มลทินสวาทมาเฟีย
เขาต้องก้าวเข้ามาเป็น ‘มาเฟีย’ เพราะถูกบังคับด้วยคำว่า ‘ความกตัญญู’ ต้องหันหลังให้ชีวิตสุขสงบ มาผจญกับคนเลวสารพัดรูปแบบ มือต้องเปื้อนเลือด เท้าต้องเดินข้ามซากศพของศัตรูและคู่แข่ง เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าพ่อมาเฟียแห่งเกาะฮ่องกง
เธอคือลูกสาวของอดีตหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียที่โดนลูกน้องคนสนิททรยศจนถูกฆ่าตาย เมื่อขาดผู้ปกป้องเธอจำต้องเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเงาของเจ้าพ่อมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ บุญคุณของเขามากมายล้นฟ้า หากต้องแลกด้วยชีวิตและพรหมจรรย์เพื่อตอบแทนบุญคุณเธอก็พร้อมยอมทำ

Tags: นิยาย มาเฟีย รวิญาดา ผการุ้ง

ตอน: ตอนที่ 1. ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกพ้น

ตอนที่ 1.ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกพ้น

ร่างสูงใหญ่ของอาจารย์หนุ่มแห่งโรงเรียนสอนวิชาศิลปะการต่อสู้ กำลังเคลื่อนไหวแสดงท่าทางการต่อสู้ให้กับลูกศิษย์ที่พากันนั่งคุกเข่าเป็นระเบียบได้ชม คู่ซ้อมเป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ที่ผันตัวเองมาเป็นผู้ช่วยครูฝึก รูปร่างของเขาค่อนข้างล่ำสันแต่การเคลื่อนไหวขณะโจมตีคล่องแคล่วว่องไว หากยังไม่เก่งกาจและชำนาญเท่าผู้เป็นอาจารย์ หมัดและเท้าเตะต่อยเหวี่ยงตัวเข้าใส่ร่างหนาสูงใหญ่ของผู้เป็นอาจารย์หลายต่อหลายครั้ง แต่ถูกอีกฝ่ายพลิกพลิ้วเบี่ยงกายหลบและตอบโต้ได้ทุกครั้ง ร่างสูงของอาจารย์หนุ่มเคลื่อนกายพลิ้วไหวลักษณะเป็นวงกลม ตั้งรับทุกกระบวนท่าอย่างสงบนิ่ง การเคลื่อนไหวเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติของร่างกาย เป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่ารุก ดวงตาคมกริบแววตาเปล่งประกายวาวกล้าทรงพลังจ้องมองคู่ต่อสู้ไม่ละสายตา เหงื่อเม็ดเล็กไหลหยดลงมาบนปลายจมูกโด่งงามเป็นสัน ทว่าเจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจเช็ดมันออก ริมฝีปากหยักสวยขยับแย้ม เมื่อเห็นอาการหอบเหนื่อยของคู่ซ้อมที่เริ่มผ่อนแรงลง รู้ดีว่าตอนนี้หมดเวลาเล่นแล้วถึงเวลาเผด็จศึก!

ปึก พลั่ก ตุ๊บ!!!

ร่างล่ำสันถูกจู่โจมอย่างฉับไว คนเป็นขยับเพียงครั้งเดียวก็สามารถจัดการ บิดล็อก ใช้สันมือฟันฉับบนต้นคอหนา เหวี่ยงร่างกำยำลองกองกับพื้นเสียงดังตุ๊บ จับล็อกกดตรึงคู่ต่อสู้ลงแนบกับพื้นหมดสภาพทันที สายตาหลายคู่มองการต่อสู้ที่จบลงด้วยแววตาชื่นชม

“การเคลื่อนไหวทุกรูปแบบของไอคิโดเป็นวงกลม แม้แต่การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเป็นแนวตรง ก็มีการเคลื่อนที่เป็นลักษณะเกลียวซ่อนอยู่” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา สายตากราดมองลูกศิษย์ทุกคน

“เทคนิคของไอคิโดถูกออกแบบมาให้มีการเคลื่อนไหว โดยการเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติของร่างกาย การบิดข้อ จะบิดไปตามลักษณะการเคลื่อนที่ตามธรรมชาติของข้อนั้น”

ผู้เป็นอาจารย์แสดงท่าทางการต่อสู้แบบช้าๆ ให้ลูกศิษย์ดูอีกครั้ง โดยการจับบิดล็อก และจับกดตรึงกับพื้น

“การบิดด้วยลักษณะแบบนี้ จะบังคับทำให้ผู้โจมตีล้มลงโดยไม่เป็นอันตรายต่อข้อมือหรือข้อต่อต่างๆ การตรึงคู่ต่อสู้ไว้กับพื้นแบบไอคิโดก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน และสามารถใช้ได้กับทุกคนไม่ว่าจะมีรูปร่างเล็กหรือใหญ่ โดยใช้แรงเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ต้องใช้เลย”

“เซนเซย์เจิ้งครับ ปล่อยผมก่อนได้ไหมครับ ไหล่จะหลุดแล้ว” เสียงพิโอดพิครวญดังออกมาจากร่างของคู่ซ้อม ที่ถูกจับกดอยู่นาน

“เจ็บก็ไม่บอกนะวิรัตน์ ขอโทษที” หลี่เจิ้ง หรือ จักรพรรดิ ลีวงศ์กุล อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทยฮ่องกง ปล่อยมือจากร่างของลูกศิษย์เอก พร้อมกับดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แล้วหันไปบอกกับลูกศิษย์คนอื่นว่า

“จับคู่ซ้อมกันครึ่งชั่วโมง ผลัดกันเป็นฝ่ายรุกคนละสิบห้านาที อาจารย์จะดูพวกเธอ” เขาขยับไปนั่งบนเบาะตรงด้านหน้า มองดูลูกศิษย์ฝึกซ้อมอย่างตั้งใจ

กว่าห้าปีแล้วที่หลี่เจิ้งเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ขึ้นมา ช่วงเช้าเขาจะไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย ช่วงเย็นถึงจะมาดูแลโรงเรียน ในวัยสามสิบหกเขาแต่งงานแล้วและมีลูกชายหนึ่งคนอายุสิบขวบ มีภรรยาแสนสวยคอยดูแล ครอบครัวแสนอบอุ่นพรั่งพร้อมสมบูรณ์ ชีวิตของหลี่เจิ้งสุขสงบจนน่าอิจฉา หากทุกสิ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

“เซนเซย์ครับ มีคนต้องการพบเซนเซย์ครับ” วิรัตน์เข้ามารายงานผู้เป็นอาจารย์ ที่ห้องทำงาน หลังจากหมดคาบเรียนแล้ว

“เชิญเขาเข้ามาสิ เอาน้ำมาเสิร์ฟด้วยนะ” หลี่เจิ้งเงยหน้าจากกองเอกสาร พยักหน้ารับ

ครู่หนึ่งวิรัตน์ก็พาชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เข้ามา หลี่เจิ้งลุกขึ้นต้อนรับผายมือเชื้อเชิญให้นั่ง

“เชิญนั่งครับ”

“ขอบคุณครับคุณเจิ้ง” ชายคนนั้นตอบรับเป็นภาษาจีน สร้างความกังขาให้หลี่เจิ้งมาก

“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”

หลี่เจิ้งจำต้องสนทนาเป็นภาษาจีนตอบโต้ไป เขาถูกมารดาเคี่ยวเข็ญให้เรียนภาษาจีนตั้งแต่จำความได้ จึงพูดและสื่อสารภาษานี้ได้อย่างคล่องแคล่วไม่แพ้เจ้าของภาษา

“คุณคงสงสัยว่าผมเป็นใคร” ชายคนนั้นยิ้มบางๆ สายตาคมกล้าจ้องมองใบหน้าของเจ้าของโรงเรียนนิ่ง “ผมชื่อหวังไป่ฉีเป็นคนสนิทของท่านหลี่เสวียน คุณพ่อของคุณครับ”

หวังไป่ฉีแนะนำตัวเอง พร้อมสังเกตปฏิกิริยาของชายหนุ่มไปด้วย หลี่เจิ้งไม่ได้แสดงท่าทางตกใจหรือแปลกใจมากมาย เขายังคงความคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี แววตาคมกริบนิ่งสงบหากทรงพลังไม่ต่างจากผู้เป็นนายของเขาเลย นี่สินะ เขาถึงเรียกว่าลูกมังกร ยังไงก็เป็นมังกร ต่อให้อยู่ในสถานะใดก็เปล่งบารมีของผู้ยิ่งใหญ่เสมอ หวังไป่ฉีลอบยิ้มชื่นชมนายน้อยของตนเงียบๆ

“คนของคุณพ่อ...” หลี่เจิ้งทวนคำ

เขามองบุรุษสูงวัยตรงหน้าอย่างพินิจ แม้ไม่ได้รู้จักหวังไป่ฉีเป็นการส่วนตัวแต่เขาพอรู้ว่าบิดาของเขา เป็นนักธุรกิจใหญ่มีอิทธิพลคนหนึ่งของฮ่องกง หวังไป่ฉีเป็นคนสนิทของท่านคงมีธุระสำคัญ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาเขาซึ่งเป็นแค่ลูกนอกสมรสด้วยตัวเอง

“ตอนนี้ท่านหลี่เสวียนกำลังป่วยหนักครับ ท่านต้องการพบคุณ” หวังไป่ฉีบอกจุดประสงค์ของตนเองให้ชายหนุ่มรู้

“คุณพ่อป่วยหนัก ท่าน... ท่านเป็นยังไงบ้าง”

หลี่เจิ้งเอ่ยถามเสียงสั่นเล็กน้อย แม้บิดาจะไม่ค่อยได้ให้ความเอาใจใส่กับเขามากมายเหมือนพี่ชายซึ่งเป็นลูกเมียแต่ง แต่ท่านก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ยังคงส่งเสียเลี้ยงดูเขากับมารดาอย่างดีมาโดยตลอด จนเขาเรียนจบมีงานทำหลี่เจิ้งถึงได้งดรับความช่วยเหลือจากท่าน บิดาของเขามักจะเดินทางมาหามารดาของเขาปีละสองครั้ง นั่นเป็นโอกาสเดียวที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดท่าน ชายหนุ่มไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวฝั่งบิดาด้วยรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ลูกนอกสมรส หลายสิบปีที่ผ่านมาหลี่เจิ้งอาศัยอยู่ที่เมืองไทยกับมารดามาโดยตลอด เขาพอใจชีวิตที่เป็นอยู่ไม่อยากแย่งชิงสมบัติหรือความสำคัญจากบิดา จึงไม่คิดจะเดินทางไปฮ่องกงสักครั้ง

“ท่านหลี่เสวียนต้องการพบคุณเจิ้งกับคุณแม่ของคุณ” หวังไป่ฉีไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้ เขาต้องการให้หลี่เจิ้งไปพบกับผู้เป็นบิดาด้วยตัวเองมากกว่า

“ได้ผมจะรีบไป พรุ่งนี้ถ้าจองตั๋วได้ ผมจะเดินทางเลย” หลี่เจิ้งไม่เสียเวลาคิดมาก ความห่วงใยทำให้เขาอยากเดินทางไปพบบิดาให้เร็วที่สุด

“ผมได้จองตั๋วเครื่องบินให้คุณกับคุณแม่ของคุณแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ขอเพียงคุณรับปากไปหาท่าน ก็พร้อมเดินทางได้ทันที” หวังไป่ฉีเตรียมการเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องบอกคุณแม่ให้เตรียมตัวก่อน”

“ครับคุณเจิ้ง พรุ่งนี้เช้า ผมจะไปรับคุณที่บ้านนะครับ ผมขอตัวก่อน” หวังไป่ฉีนัดหมาย แล้วขอตัวเมื่อเสร็จธุระ

หลี่เจิ้งออกมาส่งหวังไป่ฉีที่รถ เขาขับรถพาตัวเองกลับไปบ้านทันที เมื่อไปถึงบ้านก็เข้าไปหามารดา คุณจันทร์ฉายมองใบหน้าหม่นหมองของลูกชายก็รู้ว่า หลี่เจิ้งกำลังมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ คนเป็นแม่ลูบศีรษะลูกชายปลอบโยนขณะเอ่ยถามเสียงนุ่ม

“มีเรื่องใช่ไหมลูก”

ศีรษะได้รูปพยักรับช้าๆ ดวงตาคู่คมหม่นแสงลง “เมื่อครู่คนของคุณพ่อ มาหาผมที่โรงเรียน บอกว่าคุณพ่อป่วยหนัก อยากให้ผมกับคุณแม่ไปพบท่านที่ฮ่องกง” เขาบอกมารดา

คุณจันทร์ฉายนิ่งไปครู่หนึ่ง “คุณเสวียนคงอาการหนักจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางบอกเราหรอก”

เธอรู้นิสัยของสามีว่าหลี่เสวียนจะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น และไม่มีทางจะเรียกลูกชายคนเล็กให้ไปพบหากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ คุณจันทร์ฉายสังหรณ์ใจว่าสิ่งที่เธอกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดชีวิต ครั้งนี้อาจจะหนีไม่พ้น คนเป็นแม่มองลูกชายที่เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ด้วยแววตาเป็นกังวล เธอพาหลี่เจิ้งกลับมาอยู่ที่เมืองไทยร่วมสามสิบกว่าปี ใช้ชีวิตสุขสงบมายาวนานจนวางใจว่า ลูกชายจะหลุดพ้นจากเส้นทางสายนั้น เส้นทางชีวิตที่ผู้เป็นสามีคลุกคลีมาตลอดชีวิตของเขา เขาเคยรับปากกับเธอแล้วว่าจะปล่อยเธอกับลูกให้อยู่อย่างสงบ ทำไมถึงได้เรียกตัวไปพบแบบนี้

“พรุ่งนี้คนของคุณพ่อจะมารับเราไปหาท่าน” หลี่เจิ้งถอนหายใจยาว แววตามีรอยเครียดเคร่ง

ถึงจะไม่ได้ใกล้ชิดกับบิดา แต่เขาก็รักและเคารพท่านมาก ยามได้พบผู้เป็นพ่อท่านมักจะสั่งสอนเขาด้วยถ้อยคำดีๆ มอบความรักให้เขากับแม่อย่างเต็มเปี่ยม แม้เป็นลูกนอกสมรสแต่หลี่เสวียนไม่เคยทำให้ลูกชายรู้สึกเป็นปมด้อยแต่อย่างใด

“เจิ้ง แม่คิดว่าลูกควรเตรียมใจสำหรับการพบกับคุณพ่อในครั้งนี้” คนเป็นแม่บอกลูกชายเสียงขรึม

หลี่เจิ้งยกคิ้วสูง มองท่าทางเคร่งเครียดของมารดาอย่างแปลกใจ แววตาของท่านทำให้คนเป็นลูกรู้สึกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่

“คุณแม่กำลังจะบอกอะไรผมหรือครับ” เขาจ้องหน้าท่านด้วยสายตามีคำถาม

คุณจันทร์ฉายจับท่อนแขนของลูกชาย ผ่อนลมหายใยออกอย่างคนที่ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ถึงเวลาที่เธอจะบอกบางสิ่งที่ปกปิดไว้ให้หลี่เจิ้งรู้สักที ดีกว่าให้เขาไปพบบิดาโดยไม่ได้เตรียมใจให้พร้อมเผชิญความจริงที่รออยู่

“แม่มีเรื่องจะบอกลูก เกี่ยวกับคุณพ่อของลูก”

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เครื่องบินร่อนลงแตะรันเวย์ของสนามบินฮ่องกงในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น หลี่เจิ้งพร้อมมารดาเดินตามหวังไป่ฉีไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ สองแม่ลูกจับมือกันขณะนั่งอยู่บนรถที่กำลังตรงไปยังโรงพยาบาล เพื่อไปพบกับหัวหน้าครอบครัว ใบหน้าของผู้เป็นลูกเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบซ่อนความรู้สึกบางอย่างในใจไว้ลึกเร้น จนคนภายนอกไม่อาจสังเกตเห็น

“ถึงแล้วครับ” หวังไป่ฉีบอกผู้เป็นนายทั้งสอง พร้อมทั้งเปิดประตูให้ทั้งสองลงมา

หลี่เจิ้งโอบไหล่มารดาประคองให้เดินตามหวังไป่ฉีขึ้นลิฟต์ไปยังห้องผู้ป่วย บอดี้การ์ดของหลี่เสวียนตามมาอารักขาสองแม่ลูกอย่างแข็งขัน หลี่เจิ้งสังเกตเห็นความผิดปกนี้แต่นิ่งเงียบไว้ เขากระชับแขนโอบไหล่มารดาแน่นขึ้น ปลอบโยนให้ท่านคลายความกังวล สงบใจรอคอยการพบกับบิดาอย่างใจเย็น

“เชิญครับทางนี้” หวังไป่ฉี ผายมือแล้วเดินนำผ่านประตูห้องที่ลูกน้องเปิดรอไว้ เข้าไปด้านใน

ร่างของหลี่เสวียนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีสายระโยงระยางของเครื่องช่วยชีวิตติดตามตัว เม่อเห็นหน้าลูกชายชายสูงวัยก็พยักหน้บอกให้แพทย์ผู้รักษา ดึงที่ครอบปากช่วยหายใจออก

“อาเจิ้ง คุณจันทร์...”

หลี่เสวียนยกมือขึ้นช้าๆ เอ่ยทักทายลูกเมียเสียงแหบเครือ ใบหน้าแม้จะซูบตอบแต่ยังเหลือเค้าของความหล่อเหลาในวัยหนุ่มละม้ายลูกชายอยู่ไม่น้อย ดวงตายังคมกล้าเต็มไปด้วยบารมีอย่างผู้ที่อยู่เหนือผู้อื่นมาตลอดชีวิต แม้ยามเจ็บป่วยยังมิอาจละท่าทางอันทรนงลงแม้เพียงน้อย

“ไป่ฉี ให้ทุกคนออกไปก่อน” หลี่เสวียนหันไปบอกลูกน้องคนสนิท

เมื่อทุกคนออกไปแล้ว สามพ่อแม่ลูกจึงได้พูดคุยกันเป็นส่วนตัว คุณจันทร์ฉายนั่งกุมมือสามีไว้น้ำตาคลอหน่วยตาจนแดงก่ำ แต่ไม่ยอมร้องไห้ฟูมฟายออกมา หลี่เจิ้งเองก็จับมืออีกข้างของบิดาไว้ ความอบอุ่นและความห่วงใยจากลูกเมียทำให้หลี่เสวียนยิ้มบางๆ กำลังใจหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจจนเต็มเปี่ยม

“คุณจันทร์ ผมขอโทษที่เรียกคุณกับลูกมา ทั้งๆ ที่เคยสัญญากับคุณไว้แล้ว” เขาบอกภรรยาเสียงเบา ทอดมองภรรยาและลูกชายด้วยแววตาลุแก่โทษ

สามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดผิดสัญญาที่ให้ไว้กับคุณจันทร์ฉาย แต่ครั้งนี้เขาหมดหนทางจริงๆ หลี่เสวียนขยับมือกระชับมือของลูกชายและภรรยาไว้มั่น

“ฉันคุยกับลูกแล้วค่ะคุณเสวียน เจิ้งเข้าใจเรื่องของคุณแล้ว ลูกเลือกมาพบคุณด้วยความเต็มใจค่ะ” คุณจันทร์ฉายยิ้มให้สามี ขณะบอกให้เขาคลายใจ

“ผมเต็มใจมาพบคุณพ่อครับ” หลี่เจิ้งเอ่ยยืนยันอีกครั้ง เขามองหน้าบิดาด้วยแววตาแห่งความเข้าใจ

ความลับที่มารดาปกปิดมาตลอดชีวิตของเขาได้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวานนี้ ชายหนุ่มยอมรับว่าตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่า บิดาของเขาไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจธรรมดา หากมีอิทธิพลและเบื้องหลังแห่งความยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นเจ้าพ่อมาเฟียหัวหน้าแก๊งค์หงส์ไฟหนึ่งในสี่แก๊งค์ใหญ่ของฮ่องกง เขาไม่แปลกใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงได้ชอบอาวุธและการต่อสู้ สายเลือดของพ่อในตัวเขาทำให้เขาชื่นชอบสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง

คุณจันทร์ฉายแม่ของเขาพบรักกับหลี่เสวียนพ่อของเขาเมื่อครั้งเดินทางมาทำงานที่ฮ่องกง ความรักทำให้แม่ยอมเป็นเมียเล็กๆ ของพ่อ ซึ่งในตอนนั้นได้แต่งงานกับลูกสาวของอดีตหัวหน้าแก๊งค์หงส์ไฟ เพื่อสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์ พ่อไม่อาจจะเลิกราจากภรรยาแต่งมาอยู่กินกับแม่ได้ ชีวิตของมาเฟียอย่างพ่อต้องผจญกับศัตรูและการเข่นฆ่าทุกวี่วัน จนทำให้แม่ซึ่งรักความสงบเริ่มกังวลใจถึงอนาคต เมื่อแม่คลอดเขาออกมาแม่จึงตัดสินใจพาเขากลับเมืองไทย โดยขอสัญญาจากพ่อว่าจะไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการมาเฟียอย่างที่พ่อเป็น เขากับแม่จึงได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขมาจนถึงบัดนี้

“เมื่ออาทิตย์ก่อนคุณเหมยกับอาจินถูกลอบวางระเบิดที่รถ เขาสองคนตายแล้ว” หลี่เสวียนถอนหายใจยาว พยายามระงับความเสียใจไว้ในอก “อาจินกำลังจะขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งค์หงส์ไฟแทนผม แต่มาเกิดเรื่องเสียก่อน”

สองแม่ลูกมองหน้ากัน รับรู้ถึงความเจ็บช้ำของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้ดี หลี่เจิ้งหันไปสบตากับบิดาสายตาของท่าน ทำให้คนเป็นลูกสะท้อนใจ

“คุณพ่อจะให้ผมทำอะไรครับ” เขาเอ่ยถาม

“แก๊งค์หงส์ไฟต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง อาเจิ้งลูกเป็นทายาทคนเดียวของพ่อ ลูกต้องดูแลผู้คนของเราและปกป้องแก๊งค์หงส์ไฟให้ดำรงอยู่ต่อไป” หลี่เสวียนบีบมือลูกชายแน่น หอบหายใจแรงขึ้น จ้องหน้าเขานิ่งคล้ายต้องการฝากความหวังทั้งหมดไว้ในมือของหลี่เจิ้ง

ชายหนุ่มสบตากับบิดา แววตาของท่านทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธไหว เมื่อหันไปสบตากับมารดาเขากลับลังเลใจ รู้ดีว่าผู้เป็นแม่ ไม่ต้องการให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเดินตามรอยเท้าพ่อ หลี่เจิ้งรู้สึกสับสนจนไม่อาจให้คำตอบบิดาได้ในทันที

“คุณพ่อครับ ผม... ผมขอเวลาคิด”

หลี่เสวียนพยักหน้ารับ เข้าใจความรู้สึกของลูกชาย หลี่เจิ้งเคยชินกับชีวิตแบบสามัญชน ไม่เคยได้ข้องเกี่ยวกับวังวนของคนบาป แบบที่เขากับหลี่จินลูกชายคนโตพบพานมาทั้งชีวิต หลี่เจิ้งย่อมคิดหนักหากต้องรับปากทำหน้าที่นี้

“ไม่เป็นไร พ่อจะให้เวลาลูกคิด” หลี่เสวียนยิ้มให้ลูกชาย บีบมือเขาแรงๆ “ขอพ่อคุยกับแม่ของลูกสักครู่นะอาเจิ้ง”

“ครับคุณพ่อ”

หลี่เจิ้งขยับลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง ปล่อยให้พ่อกับแม่ได้พูดคุยกันตามลำพัง

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

สวนหย่อมบริเวณโรงพยาบาลเป็นที่ที่หลี่เจิ้งมานั่งเพื่อใช้ความคิด เขาทอดกายเอนหลังพิงม้านั่งปิดเปลือกตาลง อย่างต้องการให้ตัวเองหลบมุมอยู่ภายใน สิ่งที่บิดาขอร้องเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าควรทำตามหรือไม่ ความสุขสงบมาตลอดสามสิบกว่าปี ทำให้เขาลังเลใจที่จะหันหลังให้ชีวิตเรียบง่ายนั้น แล้วเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางที่ตัวเองไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน มันไม่ใช่ภาพยนตร์หรือนิยาย ที่ตัวละครจะสามารถตัดสินใจก้าวขาเข้าไปในวังวนคนบาป โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ต้องหวาดหวั่นหรือห่วงใยคนที่อยู่รอบกาย เขาไม่ได้ตัวคนเดียวยังมีภรรยาและลูกชายตัวน้อยให้ดูแล หากเข้าเลือกทำตามความต้องการของบิดา แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบกับลูกและภรรยา เพียงลดาภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายเธอคงปรับตัวไม่ได้หากต้องกลายมาเป็นภรรยาของมาเฟีย อาทิตย์ลูกชายของเขาจะต้องสืบทอดอำนาจต่อจากเขา ลูกจะถูกเขาดึงลงมาให้อยู่ในวังวนของเส้นทางสายบาปไปชั่วชีวิตของแก หลี่เจิ้งเจ็บปวดใจกับสิ่งที่เผชิญอยู่ จนหาทางออกให้ตัวเองไม่พบ

ปึ๊ก!!!

ลูกบอลลูกหนึ่งลอยละลิ่วมาจากทิศทางใดไม่รู้ กระแทกโดนเต็มหน้าอกของคนที่นั่งหลับตาอยู่ ทำให้สะดุ้งตกใจลืมตาขึ้นมอง มันไม่ถึงกับเจ็บมากแต่แรงกระแทกก็ไม่เบานัก หลี่เจิ้งหลุดจากภวังค์ความคิด ก้มลงหยิบลูกบอลบนพื้นขึ้นมา เขามองไปรอบๆ กายหาเจ้าของลูกบอลลูกนี้ คิ้วดกหนาขมวดนิ่วเมื่อเห็นเด็กสาวคนหนึ่งจูงเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของเขาเดินตรงมาหา

“คุณคะ ฉันขอโทษแทนน้องชายด้วยนะคะ” เสียงหวานใสของเด็กชายเอ่ยขอโทษเขาเบาๆ พร้อมกับจับหัวน้องชายให้ก้มลงขอโทษเขาด้วย

“เล่นอะไรต้องระวังบ้างนะเจ้าหนู เธอเป็นพี่ก็ควรดูแลน้องให้ดี ไม่ควรให้เอาบอลมาเตะเล่นในเขตโรงพยาบาลแบบนี้ ถ้าคนที่โดนบอลกระเด็นเข้าใส่เป็นผู้ป่วย เธอจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บนะ” หลี่เจิ้งถือโอกาสสั่งสอนสองพี่น้อง

“ผมขอโทษครับคุณอา พี่หลินหลินเตือนผมแล้ว แต่ผมดื้อเอง” เด็กชายยอมรับผิดด้วยตัวเอง เขาไม่อยากให้พี่สาวโดนคนอื่นตำหนิเพราะความซนของตัวเอง

“พี่ก็เป็นคนผิดเหมือนกันนะอาหลง ที่พี่ห้ามเธอไม่ได้” หลินหลินลูบศีรษะน้องชาย ปลอบโยนไม่ให้เขาเสียใจ

หลี่เจิ้งมองดูความรักของสองพี่น้องที่มีต่อกันอย่างเอ็นดู เด็กสาวดูจะอายุมากกว่าน้องชายหลายปี ท่าทางจะรักน้องมากจึงยอมรับผิดเองแบบนี้

“เอาล่ะ ไม่ต้องแย่งกันรับผิดเลย ฉันยกโทษให้ก็ได้” เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ส่งบอลคืนให้เด็กชาย “ถ้าเธออยากเตะบอลก็เตะเล่นตรงนี้ได้ ระวังอย่าให้กระเด็นไปที่อื่นอีก”

สองพี่น้องได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออก เด็กชายรีบรับบอลมาเตะเล่นทันที หลี่เจิ้งลงไปสอนเด็กชายเล่นบอลด้วย โดยมีสายตาของเด็กสาวนั่งมองชายหนุ่มกับน้องชายเล่นบอลด้วยแววตาชื่นชม นานหลายนาทีกว่าทั้งสองจะหยุดเล่นแล้วเดินมาพักเหนื่อย หลินหลินส่งน้ำให้ดื่มเธออาศัยช่วงที่ทั้งสองกำลังเพลินไปซื้อน้ำมาเตรียมไว้ให้

“น้ำค่ะ” เด็กสาวยื่นน้ำขวดหนึ่งให้หลี่เจิ้ง แล้วยื่นน้ำอีกขวดให้น้องชาย “ขอบคุณนะคะทีช่วยเป็นเพื่อนเล่นให้อาหลง ฉันเป็นผู้หญิงเล่นอะไรแบบนี้ไม่เป็น”

“ไม่เป็นไร ฉันเคยเล่นเตะบอลกับลูกชายบ่อยๆ น่ะ” หลี่เจิ้งยิ้มให้เด็กชาย เขาเปิดขวดน้ำแล้วยกดื่ม การเล่นเตะบอลกับเด็กชายทำให้เขาคลายเครียดไม่น้อย ปัญหาที่สุมอยู่ในหัวคล้ายถูกละวางไว้ชั่วคราว

“แล้วพวกเธอสองคนมาทำอะไรกันที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“คุณพ่อมาเยี่ยมคุณลุงหลี่ครับ ผมกับพี่หลินหลินเลยตามมาด้วย ลุงหลี่เป็นเพื่อนของคุณพ่อครับ” เด็กชายตอบ

หลี่เจิ้งยกคิ้วสูง นึกสงสัยว่าลุงหลี่ของเด็กชายจะใช่คนเดียวกับบิดาของเขาหรือเปล่า แต่คนแซ่หลี่มีมากมายอาจจะไม่ใช่คนเดียวกันก็ได้

“ใช่คุณหลี่เสวียนหรือเปล่า” เขาลองถามดู

“ใช่ค่ะ คุณรู้จักคุณลุงหลี่ด้วยหรือคะ”

หลินหลินมองหน้าเขาอย่างระแวง เด็กสาวดึงแขนน้องชายให้ขยับออกห่าง บิดาของเธอมาเฟียใหญ่เป็นหัวหน้าแก๊งค์มังกรคนปัจจุบัน แม้เธอกับน้องจะถูกส่งตัวไปเรียนที่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก การกลับมาเยี่ยมบ้านแต่ละครั้งบิดาจะส่งคนมาดูแลอย่างดีกำชับให้ลูกสาวระแวดระวังภัยเสมอ ซึ่งอาจมีคนไม่หวังดีคิดปองร้ายเธอกับน้องชายได้ หากรู้ว่าเธอกับน้องเป็นลูกใคร

“ฉันทำงานกับคุณหลี่น่ะ” หลี่เจิ้งไม่ยอมเปิดเผยว่าเขาเป็นใคร

“อ้อ เหรอคะ” หลินหลินคลายท่าทีระแวงลงไป “คุณคงรู้เรื่องของคุณป้าหลี่กับพี่จิน คุณลุงหลี่เสียใจมากที่ทั้งสองถูกฆ่าตาย เห้อ... น่าสงสารจริงๆ”

หลินหลินนึกถึงพี่จิน หรือหลี่จินลูกชายของหลี่เสวียนขึ้นมา เธอมีโอกาสได้พบเขาหลายครั้งเพราะบิดาของเธอสนิทสนมกับหลี่เสวียน หากเธอโตกว่านี้บิดาของเธอคงยกเธอให้แต่งงานกับหลี่จินไปแล้ว ตอนนี้เขามาตายจากไปไม่มีผู้สืบทอดทอดตำแหน่งแทนผู้เป็นพ่อ หลี่เสวียนกำลังกลุ้มใจไม่น้อย เด็กสาวได้ยินบิดาคุยกับมารดาของเธอว่า หลี่เสวียนยังมีลูกชายอีกคนอยู่ที่เมืองไทย หากลูกชายคนนี้ยอมรับตำแหน่งแทน บิดาของเธอคงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการขัดแย้งกับผู้นำคนใหม่ของแก๊งค์หงส์ไฟ

“เธอสนิทกับบ้านของคุณหลี่มากหรือ” หลี่เจิ้งให้ความสนใจสาวน้อยมากขึ้น

“คุณพ่อของฉันท่านเป็นเพื่อนกับคุณลุงหลี่ค่ะ ท่านทั้งสองเป็นพันธมิตรด้านการค้าและเรื่องงานกันค่ะ”

หลินหลินไม่เอ่ยถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากกว่านั้น แต่คนฟังพอรู้ว่าพันธมิตรที่พูดถึง หมายความว่าอย่างไร บิดาของเด็กสาวคงเป็นพวกมาเฟียเหมือนกับหลี่เสวียน

“เธอคิดยังไงกับงานที่พอเธอทำ” หลี่เจิ้งลองเปรยขึ้น เขาอยากรู้ความคิดของลูกสาวคนที่เป็นมาเฟีย

หลินหลินยิ้มเนือยๆ สบตาคมกริบของเขานิ่ง“ฉันเคยรู้สึกไม่ชอบงานของคุณพ่อค่ะ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย ไม่อยากให้อาหลงสืบทอดงานที่พ่อทำ แต่ตอนนี้ความคิดของฉันเปลี่ยนไปแล้วค่ะ”

“อะไรทำให้เธอเปลี่ยนความคิด ช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจที” หลี่เจิ้งเอ่ยถาม

“คุณลุงหลี่ค่ะ ท่านทำให้ฉันเปลี่ยนความคิดนี้ “ เด็กสาวผ่อนลมหายใจยาว รวบรวมความคิดของตัวเองกลั่นเป็นถ้อยคำให้เขารับรู้ “เมื่อสองวันก่อน อาการของคุณลุงหลี่โคม่า โชคดีที่หมอยื้อชีวิตของท่านไว้ได้ ตอนนั้นฉันมาเยี่ยมท่านกับคุณพ่อ ฉันเห็นสายตาของคุณพ่อที่มองเพื่อนรักอย่างเศร้าใจ ทำให้ฉันอดถามท่านไม่ได้ว่าทำไมพ่อถึงเป็นแบบนั้น”

หลินหลินยังจำสายตาของผู้เป็นพ่อ ยามทอดมองร่างไร้สติของเพื่อนรักได้ แววตาของท่านอ่อนแสงลงมีความระทดท้ออยู่ภายใน เหมือนท่านกำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่นอนอยู่

“พ่อของฉันพูดว่า หลินหลิน ถ้าวันหนึ่งพ่อเป็นเหมือนลุงหลี่ พ่อจะยังมีลูกกับอาหลงอยู่ข้างๆ ใช่ไหม ถ้าพ่อตายไปลูกกับอาหลงจะดูแลแม่ จะสืบทอดแก๊งค์มังกรของเราต่อไปใช่ไหม ท่านถามฉันแบบนี้ค่ะ” หลินหลินสบตากับหลี่เจิ้ง แววตาของเด็กสาวเป็นประกายวาวกล้า เมื่อเอ่ยจบ

“แล้วเธอตอบท่านไปว่ายังไง” หลี่เจิ้งถามเสียงแผ่ว

“ฉันตอบท่านว่า เมื่อฉันเกิดเป็นลูกของท่าน ฉันย่อมเดินตามรอยเท้าท่าน ลูกเสือย่อมไม่ทำตัวเหมือนลูกสุนัข ลูกมังกรย่อมเป็นมังกรไม่ใช่งูดิน ต่อให้ฉันมีทางเลือกฉันก็จะเลือกเดินตามรอยเท้าของท่าน”

คำพูดของเด็กสาวทำให้คนฟังรู้สึกทึ่ง เขามองใบหน้าอ่อนใสของเด็กสาวนิ่ง เห็นแววตาทระนงในศักดิ์ศรีและภาคภูมิใจของเธอฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้น

“ฉันไม่อาจหันหลังให้สิ่งที่พ่อของฉันสร้างขึ้นมาได้ ถ้าฉันทิ้งท่านหันหลังให้ท่านด้วยความเห็นแก่ตัว รักความสุขสบาย ปล่อยให้สิ่งที่ท่านสร้างมาทั้งชีวิตต้องพังลงไป ฉันคงไม่ต่างจากลูกอกตัญญู ไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่อ”

ถ้อยคำประโยคนี้กระแทกใจคนฟังจนจุก หลี่เจิ้งย้อนคิดถึงตัวเอง เขากำลังเห็นแก่ตัวโดยคิดหันหลังให้ผู้ให้กำเนิด เมื่อสองวันก่อนพ่อของเขาเกือบจากไป แต่ท่านก็กลับฟื้นขึ้นมาเพื่อจะรอพบเขา หลี่เจิ้งตัดสินใจได้ในนาทีนั้นว่าเขาควรทำอย่างไร

“ขอบใจมากนะสาวน้อย คำพูดของเธอทำให้ผู้ใหญ่อย่างฉันคิดได้” เขากุมมือเล็กของเธอ ยิ้มให้อย่างขอบคุณ

หลินหลินหน้าแดง แต่ไม่ดึงมือออกจากการเกาะกุมของหนุ่มใหญ่ สาวน้อยมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยแววตาเคลิ้มไหว ก่อนจะรู้สึกตัวแก้มร้อนวูบ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอเพิ่งรู้จักผู้ชายคนนี้ รีบดึงมือออกจากมือหนา ลุกขึ้นจูงแขนน้องชายเดินหนีไป โดยไม่ยอมร่ำลาเขาสักคำ

เด็กสาวคงไม่รู้ว่า คำพูดของเธอในวันนี้ ได้เปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งไปตลอดกาล และวันหนึ่งข้างหน้าผู้ชายคนนี้ จะมีอิทธิพลต่อชีวิตของเธอและน้องชาย...

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

มาอัพเป็นตอนแรกแล้วนะคะ

นิยายเรื่อง มลทินสวาทมาเฟีย เป็นภาคปฐมบทของ นิยายเรื่อง ทัณฑ์สวาทมาเฟียและอาญาสวาทมาเฟีย เป็นเรื่องราวของ หลี่เจิ้ง พ่อของหลี่ไท่หยาง ในทัณฑ์สวาทมาเฟีย กับ จางหลินหลิน

พี่สาวของจางหลง แม่ของเจนนี่ ใน อาญาสวาทมาเฟียค่ะ



นิยายเรื่องนี้ อาจจะไม่หวือหวามาก ตามสไตล์การเขียนของผู้เขียนเอง

แต่พยายามดำเนินเรื่องและให้มีหลากหลายรสชาติ ดราม่าบ้าง บู๊บ้าง เลิฟซีนบ้างเล็กน้อยพอเป็นกษรัยไม่ให้จืดเกินไป หวังว่าคงจะถูกใจผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ



ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ

รวิญาดา/ผการุ้ง



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.พ. 2556, 11:33:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.พ. 2556, 11:33:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 2731





<< แนะนำตัวละคร นิยาย มลทินสวาทมาเฟีย   ตอนที่ 2.เส้นทางที่เลือกเดิน 50% >>
คิมหันตุ์ 7 ก.พ. 2556, 13:45:02 น.
รอติดตามจ้า


เคสิยาห์ 7 ก.พ. 2556, 22:41:04 น.


shotang 13 มี.ค. 2556, 21:52:18 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account