น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2.น้ำผึ้งบ้านไพร

2.


กลับมาจากนครนายกแล้วคชาพัฒน์หนุ่มผมรองทรงบ๊อบเทย้อมสีม่วงมะฮอกกานีใส่แว่นสายตากรอบสีชมพูเข้ม เจ้าของร้านหนิงหน่องแฮร์คัทก็เล่าความฝันของตนเองให้ลูกน้องทั้งสองคนรับรู้

“เอาจริง ๆ เหรอเจ๊” นัยนิตสาววัยยี่สิบหกมาดทอมบอยเป็นช่างทำผมมือสำรองเอ่ยปากถามเมื่อฟังความฝันอันบรรเจิดของคชาพัฒน์จบ ส่วนสำลีลูกมือสำหรับสระผม นวดหน้า ย้อมผม ทำเล็บกับดูแลทำความสะอาดผ้าขนหนู อุปกรณ์ทำผม ขัดห้องน้ำ ถูพื้นร้านและเช็ดกระจกหน้าร้าน ที่ไม่ได้พักอยู่ในร้านเหมือนนัยนิตนั้นได้แต่ถอนหายใจแรง ๆ บอกให้รู้เป็นนัยว่าหากมีคนอื่นมาอยู่ในร้านเพิ่มขึ้น สำลีคงจะต้องมีงานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

“เอาจริง ๆ ซิยะ คนอย่างหนิงหน่อง คิดแล้วไม่เคยถอย..”

“แล้วเจ๊จะไปหาเด็กจากที่ไหนมาละฮะ”

คชาพัฒน์มองหน้านัยนิตแล้วก็ละสายตาไปมองสำลีพลางครุ่นคิดถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักเรียนจากโรงเรียนบ้านไพรเป็นอันดับแรก แต่ตั้งแต่มาเปิดร้านก็หาได้มีเด็กสาวในโรงเรียนสักคนที่พอจะมีแววเป็นนางงาม หน้าสวยตัวเตี้ยอย่างศุภวารีก็มีไม่น้อย สูงยาวเข่าดีหุ่นผอมแบบแม่โอลีฟของป๊อบอายแต่หน้าตาดูไม่ได้ก็เยอะ อ้วนล่ำดั้งจมูกแฟบ กรามหนา ริมฝีปากไม่ได้รูปรึก็มีเป็นจำนวนมาก

“เมื่อคืนนี้ เบอร์ 3 น่ะ ฉันว่าหุ่นก้านใช้ได้เลยแหละ”

“เบอร์ 3 จากหมู่ 12 บ้านน้ำซับนะเหรอ” นัยนิตทวนความจำก่อนจะรีบดึงโทรศัพท์มือถือของตนออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาเดฟแล้วเลื่อนภาพที่ได้ถ่ายไว้เมื่อคืน แต่ด้วยจุดที่ตัวเองนั่งอยู่กับเวทีนั้นไกลเกินไป ภาพน้องนางงามคนนั้นก็เลยพร่ามัว

“น่าจะใช่นะ” สำลีที่นั่งอยู่ข้างนัยนิตช่วยยืนยัน

“แต่รู้สึกว่าน้องคนนี้ไม่เข้ารอบห้าคนสุดท้ายนี่”

“ไม่เข้ารอบเพราะว่าหน้าตาบึ้งตึงไปนิด เหมือนถูกบังคับให้เข้าประกวด แต่ฉันว่าคนนี้ หน้าตา ส่วนสูงส่วนสัดใช้ได้เลย อยากรู้จังว่าเป็นใครมาจากไหน”

“จากสายสะพายสปอนเซอร์ เขาบอกว่าผู้ใหญ่ประทีป นาน้อย ส่งเข้าประกวด เราก็ต้องไปสืบจากตาผู้ใหญ่คนนี้”

“งั้นไปกัน”

“ใครจะอยู่ดูร้านละเจ๊ เห็นไหม พอคิดจะทำงานใหญ่ เราก็เห็น ๆ แล้วว่า ปัญหามันตามมาแน่”

อันที่จริงนัยนิตอยากจะพูดให้คชาพัฒน์ล้มเลิกโครงการพันแปดร้อยล้านนี้ แต่ด้วยอยู่ด้วยกันมาสองปี จึงได้รู้ว่า คนอย่างคชาพัฒน์นั้น ต้องลองทำก่อนถึงจะยอมถอย เหมือนกับสินค้าเครื่องสำอางจากบริษัทขายตรงปะดามีที่แห่กันเข้ามาให้คชาพัฒน์เป็นตัวแทนจำหน่าย และสินค้าทุกตัวคชาพัฒน์ก็ไม่สามารถทำให้ติดตลาด ที่ตลาดประจำตำบลแห่งนี้ได้ แล้วสุดท้ายร้านหนิงหน่องแฮร์คัทก็เหลือแต่ลูกค้ามาทำผมด้วยฝีมือของเขาและเธอเท่านั้น

“พูดแบบนี้จะบอกให้ฉันไปคนเดียวใช่ไหม”

“เจ๊ก็ไปคนเดียวซิ”

“ไปคนเดียวก็ได้ เฝ้าร้านกันให้ดีละกัน”

และพอผลักประตูกระจกที่กั้นระหว่างห้องปรับอากาศกับอากาศร้อนอบอ้าวข้างนอกเพื่อให้ร้านของตัวเองนั้นดูดีมีระดับสมกับที่ราคาค่าบริการที่แพงกว่าร้านจันทร์จวง บิวตี้ ซาลอน คชาพัฒน์ก็ชะงักมือหันหน้ามาถาม

“แล้วไอ้หมู่ 12 บ้านน้ำซับมันไปทางไหนละเนี่ย”

พอได้ยิน สำลีกับนัยนิตมองหน้ากัน แล้วสำลีคนเจ้าถิ่นที่เกิดและโตที่ตำบลบ้านไพร ก็ถอนหายใจ แรง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ อธิบายถึงเส้นทางไปบ้านน้ำซับ ซึ่งจะต้องวิ่งรถข้ามภูเขา ผ่านป่าเบญจพรรณ ผ่านหมู่บ้านอื่น ๆ เข้าไปไกลพอสมควร และพอรู้ว่าเส้นทางที่จะไปนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด คชาพัฒน์ก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา แต่เมื่อคิดได้ว่า ‘ช้างเผือก’ นั้นต้องอยู่ในป่า คชาพัฒน์ก็ฮึดสู้อีกครั้ง...


“น้ำผึ้ง” เสียงเรียกของป้าสำรวยเพื่อนบ้านที่เป็นญาติห่าง ๆ ทางพ่อซึ่งมีอาชีพซักรีดเสื้อผ้าทำให้น้ำผึ้งที่เพิ่งเข็นรถขายลูกชิ้นปิ้งเข้ามาในบ้านพร้อมกับน้ำหวานน้องสาวคนรองหันไปมองยังรั้วปูนสูงระดับอกที่อยู่ติดกัน

ก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตนั้นพ่อกับแม่ได้ทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารซื้อที่ดินจัดสรรที่ไม่ไกลจากตลาดมากนักแล้วไปชะลอไม้จากบ้านตาบ้านยายที่อยู่ในบ้านน้ำซึมที่อยู่ติดเขตอุทยานแห่งชาติมาปลูกเป็นบ้านไม้สองชั้น กั้นห้องชั้นบนได้สามห้องนอน มีห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องครัวอยู่ชั้นล่าง มีเพิงสำหรับเก็บรถจักรยานยนต์และของจิปาถะอยู่ข้างบ้าน มีรั้วสังกะสีรอบบริเวณเป็นสัดส่วน

“มีอะไรหรือป้า” น้ำผึ้งเอ่ยปากถามป้าสำรวยที่มีลูกสาวคนเล็กชื่อสำลี มีลูกชายอีกสี่คนแต่ทั้งหมดก็แต่งงานและแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว เหลือแกกับสามีและลูกสาวที่ไปทำงานอยู่ในร้านหนิงหน่อง แฮร์คัทอยู่ที่บ้านหลังนี้

“นังสำลีมันโทรมาบอกว่า มันไปธุระกับเจ้านายของมัน กว่าจะกลับก็ค่ำ ๆ ป้าก็เลยจะวานเราไปส่งผ้าให้หน่อย”

“ได้ ๆ แต่ขอตัวแป๊บนะป้า ขอผึ้ง ล้างหน้าก่อน หน้ามันมาก” ด้วยเป็นวันหยุดน้ำผึ้งจึงไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเหมือนวันอื่น ๆ และตั้งแต่เช้า น้ำผึ้งกับน้อง ๆ ก็นั่งเสียบลูกชิ้นเอ็นหมูกันเอง ไม่ได้ให้แม่ทำให้เหมือนวันที่โรงเรียนเปิดเรียน

บอกกับป้าสำรวยแล้วน้ำผึ้งก็เข็นรถเข็นไปไว้ที่เพิงข้างบ้าน เก็บของเข้าบ้านก็พบน้ำต้อยนั่งดูโทรทัศน์อยู่ เด็กชายน้ำต้อยพอเห็นพี่สาวสองคนกลับมาก็หันมามองเพียงแวบเดียวแล้วหันกลับไปจ้องโทรทัศน์ต่อ

“หุงข้าว ล้างจาน หรือยังต้อย” น้ำผึ้งร้องทักน้องชายด้วยน้ำเสียงอารี

“ยังเลย” น้ำต้อยนั้นอยู่ป. 4 ส่วนน้ำหวานนั้นอยู่ชั้น ม. 2 พอน้องชายคนเล็กวัยสิบขวบตอบด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ แบบนี้ อารมณ์โกรธก็แล่นฉิวขึ้นมาทันที

“แล้วรออะไรอีก นี่มันจะทุ่มหนึ่งแล้วนะ”

“ก็..หนังมันสนุก” ละครทีวีแต่ว่าน้ำต้อยก็เหมารวมเรียกว่าหนัง

“สนุกแล้วมันอิ่มไหม”

“ไม่อิ่ม”

“อย่ามาทำให้หงุดหงิดนะ เร็ว ๆ เลย หุงข้าว ล้างจาน ช่วยกัน” ด้วยเป็นพี่สาวคนโตน้ำผึ้งจึงใช้อำนาจบาตรใหญ่เพราะไม่อยากให้น้องชายเพียงคนเดียวนั้นมีนิสัยชอบเอารัดเอาเปรียบผู้หญิง

“หุงแล้ว ล้างแล้ว ล้อเล่นหรอกน่า”

จากที่หงุดหงิดอารมณ์ของน้ำผึ้งก็พลันสุกใสดังเดิม หญิงสาวเดินกลับเข้าบ้าน ไปดูที่ในครัวเห็นว่าน้องชายทำงานไว้เรียบร้อย รอแต่แม่จะซื้อกับข้าวสำเร็จที่แม่อาจจะได้มาในราคาพิเศษหรือกลับมาทำกับข้าวกินกันตามประสาแม่ลูก ส่วนน้ำหวานนั้นเดินเลี่ยงขึ้นชั้นบนไปหมกอยู่กับกองการบ้านและรายงานที่จะต้องทำให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้า

น้ำผึ้งล้างหน้า เช็ดหน้า แล้วก็เดินไปที่ตู้ที่มีกระจกเงา หญิงสาวดึงยางมัดผมออกแล้วหยิบหวีมาสางผมแสกข้างที่ยาวประบ่า ก่อนจะมัดให้เรียบเหมือนเดิม

“สวยแล้ว” น้ำต้อยหยอกพี่สาว แต่ว่าน้ำผึ้งหาได้สนใจ หญิงสาวเทแป้งเด็กในกระป๋องลงฝ่ามือ ขยี้แล้วตบเบา ๆ ไปทั่วใบหน้าของตนทำให้ผิวสีน้ำผึ้งนั้นผุดผาดขึ้นมา...


“ลุงไปไหนซะละป้า” นางสำรวยนั้นมีอาชีพรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า ด้วยฝีมือรีดผ้าประณีตซักผ้าสะอาด นางสำรวยจึงมีลูกค้าประจำจำนวนหนึ่ง

“ไปตีไก่ที่ไหนของมันก็ไม่รู้ ส่วนนังสำลีก็ไปกับเจ้านายมัน”

“ไปไหนกัน”

“ไปบ้านน้ำซับ” ปกตินางสำรวยกับนายสมชายจะนำเสื้อผ้าไปส่งในตอนเย็นและรับเสื้อผ้าที่จะซักในวันรุ่งขึ้นกลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้น หากว่านายสมชายไม่อยู่ สำลีก็จะทำหน้าที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ต่อกระบะข้างขนราวผ้าที่รีดเรียบร้อยแล้วไปกับแม่ แต่เมื่อทั้งลูกและผัวไม่อยู่อย่างนี้ นางสำลีจำต้องพึ่งพาน้ำผึ้ง แต่นางสำลีก็ไม่ได้ใช้เฉย ๆ อย่างน้อยก็ให้ค่าขนมน้ำผึ้งเป็นเงินถึง 40 บาทต่อครั้งที่เรียกใช้ หรืออาจจะเลี้ยงขนมนมเนยหากว่าแวะตลาดก่อนกลับเข้าบ้าน

น้ำผึ้งขับรถมอเตอร์ไซค์พานางสำรวยตระเวนส่งเสื้อผ้าที่ซักรีดเรียบร้อยแล้วไปถึงจนถึงบ้านสุดท้าย ใจของน้ำผึ้งเต้นไม่ส่ำ เมื่อเห็นคนที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้รถมอเตอร์ไซค์ดัดแปลงเข้าไปในรั้วบ้านที่มีบริเวณกว้างขวางร่มรื่นไปด้วยผลไม้ท้องถิ่น และบ้านหลังนี้น้ำผึ้งก็เคยมาเกือบทุกวัน เพราะช่วงที่ยังเรียนอยู่ระดับมัธยมต้น ครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ แม่ยังไม่ได้ให้เธอไปขายลูกชิ้นปิ้งที่หน้าตลาด ในตอนเย็นเธอจึงว่างที่จะรับจ้างป้าสำลีและลุงสมชายนั่งรถมาส่งผ้า แต่ว่าตอนนั้น ‘เขา’ ลูกชายคนเดียวเจ้าของบ้านก็ยังไม่ได้กลับมาอยู่บ้าน เพียงมีรูปถ่ายวางอยู่บนหลังตู้โชว์ที่เธอมองดูแล้วรู้สึกถูกชะตา รู้สึกเหมือนกับว่ามองรูปดาราชายหน้าตาดี ๆ คนหนึ่ง กระทั่งพ่อของเขาถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจล้มเหลว เขาจึงได้กลับมารับช่วงกิจการและอยู่ดูแลคุณนายแม่ของเขา

“เอาผ้ามาส่ง” ป้าสำลีพูดไม่ได้มีหางเสียงลงท้าย คะ ขา ยกย่องวรรณศุกร์ว่าเป็นลูกชายของคุณนายวรรณีเพราะถือว่าตนเองนั้นอายุมากกว่า และอาชีพที่ทำอยู่นั้นไม่ได้งอนง้อกันสักเท่าไหร่

“เข้ามาเลยครับ” เขายิ้มเป็นมิตรให้ป้าสำรวย และรอยยิ้มนั้นก็เผื่อแผ่มาถึงน้ำผึ้งด้วย น้ำผึ้งจึงยิ้มให้เขาเช่นกัน และช่วงที่ป้าสำรวยหิ้วเสื้อผ้าเข้าไปในบ้าน น้ำผึ้งที่นั่งคร่อมอานรถอยู่ก็รู้สึกเขินกับสายตาของเขาจนมือที่กำแฮนด์รถนั้นต้องแกล้งบิดคันเร่ง เหยียบเกียร์ เหยียบเบรกฆ่าเวลา เพราะเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเดินไปทางอื่น และเสียงของเขาก็ทำให้น้ำผึ้งสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะหันไปสนทนากับเขาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

“วันนี้ทำไมมาส่งผ้ากับป้าเขาได้ละผึ้ง”

“ลุงไม่อยู่ พี่สำลีไม่อยู่ค่ะ”

“ไปไหนกัน”

“ลุงไปตีไก่ พี่สำลีไปธุระกับพี่หนิงหน่อง”

“แล้วนี่เรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว”

“ม.5 ค่ะ ปีหน้าก็ ม.6”

“คงไม่ลดลงมาม. 4 หรอกมั้ง”

น้ำผึ้งเขินที่เขาคุยเล่นคุยล้อด้วย และด้วยรู้สึกว่าไม่กล้าสู้ตาของเขา น้ำผึ้งจึงเสมองไปรอบ ๆ บ้านแทนการมองใบหน้าของเขาที่มีดวงตากับจมูกและริมฝีปากเป็นจุดเด่น เขาได้ผิวขาวเหมือนคุณนายวรรณีแต่ว่าได้รูปหน้าของพ่อที่คมเข้มมาด้วย เขาจึงหล่อสำเร็จรูปสำหรับน้ำผึ้ง และที่สำคัญน้ำผึ้งชอบหุ่นกำยำดูเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบของเขาเป็นอย่างมาก

“แล้วถ้าจบม. 6 แล้วจะไปเรียนต่อที่ไหน”

น้ำผึ้งหันมามองหน้าของเขา สีหน้านั้นปั้นยากจนเขาสังเกตได้

“ยังไม่รู้เลยค่ะ เหลืออีกตั้งปี”

“แต่มันเป็นปีที่ต้องเตรียมพร้อมเพื่ออนาคตไม่ใช่เหรอ”

“ผึ้งเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แล้วที่สำคัญ เงินไม่ค่อยมีด้วย แม่มีภาระเยอะ น้องยังเล็ก” พอได้ระบายแล้วน้ำผึ้งก็พูดยืดยาว เพราะทุกวันนี้ที่ตั้งใจช่วยแม่ตัดขาดกิจกรรมของโรงเรียนและกิจกรรมสนุกสนานของเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกันเพราะรู้ดีว่า ฐานะทางบ้านของตนเป็นเช่นไร

“แต่ว่าไปม.6 ก็ทำงานได้แล้วนะ เป็นเสมียนที่ร้านก็ได้”

“ค่ะ”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

อันที่จริงคุณนายวรรณีกับเขาเคยพูดแบบนี้เมื่อครั้งงานศพของพ่อ แต่ว่าแม่ก็ไม่เคยตากหน้ามาหาคุณนายวรรณีเลย แม่ถือคติที่ว่า ‘หาเช้ากินค่ำ ตำข้าวสารกรอกหม้อ ก็ยังดีกว่าหาเงินใช้หนี้’ เพราะว่าตอนที่พ่อเสีย เงินประกันชีวิตนั้นได้มาไม่มาก ค่าใช้จ่ายตอนจัดงานศพก็แทบจะเกือบหมด ไหนจะต้องแบ่งให้ปู่กับย่าทางบ้านน้ำซึมนั่นอีก แต่แม่ก็บอกว่า อย่างไรแล้วปู่กับย่าก็คือ พ่อแม่ของพ่อ พ่อไม่อยู่แล้ว ก็ใช่ว่าเราจะต้องตัดขาดจากปู่ย่า และบ้านหลังนี้ ปู่กับย่าก็ให้ไม้มาสร้างบ้านเกือบจะทั้งหลังด้วยซ้ำ นอกจากนั้นแม่ยังปันเงินรายได้แบ่งให้ตากับยายทางบ้านน้ำซึมได้ใช้ด้วย แม่บอกว่า เป็นลูกต้องมีความกตัญญูถึงจะเจริญจะอ้างว่าไม่มี ไม่พร้อมไม่ได้ เพราะถ้ารอให้มี อาจจะไม่มีพ่อแม่ให้ทดแทนบุญคุณเสียก่อน การกระทำของแม่ เหมือนเป็นการสอนน้ำผึ้งกับน้อง ๆ กราย ๆ ...น้ำผึ้ง น้ำหวาน และน้ำต้อยจึงต้องช่วยแม่อ้อยกันตัวเป็นเกลียว

“ค่ะ..”

“ฉันพูดจริง ๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่น ไม่ได้พูดแบบขอไปทีด้วย”

น้ำผึ้งยิ้มแหย ๆ เมื่อเขาใช้น้ำเสียงจริงจังตอกย้ำบทสนทนาก่อนหน้านั้น

“ขอบคุณค่ะ แต่ว่า ผึ้งไม่รู้เหมือนกันว่าจะรบกวนอะไรคุณศุกร์ ถ้าแม่บอกว่ายังไหวผึ้งก็คิดว่าไหว”

“แล้วที่เป็นอยู่กันนี่ลำบากหรือเปล่า เห็นหากินกันซก ๆ” คำว่า หากินซก ๆ เหมือนกับว่าเขาเห็นตอนที่เธอขายลูกชิ้นปิ้งและตอนที่เธอเข็นรถกลับบ้านพร้อมกับน้องสาว น้ำผึ้งรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา ที่ชีวิตของคนธรรมดาของเธอจะอยู่ในสายตาของเขา คนที่น้ำผึ้งรู้สึกว่าตัวเองนั้นต้องเงยหน้าคุยด้วย

“ทำอย่างไรได้ละ ก็ต้องหากิน แต่บ้านผึ้งไม่มีหนี้นะ”

“แล้วมีพอสำหรับเรียนต่อไหม”

“ได้ยินมาว่ากู้เรียนได้ค่ะ แต่ว่าค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ มันก็เยอะเอาการ ผึ้งหัวไม่ดีด้วย”

“แล้วเรียนได้เกรดเท่าไหร่”

“ได้ ไม่ถึงสามหรอกค่ะ ไม่เก่ง คณิต วิทย์ อังกฤษ เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ”

“แล้วเก่งอะไรบ้าง ไปโรงเรียนทุกวัน ได้อะไรมาบ้าง”

“กีฬา ศิลปะ ดนตรี ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย” น้ำผึ้งยิ้มแหย ๆ ตอนที่ตอนคำถามที่กลั้วด้วยรอยยิ้มของเขา

“แล้วใจเราอยากไปทางไหน” น้ำเสียงเขาจริงจังขึ้นมา

น้ำผึ้งส่ายหน้าเพราะไม่ได้คิดถึงอนาคตจริง ๆ จัง ๆ เลยสักนิด เขาจึงต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ไม่คิดไม่ได้นะผึ้ง ต้องวางแผนแล้ว ต้องเข้าพบครูแนะแนวแล้วว่าจะไปอย่างไรดี”

“ผึ้งหัวไม่ดี” น้ำผึ้งยังยืนยันคำเดิม

“พูดคำนี้มากี่รอบแล้ว หัวไม่ดีก็ใช่ว่าจะเรียนต่อไม่ได้นี่ มันมีหลักสูตรสำหรับคนหัวไม่ดีตั้งเยอะแยะ”

“ค่ะ”

“แล้วทั้งเนื้อทั้งตัวคิดว่ามีอะไรดีบ้าง”

“ขายของค่ะ ขายของเป็น ปิ้งลูกชิ้นเป็น”

“เรียนคหกรรมไหมละ จบแล้วก็เปิดพวกร้านเค้ก ร้านเบเกอรี่ ร้านขนมปัง ต่อไปคนจะกินของแห้ง ๆ แบบฝรั่งกันมากขึ้นนะ”

“ร้านเค้ก” คำว่าร้านเค้กทำให้น้ำผึ้งรู้สึกว่ามีไฟสว่างวาบเข้ามาในความรู้สึก หนทางที่มืดมนของเธอ เหมือนมองเห็นอนาคตชั่วครู่ เมื่อเธอเป็นแม่ค้าอยู่แล้ว เธอเรียนไม่เก่งก็น่าจะหาทำอะไรขาย
ไหน ๆ ริจะเป็นแม่ค้าแล้ว ก็เป็นแม่ค้าให้มันเต็มตัวไปเสียเลย

“ข้างในอุทยานแห่งชาติมีน้ำตก มีรีสอร์ทเกิดขึ้นเรื่อย ๆ มีนักท่องเที่ยวมากันไม่ขาด ต่อไปรีสอร์ทเหล่านั้นก็ต้องมาใช้บริการที่ร้านของเธอ ฉันแนะนำให้มุ่งไปทางคหกรรมศาสตร์นะ ลองหาข้อมูลดู อย่างไรแล้วคนมันก็ต้องกินกันทุกวัน ทำของกินได้ นี่ถือว่ามีอาชีพติดตัวไปจนตายเลยแหละ”
น้ำผึ้งยิ้มให้เขา

“ขอบคุณค่ะ”

“ขอบคุณทำไม”

“ก็ก่อนหน้านั้นผึ้งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความฝันค่ะ อยู่ไปวัน ๆ อย่างไรก็ไม่รู้”

“มีฝันแล้วก็ทำให้มันจริงนะ”

“ค่ะ จะพยายามค่ะ” น้ำผึ้งยิ้มหวานให้เขา เขายิ้มนิด ๆ ให้ ถอนหายใจเบา ๆ พอดีกับที่ป้าสำรวยเดินยิ้มออกมาจากในบ้าน น้ำผึ้งจึงรีบถือโอกาสยกมือขอบคุณเขาอีกครั้ง ทั้งที่ยังคร่อมรถอยู่...ขณะเดียวกันหลังจากที่เขารับไหว้ขอบคุณจากน้ำผึ้ง โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขาสั้นลำลองของเขาก็ดังขึ้น เขารีบหมุนตัวหันหลังให้แล้วดึงโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอก่อนจะเดินเลี่ยงไปคุยกับปลายสายเมื่อนางสำรวยเดินมาถึง น้ำผึ้งมองแผ่นหลังกว้างของเขา ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะสตาร์ทเครื่องพาป้าสำรวยออกจากบ้านเขาไปเพียงแต่กายของตน ส่วนหัวใจ น้ำผึ้งรู้สึกว่ามันตกหล่นอยู่ในรั้วบ้านของเขานั่นเอง



หลังจากที่หาบ้านผู้ใหญ่ประทีป นาน้อย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 12 บ้านน้ำซับพบ คชาพัฒน์ก็ได้รับคำตอบจากประทินนาน้อย ลูกชายคนกลางของผู้ใหญ่ประทีปวัย 25 ปีที่มีหุ่นกำยำล่ำสัน ว่าผู้ใหญ่ประทีปนั้นออกไปเยี่ยมลูกบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วยพร้อมกับผู้เป็นแม่ของเขาตามหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่ดี ซึ่งบ้านที่ไปนั่นก็ดูจะอับสัญญาณโทรศัพท์จึงไม่สามารถติดต่อได้

และด้วยรู้สึกต้องชะตาประทิน คชาพัฒน์จึงได้เรียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงสาวงามเจ้าของหมายเลข 3 ที่เข้าประกวดในนามของผู้ใหญ่ประทีบ และ คชาพัฒน์ก็ได้คำตอบว่า เธอคือปวีณา นาน้อย ลูกสาวคนเล็กของผู้ใหญ่ประทีปที่ถูกบังคับให้เข้าประกวด แต่ว่าเจ้าตัวนั้นไม่ได้นึกอยากขึ้นเวที แต่ว่าผู้ใหญ่ประทีปนั้นเอาโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดมาหลอกล่อ เจ้าหล่อนจึงยอมแต่โดยดี แต่ว่าเจ้าหล่อนก็ทะเลาะกับแฟนหนุ่มที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เพราะแฟนหนุ่มที่เป็นลูกเถ้าแก่รับซื้อพืชไร่ไม่อยากให้ขึ้นประกวดด้วยกลัวว่าหนุ่มบ้านอื่นจะมาเห็นความงามแล้วจะจีบแข่ง ใบหน้าของเจ้าหล่อนจึงได้งอฉึ่งเหมือนถูกปืนจี้ให้ขึ้นเวที...และตอนนี้เจ้าหล่อนก็กลับเข้าตัวจังหวัดเพื่อไปเรียนหนังสือเหมือนเดิมแล้ว

“เอาอย่างไรดีละทีนี้” พอรับทราบเรื่องคร่าว ๆ จากชายหนุ่มประทิน ผู้ที่ทำให้จิตใจวาบหวิวแล้ว คชาพัฒน์ก็หันไปหาสำลีที่นั่งเหมือนตาปรือไม่ได้รู้สึกรู้สากับผู้ชายที่มีร่างกายกำยำล่ำสันตรงหน้า

“สำลี” สำลีสะดุ้งเฮือกเมื่อคชาพัฒน์เรียกซ้ำ

“อะไรเหรอเจ๊ ...”

“ฉันถามเธอว่าจะเอาอย่างไรดี”

“อ้าว...จะมาถามสำลีได้อย่างไร สำลีมีหน้าที่พามาเท่านั้น มีอำนาจตัดสินใจอะไรเสียที่ไหนละ”

คชาพัฒน์พ่นลมหายใจแรง ๆ คิดว่าขับรถมาตั้งไกล เปลืองน้ำมันไปไม่น้อย คงจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว ครั้นจะลากลับก่อนที่ผู้ใหญ่กับภรรยาจะกลับมา มันก็จะดูน่าเกลียดเพราะเมื่อตั้งใจมาหาแล้วก็ควรจะอยู่รอจนกว่าจะได้พบกัน และที่สำคัญพอรับทราบว่าผู้ใหญ่ประทีปและภรรยาสนใจสนับสนุนให้ลูกสาวขึ้นเวทีประกวด คชาพัฒน์ก็คิดได้ว่าการที่มีนางงาม ‘พาวเวอร์’ ดี ๆ อยู่ในมือสักคนก็น่าจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย เพราะ

เวทีหนึ่ง ๆ เขาไม่ได้จำกัดสิทธิ์ว่าพี่เลี้ยงนางงามจะส่งสาวงามเข้าประกวดได้กี่คน ทุกเวทีนั้นเข้าทำนองว่ายิ่งส่งมากก็มีสิทธิ์มาก และที่สำคัญอีกประการ คนที่จะเป็นสปอนเซอร์ก็หาใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือพ่อของเด็กสาวนี่ก็ได้ และถ้าหากไม่ได้ตัวปวีณาไปประกวด การได้รู้จักกับผู้ใหญ่บ้านคนนี้ก็ใช่ว่าจะเสียเปล่า เพราะในหมู่บ้าน น้ำซับนี้คงจะมีสาวงามสวยพอขึ้นเวทีได้ และถ้าผู้ใหญ่ประทีปรับรองว่าตนนั้นจะไม่เอาลูกสาวเขาไปขายกิน พ่อแม่ก็คงให้เด็กไปกับเขาอย่างไม่ยากเย็น
และที่สำคัญเป็นที่สุด คชาพัฒน์ก็รู้สึกว่าการได้เห็นชายหนุ่มรูปงามในชุดเสื้อกล้ามกางเกงบอลผ้า บาง ๆ นั่งอยู่ตรงกันข้ามนี้ก็ดีก็ทำให้เลือดลมในกายซูบฉีดจนหัวใจเต้นแรง

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลารอคอย คชาพัฒน์จึงได้ส่งสัญญาณให้สำลีเดินออกไปรอที่รถ เพราะตนเองนั้นต้องการอยู่กับชายหนุ่มตามลำพัง เมื่อสำลีคนหน้าสวยแต่ร่างกายออกจากท้วม ๆ เดินเซื่อง ๆ ออกไปแล้ว คชาพัฒน์ก็ได้เรียบ ๆ เคียง ๆ ลองหยั่งเชิงดูว่าเขานั้น ‘พอกินได้’ หรือเปล่า

“แล้วน้องทินพอจะรู้จักใครบ้างไหมที่สวยงามน่าดูชม เอาสวยพอกับน้องสาวของน้องก็ได้”

“ก็มีอยู่หลายคนนะพี่ แต่ว่า มันไม่ได้เรียนหนังสือกันน่ะ ขึ้นเวทีไปก็จะขายหน้าเสียเปล่า ๆ”

“แล้วน้องล่ะได้เรียนหนังสือหรือเปล่า”

“ผมเรียนจบแค่ม.3 ครับ หัวไม่ดีเลยออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่”

“แล้วมีพี่น้องกี่คนละจ๊ะ”

“3 คน พี่สาวผมแต่งงานไปแล้ว ไปอยู่กรุงเทพฯ ทำงานในห้าง ได้ผัวเป็นยาม ตอนนี้เป็นหัวหน้ายามไปแล้ว น้องสาวก็คนนั้นแหละกำลังเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว จะจบแล้ว”

“แบบนี้สมบัติพัสถานก็คงตกอยู่ที่น้องคนเดียวละซิ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ ทุกอย่างก็แล้วแต่พ่อแม่”

“แล้วน้องมีแฟนหรือยังครับ”

“ผมเหรอครับ...ก็ เหมือนจะมีนะ”

“ทำไมเหมือนจะมีละ”

“ คือ เขาก็คุยดีกับผมนะครับ แต่ทำไปทำมา ผมรู้มาว่าเขาก็คุยดีกับทุกคน”

“หมายความว่าไง”

“ลูกแม่ค้าขายของชำนะครับ เขาเจอคนเยอะ เขาก็เลยโปรยเสน่ห์ไปให้ลูกค้าเขาเยอะแยะไปหมด”

“เขาไม่น่ามองข้ามน้องไปได้นะ”

“ทำไมละครับ”

“ก็โปรไฟล์ดีซะขนาดนี้” คำว่าโปรไฟล์นั้นพอหนุ่มประทินดูจะไม่เข้าใจแต่พอเห็นสายตากรุ้มกริ่มของคชาพัฒน์ที่มองตนตั้งแต่หัวจดเท้าและหยุดลงตรงเป้ากางเกง เขายิ้มแหย ๆ ให้...และคชาพัฒน์ที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยปล่อยให้ ‘เป้าหมาย’ หลุดมือก็ถือโอกาสรุกต่อ “น่ากินขนาดนี้ หากผู้หญิงคนไหนมองข้ามไป ก็โง่เต็มทีแล้ว...นั่นแหละคือคำว่าโปรไฟล์”





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.พ. 2556, 08:27:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2556, 09:13:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 2299





<< 1.น้ำผึ้งบ้านไพร   3. หายไปซะนานนนนนนนนนนมากกกกกก >>
จิรารัตน์ 8 ก.พ. 2556, 20:14:08 น.
น้ำต้อย = แปลว่าอะไรค่ะ


Zephyr 16 ก.พ. 2556, 14:36:53 น.
บ้านผึ้งมีลูกสามคนใช่มั้ยคะ
พ่อเสียแม่ยังอยู่ ทำงานในตลาดของคุณนายวรรณีพ่อของวรรณศุกร์
ว่าแต่วรรณศุกร์แบบนี้ แปลว่าอะไรคะ
จะไปกันยังไงเนี่ย ยังไม่เห็นทางสว่างเลย


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:29:24 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account