ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ

ก่อนเข้าเรื่อง...

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผู้เขียน ซึ่งเขียนไว้นานมากแล้ว (เคยโพสต์ลงในเวปเด็กดีตั้งแต่ปี 2547 โดยใช้ชื่อว่า a tale of secret แต่ปัจจุบันลบออกไปแล้วค่ะ) จึงค่อนข้างอ่อนหัดและไม่มีแก่นเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น อาศัยตัวละครพาไปล้วนๆ แบบแต่งไปคิดไป พล็อตเรื่องจึงดูกว้างใหญ่ดุจทะเล แต่เพราะเป็นเรื่องที่เขียนได้เยอะที่สุดในบรรดาเรื่องทั้งหมดที่เคยเขียน ก็เลยเสียดายค่ะ แม้ว่าจะปัจจุบันจะยังเขียนไม่จบก็ตาม (แหะ แหะ) ที่ตัดสินใจนำเรื่องนี้กลับมาลงในเนตอีกครั้งเพราะเพิ่งจะหยิบมารีไรท์รอบล่าสุดโดยตัดตอนต้นของเรื่องที่เห็นว่าเยิ่นเย้อออกไปทั้งหมด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกรุณาจากผู้อ่านที่บังเอิญผ่านมาช่วยสะกิดบอกผู้เขียนสักนิด ถ้าพบว่าตรงไหนที่อ่านแล้วเห็นว่ายังขาดๆ เกินๆ เพื่อผุ้เขียนจะได้นำไปปรับปรุงให้เรื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้นค่ะ

นิยายของมือใหม่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก คิดเสียว่าเอาไว้อ่านแก้เครียดก็แล้วกันนะคะ ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านค่ะ ^ ^

----------------------------------------------------------------------------------------
บทนำ..

เด็กสาวในชุดกระโปรงพองฟูสีครีมจ้องมองร่างที่กลายเป็นศิลาแข็งกระด้างด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อครู่ก่อนตัวของหญิงสาวผู้นี้ยังนุ่มนิ่มและอบอุ่นไปด้วยเลือดเนื้ออยู่เลย แม้อาการที่เห็นจะบอกชัดว่านางถูกพิษร้าย แต่ไม่เคยมีบันทึกไว้สักหน่อยว่ายาพิษจะทำให้คนกลายเป็นหิน

“มีอะไรกันหรือ ข้าได้ยินเสียงร้อง อ้าว... กายย์ เจ้ามาทำอะไรที่ห้องทรงพระอักษร”

เสียงถามที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้เด็กสาวสะดุ้งโหยง เหลือบตามองไปที่ประตูห้องโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มเจ้าของเสียงกำลังรีบร้อนนำเสด็จราชาแห่งกรีนแลนด์เข้ามา พร้อมด้วยชายกลางคนในเครื่องแบบทหารผู้มีหนวดเรียวสวยประดับอยู่เหนือริมฝีปาก พอเหลือบไปเห็นร่างที่ทอดเหยียดยาวอยู่บนพื้น เขาก็ร้องเอะอะด้วยเสียงดังราวฟ้าผ่า

“เจ้าหญิงแคธรีนนี่ เกิดอะไรขึ้นกายย์ เจ้าทำอะไรนาง”

เด็กสาวรีบสั่นศีรษะ ปฏิเสธละล่ำละลัก “เปล่านะคะพี่กันนาร์ น้องไม่ได้ทำอะไรนาง น้องแค่บังเอิญผ่านมาทางนี้ เห็นเจ้าหญิงแคธรีนประทับยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร ยังไม่ทันจะร้องทักนางก็ล้มฟุบลงกับพื้นห้องแล้ว พอน้องวิ่งไปดูก็เห็นว่าเจ้าหญิงทรงหมดพระสติ พระวรกายงี้ร้อนราวกับไฟเชียวค่ะ ริมพระโอษฐ์กับพระนขากลายเป็นสีม่วงคล้ำแถมยังมีจ้ำม่วงๆ น่าเกลียดปรากฏขึ้นบนพระกรด้วย น้องคิดว่าเจ้าหญิงทรงถูกพิษแน่ๆ ก็เลยพยายามจะช่วย”

“ช่วยหรือ ช่วยยังไง ทำไมเจ้าหญิงแคธรีนถึงเป็นแบบนี้” เจ้าชายกันนาร์ยังคงซักไซ้น้องสาวต่อไปด้วยความคลางแคลงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเรื่องที่นางเล่าฟังดูเกินจริงอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญพระองค์ไม่คิดว่าเด็กอย่างเจ้าหญิงกาอิยาห์จะช่วยเหลือใครได้ ถ้าก่อเรื่องให้เดือดร้อนละก็ว่าไปอย่าง

“น้องแค่พยายามจะใช้คาถาระงับพิษให้เจ้าหญิงแคธรีนตามที่เคยเห็นพวกนักบวชทำ แต่ไม่รู้ว่าเกิดผิดพลาดตรงไหน นางถึงได้...”

ไม่ต้องต่อให้จบประโยค ทุกคนก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าชายกันนาร์ถึงกับยกพระหัตถ์กุมขมับ

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเจ้าไม่ไปตามท่านหมอ”

“ขืนมัวแต่ตามท่านหมอ เจ้าหญิงแคธรีนก็สิ้นพระชนม์พอดีสิคะ พี่กันนาร์ไม่เห็นหรอกว่ายาพิษออกฤทธิ์เร็วแค่ไหน”

“ถ้างั้นก็รีบทำให้เจ้าหญิงแคธรีนกลับเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้เลย”

เด็กสาวทำหน้าเหยเก กลัวพี่ชายก็กลัว แต่จะนิ่งไว้ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน จึงจำต้องสารภาพไปตามตรง

“ทำไม่ได้หรอกค่ะ น้องไม่รู้วิธี”

“อ้าว” เจ้าชายกันนาร์อ้าพระโอษฐ์มองน้องสาวพระเนตรค้าง

“ทำไม่ได้ได้ยังไง ก็เจ้าเพิ่งบอกอยู่แหม็บๆ ว่าใช้เวทมนตร์ได้”

“ก็ใช้ได้จริงๆ นี่คะ แต่เป็นพวกคาถาง่ายๆ ส่วนคาถาชั้นสูงอย่างคาถาระงับพิษ น้องแค่เคยเห็นพวกนักบวชใช้ ก็เลย เอ่อ...ลองดูบ้าง”

คำตอบนั้นทำเอาคนเป็นพี่ชายพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว ในใจนึกอยากจะได้ไม้เรียวสักอันมาหวดก้นแม่ตัวแสบโทษฐานที่ซนไม่เข้าเรื่อง แต่ในเมื่อไม่รู้จะไปหาจากไหนจึงได้แต่ทำเสียงเข้มดุกลับไป

“กายย์ เจ้านี่มัน... รู้ว่าใช้คาถาไม่ได้แล้วยังจะฝืนทำให้เกิดเรื่องยุ่งขึ้นมาอีก ถ้าหากราชาไมนาสทรงทราบเข้าจะว่ายังไง”

“พอเถอะกันน์” ราชาแห่งกรีนแลนด์ทรงยกพระหัตถ์ปรามสหาย เพราะเห็นว่าตำหนิน้องสาวไปก็เปล่าประโยชน์ พระองค์หันไปออกคำสั่งให้ที่ปรึกษาฝ่ายทหารรีบไปตามแพทย์หลวง แล้วสาวพระบาทเข้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม ทอดพระเนตรหาสิ่งผิดปกติบนนั้น
กระดาษเขียนจดหมายเนื้อหนาที่เคยวางเรียงอยู่มุมโต๊ะกระจายเกลื่อน บางส่วนปลิวร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น กล่องใส่ปากกาขนนกเปิดอ้า ขวดหมึกอันเป็นแก้วเจียระไนตกแตกทิ้งคราบสีดำคล้ำไว้บนผืนพรมเป็นดวงใหญ่ หากตราประทับและม้วนเอกสารที่พระองค์ต้องทรงลงพระนามยังวางเป็นระเบียบอยู่ที่เดิม ใกล้ๆ กันนั้นคือหนังสือปกหนังเล่มบางซึ่งเป็นของเพียงชิ้นเดียวที่เพิ่มขึ้นมา

ราชาหนุ่มทรงคว้าหนังสือมาพลิกดูหน้าปก ตัวอักษรเขียนเล่นหางแบบโบราณบอกให้รู้ว่าเป็นบทกวีสรรเสริญเทพเจ้าที่ทรงให้เจ้าหญิงแคธรีนขอยืมไปเมื่อสามวันก่อน นางคงตั้งใจจะนำกลับมาคืน เมื่อไม่พบพระองค์เลยวางเอาไว้ที่โต๊ะทรงพระอักษร

...ถ้าเช่นนั้น อะไรกันเล่าที่เป็นสาเหตุให้เจ้าหญิงแคธรีนล้มลงหมดสติ...

ราชาเอลเบอเรธทรงวางหนังสือลงที่เดิม เปลี่ยนไปทอดพระเนตรคราบน้ำหมึกและเศษแก้วบนพื้นพรมอย่างใช้ความคิด ประกายของอะไรบางอย่างที่กลิ้งตะแคงอยู่ตรงขาโต๊ะสะท้อนวาบเข้าสู่สายพระเนตร ทรงเพ่งมองอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบเจ้าวัตถุชิ้นเล็กๆ สีทองสุกปลั่งชิ้นนั้นขึ้นมา

“อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ยื่นพระพักตร์เข้ามาทูลถาม

“เจ้าก็ดูเอาเองสิ”

ราชาหนุ่มส่ง ‘ของ’ ในพระหัตถ์ประทานต่อให้สหาย มันเป็นตลับรูปไข่ขนาดใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อย ปราศจากฝา ด้านนอกฝังอัญมณีน้ำงามและไข่มุกเม็ดเล็กจิ๋วเป็นลวดลายละเอียดประณีต ด้านในว่างเปล่า ส่วนก้นเป็นสีดำคล้ำ แสดงว่าอะไรบางอย่างที่เคยบรรจุอยู่ภายในได้ระเหยหายไปหมดสิ้นแล้ว

เจ้าชายกันนาร์พลิกดูตลับใบน้อยอย่างชื่นชมเพียงครู่สั้นๆ ก็ส่งคืนเจ้าของ

“สวยดีนี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งทราบว่าทรงนิยมสะสมของกระจุกกระจิกอย่างตลับเครื่องหอมด้วย แล้วฝาของมันหล่นหายไปไหนเสียล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่รู้สิ...” ราชาหนุ่มตรัสตอบพระพักตร์เฉย “ตลับนี่ไม่ใช่ของข้า”

คนฟังพยายามสะกดกลั้นเสียงร้อง ‘อ้าว’ เอาไว้ในลำคอ จ้องมองอีกฝ่ายเหมือนจะขอคำอธิบาย

ราชาเอลเบอเรธทรงยักพระอังสา

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตลับเครื่องหอมอันนี้เป็นของใคร บางทีมันอาจจะเป็นของเจ้าญิงแคธรีน หรือไม่ก็... ใครสักคนที่แวะมาหาข้าอาจจะจงใจลืมทิ้งไว้”

เจ้าชายกันนาร์รู้สึกสะดุดหูกับคำว่า ‘จงใจ’ ของอีกฝ่าย พอปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าด้วยกัน คำตอบอันน่ากลัวก็พลันวาบขึ้นในสมองดุจสายฟ้าฟาด

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ...”

ราชาหนุ่มยกพระหัตถ์ห้ามสหายพลางแย้มพระสรวล

“ไม่ต้องตื่นเต้นไปน่า”

“ฝ่าบาท” ผู้เป็นเพื่อนลากเสียง “นี่มันเรื่องใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ ยังจะทำพระทัยเย็นอยู่อีก”

“แล้วเจ้าจะให้ข้าเที่ยวป่าวประกาศบอกคนทั้งเมืองหรือไงว่าถูกลอบวางยาพิษ ตลับเครื่องหอมอันนี้เป็นของใคร ข้ายังไม่รู้เลย”

“ของเจ้าหญิงลูเซียเพคะ”

เสียงใสๆ ที่ทะลุกลางปล้องขึ้นมาทำเอาชายหนุ่มทั้งสองแทบสะดุ้ง พวกเขาพร้อมใจกันหันขวับไปทางเจ้าของเสียง ต่างฝ่ายต่างก็มีสีหน้ายุ่งยากใจเพราะเกือบจะลืมไปแล้วว่าในห้องนั้นยังมีเด็กสาวตัวต้นเหตุยืนตาแป๋วฟังคำสนทนาอยู่อีกทั้งคน

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตลับอันนี้เป็นของเจ้าหญิงลูเซีย” ราชาแห่งกรีนแลนด์ทรงย้อนถามเสียงขรึม

“หม่อมฉันเคยเห็นเพคะ”

“ที่ไหน” สองหนุ่มซักออกมาแทบจะพร้อมกัน

“ที่ลานน้ำพุเพคะ คืนที่มีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติ หม่อมฉันแอบเห็นผู้ชายคนหนึ่งมอบตลับคล้ายๆ อย่างนี้ให้เจ้าหญิงลูเซียเพคะ”

“แล้วเจ้าเห็นหน้าเขาหรือเปล่ากายย์”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระเศียร

“ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ในเงามืด หม่อมฉันทราบเพียงว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ไว้ผมยาวเหยียดตรงถึงกลางหลังเหมือนกับพี่กันนาร์เพคะ ต่างกันตรงที่เส้นผมของเขาเป็นสีดำสนิทเหมือนกับชุดที่สวม”

เจ้าชายกันนาร์เบิกพระเนตรกว้าง หันขวับไปหาองค์ราชาทันที

“ชายหนุ่มผมดำชุดดำ จะใช่เพื่อนรักชาวทาเนียร์ของเราหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าหมายถึงเจ้าชายดิเร็กซ์หรือ”

“ก็จะเป็นใครได้อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เจ้าชายกันนาร์ทำสุ้มเสียงเหมือนกับจะบอกอีกฝ่ายว่า ‘ไม่น่าถาม’ หากราชาหนุ่มกลับส่ายพระพักตร์

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปกันนาร์ ในลินเด็นเองก็มีคนลักษณะอย่างที่น้องสาวของเจ้าว่ามาตั้งหลายคน เราต้องหาหลักฐานที่แน่ชัดกว่านี้มายืนยันให้ได้เสียก่อน”

“หาหลักฐาน? ด้วยวิธีไหนพ่ะย่ะค่ะ”

รอยยิ้มลึกลับผุดขึ้นที่มุมโอษฐ์ของราชาหนุ่ม ตามมาด้วยคำตอบแสนสั้น

“ข่าวลือไงล่ะ”



angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2556, 11:33:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ส.ค. 2556, 07:54:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 2313





   ตอนที่ 1 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account