แปรใจมาใส่รัก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาใหม่ สามสิ่งในชีวิตที่มนัสภรณ์รับรู้ก็คือ รอยแผลจากกระสุน พลังจิตที่ติดตัวเธอมา และ...อดีตอันว่างเปล่า...
เธอจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน และเหตุใดจึงถูกปองร้าย
อดีตอันว่างเปล่าเกาะกินหัวใจเธอในทุกคืนวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้มาเจอกับภูมินันท์ ชายหนุ่มผู้เข้ามาเติมเต็มให้กับชีวิตอันแสนว่างเปล่า
ทว่า ชีวิตในฝันก็กลับต้องมีอันพังทลายลง เมื่อความจริงบางอย่างในความทรงจำที่เคยสูญหาย ตรงเข้าเล่นงานเธออย่างแสนสาหัส
Tags: เหนือธรรมชาติ รักซึ้งกินใจ ภพนิพิฐ ภรภัทร ภูมินันท์ ทอฟฟี่ ทิพรดา พลังจิต นิมิต

ตอน: บทที่2


เรื่องราวตลอดหกเดือนของมนัสภรณ์ถูกบอกเล่าผ่านริมฝีปากเล็กๆ ของหญิงสาว ผู้ที่เขาจดจำได้ดีว่าเธอคือกษมา บุตรสาวเพียงคนเดียวของเกศมณี ซึ่งหายสาบสูญไปเมื่อหกเดือนก่อน ตลอดระยะเวลาที่ภูมินันท์ฟังหญิงสาวเล่าเรื่องราวต่างๆ ชายหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า โชคชะตาช่างเล่นตลกกับผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาชีวิตของเธอประสบเคราะห์กรรมทั้งเรื่องเลวร้ายและโชคดีผันผ่านเข้ามามากมาย

“งั้นก็แสดงว่าจับคนร้ายไม่ได้สิ” ภูมินันท์สรุปในที่สุด หลังจากนั่งฟังเธอเล่าเรื่องราวต่างๆ มาเกือบชั่วโมง
“ค่ะ ในที่เกิดเหตุไม่มีอะไรมากไปกว่าปลอกกระสุนที่ตกอยู่ แล้วฉันก็ไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ กับทางตำรวจได้เลย”
“อาจเป็นการพยายามฆ่าชิงทรัพย์ เพราะกระเป๋าถือของคุณก็หายไป” ภูมินันท์สันนิษฐาน “แต่ก็น่าแปลก ถ้าต้องการชิงทรัพย์จริง ทั้งแหวนทั้งตุ้มหูเพชรก็ไม่น่าหลุดรอดเงื้อมือพวกมันไปได้”
“ฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่าพวกมันต้องการอะไรกันแน่ แต่แค่มีชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว”

ชายหนุ่มเพิ่งได้มีโอกาสเห็นแผลเป็นจากการโดนยิง ในตอนแรกภูมินันท์นึกว่าหญิงสาวมีรอยแผลเป็นเล็กๆ บริเวณเหนือคิ้วด้านซ้าย แต่พอเธอเสยผมที่ถูกสไลด์ลงมาปิดบริเวณด้านหน้าขึ้น คนไม่เคยหวาดกลัวอะไรก็จำต้องกลืนน้ำลายลงด้วยความผวา เมื่อเห็นรอยแผลเป็นทางยาวพาดผ่านตามไรผม ตั้งแต่กลางศีรษะของหญิงสาวลงมาจนถึงเหนือใบหูด้านซ้าย แม้รอยบาดแผลจะยาว แต่ด้วยฝีเย็บที่ประณีต ก็ทำให้ดวงหน้ารูปไข่ของหญิงสาวเบื้องหน้ายังคงความงามได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเดิม

“ไหนคุณบอกถูกแค่เศษกระสุนฝังใน แล้วรอยนี้ล่ะ” ชายหนุ่มอดถามถึงรอยแผลใหญ่บนศีรษะเธอไม่ได้
นิ้วเรียวถือวิสาสะเอื้อมมาปัดปอยผมของเธอขึ้นมองอีกครั้ง
“รอยผ่าตัดค่ะ เพราะกะโหลกศีรษะยุบลงไปหน่อยตอนโดนกระสุน แล้วก็มีเลือดออก หมอเลยต้องผ่าตัดเปิดหนังศีรษะเข้าไปเพื่อเอาเลือดที่คั่งออก” มนัสภรณ์อธิบายตามที่เธอได้ยินมาจากแพทย์ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรเลยหลังการผ่าตัด” เธอเสริมทันทีเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของคนฟัง

“ได้ยินแบบนั้น ผมก็ค่อยเบาใจหน่อย”
“ทีนี้ตาคุณดีกว่า ตกลงจะบอกฉันได้รึยังคะว่าฉันเป็นใคร”
อาการใจร้อน อยากรู้เรื่องราวของตนเอง จุดรอยยิ้มอ่อนๆ ขึ้นบนริมฝีปากหยักโค้ง
“ได้สิ ถึงผมจะไม่รู้เรื่องคุณดีเท่าไรนัก แต่ก็พอรู้อยู่บ้างคร่าวๆ คุณชื่อกษมา เป็นลูกสาวคนเดียวของน้าเกศมณี”
“เราเป็นญาติกันเหรอคะ” มนัสภรณ์ถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหู นัยน์ตาโตเบิกกว้างขึ้น
ก็แหม ตัวเธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีญาติที่หล่อเลิศขนาดนี้นี่นา...

อากัปกิริยาของหญิงสาวซึ่งเผลอมองเขาเต็มตา สร้างความรู้สึกประหลาดขึ้นในหัวใจคนถูกมองไม่น้อย หากก็เป็นเพียงแค่ชั่ววูบเดียว เมื่อภูมินันท์สามารถปัดมันทิ้งไปได้อย่างรวดเร็ว
“เปล่า แต่แม่ของเราสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ผมก็เลยพอทราบเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณบ้าง” ภูมินันท์บอกพลางส่งรูปในโทรศัพท์มือถือให้อีกฝ่ายดู
“นี่ฉันเหรอคะ” มนัสภรณ์ถามด้วยความตกใจ
หญิงสาวไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถแต่งกายอยู่ในชุดเกาะอกแสนสั้นขนาดนี้ได้มาก่อน
“ใช่ นี่เป็นรูปจากงานแต่งงานของพี่ชายผม ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ คุณนี่ก็น้ามณี คุณแม่ของคุณ” ภูมินันท์จิ้มนิ้วลงมายังสตรีข้างกายหญิงสาว

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ไม่ว่ามนัสภรณ์จะใช้ความคิดมากมายเพียงใด หญิงสาวก็ไม่อาจจดจำสิ่งใดเกี่ยวกับบุพการีได้เลย
“ฉันจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ” เธอสารภาพออกมาในที่สุด
แววตาว้าเหว่และเต็มไปด้วยความอ้างว้างของผู้หญิงตรงหน้า จุดความอาทรขึ้นในดวงตาคมทันที
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ คิดไปเดี๋ยวก็คงจำได้เอง น้ามณีไม่ว่าอะไรคุณหรอก เพราะแค่การได้รู้ว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ เท่านั้นก็มากเกินพอกับสิ่งที่คุณน้าเฝ้าภาวนาแล้ว” ภูมินันท์บอกพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆ เรียกกำลังใจให้กับคนที่นั่งมองอยู่ไม่น้อย

“คุณจะพาฉันกลับบ้านเหรอคะ”
แม้อดีตจะเป็นเพียงความว่างเปล่าสำหรับตัวเธอ แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันเวลาที่ผ่านเลยมา เธอยังโหยหาและปรารถนาจะรับรู้ในอดีตที่เคยลืมเลือนไป ดังนั้น ต่อให้จดจำสิ่งใดไม่ได้เลย เธอก็ปรารถนาจะรู้และกลับไปเป็นเจ้าของอดีตที่เคยทำหล่นหายไป
มือหนาวางลงบนศีรษะทุยของคนตรงหน้า อาการลูบปลอบโยนจากฝ่ามือแกร่งช่วยให้หญิงสาวมีความหวัง
“กลับสิครับ ผมจะพาคุณกลับบ้านเอง อย่าห่วงเลย” ภูมินันท์ให้คำยืนยันหนักแน่น

แม้จะตัดสินใจกลับบ้าน แต่ก็ใช่ว่าสองหนุ่มสาวจะสามารถกลับกรุงเทพได้ในทันที เนื่องจากภูมินันท์เองก็ยังคงติดประชุมวิชาการอยู่อีกสองวัน แถมมนัสภรณ์ก็เริ่มเกิดอาการหวาดกลัวกับอนาคตที่มองไม่เห็น ดังนั้นภูมินันท์จึงเลือกหาทางออกในครั้งนี้ด้วยการเดินทางกลับกรุงเทพตามกำหนดเวลาเดิม เพื่อให้เวลาหญิงสาวได้ทำใจและบอกลาเพื่อนหลายคนที่เคยมีบุญคุณกับเธอที่นี่
“จริงเหรอหนูนัส เธอเจอครอบครัวของเธอแล้วเหรอ” ชลรดาถามด้วยความตื่นเต้นดีใจทันทีที่พบหญิงสาวที่โรงพยาบาล

บ่ายวันนี้ภูมินันท์ตัดสินใจไม่กลับเข้าห้องประชุม เนื่องจากหัวข้อการประชุมในวันนี้ไม่ได้มีเรื่องใดสำคัญนัก ชายหนุ่มจึงขับรถพาหญิงสาวมายังโรงพยาบาลเพื่อขอพบแพทย์ที่เคยเป็นเจ้าของไข้เธอ โดยปล่อยมนัสภรณ์ไว้กับนางพยาบาลสาวบริเวณชั้นล่างของโรงพยาบาล
“ยังไม่เจอค่ะพี่รดา แต่แค่คิดว่าน่าจะใช่แหละ คุณภูมิเล่าเรื่องราวของนัสออกมาได้อย่างไม่ติดขัด ถึงจะจำไม่ได้แต่นัสก็เชื่อว่าเขาคงไม่โกหกนัสหรอกค่ะ”
“นั่นสิ ภูมิฐานซะขนาดนั้น แถมยังเป็นถึงดอกเตอร์ด้วย คงไม่เอาเรื่องพวกนี้มาล้อเล่นกันหรอก”
“คุณภูมินันท์เหรอคะเป็นดอกเตอร์” มนัสภรณ์ถามด้วยความตกใจ

“อ้าว ไม่รู้เหรอ นั่นดอกเตอร์ภูมินันท์ ภพนิพิฐ เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ” ชื่อของมหาวิทยาลัยดังที่เอ่ยออกมาจากปากชลรดาสะดุดหูมนัสภรณ์อย่างแรง แต่เธอก็ยังคงนิ่งเงียบรอฟังอีกฝ่ายพูดต่อไป “เห็นว่าเขาเป็นอาจารย์สอนด้านการเงินหรือไงนี่แหละ พี่เองก็ไม่ค่อยเข้าใจวิชาการพวกนี้เท่าไร แต่เหมือนเขาจะมาที่จังหวัดเราเพราะมีประชุมกับพวกอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัด”
“อ้อ ค่ะ” มนัสภรณ์พยักหน้ารับ แต่ในใจยังอดสงสัยถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจตนเอง
เธอคงรู้จักภูมินันท์จริงๆ นั่นแหละ เพราะแวบแรกที่เห็นเขาก็รู้สึกราวกับคนคุ้นเคย แถมพอได้ยินว่าเขาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เธอก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก... มนัสภรณ์คิดด้วยความรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวหวังว่าอนาคตที่รอเธออยู่อาจจะนำความคุ้นเคยหรือความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมา
“แล้วนี่หนูนัสจะกลับกรุงเทพเมื่อไร”

“อีกสองวันค่ะ คุณภูมิขอเคลียร์งานตัวเองให้เสร็จก่อน แล้วจะพานัสกลับบ้านค่ะ”
“เขาดูเป็นคนใจดีมากเลยนะ” ชลรดาเปรย
“ค่ะ ใจดีมากเลย ทั้งๆ ที่นัสกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันเลย” มนัสภรณ์บอก พลางเล่าถึงความสัมพันธ์ของภูมินันท์และกษมาว่าเป็นเพียงแค่คนรู้จัก เนื่องจากมารดาของทั้งสองสนิทกัน
“โชคดีแล้วล่ะหนูนัส อีกไม่นานหนูก็จะได้กลับไปเจอครอบครัวของตัวเองแล้ว”
“ขอบคุณนะคะพี่รดา ถ้าไม่มีพี่กับน้าตา นัสคงแย่มากๆ เลย” มนัสภรณ์โผเข้ากอดนางพยาบาลสาวด้วยความตื้นตัน
สองสาวนั่งคุยกันอยู่นานจนกระทั่งภูมินันท์เดินกลับลงมา ชายหนุ่มจึงขับรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อพาเธอกลับมาส่งยังห้องพัก

“คุณหมอว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องของนัสบ้างคะ” มนัสภรณ์ถามขึ้นทันทีเมื่อขึ้นมาอยู่บนรถด้วยกัน
“นัส?” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง ก่อนจะเข้าใจในชื่อเรียกของอีกฝ่าย “ชอบชื่อนัสเหรอ” ชายหนุ่มอาศัยจังหวะรถติดไฟแดง หันหน้ามาถาม
“ค่ะ นัสชินกับชื่อนี้มากกว่า กษมาหรือกิ๊ปที่คุณภูมิเรียก ชื่อนั้นมันดูไม่ใช่ตัวนัสยังไงไม่รู้”
“ก็แค่ยังไม่ชินมากกว่า” ภูมินันท์ให้เหตุผล
“อาจเป็นได้ค่ะ” หญิงสาวพึมพำตอบ แต่อดเถียงในใจไม่ได้ว่า เธอไม่เห็นรู้สึกเช่นนั้นเลย ชื่อที่ชายหนุ่มเรียกขานเธอ มันราวกับไม่ใช่เธอ แต่เป็นใครคนอื่นเสียมากกว่า

“อ้อ หมอบอกว่าผลเอ็กซเรย์สมองของคุณไม่มีอะไรผิดปรกติเลย พูดตรงๆ ก็คือเขาเองก็หาสาเหตุไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมคุณถึงสูญเสียความทรงจำ”
“แล้วความทรงจำของนัสจะกลับคืนมาไหมคะ” มนัสภรณ์ถามด้วยความกังวล
“ทั้งผมทั้งหมอเองก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้ มันอาจจะค่อยๆ กลับคืนมาเมื่อคุณได้กลับไปใช้ชีวิตปรกติตามเดิมก็เป็นได้” ภูมินันท์บอกด้วยน้ำเสียงให้กำลังใจ
เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสวย
“จริงอย่างที่คุณภูมิพูดค่ะ เพราะนัสยังจำคุณได้เลย”

“จำผมได้? คุณน่ะเหรอ? ตอนไหนกัน” ชายหนุ่มรัวถามด้วยความสงสัย
“ก็ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นคุณนั่นแหละค่ะ นัสรู้สึกคุ้นเคยกับคุณยังไงไม่รู้ เหมือนคนเคยรู้จักกันมาก่อน” มนัสภรณ์เล่าความรู้สึกแรกที่พบชายหนุ่มให้ฟัง
ภูมินันท์ขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความสงสัย เขากับกษมาเนี่ยนะคุ้นเคยกัน เจอกันทีไร เธอยังไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย... ชายหนุ่มนึกบ่นในใจอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เนื่องจากไม่อยากไปขัดความรู้สึกดีๆ ที่อีกฝ่ายมี

เมื่อเช้าตรู่ของวันที่สามมาถึง ภูมินันท์ก็ขับรถมารับหญิงสาวยังอพาร์ตเมนต์ของเธอ ร่างสูงโปร่งของมนัสภรณ์ยืนรอเขาอยู่ โดยมีเพียงกระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่นัก ซึ่งชลรดายกให้เธอเป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย
“ของมีแค่นี้ใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถามขณะยกกระเป๋าเดินทางไปใส่ท้ายรถ
“ค่ะ นัสไม่ได้เอาอะไรไปเลย พวกข้าวของเครื่องใช้ก็ยกให้พี่รดาไปหมดแล้ว”
“ดีแล้ว ที่บ้านคุณไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้หรอก ความจริงเสื้อผ้าพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าคุณกลับไปดูเสื้อผ้าตัวเองในบ้าน คุณอาจจะโยนเสื้อพวกนี้ทิ้งหมดก็ได้” ภูมินันท์บอกเมื่อกวาดสายตามองเสื้อผ้าที่หญิงสาวใส่อยู่
เสื้อยืดคอกลมและกางเกงยีนส์สีซีด ดูอย่างไรก็น่าจะเป็นสินค้ามือสอง ช่างขัดกับบุคลิกสาวสังคมจัดอย่างกษมาที่เขาเคยเห็นมาเหลือเกิน

“ทำไมล่ะคะ เมื่อก่อนนัสแต่งตัวยังไงเหรอคะ” นัยน์ตาหวานเงยขึ้นมองอีกฝ่าย
ภูมินันท์เลยได้แต่กัดฟัน นึกโทษตัวเองว่าเขาไม่ควรนำอคติเก่าๆ มาพูดใส่คนที่จำอะไรไม่ได้ในตอนนี้
“คุณเป็นคนแต่งตัวเก่ง และค่อนข้างตามแฟชั่น ผมเลยคิดว่าที่บ้านคุณน่าจะมีเสื้อผ้าอยู่เยอะพอสมควร”
“ฟังดู เมื่อก่อนนัสเป็นคนไม่มีอะไรดีเลยรึเปล่าคะ” มนัสภรณ์อดถามไม่ได้ สงสัยกับภาพลักษณ์ของตัวเองในอดีตขึ้นมาทันที
“ไม่จริงเลย คุณเป็นคนเก่งมากนะ เรียนจบโทมาจากอังกฤษด้วยคะแนนเกียรตินิยม แถมยังได้ทำงานเป็นนักตกแต่งภายในของอาร์ทแอนดีไซด์ด้วย บริษัทนี้ถ้าฝีมือไม่แน่จริง เข้าไปไม่ได้หรอก” ภูมินันท์เอ่ยชื่อบริษัทรับตกแต่งภายในรายใหญ่ของเมืองไทยให้หญิงสาวฟัง

“ฟังดูแล้ว นั่นดูไม่เป็นนัสเลยนะคะ”
“กษมาก็คือคุณแล้วนะตอนนี้ คุณแค่ลืมมันไปชั่วขณะเอง อย่าห่วงเลย อีกไม่นานก็จดจำได้เอง”
มือหนาของชายหนุ่มเปิดประตูรถให้หญิงสาวขึ้นไปนั่ง ไม่นานบีเอ็มดับบลิวสีดำก็แล่นออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ พาสองหนุ่มสาวตรงกลับกรุงเทพ แต่เพราะการขับรถกลับกรุงเทพในครั้งนี้ ภูมินันท์ขับรถกลับมาเพียงลำพังกับมนัสภรณ์ ไม่ได้มีอาจารย์คนอื่นติดรถมาด้วยเพื่อช่วยเขาขับรถเหมือนตอนขามา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแวะพักระหว่างทางหนึ่งคืนที่จังหวัดพิษณุโลก
“เป็นเพราะนัสใช่ไหมคะ คุณภูมิเลยไม่ได้มาพักร้อนอย่างที่ตั้งใจ” มนัสภรณ์ถามเสียงอ่อย

หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าหลังเสร็จงาน ภูมินันท์มีแผนงานจะหยุดพักร้อนกับเพื่อนอาจารย์ที่เชียงใหม่ ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจขับรถขึ้นมาเชียงใหม่แทนการนั่งเครื่อง เพราะหวังจะใช้เวลาวันหยุดไล่ตระเวนขับรถเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนอาจารย์ไปทั่วภาคเหนือ แต่แผนการของเขาทั้งหมดก็กลับต้องเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เมื่อเขาได้มาพบกับมนัสภรณ์ ภูมินันท์เลยตัดสินใจยกเลิกการพักร้อน ด้วยการพาเธอกลับกรุงเทพ
“เรื่องเที่ยวไว้มาเมื่อไรก็ได้ ส่วนเพื่อนๆ ผมเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก ยังมีเพื่อนอีกหลายคนขับรถขึ้นมาเชียงใหม่ พวกเขาคงตระเวนขับรถเที่ยวได้สบาย ไม่เห็นต้องคิดมากเลย” ภูมินันท์บอกอย่างไม่เห็นด้วยนัก
สายตาของชายหนุ่มไม่ได้หันมามองเธอ เมื่อเขากำลังกวาดตามองหาโรงแรมเพื่อเข้าพักในวันนี้ ภูมินันท์จึงไม่ได้เห็นความหวั่นใจปรากฏอยู่ในแววตากลมโตสีน้ำตาลคู่สวย

“แล้วคุณภูมิบอกทางบ้านของนัสรึยังคะว่านัสจะกลับไป” มนัสภรณ์รวบรวมความกล้า ตัดสินใจถามออกไป
“ยัง ไม่รู้จะบอกน้ามณียังไงเรื่องที่คุณจำอะไรไม่ได้ เลยคิดว่ารอให้เจอตัวก่อนดีกว่า”
“แล้วคุณมณี...เอ่อ... คุณแม่จะดีใจใช่ไหม ถ้านัสกลับไป”
คำถามแปลกๆ พร้อมกับน้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเล ไม่แน่ใจ ทำให้คนที่กำลังมีสมาธิอยู่กับการขับรถหันมามองด้วยความประหลาดใจ
“ดีใจสิ ลูกสาวที่เคยคิดว่าตายไปแล้วกลับมาบ้าน ไม่มีแม่คนไหนไม่ดีใจหรอก”
ชายหนุ่มงุนงงเล็กน้อยว่าผู้หญิงอย่างกษมากลายเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่มั่นใจในตัวเองไปได้อย่างไร ตัวตนของผู้หญิงคนนี้ในความรู้สึกของเขาค่อนข้างห่างไกลจากคำว่าชอบพอและสนิทสนม เนื่องจากกษมามักมีบุคลิกเชื่อมั่นในตัวเองและกล้าแสดงออกเสียจนบางครั้งก็ออกจะเป็นการข่มอีกฝ่ายเมื่อได้อยู่ด้วย

ครั้งหนึ่งเมื่อตอนกษมากลับมาจากอังกฤษใหม่ๆ ภูมินันท์เคยชวนหญิงสาวไปออกเดทด้วยกัน แต่เดทครั้งนั้นกลับกลายเป็นความน่าเบื่อหน่าย เมื่อต่างฝ่ายต่างมีความชอบแตกต่างกัน และกษมาเองก็มีบุคลิกติดจะหยิ่งๆ และมั่นใจในตัวเองมากเสียจนขนาดหนุ่มเพลย์บอยแต่ไม่เคยคิดเอาใจใครอย่างเขา คร้านจะนึกอยากสานความสัมพันธ์
คิดว่าผู้ชายทั้งโลกจะต้องสนใจตัวเองหมดหรืออย่างไรกัน... นั่นคือความคิดที่เคยมีต่อหญิงสาวเมื่อหลายปีก่อน
แต่มาในวันนี้ ภาพของกษมาที่เคยติดตากลับแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวผู้นั่งอยู่ข้างกายเขาในวันนี้ไม่ต่างจากเด็กน้อยหลงทาง เธอหวั่นเกรงไปกับทุกเรื่องเมื่อไม่รู้ว่าสิ่งใดในอนาคตกำลังรอเธออยู่
มือหนาตัดสินใจละจากพวงมาลัย เอื้อมมาลูบศีรษะทุยของคนข้างกาย

“อย่าคิดมาก ทุกคนที่อยู่รอบกายคุณล้วนแต่รักแล้วก็หวังดีกับคุณเสมอ ถึงคุณจะจำอะไรไม่ได้ แต่บ้านก็ยังเป็นครอบครัวที่ให้ความสุขกับคุณได้เสมอ” กิริยาปลอบโยนของชายหนุ่ม พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มช่วยคลายความกังวลในหัวใจเธอได้เป็นอย่างมาก
“ขอบคุณค่ะ คุณภูมิพูดถูก นัสไม่ควรกังวลมากไปจนเกินเหตุ” มนัสภรณ์บอกพร้อมรอยยิ้มฉีกกว้างอย่างที่เขาไม่เคยเห็นเธอยิ้มเช่นนี้ให้ใครมาก่อน
หัวใจของคนมองกระตุกเล็กน้อยกับรอยยิ้มสดใส ไร้เดียงสาของคนข้างกาย แต่ก็เพียงไม่นานภูมินันท์ก็สามารถสลัดความรู้สึกประหลาดออกไปจากหัวใจเขาได้ ชายหนุ่มจึงชักชวนหญิงสาวลงมาสอบถามห้องพักสำหรับค่ำคืนนี้

ไม่นานภูมินันท์ก็จองห้องพักโรงแรมสองห้องซึ่งมีประตูเชื่อมติดกันให้ตัวเขาและมนัสภรณ์ หลังจากขนกระเป๋าขึ้นมาถึงห้องพักแล้ว เขาก็นัดแนะกับเธอถึงเวลาอาหารเย็นที่จะลงไปทานด้วยกัน
“จะอาบน้ำก่อนไหม เดี๋ยวสักหกโมงเย็นค่อยลงไปหาอะไรทานกัน” ภูมินันท์ชะโงกหน้ามาถามผ่านทางประตูเชื่อมระหว่างห้อง
“ได้ค่ะ” มนัสภรณ์รับคำ ก่อนปิดบานประตูลง
เพราะความเหนื่อยอ่อนจากการนั่งรถมาตลอดวัน หลังจากกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หญิงสาวก็เผลอหลับไปในที่สุด กว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงครึ่ง
“ตายแล้วยายนัส คุณภูมินัดแกหกโมงไม่ใช่เหรอ” เสียงหวานบ่นงึมงำกับตัวเอง

ร่างบางลนลานลงจากเตียง รื้อข้าวของจากกระเป๋าเดินทาง ตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำเวลาให้ทัน เนื่องจากเธอยังไม่อยากผิดนัดแรกกับชายหนุ่ม
มนัสภรณ์ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก ร่างโปร่งระหงห่อหุ้มด้วยผ้าขนหนูก็ก้าวข้ามอ่างอาบน้ำมายืนอยู่ตรงหน้ากระจกเครื่องแป้ง มือบางกำลังจะคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่ พลันสายตาของเธอก็กวาดพบเพียงความว่างเปล่าบนขอบอ่างล้างหน้า
“อ้าว ลืมหยิบเสื้อเข้ามาเหรอเนี่ย” เสียงหวานบ่นงึมงำกับความสะเพร่าของตัวเอง
หากเพียงวินาทีเดียว เมื่อหญิงสาวหลับตาลง ยื่นมือออกไปเบื้องหน้า ในความมืดมิดอันปราศจากแสงสว่าง สมองของมนัสภรณ์กำลังจินตนาการถึงห้องพักด้านนอก เธอกำลังสงสัยว่าตัวเองอาจจะลืมเสื้อผ้าที่รื้อออกมาจากกระเป๋าทิ้งไว้บนเตียง พลัน ภาพเตียงนอนและเสื้อผ้าชุดใหม่ก็ปรากฏขึ้นในมโนสำนึก มือทั้งสองข้างจึงเอื้อมออกไปหยิบเสื้อผ้าบนเตียงนอนติดมือมา

วินาทีถัดมา นัยน์ตาหวานก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ หญิงสาวจัดแจงสวมใส่ชุดด้วยความรีบเร่ง มือบางหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำออก พร้อมกับสองขาก้าวออกไป โดยไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีใครคนหนึ่งยืนคอยเธออยู่หน้าประตูห้องน้ำ
“โอ๊ย”
แรงกระแทกเข้ากับกำแพงสูงอย่างจัง ส่งผลให้ร่างบางเกือบจะหงายหลังลงไปกองกับเพื่อ ถ้าไม่เพราะแขนกำยำคู่หนึ่งเอื้อมมารับร่างเธอไว้ได้ทัน
“เป็นอะไรรึเปล่า” ภูมินันท์ถามด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ มนัสภรณ์ก็พรวดพราดออกมาจากห้องน้ำ
“คุณภูมิ เข้ามาได้ยังไงคะ” เสียงหวานถามด้วยความตกตะลึง
“ผมเคาะประตูเรียกตั้งหลายที ไม่เห็นคุณเปิดก็เลยลองเดินเข้ามาดู คุณไม่ได้ล็อกประตู” ชายหนุ่มเฉลย
“อ้อ ค่ะ นัสขอโทษค่ะ มัวนอนเพลินไปหน่อยก็เลยลืมเวลา”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ถ้าแต่งตัวเสร็จแล้ว เดินมาเคาะห้องผมแล้วกัน”
มือหนาค่อยๆ คลายออกเอวบาง เดินตัวตรงหันหลังกลับเข้าไปยังประตูเชื่อมระหว่างห้อง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของหญิงสาว แต่ในนาทีต่อมา ใบหน้าสวยก็เริ่มเหยเกขึ้นทันใดเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอทำในห้องน้ำ
ไม่หรอกมั้ง เขาไม่น่าเห็นอะไรนี่นา ไม่ได้มีท่าทีผิดปรกติอะไรเลย... มนัสภรณ์พยายามปลอบใจตัวเอง

ชายหนุ่มตัดสินใจปิดประตูห้องลงด้วยแววตาตื่นตะลึงเล็กๆ
เมื่อกี้เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม จู่ๆ เสื้อผ้าบนเตียงนอนก็หายวับไปกับตา... ภูมินันท์ถามตัวเองอีกครั้งด้วยความสงสัย ชายหนุ่มสลัดศีรษะเพื่อขับไล่ความมึนงง

ร่างสูงทรุดกายนั่งลงบนขอบเตียง นึกทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อครู่ ตอนประมาณหกโมงนิดๆ เขาตัดสินใจจะเดินไปเคาะประตูห้องเรียกหญิงสาว แต่เพราะมนัสภรณ์ไม่ได้ล็อคประตูฝั่งเธอไว้ ชายหนุ่มจึงสามารถเดินผ่านเข้าไปได้ทันที ห้องพักของมนัสภรณ์ว่างเปล่า พร้อมกับเสียงฝักบัวดังออกมาจากห้องน้ำ เท้าของภูมินันท์เกือบจะก้าวกลับห้องอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่บังเอิญเหลือไปเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของหญิงสาวเปิดอยู่ ด้วยความอยากรู้ ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าไปมองบรรดาเสื้อผ้าของหญิงสาวในกระเป๋า แล้วอดเบ้หน้าไม่ได้เมื่อเห็นแต่เสื้อยืดกางเกงยีน ดูไม่เหมาะกับบุคลิกสาวแฟชั่นที่เขาเคยเห็นมาเลย

และเมื่อเสียงน้ำจากฝักบัวหยุดไหล ภูมินันท์ตัดสินใจเตรียมจะเดินกลับไปยังห้องของตน ทว่าในวินาทีที่กำลังจะก้าวหันหลังกลับ สายตาของเขาก็ต้องตะลึงค้างเมื่อจู่ๆ กองเสื้อบนปลายเตียงที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อสักครู่หายลับไปกับตา ภูมินันท์ขยี้ตาด้วยความแปลกใจแกมตื่นตะลึง กว่าจะทันได้คิด ร่างสูงก็ก้าวตรงมายังประตูห้องน้ำในวินาทีเดียวกับที่หญิงสาวเปิดประตูออกมา ร่างโปร่งระหงในเสื้อผ้าชุดเดียวกันกับที่เขาเห็นมันวางพับอยู่บนปลายเตียง ยิ่งตอกย้ำถึงสิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ความฝัน

“ยายนั่นมีพลังประหลาดแบบนี้ด้วยเหรอ” ภูมินันท์พึมพำด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มอาศัยเวลาที่มนัสภรณ์ยังแต่งตัวไม่เสร็จ ต่อสายโทรศัพท์ไปหาภรภัทร เสียงสัญญาโทรศัพท์จากปลายสายดังอยู่ไม่นาน น้ำเสียงต่ำๆ ติดจะดุดันก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่ง
“ว่าไงนายภูมิ จะกลับถึงกรุงเทพเมื่อไร”
“น่าจะพรุ่งนี้เย็นแหละพี่ภัทร ขากลับนี้ ผมขับรถกลับมาคนเดียว คงแวะพักบ่อยหน่อย”
“ดีแล้ว ไม่ต้องรีบหรอก ยังไงก็เอาความปลอดภัยไว้ก่อน ว่าแต่น้องกิ๊ปเป็นไงบ้าง”
“เหมือนเดิม เธอจำอะไรไม่ได้เลย” ภูมินันท์บอก ชายหนุ่มเคยโทรศัพท์มาบอกพี่ชายเกี่ยวกับเรื่องของกษมามาแล้วครั้งหนึ่ง ภรภัทรจึงพอทราบเรื่องราวของหญิงสาวเป็นอย่างดี “ว่าแต่พี่ได้บอกแม่รึยัง”
“บอกแล้ว แม่เองก็บอกว่าเอาไว้กิ๊ปกลับมาแล้วค่อยบอกน้ามณี แต่น้าคงดีใจแหละ ถึงลูกสาวจะจำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม”

“ฝั่งนี้เองก็ดูเป็นกังวลอยู่เหมือนกัน พี่ภัทร ผมมีเรื่องอยากปรึกษา พี่ว่าโลกใบนี้ยังมีคนอื่นที่มีพลังจิตด้านอื่นๆ ได้อีกรึเปล่า” ภูมินันท์ตัดสินใจถามออกไป
ความจริงชายหนุ่มไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับตัวจึงได้รู้ว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวลี้ลับอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ไม่มีวันพิสูจน์ได้ และหนึ่งในนั้นก็คือพลังจิตด้านนิมิตของพี่สะใภ้เขาเอง
ภูมินันท์เพิ่งมารับรู้เรื่องนิมิตของทิพรดาเมื่อประมาณสองปีก่อน หลังจากเธอแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ในตระกูลภพนิพิฐ นิมิตของหญิงสาวเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อดวงจิตของเธอผูกพันกับคนในภพนิพิฐ ดังนั้นตอนที่คุณสุปวีณ์ตกบันไดในคฤหาสน์ ทิพรดาจึงเป็นคนแรกที่รับรู้เหตุการณ์เพราะวันนั้นบรรดาลูกชายทั้งสามต่างไม่มีใครอยู่บ้าน
“ไม่รู้สิ พี่ก็เคยเห็นแต่ของทอฟฟี่คนเดียว แต่ถ้าทอฟฟี่มีพลังจิตได้ พี่ก็ว่าน่าจะมีคนอื่นๆ ในโลกใบนี้สามารถมีพลังจิตได้เหมือนกัน นายถามทำไมเหรอ” ภรภัทรสงสัย

“ผมเจอเรื่องประหลาดเข้าเมื่อกี้” ภูมินันท์ตัดสินใจเล่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ให้พี่ชายฟัง
ปลายสายเงียบไปพักใหญ่กว่าเสียงดุๆ ของภรภัทรจะตอบกลับมา
“นายไม่ได้ตาฝาดแน่นะ”
“โธ่ พี่ภัทร รับรองผมไม่ได้ละเมอแน่” ชายหนุ่มครางเมื่อได้ยินคำตอบรับของคนเป็นพี่ชาย
“เอาไว้เดี๋ยวพี่ลองถามทอฟฟี่ดู และถ้ากิ๊ปมีพลังจิตจริง พี่ว่าเรื่องนี้ เราก็ควรรู้กันแค่ในครอบครัว ไม่งั้นคนที่ลำบากที่สุดจะเป็นน้องเขารู้ไหม” ภรภัทรเตือน
“ทำไมล่ะครับ”

“การมีบางสิ่งเหนือกว่าผู้อื่นใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป พระเจ้าอาจประทานความสามารถพิเศษเหนือผู้อื่นมาให้ใครบางคน แต่บางครั้ง ความสามารถเหนือกว่าเหล่านั้นอาจก่อให้เกิดทุกข์กับผู้เป็นเจ้าของก็ได้ ใครจะไปรู้” ภรภัทรออกความเห็นตามประสบการณ์ตรงของตัวเอง “ลองคิดดู ถ้ามีใครเกิดล่วงรู้ว่าน้องเขาสามารถเสกของให้หายไปไหนมาไหนได้ แล้วสมมุติมีของสำคัญบางชิ้นหายไปโดยหามือขโมยไม่ได้ นายว่าใครจะเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรก”
ภูมินันท์ขมวดคิ้วกับคำถามของภรภัทร

“ถึงผมจะไม่ค่อยถูกชะตากับน้องเขาเท่าไร แต่ผมก็ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าขโมยของใคร” เสียงของภูมินันท์แข็งขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้สังเกต หากภรภัทรกลับรู้สึกตงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ก็แค่สมมุติให้ฟังว่ามันเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน ความสามารถพิเศษเหล่านี้ไม่สมควรแพร่พรายให้คนอื่นรู้”
“ผมเข้าใจครับ แต่ความจริงตอนนี้ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไรหรอก เอาไว้จะลองพิสูจน์ดูกับตาก่อน” ภูมินันท์หมายมั่นปั้นมือก่อนบอกลาอีกฝ่าย เมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
อาจารย์หนุ่มเลยวางสายจากภรภัทรไปก่อนอีกฝ่ายจะทันได้เอ่ยปากเตือน
“จะไปพิสูจน์ทำไม นายกับน้องเขาก็แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ หมอนี่จะไปอยากรู้ความลับของคนอื่นทำไมกัน” ภรภัทรส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

ภาพบ้านสีฟ้าอ่อนทรงยุโรปหลังไม่ใหญ่นัก แต่ก็สามารถบ่งบอกถึงความหรูหราและฐานะของผู้อยู่อาศัย ปรากฏชัดขึ้นเต็มสองตาของมนัสภรณ์ ทันทีเมื่อภูมินันท์ขับรถพาเธอมาจอดยังประตูรั้วหน้าบ้าน
“ลงมาเถอะ ถึงบ้านคุณแล้ว” ชายหนุ่มเดินมาเปิดประตูให้หญิงสาว
มนัสภรณ์ต้องใช้เวลาทำใจอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะยอมก้าวเท้าทั้งสองข้างลงมาจากรถยนต์ นัยน์ตาหวานกวาดมองไปยังรั้วอะลูมิเนียมหน้าบ้าน เลยเข้าไปในสวนและตัวบ้านด้านใน เพียงไม่นานนัยน์ตาคู่เดิมก็วกกลับมาหาร่างสูงข้างกาย
“นี่บ้านของนัสเหรอคะ”
น้ำเสียงไม่แน่ใจและแววตาสับสน ส่งผลให้คนมองจำต้องพยักหน้ายืนยัน

“ใช่ บ้านของคุณ คุณอยู่ที่บ้านหลังนี้มาได้เกือบสิบปีแล้วมั้ง” ภูมินันท์บอกตามข้อมูลที่ได้ยินมาจากคุณสุปวีณ์
“นัสไม่เห็นจำอะไรได้เลย” เสียงหวานบ่นงึมงำในลำคอ
นัยน์ตาโตหลุบต่ำลง มองมือตัวเองซึ่งประสานกันอยู่เบื้องหน้า อาการลังเลของหญิงสาวจุดรอยยิ้มอ่อนๆ ขึ้นบนดวงหน้าคม มือหนาจึงเลื่อนมาเกาะกุมสองมือบางไว้ ภูมินันท์จึงพบว่าสองมือของหญิงสาวยามนี้เย็นเฉียบเพราะความกังวลเต็มหัวใจ
“บอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก เอางี้ ถ้าจำอะไรไม่ได้เลย คุณก็ลองคิดเสียว่าทั้งหมดนี้คุณกำลังเริ่มต้นนับหนึ่งอยู่ คุณทำความรู้จักกับผมได้ ทีนี้คุณก็ลองไปทำความรู้จักกับคนในบ้านหลังนี้ดู ผมเชื่อว่าน้ามณีต้องยินดีต้อนรับคุณอย่างแน่นอน”

แรงบีบกระชับของฝ่ามือหนาเรียกรอยยิ้มขึ้นบนดวงหน้าสวย ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายไป รั้วอะลูมิเนียมหน้าบ้านก็ถูกเปิดออกก่อน พร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีสองคน
“หนูกิ๊ป” เกศมณีผวาตรงเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีเมื่อก้าวเข้ามาใกล้
แรงกอดกระชับพร้อมทั้งเสียงสะอื้นไม่หยุดส่งผลให้มนัสภรณ์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดตอบ
“เอ่อ...นัส...เอ๊ย...หนูกลับมาบ้านแล้วค่ะ” มนัสภรณ์ตัดสินใจเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น
“แม่คิดถึงหนูเหลือเกิน รู้ไหมว่าหัวใจแม่แทบขาดตอนที่รู้ว่าต้องสูญเสียหนูไป” คุณเกศมณีบอกขณะน้ำตายังคงไหลปริมนองหน้า

“หนูขอโทษค่ะ”
ร่างของหญิงสาวถูกดันออกห่างเล็กน้อย มืออวบอูมลูบไล้ไปตามดวงหน้าและเนื้อตัวของบุตรสาวด้วยความคิดถึง สัมผัสอุ่นจากผิวกายของคนตรงหน้าตอกย้ำว่า สิ่งที่คุณเกศมณีกำลังเผชิญอยู่นี้หาใช่เพียงความฝัน
“ลูกแม่ กลับมาบ้านเสียที ไม่ว่าเรื่องราวเลวร้ายใดที่หนูเผชิญหรือสูญเสียไป มันไม่สำคัญเลยรู้ไหม เพราะตอนนี้หนูกลับมาหาแม่แล้ว”
คำพูดของคุณเกศมณีไม่ต่างจากการยกภูเขาออกจากอก ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา หัวใจของมนัสภรณ์ล้วนจมอยู่กับความว่างเปล่า ไร้ตัวตน แม้ว่าเธอจะได้มาพบกับภูมินันท์ แต่อดีตที่ไม่อาจจดจำได้ก็กลับสร้างความกังวลใจให้กับหัวใจดวงน้อยเป็นอย่างมาก ทว่าทุกความกังวลในหัวใจเธอได้มลายหายสิ้นไปทันทีกับคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคของคุณเกศมณี

...ไม่มีสิ่งใดสำคัญมากไปกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อเริ่มต้นบทเรียนแห่งชีวิตบทใหม่...

“ค่ะแม่ หนูกลับมาแล้ว” หญิงสาวปล่อยโฮออกมาทันที หลังจากสวมกอดมารดาอีกครั้ง ความกริ่งเกรงใดๆ ที่เคยมีถูกขจัดออกไปจนสิ้นเมื่อร่างของเธอถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น
“ขอบใจนะตาภูมิที่ตามหาหนูกิ๊ปจนเจอ” คุณสุปวีณ์หันมากอดลูกชายคนสุดท้อง
มารดาของภูมินันท์เพิ่งเดินทางมาหาคุณเกศมณีเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนสองหนุ่มสาวจะมาถึง คุณสุปวีณ์ตัดสินใจเล่าเรื่องราวของบุตรชายที่ไปพบกษมาให้เพื่อนรักฟัง พร้อมทั้งยังบอกถึงข่าวร้ายที่หญิงสาวถูกยิงและสูญเสียความทรงจำ แต่ดูเหมือนเรื่องบาดแผลหรือความทรงจำของบุตรสาวกลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย เมื่อเทียบกับการได้ดวงใจของคนเป็นแม่กลับคืนมา
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมดีใจ น้องได้กลับบ้านเสียที” ภูมินันท์บอก มองภาพสองแม่ลูกยืนกอดกันด้วยความปลื้มใจ




ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2554, 12:23:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2555, 12:32:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2341





<< บทที่1   
goldensun 26 พ.ค. 2554, 16:11:20 น.
เหมือนเป็นอีกคนที่ไม่ใช่กิ๊ป ก็เล่นจำสิ่งที่ควรคุ้นไม่ได้เลย
ขณะที่คนที่ไม่คุ้นเคย กลับพอจำได้ นัสจะเป็นใครกันแน่
แต่ช่วงเวลาก็ถูกนี่นะ ตามลุ้นต่อค่ะ


anOO 26 พ.ค. 2554, 18:07:51 น.
เอ....เจ้าตัวไม่รู้หรอกเหรอว่าตัวเองมีพลังจิต
รึว่าเพิ่งได้มาหลังจากประสบอุบัติเหตุ มารอตอนต่อไปค่ะ


Zephyr 26 พ.ค. 2554, 20:16:43 น.
อืม จะหักมุมมั้ยเนี่ย เห็นด้วยกะคุณ goldensun เลยค่ะ ดูแล้วที่คุ้นเคยกลับไม่รู้สึกถึง แต่กับคุณภูมิที่ไม่ค่อยจะคุ้นกันกลับรู้สึกว่าคุ้น เอ หรือว่าจะคุ้นกันมาแต่ชาติปางก่อน หึหึ ว่าแต่พี่น้องบ้านภพพินิฐนี่ท่าจะได้ภรรยาไม่ธรรมดาซักคนนะคะ ทอฟฟี่ก็คนหนึ่งแล้ว จะมีเรื่องของพี่ภีมมั้ยคะ อยากลุ้นให้มีความสามารถแปลกๆอีก แอบตั้งตาคอยเรื่องพี่ภีมด้วย แต่ตอนนี้ไปเชียร์พี่ภูมิกับน้องกิ๊ปหรือนัสดีหว่า ก่อนดีกว่า


ปูสีน้ำเงิน 27 พ.ค. 2554, 00:22:23 น.
อัพตอนต่อไปเร็วๆ ได้ไหม๊อ่ะ อยากอ่านแล้ว


หมูอ้วน 29 พ.ค. 2554, 16:20:31 น.
หนูนัส มีพลังวิเศษด้วย ชอบมาก ๆ เลยค่ะ
ตื่นเต้นดี หุหุหุ


ling 27 มี.ค. 2555, 15:28:16 น.
สนุกทุกเรื่องเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account