้าคงไม่รอท่านแล้วล่ะ”

“ไม่หรอกน่า...ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะยังอยู่เป็นเพื่อนข้า”

“ฮึ!...ใครบ้างที่จะรู้อนาคตของตัวเอง” หญิงสาวทำปากยื่นปากยาว ก่อนเอ่ยต่อไปว่า “แล้วใครบอกว่าข้าจะเป็นเพื่อนท่านไปอีกหกสิบปี...ข้าไม่อยากเป็นเพื่อนท่านไปจนตายหรอก”

“ทำไมล่ะ ข้าไม่ดีตรงไหน”

“ก็ทุกตรงนั่นล่ะ” เจ้าตัวเล็กกวาดตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วส่ายหน้าน้อยๆราวกับว่าเขา ‘ไม่มีอะไรดี’ เลยแม้แต่นิดเดียว

“สูงเกินไป ตัวใหญ่เกินไป หน้าตา...ดุ...เกินไป มือหยาบเกินไป ชอบสวมแต่ชุดดำ ขี้เก๊ก ขี้แกล้ง บ้าอำนาจ ชอบรังแกเด็ก...”

อัคเห็นท่าไม่ดีรีบยกมือห้ามปรามไม่ไห้เธอพูดต่อ ด้วยออกจะเกรงว่าหากปล่อยให้เธอสาธยายต่อไป เขาคงต้องยืนให้เธอต่อว่าจนตะวันตกดินเป็นแน่แท้

“พอแล้ว ตัวเปี๊ยก ข้าไม่อยากยืนฟังเจ้าสาธยายอะไรที่มันแย่ๆของตัวเองหรอกนะ”

“ก็ที่ข้าพูดมันเรื่องจริงนี่” เจ้าปี๊ยกยักไหล่ ก่อนย้อนถาม “หรือท่านจะเถียง”

อัคก็อยากจะเถียงอยู่หรอก แต่มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ชายชุดดำร่างเล็กปราดเข้ามาหาอย่างเงียบเชียบ...เงียบชนิดที่ว่าคนที่หูไวอตาไวย่างศาศวัตรายังไม่ได้ยิน เธอเบิกตากว้างมองสำรวจชายแปลกหน้าผู้นั้นอย่างตกใจเล็กๆ

“การินรึ...” อัคมองผู้ที่บุกรุก ‘ความสุนทรีย์’ ของตนเองในเวลานั้นด้วยแววตาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายวาววับแบบที่เจ้าตัวเล็กเพิ่งเคยเห็น

“มีเรื่องด่วนอะไรถึงต้องมาหาข้าถึงที่นี่”

“กระผมต้องกราบขออภัยอย่างยิ่งขอรับ ท่านอัค”

ยามนี้... ‘เพื่อน’ ของเธอดูเป็นใหญ่เป็นโตเสียเหลือเกิน ศาศวัตราตัดสินใจก้าวถอยหลังออกมาสองก้าวเพื่อคอยจับตาดูคนทั้งสองอยู่ห่างๆ

...ใช่ว่าเธอไม่เคยสังเกตว่าตายักษ์ของเธอนั้นมีสง่าราศีและมีรัศมีอะไรบางอย่างเปล่งประกายมากกว่าคนทั่วไป หากตอนนี้ยามเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าคนของตนเองนั้น ความอกอาจผึ่งผายและความเป็นผู้นำก็โชนฉายออกมาราวกับแสงตะวันที่สาดส่องขับไล่ความมืดแห่งราตรีกาลให้จางหายไปอย่างไรอย่างนั้น

ชั่วขณะหนึ่งที่คำถามเดิมๆเมื่อครั้งเจอกันครั้งแรกดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง

...เขาเป็นใครกันแน่...

ศาศวัตราเคยลองเลียบๆเคียงๆถามอาจารย์เซติเรื่องของเจ้ายักษ์อยู่หลายครั้ง แต่คำตอบที่ได้รับยังคงเป็นประโยคเดิมๆ

‘เท่าที่ข้ารู้เขาเป็นหัวหน้าหน่วยนักรบทมิฬ...เรื่องอื่นข้าสืบข่าวไม่ได้เลย’

หญิงสาวเชื่อว่าเขาต้องมีอะไรบางอย่างปกปิดไว้อย่างแน่นอน เธออยากจะรู้นักว่า...‘ความลับ’ ที่เขาซุกซ่อนไว้คืออะไร

ร่างเล็กยืนกอดอกมองชายแปลกหน้าที่กำลังหยิบเอากระดาษม้วนใหญ่ออกมาก่อนคุกเข่าแล้วยื่นให้ผู้เป็นนาย

“จดหมายจาก...” เธอพยายามเงี่ยหูฟังอย่างสุดความสามารถ หากชายคนนั้นกลับตั้งใจจะพูดเบาลงเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน

นั่นล่ะ...ต้องเป็นความลับที่เจ้ายักษ์ปกปิดไว้เป็นแน่แท้

“จดหมายอย่างนั้นหรือ” อัคขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบเป็นปม ขณะเอื้อมมือดึงจดหมายฉบับนั้นเปิดออกอ่าน หลังจากกวาดตาไล่อ่านจนถึงบรรทัดสุดท้าย ใบหน้าของเขาก็พลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด ศาศวัตรารับรู้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วเธอยังสัมผัสได้ถึงความเป็นกังวลที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาด้วย

หลังจากอ่านจบ อัคก็ถอนหายใจยาวแล้วพับจดหมายฉบับนั้นเก็บไว้ดังเดิม เจ้าตัวเล็กอดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากถาม

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่หฤษคีรีหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“แน่นะ”

คนตัวโตเลือกที่จะไม่ตอบ แต่พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสีย

“พรุ่งนี้เจ้าจะไป ‘เที่ยวเล่น’ หรือจะไป ‘สอดแนม’ กันแน่ ตัวเปี๊ยก”

คนถูกรู้ทันกัดริมฝีปาก เสเดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วทรุดกายลงนั่งเหม่อมองแปลงกุหลาบราวกับเพลิดเพลินกับมันเป็นนักหนา หากคนตัวโตก็ตามติดมานั่งเคียงข้างแล้วถามย้ำอีกครั้ง

“ว่าอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบ”

ได้ยินแล้ว อัคหัวเราะเบาๆในลำคอ ไม่เซ้าซี้เอ่ยถามอะไรอีก ก่อนชวนคุยเรื่องอื่นไปเสีย

“ที่เจ้าว่าอยากไปหฤษคีรี เจ้ายังอยากไปอยู่หรือเปล่า”

คนถูกถามนิ่งไปอึดใจ ก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำ

“เมื่อก่อนอยากไป แต่ตอนนี้...ไม่อยากแล้ว ข้าว่าที่นั่นคงไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก”

อัคขมวดคิ้วทันทีที่ได้คำตอบ เขาเม้มริมฝีปากแหงนเงยมองด้านบน...วันนี้ท้องฟ้าของอาวันตีสว่างสดใส ไร้เมฆหมอกและงดงามเสียจนละสายตาไปไม่ได้จนต้องเอ่ยชมว่า

“สวย”

ศาศวัตราเงยหน้ามองตาม แล้วยิ้มกว้าง

“แน่ล่ะ ทุกอย่างในอาวันตีสวยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ เมฆ หมอก ท้องฟ้า...”

ยังพูดไม่ทันจบ อัคก็เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หญิงสาวหน้างอง้ำทีเดียว

“แต่ถึงอย่างไรหฤษคีรีของข้าก็สวยกว่า”

“ข้าไม่เชื่อท่านหรอก”

ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า

“มาหฤษคีรีเสียก่อน แล้วเจ้าจะเปลี่ยนคำพูด”

“ไม่มีทาง” ร่างบางหันขวับมาปฏิเสธทันควัน

“อย่าเพิ่งมั่นใจนัก รอให้เจ้าได้สัมผัสหฤษคีรีของข้าเสียก่อน แล้วเจ้าจะได้รู้ถึงความงามที่แท้จริง”

คนตัวเล็กทำปากยื่นยาว แล้วส่ายหน้าเร็วรี่ จากนั้นจึงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้นักรบทมิฬผู้ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกทางสายตาหลุบสายตาลงต่ำเมื่อมันพราวระยับอย่าง...สมใจ!

“สักวันข้าต้องไปหฤษคีรีให้ได้” เจ้าตัวเอ่ยด้วยเสียงอันดังราวกำลังตั้งปณิธานกับตนเอง “เมื่อถึงวันนั้น...ข้าจะบอกท่านอย่างเต็มปากเต็มคำว่าอาวันตีของข้าสวยกว่าร้อยเท่าพันเท่า!”

คนตัวเล็กหงุดหงิดว้าวุ่นใจ หากคนตัวโตรู้สึกตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เขายิ้มบางๆในหน้า หัวใจอิ่มเอมเป็นสุข เมื่อ ‘เด็ก’ ตกหลุมพรางเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้ว



วันรุ่งขึ้น อาชาสีดำปลอดคู่ใจของเจ้าตัวเล็กก็โผนทะยานสู่ผืนป่า เคียงข้างกันคือเจ้าขาวของคนตัวโตที่งามสง่าและเก่งกาจจนศาศวัตราไม่อาจพาเจ้าดำนำหน้าได้อย่างใจคิด พยายามเร่งฝีเท้าเท่าไหร่ อีกฝ่ายยิ่งเร่งตาม...ไม่ยอมตามหลัง ไม่ยอมนำหน้า หากขออยู่เคียงข้าง...ใกล้ๆกันจนน่าอึดอัดในความรู้สึกของหญิงสาว

ศาศวัตราถอนหายใจยาว เลิกความคิดที่จะเป็นผู้นำไปเสีย และออกคำสั่งให้เจ้าดำผ่อนฝีเท้าลง เห็นดังนั้นนายทหารแห่งหฤษคีรีจึงทำตาม

“ท่านจะตามติดข้าขนาดนี้ทำไมกัน ไม่รู้บ้างหรือว่าข้าอึดอัด”

หญิงสาวเอ่ยด้วยสุ้มเสียงหงุดหงิดชัดเจน หากตายักษ์กลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ปิดปากเงียบเสียอย่างนั้นจนเธอต้องกระตุกบังเหียนเจ้าดำให้หยุดเดิน แล้วตวัดสายตาโกรธเกรี้ยวไปยังอีกฝ่าย ร่างสูงใหญ่หันมามองขณะที่เจ้าขาวเหยาะย่างไปมาอยู่ไม่ห่าง

“ข้าแค่ไม่อยากห่างเจ้า”

คำตอบที่ทำให้คนฟังหน้าร้อนผะผ่าว ในใจปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงสีหน้าไม่พอใจไว้ได้ดังเดิม

“ท่าน...หมายความว่าอย่างไร”

“จะหมายคามว่าอย่างไรเล่า...ไม่อยากห่างเจ้า ก็คือไม่อยากห่างเจ้า” คนตัวโตจ้องดวงตากลมโตเขม็ง ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่ทวีความไม่พอใจในหัวใจดวงน้อย

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเป็นหญิง มิใช่ชาย”

“แล้วอย่างไร หญิงต่างจากชายตรงไหน”

หัวหน้าหน่วยนักรบทมิฬทำทีเป็นทอดถอนใจยาวราวกับเอือมระอาที่จะสาธยายว่าสตรีนั้นต่างจากบุรุษในเรื่องใดบ้างเพราะมันคงยืดยาวจนตะวันตกดินเป็นแน่แท้

“อย่ามัวมาพูดเรื่องนี้กันอยู่เลย เจ้ามีเรื่องสำคัญต้องทำไม่ใช่หรือไร”

คำเตือนสตินั้นทำให้ศาศวัตราต้องยอมละโทสะที่กรุ่นอยู่ในอก พร้อมกับลืมเลือนความรู้สึกประหลาดในหัวใจไปเสียสิ้น หญิงสาวไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป รีบกระตุกบังเหียนแล้วพาเจ้าดำห้อเหยียดเต็มฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่ต้องการโดยเร็วที่สุด



เพียงครึ่งชั่วยาม อาชาทั้งสองก็ชะลอฝีเท้า และหยุดยืนเหยาะย่างอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองผูกบังเหียนของพวกมันไว้ตรงนั้น ก่อนทำการเดินลัดเลาะผ่านต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้ทั้งหลายด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา จากการคาดคะเนคณะทูตจากพรหมราชน่าจะมาพักแรมอยู่ในบริเวณนี้ และคงกำลังเตรียมออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าสู่อาวันตีโดยเร็ว

ร่างสูงเดินตามร่างเล็กที่ย่อตัวก้มต่ำตรงหน้า แล้วส่ายหน้าน้อยๆ อัคยกมือกอดอกแล้วเร่งฝีเท้ามาเดินเคียงข้าง

“เจ้ามาสอดแนมจริงๆใช่ไหม”

คนตัวเล็กที่ไม่อยากให้ใครตามติดมาด้วยถึงกับกลอกตาขึ้นฟ้า...นี่ถ้าไม่ใช่เพราะตายักษ์มาเฝ้าอยู่หน้าบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นล่ะก็ เธอคงพาเจ้าดำเผ่นออกมาก่อน ไม่รอให้อีกฝ่ายตามมาด้วยเช่นนี้แน่

“ท่านเป็นเพื่อนข้าหรือเปล่า”

ศาศวัตราตอบเขาด้วยการถามกลับ...เป็นคำถามที่ไม่ตรงกับที่เขาถามเลยด้วยซ้ำไป นายทหารหนุ่มเลิกคิ้วน้อยๆ ใช้เวลาสงสัยเพียงครู่เดียวจึงพยักหน้า

“ใช่...ข้าเป็นเพื่อนเจ้า”

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าถามให้มากความ แค่เดินตามข้ามาก็พอ”

ข้อสรุปที่ทำให้คนฟังงุนงงไปพักใหญ่ หากก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ รีบสาวเท้าตามไปแต่โดยดี ยังไม่ทันถึงที่พักแรมของคณะเดินทาง ทั้งสองก็เห็นอาชาสีน้ำตาลเข้มสี่ตัวเผ่นโผนผ่านพุ่มไม้ใหญ่ออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นตำแหน่งของลำธารใสเย็น...ที่ที่เธอเคยถูกตายักษ์พันธนาการไว้ด้วยเถาวัลย์ขนาดใหญ่นั่นละ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศาศวัตราหันมาส่งสัญญาณบอกให้ตามคนพวกนั้นไป...ไม่รอให้อัคคัดค้าน หญิงสาวออกวิ่งทันใด ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะตามมาถึง จากเนินดินด้านบน เธอสามารถมองเห็นคนสามคนกำลังก้มตัวล้างหน้าล้างตาอย่างสำราญในอารมณ์ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นยืนกอดอกเหม่อมองท้องฟ้าสีครามราวอย่างเพลิดเพลิน

ลมหนาวพัดโชยมาระลอกใหญ่จนทำให้ผ้าโพกศีรษะของใครคนนั้นปลิดปลิวจนผมสีดำขลับยาวสยายเต็มกลางหลังโบกสะบัดไปมา เมื่อนั้นคนที่แอบดูจึงเบิกตากว้างเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นอิสตรี...จากเสี้ยวหน้าด้านข้าง ศาศวัตรามั่นใจเหลือเกินว่า หญิงสาวผู้นี้งดงามจนน่าตกตะลึง ยิ่งเมื่อลมพัดผ้าแนบเรือนร่างของนางผู้นั้นด้วยแล้ว เธอก็อดชื่นชมในร่างอรชรนั้นไม่ได้

ร่างบางโปร่งระหง เอวคอด สะโพกผาย...ช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลเสียเหลือเกิน

ชั่วขณะหนึ่ง ศาศวัตราอดคิดไม่ได้ว่า สตรีผู้นั้นช่างต่างกับตนเองราวฟ้ากับเหว

คนหนึ่งกระโดกกระเดกราวม้าป่า ส่วนอีกคนสง่างามประหนึ่งนางอัปสรสวรรค์

ยิ่งเมื่อหันไปเห็นคนข้างกายที่จ้องมองอย่างไม่วางตาด้วยแล้ว เจ้าตัวก็นึกหงุดหงิดในใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ตาของท่านจะถลนออกมานอกเบ้าแล้ว...สำรวมหน่อยมิได้หรือ ท่านอัค”

คนตัวโตสะดุ้งเล็กน้อย หันขวับมามองคนค่อนขอดแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ

“ข้าไม่ได้เป็นถึงขนาดที่เจ้าพูดสักหน่อย...เจ้าพูดเกินไปแล้วตัวเปี๊ยก”

“ฮึ!”

คนตัวเล็กทำเสียงแบบที่ทำเป็นประจำ ก่อนหันไปให้ความสนใจกับสตรีผู้นั้นอีก

“ท่านว่านางเป็นใคร”

คนถูกถามกวาดตามองสำรวจคนติดตามสามคน เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างนอบน้อมให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่งจึงตอบไปอย่างใจคิด

“คงเป็นคนสำคัญ...ไม่ลูกสาวท่านทูต ก็ลูกเสนาบดีคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทก็เป็นได้”

ศาศวัตราจำที่อาจารย์เซติเล่าให้ฟังได้...เจ้าหลวงแห่งพรหมราชนั้น มีเพียงพระธิดา ไม่มีพระโอรส และเท่าที่ได้ยินได้ฟังมานั้น ว่ากันว่าพระองค์ทรงมีพระสิริโฉมงดงามกว่าเจ้าหญิงพระองค์ใดในแถบนี้

เมื่อได้มาเห็นความงามเช่นนี้แล้ว หญิงสาวก็ออกจะมั่นใจว่าอิสตรีผู้นี้คงเป็นเจ้าหญิงปวริศา...เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งพรหมราชอย่างไม่ต้องสงสัย

ยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยหรือทำอะไรต่อไป ผู้ติดตามหนึ่งในสามก็ง้างธนูในมือมาทางคนทั้งสอง แล้วประกาศกร้าว

“ใครที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น จงปรากฏกายออกมาเดี๋ยวนี้...ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าจะได้ลิ้มรสธนูอาบยาพิษของข้าแน่”

คนที่ซ่อนตัวอยู่หันมามองหน้ากันชั่วอึดใจ ขณะที่ชายร่างสูงในชุดทหารสีน้ำตาลข่มขู่ซ้ำอีกครั้ง

“จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะได้ตายอย่างขาดเขลาอยู่กลางป่านี่แหละ”

ศาศวัตราไม่เคยขาดเขลา เมื่อหลีกหนีไปไหนไม่ได้ เธอจึงจำต้องเผยตัว หญิงสาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงในทันใด เฉกเช่นเดียวกับนายทหารแห่งหฤษคีรีซึ่งก้าวเข้ามาเอาตัวบังร่างเล็กไว้จนมิด

“ขออภัยที่พวกข้าเสียมารยาทมาแอบดูพวกท่าน”

อัคเอ่ยด้วยเสียงกังวาน ชัดถ้อยชัดคำ หาได้มีความหวาดกลัวไม่ ขณะที่คนข้างหลังพยายามดันตัวเขาให้ออกห่าง พร้อมต่อว่าอย่างไม่พอใจ

“ท่านมายืนขวางข้าทำไมกัน หลีกไปนะ”

“เจ้าน่ะยืนเฉยๆเถิด อย่าก่อความวุ่นวายอีกเลย”

ชายหนุ่มกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน หากถึงกระนั้นกระแสแห่งอำนาจของคำสั่งนั้นก็ทำให้คนตัวเล็กเชื่อฟังได้อย่างน่าประหลาดใจ

“ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เข้ามาหาของป่า แล้วบังเอิญพบเห็นพวกท่านขี่ม้ามาทางนี้ ด้วยความอยากรู้จึงตามมาเพราะข้าเห็นว่าพวกท่านไม่ใช่คนแถบนี้”

คำอธิบายยืดยาว และค่อนข้างสุภาพ ทำให้สตรีหนึ่งเดียวท่ามกลางบุรุษสามนายยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนลดอาวุธลง

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาคงไม่ใช่คนร้าย”

สุ้มเสียงแผ่วหวานทอดอ่อนโยนจนคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังคนตัวโตชะโงกหน้าออกมามองอย่างสนอกสนใจ ตอนนี้นางอัปสรสวรรค์ในสายตาของศาศวัตราสาวเท้าเข้ามายืนหน้านายทหารทั้งสาม รูปหน้าไข่รับกับดวงตากลมโต จมูกโด่ง และริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อทำให้เผลอมองอย่างลืมตัว

“พวกเจ้าเป็นชาวอาวันตีใช่หรือไม่”

หลังถามเสร็จ เธอก็โปรยยิ้มบางๆในหน้า แสดงความเป็นมิตร เห็นดังนั้นศาศวัตราจึงไม่รีรอที่จะหยิบยื่นไมตรีให้ในทันที

“ใช่”

ตอบสั้นๆ พร้อมกับสาวเท้าออกมายืนเคียงข้างบุรุษผู้ไม่ใช่ชาวอาวันตี ตอนนี้เขาไม่ได้ห้ามเธอแล้ว เพราะเห็นทหารตรงเบื้องล่างไม่ได้ง้างคันธนูมาทางนี้อีกต่อไป...ปลอดภัยในระดับหนึ่ง หากก็ยังวางใจไม่ได้ เขาจึงวางมือไพล่หลังไว้ โดยมือข้างหนึ่งกำรอบด้ามกริชที่คาดไว้ตรงเอวทางด้านหลังไว้มั่น

“พวกท่านมาจากไหนหรือ”

“พวกข้ามาจากพรหมราช มาพร้อมคณะทูต”

น้ำเสียงเนิบนาบ นุ่มนวล ไร้ซึ่งวี่แววของความเป็นศัตรู หากก็ไม่ได้แสดงความเป็นมิตรมากเท่าไหร่นัก

“...เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างกัน”

สตรีนางนั้นมองสำรวจคนแปลกหน้าในชุดดำทั้งสองคนอย่างพิจารณา ดวงตาคู่หวานจับจ้องทุกอิริยาบถ พร้อมกับเอ่ยต่อไปอย่างเรียบเรื่อย

“พวกเจ้าคงไม่ว่าข้ากระมังที่มาล้างหน้าล้างมือตรงลำธารแห่งนี้”

“ที่นี่เป็นที่สาธารณะ ข้าไม่มีสิทธิ์ว่าท่านหรอก” หญิงสาวในคราบหนุ่มน้อยก้มศีรษะทักทายอย่างเป็นทางการ

“ข้าศวัต...ยินดีที่ได้รู้จัก”

หญิงสาวเอ่ยแนะนำตัวตามแบบฉบับเจ้าบ้านที่ดี ขณะที่คนข้างกายปิดปากเงียบ ยังคงใช้สายตาคมกริบกวาดมองคนเบื้องล่างอย่างระแวดระวัง

“ข้า...ปวริศา ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

ปวริศา...พระนามอันเลื่องลือของเจ้าฟ้าหญิงแห่งพรหมราช ใครๆต่างชมไม่ขาดปากว่าทรงงามเหนือกว่าผู้ใด...ศาศวัตราเห็นจริงตามนั้น

“หวังเหลือเกินว่าพวกท่านจะมีความสุขตลอดเวลาที่อยู่ในอาวันตี...ข้าคงต้องไปแล้ว คราวหน้าเราอาจได้พบกันอีก”

เอ่ยลาเสร็จก็ก้มศีรษะเป็นเชิงลาอีกครั้ง ก่อนคว้าแขนคนตัวโตให้เดินตามกลับไปยังที่ที่ผูกเจ้าขาวและเจ้าดำไว้เคียงกัน สองเท้าเล็กเร่งรีบ ขณะที่ร่างสูงก้าวเท้าอย่างสบาย มองคนเดินนำที่ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนลืมตัวหรือเผลอไผลเลื่อนมือมากุมมือคนตาม มือเล็กสอดประสานกับมือใหญ่ มั่นคง ไม่เคอะเขิน จวบจนกระทั่งทั้งสองมาถึงจุดหมาย

ตอนนั้นเองที่ศาศวัตรารู้สึกว่ามือของตัวเอง...ถูกพันธนาการไว้

จริงๆจะเรียกว่าพันธนาการคงไม่ถูกนัก เพราะเป็นเธอเองที่จับมือเขาไว้มั่นทีเดียว

คนตัวเล็กตวัดสายตามองมือที่สอดประสานกันแล้วเบิกตากว้าง ริมฝีปากอิ่มเผยออ้า ละม้ายต้องการจะเปล่งเสียง หากไร้ซึ่งเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา มีแต่ความเงียบงัน และเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วกว่าปกติเท่านั้นเอง

“หากเจ้าอยากจับมือข้าก็บอกกันดีๆก็ได้”

คนตัวเล็กได้สติ เงยหน้ามองตายักษ์ขี้เก๊กที่กำลังจะกลายเป็นตายักษ์กวนประสาทด้วยดวงตาเกรี้ยวกราด พร้อมกับกระชากมือตนเองออกโดยแรง

“ข้าน่ะหรืออยากจับมือท่าน”

พูดพร้อมกับถูกมือข้างนั้นกับกางเกงของตนราวกับการสัมผัสมือของเขาเป็นเรื่องน่ารังเกียจและสกปรกเป็นนักหนา

“ข้าแค่คิดอะไรเพลินๆแล้วลืมตัวไปเท่านั้น”

“อย่างนั้นรึ?”

คำถามกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ ชวนให้หญิงสาวอยากจะมุดแผ่นดินหนีเสียจริง หากเธอกลับยกขาขึ้นแล้วเตะไปที่หน้าแข้งของคนตรงหน้าเต็มแรง ร่างสูงร้องโอดครวญทรุดกายลงนั่งอย่างเจ็บปวด ตามมาด้วยเสียงเรียกอย่างคาดโทษ

“ตัวเปี๊ยก! เจ้าประทุษร้ายข้าอีกแล้วนะ!”

“สม!”

คราวนี้เป็นคนตัวเล็กที่ได้หัวเราะอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะกระโดดขึ้นบนหลังเจ้าดำ พร้อมกับบอกว่า

“ข้าจะไปหาอาจารย์ ส่วนท่านจะไปไหนหรือไปทำอะไรก็ไปเถิด...รู้ไหมตอนนี้ข้าเหม็นขี้หน้าท่านเหลือเกิน หากท่านยังอยู่ใกล้ข้า ข้าเกรงว่าจะอดใจไม่ไหว ประทุษร้ายท่านขึ้นมาอีกสักสิบ ยี่สิบครั้งน่ะซิ”

หญิงสาวก้มมองคนที่นั่งชันเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาเริงรื่น วางนิ้วชี้และนิ้วกลางของตนลงบนริมฝีปาก แล้วทำเป็นจุมพิตลา ตั้งใจจะล้อเลียนที่เขาเจ็บ หากเธอแสนเป็นสุข...ทว่าคนที่ได้รับ แทนที่จะเจ็บใจ กลับมองตามแผ่นหลังบางที่หายลับไปในดงไม้ด้วยรอยยิ้ม...เป็นยิ้มที่แสนประหลาดจนผู้เป็นเจ้าของยังไม่ค่อยเข้าใจนัก

...จะว่าระอาใจก็ไม่ใช่ จะเอ็นดูก็ไม่เชิง...แต่ที่แน่ๆคือ รอยยิ้มนี้มีความสุขใจอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

น้อยคนนักที่ทำให้หัวใจของหัวหน้าหน่วยนักรบทมิฬอิ่มเอิบได้มากเช่นนี้...ศาศวัตราเป็นหนึ่งในนั้น และมันทำให้เขาอดหวั่นใจไม่ได้...หากยังใกล้ชิดกันเช่นนี้ หัวใจของเขาจะคิดอะไร ‘เกินเลย’ กับเด็กกะโปโลคนนั้นหรือไม่ และมากเพียงใด...ก็ยากจะเดา

ร่างสูงหยัดยืนตรง ส่ายหน้ากับตัวเองเล็กน้อย ก่อนกระโดดขึ้นควบเจ้าขาวแล้วสั่งให้มันห้อเหยียดเต็มฝีเท้าตรงกลับที่พักของตัวเองในบัดดล




นักรบทมิฬแห่งหฤษคีรีกระโดดลงจากหลังเจ้าขาว ก่อนยื่นบังเหียนให้คนดูแลคอกม้าด้านหลังพระราชวัง พึมพำขอบใจ ก่อนดุ่มเดินก้มหน้าตรงไปยังตำหนักที่เจ้าหลวงทิวากาลทรงมอบให้เป็นที่ประทับของเจ้าชายรัชทายาทแห่งหฤษคีรีและราชองครักษ์คนสนิท

จากคอกม้าต้องเดินผ่านทางเดินหินที่ทอดยาวผ่านตำหนักนับสิบ บ้างก็เป็นตำหนักร้าง หากหลายหลังที่เป็นตำหนักของพระสนม และพระบรมวงศานุวงศ์ ชายหนุ่มเลือกเดินทางลัดผ่านวนอุทยานระหว่างตำหนัก เพียงชั่วครู่จึงมาถึงจุดหมาย

พลันที่สาวเท้าขึ้นบันไดทรงเตี้ยหน้าตำหนัก ทหารคนสนิทก็ปราดเข้ามาหา พร้อมซองสีน้ำตาล

“ม้าเร็วเพิ่งมาส่งเมื่อครู่ขอรับ” อัครีบฉวยมาถือไว้ในมือ ฉีกซองออกแล้วดึงจดหมายข้างในออกมาอ่าน กวาดตารวดเร็วตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้ายด้วยความอึดอัดและเป็นกังวล กระทั่งเมื่ออ่านจบ เขาจึงหลับตาแล้วถอนหายใจยาว

“อาการประชวรดีขึ้นแล้ว”

เป็นคำบอกเล่าที่ทำให้การินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเจ้าหลวงแห่งหฤษคีรีทรงปลอดภัย เขาเงยหน้ามองสบตาผู้เป็นนาย รับรู้ได้โดยไม่ต้องได้ยินคำสั่งใดๆ ชายหนุ่มก้มศีรษะทำความเคารพแล้วล่าถอยไป ทิ้งให้อัคอยู่ตามลำพังอย่างที่ต้องการ

ร่างสูงใหญ่สาวเท้าตรงไปยังวนอุทยาน ทรุดกายลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ความหนักหน่วงในหัวใจที่แบกรับตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากได้รู้ว่าเจ้าหลวงศิขินทรงหายจากอาการประชวรเพียงชั่วข้ามคืนราวปาฏิหาริย์ ทรงมีเรี่ยวแรงเขียนจดหมายและกำชับให้เขาอยู่ที่นี่ต่อให้ครบหนึ่งเดือนตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วหลับตา...นานเท่าไหร่ก็สุดรู้ที่นั่งเพลิดเพลินอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าเปรอะเปื้อนแล้วรอยยิ้มสดใสของเจ้าตัวเปี๊ยกวาบเข้ามาในความคิด มันทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีใครแอบเห็น มารู้ตัวก็เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นนั่นล่ะ

นายทหารหนุ่มลืมตาโพลง ลุกขึ้นนั่งแล้วใช้มือกำอาวุธคู่ใจของตนในทันที ต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาจึงพ่นลมหายใจออกทางปากอย่าหงุดหงิดเล็กน้อย

“กำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือ”

เป็นคำถามที่ทำให้คนถูกถามเม้มปาก รีบลุกขึ้นยืนแล้วถวายคำนับอย่าง...’ขอไปที’

“ไม่ใช่เรื่องที่พระองค์จำเป็นต้องรู้พะยะค่ะ”

หากเป็นราชองครักษ์คนอื่นแล้วล่ะก็ คงถูกลงโทษฐานไม่ให้ความเคารพต่อเจ้าชายของตนเองเป็นแน่แท้ หากกับเจ้าชายแห่งหฤษคีรีพระองค์นี้แล้วกลับแย้มสรวลอย่างไม่ถือสา อีกทั้งยังไม่รับสั่งใดๆ นอกจากประทับยืนไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหน้าอย่างสำรวม

“ยืนแบบนี้ได้อย่างไรพะยะค่ะ ทรงเป็นถึงเจ้าชาย”

เป็นองครักษ์เสียอีกที่เอ่ยแนะนำและต่อว่านิดๆ

“ต้องยืนอกผายไหล่ผึ่งแบบนี้พะยะค่ะ”

ว่าพลางจับพระอังสาของคนตรงหน้าให้ตั้งตรง ขณะที่เจ้าชายรัชทายาทแย้มโอษฐ์อย่างหวาดหวั่นกริ่งเกรง เมื่ออัคสำรวจดีแล้วว่าอีกฝ่ายดูเหมือนเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แล้วจึงเอ่ยถาม

“รู้ข่าวเรื่องอาการประชวรขององค์เจ้าหลวงหรือยังพะยะค่ะ”

“การินเพิ่งบอกข้าเมื่อครู่”

อัคพยักหน้ารับรู้ ก่อนถวายคำนับ กำลังจะเดินจากไป ก็ถูกเจ้าชายของตนเองร้องเรียก

“จะไปไหน”

คนถูกถามเหลียวมามอง ไม่ต้องให้ตอบ คนถามก็รู้ว่าสายตาเช่นนั้นหมายความว่าเช่นไร

“จะไปไหนก็ไปเถิด ระวังตัวด้วย”

‘ราชองครักษ์’ ไหวไหล่เล็กน้อย สาวเท้าจากไป โดยไม่ลืมตะโกนตามหลังมาว่า

“กระหม่อมต้องการเวลาส่วนตัว ไม่ต้องให้การินตามมานะพะยะค่ะ”

‘เจ้าชาย’ ทอดเนตรตามพร้อมกับส่ายพักตร์อย่างระอาพระทัยเป็นที่ยิ่ง



จุดหมายปลายทางของหนุ่มราชองครักษ์ย่อมเป็นที่ใดไม่ได้ นอกจาก...บ้านหลังเก่าคร่ำของศาศวัตรา ชายหนุ่มเลือกไปที่นั่นทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวเปี๊ยกไม่อยู่ ไปด้วยความรู้สึกอยากไป และ...ผูกพัน

ไม่น่าเชื่อ เพียงระยะเวลาไม่นาน เขากลับผูกพันกับครอบครัวของศาศวัตราได้มากเพียงนี้ แม้แต่บ้านแสนเก่า...ยังทำให้เขาเป็นสุขได้อย่างน่าเหลือเชื่อ อาจเป็นเพราะความอบอุ่นที่มารดาของเธอมอบให้เขา ทำให้เขาอุ่นในหัวใจก็เป็นได้

ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยเห็นหน้ามารดาของตนเองแม้สักครั้ง...แม้บิดาจะทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กระนั้นเขาก็รู้ดีว่า ในหัวใจของเขายังขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป...นั่นคือความอบอุ่นและความรักจากมารดากระมัง

พลันที่เห็นว่าใครมาเยือน อดีตพระชายาศิริรัตนาก็ยิ้มกว้างต้อนรับอย่างเต็มอกเต็มใจ ท่านให้เขาเข้าไปนั่งคอยในห้องรับแขก มีกาแฟหอมกรุ่นให้เขาจิบระหว่างรอ หรือแม้กระทั่งยามเขาเอ่ยขอไปเดินดูแปลงกุหลาบหลังบ้าน ท่านก็ยินดี

ร่างสูงเดินเตร็ดเตร่ชื่นชมความงามของกุหลาบหลากสี...ฝีมือการปลูกของเจ้าตัวเล็กอย่างสนอกสนใจ ไพล่นึกไปถึงบ้านของตนเองที่มีเพียงต้นไม้สูงใหญ่กับสนามหญ้าเขียวๆ ไร้ซึ่งดอกไม้งดงามเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดจะอยากปลูกดอกใดๆ จนกระทั่งบัดนี้...จู่ๆความคิดอยากมีแปลงกุหลาบสักแปลงในบ้านของเขาเองก็ถาโถมเข้าใส่เขาอย่างไม่ให้ทันได้ตั้งตัว

อัคทรุดกายลงนั่งยองๆ โน้มหน้าลงและจรดปลายจมูกลงบนกลีบกุหลาบสีแดง สูดกลิ่นหอมของมันเข้าเต็มปอด แล้วบอกตัวเองว่ากลับบ้านไปเมื่อไหร่ เขาจะสั่งคนสวนให้ปลูกกุหลาบจนมันบานสะพรั่งทั่วบ้านให้ได้ ชายหนุ่มดอดอมกลิ่นหอมเพลิดเพลิน กระทั่งเสียงเกรี้ยวกราดของใครบางคนดังขึ้น

“หยุดนะ!”

ใช่แค่พูดเท่านั้น ใครคนนั้นยังก้าวอาดๆเข้ามาหา แล้วปัดมือเขาออกอย่างแรง

“ท่านกล้าดีอย่างไรมาจับกุหลาบของข้าทั้งๆที่ยังไม่ขออนุญาตจากข้า”

คนตัวโตที่ไม่เคยถูกใครตวาดมาก่อนแทนที่จะโกรธากลับหัวเราะเบาๆในลำคอ พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“อะไรกัน แค่กุหลาบ...ข้าถึงกับต้องขออนุญาตเจ้าเลยหรือ”

“แน่ล่ะซิ...ข้าอุตส่าห์ทะนุถนอมมากับมือ” คนตัวเล็กเชิดหน้ามองจ้องเขาตาวาว “ถ้าเกิดท่านทำมันบอบช้ำขึ้นมาล่ะก็ ข้าเอาเรื่องท่านแน่!”

ประกาศกร้าว ชูกำปั้นหรา แต่ดูเหมือนตัวเองจะสูงไม่พอจึงพยายามเขย่งจนสุดปลายเท้า

ท่าทางเช่นนั้นช่างน่าขันในสายตาคนมอง หากอัคพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองอย่างสุดความสามารถ ทว่า...แววตาของเขาไม่สามารถปกปิดสิ่งที่อยู่ในใจได้ คนตัวเล็กเห็นมันชัดเจน จนความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มมากเป็นเท่าตัว

“ท่านขันข้างั้นรึ!”

คนถูกถามไม่คิดปฏิเสธ เขาใช้มือวัดความสูงของคนตรงหน้า พร้อมกับมองเท้าที่เขย่งของเธอ

“ขนาดเจ้ายืนเขย่งเท้าแล้ว ยังสูงได้ไม่เท่าบ่าของข้าเลย...ตัวเล็กแบบนี้จะมาสู้อะไรข้าได้”

“อยากลองไหมล่ะ”

เจอคำท้าเข้า...มีหรือเขาจะยอม ชายหนุ่มยกมือกอดอก แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ จนคนเขย่งปลายเท้าต้องรีบเปลี่ยนเป็นยืนเต็มสองเท้า ยกสองมือขึ้นมาเตรียมท้าตีท้าต่อยเต็มที่

“มาซิ!...ข้าไม่กลัวท่านหรอก”

“เอาจริงหรือตัวเปี๊ยก”

ร่างสูงใหญ่ยังคงกอดอก พร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้า แววตาของเขาจ้องเขม็งลึกลงไปในดวตากลมโตแสนบริสุทธิ์...ดวงตาที่เขาพอจะเดาได้ว่าในวันข้างหน้าจะงดงามปานใด

“จะสู้กับข้าจริงๆน่ะหรือ...บุรุษกับสตรีมาสู้กันแบบนี้...มันอันตรายเหลือเกิน เจ้าไม่รู้หรือไร”

“อันตราย? การต่อสู้มันย่อมต้องอันตรายอยู่แล้ว ไม่เห็นแปลก”

“แต่อันตรายที่ข้าหมายถึง...มันแย่สำหรับสตรีอย่างเจ้านะ ตัวเปี๊ยก”

คนที่ยังนึกไม่ออกว่า ‘อันตราย’ ที่เขาเอ่ยถึงนั้นหมายถึงสิ่งใด เริ่มหวั่นใจ จนต้องก้าวถอยหลัง

“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด”

“เจ้ายังไร้เดียงสาเกินไปกระมัง”

คนถูกว่าว่าไร้เดียงสาโมโหจนหน้าแดง ถึงกระนั้นเจ้าตัวกลับไม่กล้าทำอะไร เพราะดวงตาสีนิลของคนตรงหน้ามันวิบวับพิกล จนหัวใจดวงน้อยสั่นไหว รู้สึกว่าตนเองกำลังจะไม่สบาย หรือไม่ก็หิวข้าวจนใจหวิว สุดท้ายเจ้าตัวจึงขอยอมแพ้

“ไม่เอาละ...ข้าไม่เล่นกับท่านแล้ว ข้าหิว!”

ไม่รอให้เขาเยาะเย้ยหรือเอ่ยว่ากระไร ร่างเล็กรีบจ้ำอ้าวเดินดุ่มกลับเข้าไปในบ้านในบัดดล แต่ก็ไม่วายเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนที่หลายวันมานี้มักมาร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของตนเองเป็นประจำ

“วันนี้ท่านจะทานข้าวเย็นที่บ้านข้ารึเปล่า...ป้าเนราทำของโปรดของท่านไว้ให้ด้วยนะ”

คนที่กำลังถูกของกินหลอกล่อส่ายหน้ากับตัวเอง แล้วสาวเท้าเดินตามหลังคนตัวเล็กไปอย่างรู้สึกสุขใจ...เป็นความสุขใจที่จนป่านนี้เขายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย






ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ม.ค. 2556, 00:07:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2556, 08:23:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 2054





<< บทที่ 5+บทที่ 6   บทที่ 8 >>
คิมหันตุ์ 24 ม.ค. 2556, 03:31:00 น.
เจ้าหญิง อีกคนมาทำอะไรหนอ??


phugan 24 ม.ค. 2556, 07:11:33 น.
มาให้กำลังใจค่า...


แว่นใส 24 ม.ค. 2556, 08:31:31 น.
น่ารักดีค่ะ


angelK 24 ม.ค. 2556, 09:16:41 น.
มาต่อเร็วๆ นะคะ รออ่านอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account