น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 1.น้ำผึ้งบ้านไพร

นวนิยาย
น้ำผึ้งบ้านไพร
เฟื่องนคร
1
“น้ำผึ้ง” เสียงร้องเรียกจากนงลักษณ์เพื่อนร่วมชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทำให้เจ้าของชื่อหวานหูต้องเงยหน้าจากไม้ลูกชิ้นเอ็นหมูจำนวน 3 ลูกต่อไม้บนเตาสี่เหลี่ยมร้อนระอุขึ้นมามองแล้วฝืนยิ้มสดชื่นให้ลูกสาวคนโตของอาจารย์นวลอนงค์

“มาเที่ยวเหมือนกันเหรอ”

“มาดูพี่เอื้อยประกวดน่ะ มากับแม่” พี่เอื้อย หรือ ศุภวารีนั้นเป็นลูกสาวคนโตของอาจารย์สุรีย์หัวหน้าหมวดวิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์นวลอนงค์แม่ของนงลักษณ์เป็นครูในสายงาน เมื่ออาจารย์สุรีย์ส่งลูกสาวขึ้นชิงตำแหน่นางนพมาศประจำตำบลบ้านไพรในงานลอยกระทงปีนี้ อาจารย์นวลอนงค์จึงต้องมาช่วยเชียร์เหมือนอาจารย์ในสายงานคนอื่น ๆ ส่วนศุภวารีนั้นเรียนจบระดับชั้น ม.6 ไปแล้วสองปี ปัจจุบันกำลังเข้ารับการศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏชั้นปีที่ 2 คณะครุศาสตร์
และชื่อของพี่เอื้อย ศุภวารีกับเวทีประกวดนางงามท้องถิ่นทำให้น้ำผึ้งต้องนิ่วหน้าแปลกใจ

“ก็พี่เจี๊ยบนะซิ ไปขออาจารย์สุรีย์ แกอยากส่งพี่เอื้อยลงประกวด อาจารย์สุรีย์เขาขัดพี่เจี๊ยบไม่ได้ พี่เอื้อยก็เลยต้องนั่งรถกลับมาจากในเมือง พอมาถึงพี่เจี๊ยบก็รีบแปลงโฉมพี่เอื้อยดันหลังขึ้นเวทีไปเลย”

พี่เจี๊ยบที่นงลักษณ์เอ่ยถึงนั้นคือหม้ายสาววัย 35 เจ้าของร้านเสริมสวย ‘จวงจันทร์ บิวตี้ ซาลอน’ และเหตุที่อาจารย์สุรีย์ขัดพี่เจี๊ยบ หรือ จวงจันทร์ ไม่ได้ ก็เพราะเบื้องหลังของหม้ายสาวคนนี้กับผู้อำนวยการโรงเรียนที่อยู่ห่างภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กันอยู่ และเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ ประกอบกับอยากเห็นลูกสาวคนสวยได้ตำแหน่งมาเป็นเกียรติประวัติโดยไม่ต้องควักเงินส่วนตัวทั้งหมด อาจารย์สุรีย์จึงต้องบังคับลูกสาวคนโตที่มีใบหน้าสวยผุดผาดมาขึ้นเวทีชิงชัยกับผู้ประกวดจากหมู่บ้านในเขตตำบลและค่ายนางงามน้อยใหญ่ที่หวังล่ารางวัลให้นางงามในสังกัดของตนตามความต้องการของจวงจันทร์

“ได้เบอร์ที่เท่าไหร่” เวทีประกวดนั้นอยู่ห่างจากแนวร้านค้าที่ทางวัดบ้านไพรจัดไว้ น้ำผึ้งจึงไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นว่าตอนนี้บนเวทีนั้นมีดำเนินกิจกรรมบนเวทีไปถึงไหนแล้ว และการที่ร้องถามกลับไปก็เพื่อชวนคุยเท่านั้นเอง ใจจริงน้ำผึ้งอยากจะชวนให้นงลักษณ์ช่วยซื้อลูกชิ้นมากกว่า

แต่นงลักษณ์ก็คงจะไม่ช่วยอุดหนุน ด้วยความที่เป็นลูกสาวของข้าราชการซึ่งถือว่าเป็นผู้มีอันจะกินในถิ่นนี้ นงลักษณ์จึงมีเงินใช้อย่างไม่ขัดสน นงลักษณ์ชอบเข้าไปใช้บริการในร้านสะดวกซื้อ กินเครื่องดื่มขนมนมเนยรวมถึงกินไส้กรอกที่น้ำผึ้งรู้สึกว่าราคานั้นสูงเกินฐานะของตน

“เบอร์สิบห้า เพราะมาเป็นคนสุดท้ายนี่”

“ปีนี้มีคนลงประกวดถึงสิบห้าคนเลยเหรอ เยอะนะ” แม้จะไม่ได้สนใจเรื่องการประกวดนางงาม แต่เวทีนางนพมาศในงานประจำปีวัดบ้านไพรวนาราม ก็เป็นสีสันของชาวบ้านร้านตลาด ทั้งก่อนจะมีถึงวันงาน ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงบรรดาสาวงามที่ถูกทาบทาม กระทั่งหลังการประกวดเสร็จสิ้น ที่ไปชีวิตของบรรดาสาวงามหลังจากลงเวทีไปแล้วจะถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ให้ผู้คนได้โจษขาน กระทั่งมีคำพูดที่น้ำผึ้งได้ยินอย่างคุ้นหูเมื่อผู้หลักผู้ใหญ่เห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาสวยผิวพรรณผุดผาดโดดเด่นสักคน ว่าโตขึ้นจะส่งขึ้นประกวดนางนพมาศเวทีบ้านไพร

“อืม”

“ใครเป็นตัวเต็งล่ะ”

“ก็น่าจะพอเดาออกแล้วว่าใคร” พ่อของศุภวารีเป็นตำรวจชั้นนายดาบประจำการอยู่บน สภ.บ้านไพร แม่เป็นครูในโรงเรียนมัธยมประจำตำบลบ้านไพร ก็ยังไม่เท่ากับที่พี่เจี๊ยบ จวงจันทร์ มีผู้อำนวยการโรงเรียนหนุนหลัง เพราะว่าผู้อำนวยการโรงเรียนกับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่ว่าจะเป็นนายกเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงพ่อค้าคหบดีที่เป็นสปอนเซอร์จัดงานนั้นต่างก็รู้จักมักจี่กันดีอยู่แล้ว แม้ว่าศุภวารีจะมีส่วนสูงต่ำกว่ามาตรฐาน สำหรับคำว่านพมาศในงานลอยกระทงเพื่อหาเงินเข้าวัดและเป็นการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทย รองเท้าส้นสูงกับใบหน้าที่งดงามและ ‘แบล็ค’ ที่ดีก็คงทำให้ศุภวารีได้ตำแหน่งได้ไม่ยาก

“แต่พี่เจี๊ยบตัวเตี้ยไปนิดนะ”

“ไม่นิดหรอก ไม่ถึงร้อยห้าสิบห้าเซ็นเลยมั้ง เตี้ยมาก”

“แล้วถ้าได้ตำแหน่งขึ้นมา”

“เราถึงไม่อยากไปยืนดูไง เห็นแล้วบอกไม่ถูก...มันตลก ๆ น่ะ”

“อาจจะไม่ได้ก็ได้นะ ถ้ามีคนอื่นสวยกว่าจริง ๆ”

“เบอร์เจ็ดสวยมาก สูงด้วย ยิ้มหวานเชียว มีลักยิ้มด้วย”

“ใครเหรอ”

“ได้ยินมาว่า พี่หนิงหน่องไปดึงตัวมาจากค่ายนางงามจากที่นครนายก”

หนิงหน่อง หรือคชาพัฒน์นั้นเป็นเจ้าของร้านเสริมสวย ‘หนิงหน่องแฮร์คัท’ คู่แข่งกับ ‘จวงจันทร์ บิวตี้ ซาลอน’ ที่เปิดร้านมาก่อน และด้วย คชาพัฒน์ไปเรียนเสริมสวยที่กรุงเทพฯ ทำงานในร้านใหญ่อยู่ที่นั่นมาหลายปีทำให้ทักษะการตัด ดัด ซอย เซ็ท เกล้าผม ของคชาพัฒน์นั้นดูทันสมัยกว่าร้านจวงจันทร์ จนกระทั่งลูกค้าส่วนหนึ่งของจวงจันทร์ย้ายร้านไปเป็นลูกค้าประจำ นอกจากนั้นคชาพัฒน์ยังหาญกล้าเฟ้นหาเด็กสาวขึ้นประกวดชิงตำแหน่งนางนพมาศบ้านไพรแข่งกับจวงจันทร์เจ้าถิ่นที่ยึดครองสนามมาก่อน

สี่ปีที่ผ่านมาเด็กของทั้งคู่ผลัดกันแพ้กันชนะ และปีนี้พอจวงจันทร์รู้ว่าคชาพัฒน์ไปคว้านางงามเดินสายที่เจนเวทีมาจากที่อื่น จวงจันทร์จึงต้องดึงศุภวารีมาสู้ศึกศักดิ์ศรี...

เข้าทำนองไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล...และกลวิธีที่ใช้เด็กเส้นใหญ่เข้าประกวดคชาพัฒน์คงคาดไม่ถึงเพราะจวงจันทร์เพิ่งมาเปิดตัวศุภวารีก่อนการประกวดจะเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

“สวยมากไหม ชักอยากเห็น”

“สวยมาก สูงสง่าเชียว ออกมาเดินประชันความงามรอบแรกกันไปแล้ว พี่เอื้อยดูดร็อปไปเลยแหละ แต่ว่าไม่ได้แน่ ๆ เพราะเจอตอ” หลังจากที่นางงามเดินให้ประชาชนดูหนึ่งรอบแล้ว ก็เป็นคิวการแสดงของเด็กนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการรำไทยประยุกต์ที่นงลักษณ์และน้ำผึ้งก็เคยถูกครูประจำชั้นบังคับให้รำช่วยเหลืองานงานประจำปีมาแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อทั้งคู่อยู่ในระดับชั้นมัธยมปลายกิจกรรมนี้ก็ต้องลดลงเพราะว่าทางโรงเรียนจะสนับสนุนให้เด็กชั้นมัธยมต้นทำเสียมากกว่า

“อาจจะได้ก็ได้นะ เพราะปีที่แล้ว เด็กพี่หนิงหน่องยังได้เลย”

“ก็ปีที่แล้วเด็กพี่หนิงหน่องเป็นลูกสาวกำนันนี่ เด็กพี่เจี๊ยบมันลูกชาวบ้าน กรรมการก็ต้องเทคะแนนไปทางนั้นอยู่แล้ว”

“ปีหน้าคงถึงคิวของนงลักษณ์บ้างหรอกนะ”

“ไม่หรอก เราไม่ชอบประกวดประขันแบบดูไร้สมองแบบนั้น แล้วอีกอย่างเราสวยเสียที่ไหน” แม้บอกจะบอกว่าไม่สวย แต่ว่าส่วนสูงของนงลักษณ์ที่เป็นนักกีฬาวอลเวย์บอลเช่นเดียวกับน้ำผึ้งนั้นจัดว่าสูงเกินมาตรฐานหญิงไทย นงลักษณ์ที่เป็นมือเซ็ทนั้นสูง 170 เซนติเมตร ส่วนน้ำผึ้งที่เป็นมือตบนั้นสูง 172 เซนติเมตร ทั้งคู่สูงไล่เลียกัน แต่ว่านงลักษณ์นั้นมีผิวขาวกว่าน้ำผึ้ง แต่ว่าน้ำผึ้งนั้นก็คมคายอยู่ไม่น้อย

“พอแต่งแล้วก็สวยเองแหละน่า อย่างไรตัวเองก็ได้เรื่องความสูง”

“งั้นปีหน้าคงเป็นตัวเองแหละ”

“ลูกแม่ค้าขายผักดูท่าจะยาก”

แม่น้ำอ้อยของน้ำผึ้งนั้นขายผักสดอยู่ในตลาดส่วนพ่อนั้นเสียชีวิตเนื่องจากขับรถมอเตอร์ไซค์ไปชนประสานงากับรถสิบล้อตรงทางแยกเข้ามาสู่ตำบล ทำให้ภาระเรื่องเรียนของลูกทั้งสามคนเป็นของแม่เพียงคนเดียว... แต่ว่าน้ำผึ้งก็พยายามช่วยเหลือแม่อย่างเต็มกำลัง โดยหญิงสาวต้องออกจากทีมกีฬาวอลเลย์บอลประจำโรงเรียนเพื่อมาช่วยแม่ขายผักในตอนเย็นไปจนค่ำแล้วเก็บร้านกลับเข้าบ้าน แต่ด้วยกำไรผักนั้นไม่มากนัก น้ำผึ้งจึงต้องขายลูกชิ้นปิ้งและหาลำไพ่พิเศษอื่น ๆ ไปด้วย

“แล้วนี่มาขายคนเดียวเหรอ”

“มากับไอ้น้ำหวาน แต่ว่ามันขอไปดูมวย ก็เลยต้องยืนปิ้งอยู่คนเดียว”

จังหวะนั้นมีเด็ก ๆ วิ่งกรูกันมาหน้าร้านร้องสั่งลูกชิ้นกันคนละสองไม้บ้างสี่ไม้บ้างแล้วเด็ก ๆ ก็วิ่งออกไปยังด้านหน้าจอภาพยนตร์ที่มีคนนั่งอยู่บางตา ดีแต่ว่าในวันนี้คณะกรรมการจัดงานของวัดบ้านไพรฯ จัดให้มีรำวงย้อนยุค มีมวยไทย ตักไข่สวรรค์หาเงินเข้าวัด ปิดทองไหว้พระ ลอยกระทงในคลองหลังวัด ผู้คนจึงได้แห่กันมาที่วัดกันอย่างล้นหลาม

“กินลูกชิ้นไหม” เมื่อเห็นว่านงลักษณ์มองมาบนเตาที่เพิ่งวางลูกชิ้นจากกล่องพลาสติกซึ่งแม่ได้เสียบไม้ไว้ให้ และนงลักษณ์ก็สั่นหน้าในทันทีเช่นกัน

นงลักษณ์ยังชวนคุยเรื่องเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียน พูดถึงกิจกรรมในโรงเรียน กระทั่งในสายตาของทั้งน้ำผึ้งและนงลักษณ์ มีภาพของชายหญิงที่หน้าตาผิวพรรณผิดคนตำบลบ้านไพรเดินเกาะแขนกันเข้ามา นงลักษณ์ที่ขยับมายืนอยู่ข้าง ๆ น้ำผึ้งแล้วถองเบา ๆ เป็นเชิงให้น้ำผึ้งดูคู่ชายหญิงที่ประดุจเทพบุตรและเทพธิดาจุติลงมา...

“เห็นแล้ว” คนทั้งคู่ที่น้ำผึ้งและนงลักษณ์เห็นนั้นต่างเดินชี้ชวนกันดูแผงขนมและร้านก๋วยเตี๋ยวที่รายเรียงรอลูกค้า แต่ดูทีท่าแล้วคงจะเดินดูไปอย่างนั้น และเมื่อทั้งคู่เดินผ่านร้านลูกชิ้นปิ้งของน้ำผึ้งกลิ่นน้ำหอมที่ไม่รู้ว่าจากตัวผู้หญิงหรือผู้ชายก็ฟุ้งอบอวลกลบกลิ่นลูกชิ้นปิ้งไปสิ้น โดยที่น้ำผึ้งเองก็เผลอสูดเข้าปอดเพราะรู้สึกว่ามันทำชื่นฉ่ำใจเป็นอย่างมาก

“ขายดีไหมผึ้ง” ฝ่ายชายที่อยู่ในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตคอปกสีขาวรองเท้าสานชะลอฝีเท้าแล้วร้องทัก น้ำผึ้งยิ้มหวานให้เพียงนิด ส่วนนงลักษณ์พยายามแอบมองชายหนุ่มโดยที่ไม่ให้เขารู้สึกตัว แต่ว่าสายตาแพรวพราวของเขาก็ทำให้นงลักษณ์รู้สึกว่าเลือดในกายสาวของตัวเองสูบฉีดไปทั่ว

“ขายดีค่ะ” น้ำผึ้งตอบไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ไปแล้วนะ” บอกน้ำผึ้งด้วยสีหน้ายิ้ม ๆแล้วเขาก็เดินเนิบนาบเคียงกันต่อไป น้ำผึ้งถอนหายใจเบา ๆ ส่วนนงลักษณ์ก็นินทาตามหลังในทันที

“คนอะไรไม่ก็ไม่รู้ โค ตะ ระ หล่อ เลยว่ะ เสื้อผ้า หน้าผม พร้อม เสียอย่างเดียว แฟนคอยมาคุม”

น้ำผึ้งถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง พยายามไม่คิดถึงสายตาที่ดูอารีของวรรณศุกร์ รัตนะไพรวัลย์ ลูกชายคนเดียวของคุณนายวรรณี รัตนะไพรวัลย์เจ้าของตลาดสด ตึกแถว โกดังให้เช่า เศรษฐีเงินกู้ และเขายังเป็นผู้จัดการร้านรัตนะไพรวัลย์จักรยานยนต์ ที่พ่อของตนเคยทำงานเป็นช่างซ่อมรถอยู่ด้วย เพราะคิดถึงเขาครั้งใด น้ำผึ้งก็รู้ว่าใจของตนนั้นหวั่นไหวไปกับหน้าตาผิวพรรณและนิสัยใจคอของเขา แต่เมื่อเขามีแฟนซึ่งเหมาะสมกันเป็นอย่างมากใจของน้ำผึ้งก็เหมือนถูกบีบทั้งที่รู้สึกว่ามันเพิ่งจะขยาย


หลังจากที่รำไทยประยุกต์ประกอบเพลงลูกทุ่งของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจบลง พิธีกรฝ่ายหญิงซึ่งเป็นอาจารย์ฝีปากจัดจ้านของโรงเรียนบ้านไพรวิทยา กับพิธีกรชายที่เป็นดีเจวิทยุชุมชนก็ขึ้นมาทำหน้าที่ดำเนินรายการกันต่อ..
ฝ่ายชายนั้นอยู่ในชุดกางเกงสแล็คสีดำเสื้อผ้าไหมมันวาวสีม่วงมะปราง ส่วนฝ่ายหญิงนั้นใส่ชุดไทยสไบเฉียงสีชมอ่อนดัดผมฟูรวบข้างหนึ่งติดกิ๊บดอกไม้เป็นพลอยแพรวพราว

...มุกตลกอย่างเข้าขาของทั้งคู่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมที่ยอมตีตั๋วซื้อเก้าอี้ที่ทางวัดจัดไว้ในราคา 20 บาทจำนวนถึง 300 ตัว ส่วนที่มาไม่ทันเก้าอี้ที่มีอยู่อย่างจำกัดก็ยืนมุงดูอยู่รอบ ๆ กระทั่งถึงคิวที่เปิดตัวนางงามในรอบก่อนจะตัดสินให้เหลือ 5 คนสุดท้าย ดนตรีบรรเลงเพลง ‘นางฟ้าจำแลง’ ที่คุ้นหูก็ดังขึ้น

ผู้เข้าประกวดหมายเลข 1 จนถึง หมายเลข 15 ทยอยเดินนวยนาดออกมาพร้อมกับที่พิธีกรชายหญิงอ่านชื่อ นามสกุล สัดส่วน การศึกษา และสปอนเซอร์ที่สนับสนุนให้เข้าประกวด จนครบทั้ง 15 คน

และเมื่อสาวงามผู้เข้าประกวดนางนพมาศเดินไปยืนเรียงแถวโปรยยิ้มหวานให้กับคณะกรรมการและคนดูที่อยู่ด้านล่างเพลงนางฟ้าจำแลงก็จบ...

“เมื่อยจังเลยค่ะ ยุงก็เยอะ กลับบ้านเถอะค่ะ” เมื่อเห็นว่าชายคนรักยืนชะเง้อมองนางงามบนเวทีด้วยสายตาชื่นชมในความสวยงามที่ประดิษฐ์ขึ้นมา จนไม่เห็นถึงความแตกต่าง ภัทริน ภคกุลชัย ก็เอ่ยปากชวนวรรณศุกร์กลับบ้าน แต่ว่าวรรณศุกร์ที่เป็นเจ้าของร้านรัตนะไพรวัลย์จักรยานยนต์ที่สนับนางงามหมายเลขที่ 7 เข้าประกวดก็อดอยากลุ้นไม่ได้ว่าสาวงามที่คชาพัฒน์เฟ้นหามานั้นจะเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายหรือไม่ และความน่าสนใจของการประกวดนพมาศเวทีบ้านไพรที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่จำความได้ ก็อยู่ตรงที่นางงามบนเวทีตอบคำถามจากคณะกรรมการก่อนที่จะมีการตัดสิน ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่านางงามภูธรนั้น ไม่ใช่นางงามเจนเวที แต่เป็นนางงามที่จู่ ๆ ถูกขัดสีฉวีวรรณจับแต่งตัวขึ้นเดินเวทีเพื่อให้กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์ประเพณีนี้ผ่านพ้นไป และพื้นความรู้ของเหล่าสาวงามนั้นส่วนใหญ่ก็เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หรือไม่ก็มัธยมปีที่ 3 พอได้รับคำถามจากพิธีกร ความประหม่าตื่นเต้นนั้นสร้างความตลกขบขันให้ได้หัวเราะงอหงายให้ได้โจษจันกันมาตลอด

“อีกสักสิบนาทีไหวไหม” สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่บนเวที และพอพิธีกรประกาศว่าหมายเลข 5 ผู้เข้าประกวดจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งเข้ารอบ เสียงเฮก็ดังกลบเสียงของเขาพอดี

“ถ้าศุกร์จะดู งั้นภัทไปรอที่รถก่อนแล้วกัน” ใบหน้าของภัทรินบึ้งตึงเพราะว่าแฟนหนุ่มนั้นไม่สนใจ ไม่เอาใจเธอตั้งแต่เมื่อเธอเอ่ยปากบอกเขาครั้งแรก การอ้อยอิ่ง อิดออดยืนดูสาวงามนั้นก็เท่ากับเป็นการประกาศให้เธอรู้ว่า เขาเบื่อเธอแล้ว ซึ่งคนอย่างภัทรินจะไม่ทนอย่างเด็ดขาด

และด้วยเสียงที่ดังกลบจากคนดูที่อยู่รอบ ๆ ตอนที่พิธีกรประกาศรายชื่อนางงามเข้ารอบคนที่ 2 คนที่ 3วรรณศุกร์จึงไม่ได้ยินว่าภัทรินพูดว่าอะไร และเขาก็มารู้สึกตัวอีกที เมื่อเห็นว่า ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขานั้นหายตัวไปเสียแล้ว

การหายตัวไปของภัทรินเรียกความสนใจจากวรรณศุกร์ได้ทันที หูของเขาไม่สนแล้วว่า ผู้เข้าประกวดที่เข้ารอบอีกสองคนเป็นใคร เขาหันซ้ายหันขวาจนกระทั่งเห็นหลังภัทรินว่ากำลังเดินไปยังทิศทางที่รถจอดอยู่ เขารีบก้าวเท้าไปตามไปอย่างรวดเร็ว...และจังหวะที่หลบผู้คนนั้นแขนข้างซ้ายของเขาก็ถูกดึงไว้จากผู้ชายที่ยืนกอดอกดูการประกวดอยู่เพียงลำพัง

“ไอ้ศุกร์” คนที่ดึงและร้องทักคือ ‘วิธิต’ เพื่อนที่เรียนระดับมัธยมจากโรงเรียนประจำจังหวัดมาด้วยกันและปัจจุบันวิธิตก็กลับมาอยู่ที่บ้านไพรทำงานในธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่แห่งเดียว และเพื่อนคนนี้ก็ทำให้วรรณศุกร์นั้นรู้สึกว่าสังคมบ้านไพรที่ตนเองจากไปตั้งนานนั้นไม่เปลี่ยวเหงาจนเกินไป หลังจากที่เขาปิดร้าน หลังเวลาเลิกงานของวิธิตเพียงหนึ่งชั่วโมง ทั้งคู่ก็จะออกไปสังสรรค์กันตามความประสาหนุ่มโสด ถ้าเป็นวันธรรมดานอกจากออกไปวิ่งรอบสนามของโรงเรียนประถมด้วยกันแล้ว ทั้งคู่ก็จะพากันไปนั่งดื่มกินในร้านอาหารในย่านนั้น แต่ถ้าเป็นวันศุกร์ หรือเย็นวันเสาร์ ทั้งคู่ก็จะพากันขับรถเข้าไปในเมืองหาความสำราญเผื่อผ่อนคลายความตึงเครียดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

และถ้าสัปดาห์ไหนภัทรินว่างเว้นจากการบิน หญิงสาวก็จะขับรถมาหาเขาที่บ้านไพร แต่ส่วนใหญ่แล้ว ภัทรินจะให้วรรณศุกร์เป็นฝ่ายขับรถไปหาที่กรุงเทพเสียมากกว่า แต่ว่าด้วยต้องเฝ้าหน้าร้านตลอดทั้งสัปดาห์เวลาของทั้งคู่จึงยากที่จะลงตัว แต่ความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งที่ทั้งคู่มีต่อกันก็เป็นยางเหนียว ๆ ฉุดรั้งใจให้มั่นคงต่อกัน แม้จะมีโอกาสเจอสาวสวย ๆ ในสถานเริงรมย์ที่ไปผ่อนคลาย แต่ว่าวรรณศุกร์ก็หาได้ปล่อยใจให้กับดอกไม้สวยงามตามข้างทางเหล่านั้น เพราะดอกไม้งามที่เขามีอยู่แล้วนั้นขี้หึงเป็นอย่างมาก และเขาเองก็ไม่มีรสนิยมหาเศษหาเลยนอกใจหญิงอันเป็นที่รักเหมือนกับพ่อของเขาที่ไม่เคยนอกใจแม่กระทั่งตายจากกันไป แต่ว่าภัทรินนั้นหาได้เชื่อใจ ซึ่งเขาก็เข้าใจว่าเป็นเพราะความห่างไกลกัน ภัทรินย่อมกลัวว่าเขาจะเปลี่ยวเหงาจนกระทั่งเผลอไผลปล่อยตัวและใจให้หญิงอื่น

ส่วนวิธิตแม้ว่าจะทำงานในตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่ว่าหน้าตาของวิธิตนั้นก็ไม่ได้หล่อเหลาดึงดูดสายตา หุ่นก้านก็ล่ำสันเสียจนสาวที่ทำงานอยู่ด้วยกันมองข้ามคุณสมบัติดี ๆ ที่มีอยู่เหนือผู้ชายส่วนใหญ่นั่นก็คือความร่าเริงและความจริงใจไปเสียสิ้น

“ไอ้ธิต”

“มาดูประกวดนางงามเหมือนกันรึวะ”

“มาเดินเที่ยว แต่ขอตัวก่อนนะ แล้วค่อยว่ากัน”

“จะรีบไปไหนละ” วิธิตนั้นไม่รู้ว่าคนรักของวรรณศุกร์ที่เป็นแอร์โฮสเตสมาเที่ยวหาในวันลอยกระทงคืนวันที่สุดแสนจะโรแมนติกนี้ด้วย เขาจึงพยายามเหนียวรั้งไว้

“ก็...แฟนข้ามาด้วย เดินไปโน่นแล้ว แล้วค่อยคุยกันนะ” วิธิตจำต้องปล่อยมือจากแขนของวรรณศุกร์ และพอเป็นอิสระ วรรณศุกร์ก็รีบก้าวพรวด ๆ ตามภัทรินไปจนกระทั่งทันหญิงสาวที่เดินเกือบจะถึงรถพอดี

“ภัทครับ ภัท” เขาร้องเรียกแต่ว่าภัทรินไม่ยอมหันกลับมามองหญิงสาวยิงรีโมทปลดล็อกประตูแล้วเดินจับสลักประตูรอท่าเขาที่เดินตามมาทัน

“เดินเร็วจังเลย ผมเดินไม่ทันเลย”

“ไม่อยู่ดูนางงามละค่ะ” อารมณ์หึงหวงค่อย ๆ ผ่อนคลายลงแต่ถึงกระนั้นมันก็ยังอัดแน่น จนเสียงของภัทรินที่เคยหวานฉ่ำนั้นดูแข็งผิดที่เคยได้ยิน

“ผมง่วงนอนแล้วนะ” อันที่จริง ภัทรินมาถึงตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย และด้วยอารมณ์คิดถึงกันเป็นอย่างมาก เขาก็รีบพาภัทรินกลับเข้าบ้านไปในทันที จนลูกน้องที่ร้านต่างมองหน้าแล้วยิ้มให้กันเป็นเชิงหยอกล้อว่าความหงุดหงิดที่ถูกสะสมไว้คงจะอันตธานหายไปแน่ ๆ

“นึกว่าจะอยู่ดูจนกระทั่งเขามอบมงกุฎสายสะพาย”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ว่าใครได้ แล้วอีกอย่าง ผมมีนางฟ้าประจำใจของผมแล้ว” น้ำเสียงและสายตากรุ้มกริ่มของวรรณศุกร์ทำให้ภัทรินต้องค้อนปะหลับปะเหลือกให้...


หลังจากที่ส่งนางงามที่ยืมตัวคุณเพรานภามาประกวดตามคำแนะนำของปัญจพล หรือ ต้นอ้อ คชาพัฒน์ก็ขับเก๋งรถคันกลางเก่ากลางใหม่ของตนไปยังร้านเสริมสวยของปัญจพล เพื่อนสนิทศิษย์สำนักเดียวกัน แต่ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งชีวิตของทั้งคู่ก็ต้องแยกจากกันไปประกอบอาชีพตามที่ได้เรียนมา แต่ว่าปัญจพลนั้นสนใจทางด้านงานผ้าด้วยจึงได้ทำร้านชุดเช่าสำหรับใส่ขึ้นประกวดหรือเต้นรำตามงานรื่นเริง
และพอหย่อนก้นลงที่โซฟาสีแดงสด คชาพัฒน์ก็บ่นอย่างหัวเสียว่า

“ได้ไม่คุ้มเสียเล้ย ต้องขับรถมารับมาส่ง หักค่าน้ำมัน ค่าแต่งตัว ค่าตัวนางงาม แล้วเวลาเหลือไม่ถึงพันบาท”

ปัญจพลที่ถือแก้วน้ำเย็นออกมาให้เพื่อนสาวค้อนให้ก่อนจะวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะกลาง...แล้วก็บอกว่า

“แหม ทีซื้อผู้ชายกินละไม่เสียดายนะ”

“มันคนละแบบกันย่ะ”

ทั้งคู่นั้นไม่ได้ไว้ผมยาวแต่งหน้า แต่ว่าจริตจก้านหูตามือไม้นั้นแพรวพราวยิ่งนัก รับน้ำเย็นไปดื่มจนหมดแก้วแล้วคชาพัฒน์ก็ทำท่าเหมือนกับว่าน้ำแก้วน้ำเป็นน้ำอมฤตที่ดื่มแล้วสดชื่นอายุยืนหมื่นปี หลังวางแก้วลงคชาพัฒน์ปรบมือแล้วกุมกันไว้ระดับอกก่อนจะเชิดหน้าพูดว่า

“นึกแล้วก็เจ็บใจ อ้อ แกคิดดูนะ ฉันรึอุตส่าห์มาเอานางงามเดินสายไปจากที่นี่ สวยรึก็เท่านั้น สูงสง่ารึก็เกินใคร ๆ ปฏิภาณไหวพริบรึก็ยิ่งกว่าปรอท ถามอะไรตอบได้หมดชนิดอับดุลเรียกพี่ ตอบได้ดีด้วย ไม่มีประหม่า เอ้อ ๆ อ้า ๆ ให้รำคาญอารมณ์...แต่อีนังเจี๊ยบจวงจันทร์นะซิมันเล่นเอาซุงมาขึ้นเวที พอฉันรู้ฉันก็ถอดใจแล้วว่างานนี้ ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน” ร่ายยืดยาวแล้ว คชาพัฒน์สูดลมหายใจเข้าปอดไว้เต็มกำลังเพื่อจะเตรียมลมเอาไว้ร่ายยาวอีก แต่ว่าปัญจพลก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“แต่ได้ที่สองมานี่มันก็ยังดีนะ”

“ดีกับผีอะไร ขันน้ำพานรอง สายสะพาย เงินรางวัลห้าพันบาทเอง หารสองแล้วเหลือสองพันห้า งานนี้ฉันต้องการมงกุฏให้เด็กฉัน และฉันต้องการประกาศให้คนทั้งบ้านไพรรู้ว่า ฉันแน่มาก ฉันสามารถปั้นนางงามขึ้นเวทีบ้านไพรได้ตำแหน่งสองปีติด ๆ กัน และปีหน้าฉันก็จะได้สถิติว่าปั้นนางงามแล้วชนะเลิศสามปีซ้อน แต่นี่ฉันต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ นึกแล้วเจ็บใจจริง ๆ ปีที่แล้วได้ลูกกำนันมาสร้างชื่อ ปีนี้คุณเพราก็อุตส่าห์ให้มือดีไปแล้ว ฉันละขายหน้านัก”

“คุณเพราเขาส่งเด็กเข้าประกวดมานาน เข้ารู้จักแวดวงนี้ดี เด็กเองมันก็เข้าใจว่าถ้าเจอตอขนาดนี้ให้สวยเด้งแค่ไหนมันก็พ่ายเขา”

“แต่ว่าไปนะอ้อ ถึงครั้งนี้ฉันจะแพ้ แต่ว่า ฉันก็ได้ไอเดียขึ้นมาใหม่”

“ไอเดียอะไร”

“ฉันจะทำค่ายนางงามแบบคุณเพรานภา ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย ทำให้เป็นมืออาชีพไปเลยแกว่าดีไหม”

“ว๊าย...เรื่องใหญ่เรื่องโตเลยนะแก ไม่ได้ใช้เงินบาทสองบาทนะยะ เลี้ยงดูปูเสื่อส่งเสียให้เรียนหนังสือเอามาชุบตัวขัดศรีฉวีวรรณและที่สำคัญต้องพาไปประกวดตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน แกจะทำได้หรือ”

“ฉันจะทำอย่างนั้น ฉันคิดว่า ฉันชอบว่ะ มันสนุกอ่ะ มันตื่นเต้น สารเอ็นโดรฟินมันหลั่งตลอดเวลาที่เห็นนางงามอยู่บนเวที บอกไม่ถูก...และฉันก็ตัดสินใจแล้วด้วย...ฉันชื่อว่าฉันทำได้ ฉันมั่นใจ...”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.พ. 2556, 03:15:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2556, 09:12:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 3101





   2.น้ำผึ้งบ้านไพร >>
konhin 6 ก.พ. 2556, 04:58:09 น.
แวะมาตามเรื่องใหม่ค่ะ สู้ๆ


nateetip 6 ก.พ. 2556, 05:33:25 น.
ตามอ่านด้วยคนค่ะ


wane 6 ก.พ. 2556, 06:30:29 น.
สนุกค๊าาาา


ใบบัวน่ารัก 6 ก.พ. 2556, 07:11:02 น.
เปิดค่ายนางงามแล้วจะไปสมัครบ้าง...ได้ปะ


ree 6 ก.พ. 2556, 10:49:19 น.
เดาว่าน้ำผึ้งจะได้อยู่ค่ายของหนิงหน่องกระมัง


Zephyr 16 ก.พ. 2556, 14:25:09 น.
น้ำผึ้งแหงๆเลย


saruko 6 เม.ย. 2556, 22:20:10 น.
_อ่านแล้วงงค้าาาา ตกลงว่าวรรณศุกร์สนับสนุน นางงามหมายเลข 15 แต่ก็ลุ้นนางงาม(เบอร์7) ที่เจ้หนิงหน่องส่งประกวดหรอค่ะ อ่านเอง งงเอง 555
_ "แบล็ค" หมายถึง คนหนุนหลัง หรือสนับสนุนหรือเปล่าคะ อ่านแล้วนึกถึงคำว่า black มากกว่า ถ้า back น่าจะประมาณ "แบ็ก" หรือเปล่า คุณเฟื่องฯลองเช็กคำทับศัพท์ดูนะคะ อิอิ
_งานสัปดาห์หนังสือปีนี้ได้นิยายของคุณเฟื่องฯมานอนกอดด้วย ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ จะติดตามผลงานต่อไปค่ะ :)


จุฬามณีเฟื่องนคร 11 มิ.ย. 2556, 07:31:46 น.
saurko อ่านละเอียดมาก ขอบคุณอย่างแรงเลยครับ


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:29:34 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account