ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 11
หลังแยกจากพี่ชาย เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็เสด็จกลับไปยังรถม้าซึ่งจอดรออยู่หน้าตำหนักหลวง หากแทนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ พระองค์กลับหันไปหานางกำนัลผู้ติดตามพลางออกคำสั่ง
“แมรี่เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะแวะตำหนักแดงสักครู่”
“เอ๊ะ...แต่องค์หญิงมีเรียนประวัติศาสตร์กับลีลาสนะเพคะ ทรงเลื่อนนัดท่านอาจารย์มาหลายครั้งแล้ว คราวนี้ถ้าต้องเลื่อนไปอีกคุณพี่เลี้ยงคงฆ่าหม่อมฉันแน่” แม่สาวใช้รีบทูลเตือนเพราะรู้นิสัยของผู้เป็นนายดี
“ไม่ลืมหรอกน่า แค่แวะเยี่ยมท่านน้าแป๊บเดียวเท่านั้น นะแมรี่ ข้าสัญญาว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับทันที”
เมื่อเห็นนางข้าหลวงผู้ติดตามยังลังเล เจ้าหญิงก็รีบตรัสสำทับขึ้นอีกด้วยท่าทางขึงขัง
“รับรองว่าข้ากลับถึงตำหนักก่อนเวลาเรียนแน่นอน หรือถ้าเจ้าไม่เชื่อ เอาหัวนอร่าเป็นประกันก็ได้เอ้า”
แมรี่อดยิ้มขันประโยคโกงๆ ของนายสาวไม่ได้ เจ้าหญิงจากแคว้นรัธผู้นี้ทรงมีพระนิสัยที่แปลกไม่ซ้ำแบบใครจริงๆ คงเพราะตามเสด็จเจ้าหญิงเกลด้า...พระเชษฏภคินี ไปประทับที่แลมพ์ตัสตั้งแต่พระชนมายุเพียงห้าพรรษา เพิ่งจะได้เสด็จกลับกรีนแลนด์บ้านเกิดเพื่อเข้ารับการอบรมศึกษาที่ลินเด็นตามกฎมณเฑียรบาลเมื่อไม่นานมานี้เอง จึงทรงซึมซับนิสัยรักอิสระและความคิดโลดโผนแบบชาวแลมพ์ตันเอาไว้เต็มพระองค์ เจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ค่อยจะเรียบร้อยอ่อนหวานเหมือนกับเจ้าหญิงองค์อื่น หากแต่แก่นแก้วเสียจนทำให้พวกนางกำนัลต้องปวดหัวไปตามๆ กัน ทว่าความปราดเปรียวราวกับม้าพยศนั้นกลับสร้างความแจ่มใสมีชีวิตชีวาให้กับปราสาทลินเด็นที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบน่าเบื่อหน่ายไม่น้อย ดังนั้นแม้จะต้องหัวหมุนไปเพราะเด็กสาวไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แมรี่ก็ยังอดมีใจเอนเอียงเข้าข้างนางไม่ได้อยู่นั่นเอง
“องค์หญิงต้องทรงสัญญากับหม่อมฉันก่อนนะเพคะ ว่าจะเสด็จกลับมาให้ทันเวลาน้ำชา” นางพยายามทำเสียงให้ฟังดูเข้มงวดที่สุดเท่าที่จะทำได้
“รับรองเลยจ้ะ” เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลอย่างยินดี “ข้าสัญญา”
หลังจากตกปากรับคำกับนางข้าหลวงผู้ติดตามแล้ว คนเป็นเจ้าหญิงก็แสร้งเดินเลี้ยวไปตามถนนเลียบข้างตำหนักหลวงก่อนจะแอบหลบเข้าข้างทาง รอจนกระทั่งรถม้าคันเล็กที่แมรี่ก้าวขึ้นนั่งแล่นลับสายตาไปแล้วจึงค่อยเสด็จออกจากที่ซ่อน สาวพระบาทตัดสวนดอกไม้และลานน้ำพุไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสถานที่ที่ทรงบอกนางข้าหลวงไว้ว่าจะเสด็จอย่างสิ้นเชิง
ซิสหอบฟางใหม่ฟ่อนสุดท้ายเข้าไปในคอกม้า จัดการปูมันลงตรงมุมหนึ่งเพื่อให้เป็นที่นอนของเจ้าม้าสีเทาพันธุ์ดีชื่อฟริกก้า ม้าตัวนี้แม้จะยังไม่โตเต็มที่แต่ก็มีกล้ามเนื้อแน่นสมบูรณ์และรูปร่างสมส่วนสวยงามทีเดียว พอเห็นมันแล้วทำให้เขาอดคิดถึงเจ้าโอนิกซ์ของตนเองขึ้นมาไม่ได้ ม้าที่มีจิตใจอ่อนโยนอย่างมันต้องตกไปอยู่ในมือคนป่าเถื่อนพวกนั้น ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ น่าเจ็บใจนักที่เขาไม่สามารถแย่งเจ้าโอนิกซ์กลับคืนมาได้ทั้งที่อุตสาห์หามันจนเจอแล้วแท้ๆ
“เฮ้ยเจ้าหนู ทำงานอย่ามัวแต่เหม่อสิ” เสียงคนดูแลม้าในคอกถัดไปตะโกนดุ
ซิสถอนใจเฮือกแล้วใช้คราดในมือเกลี่ยฟางบนพื้นให้เรียบเสมอกัน ตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะนำอุปกรณ์ทั้งหมดไปเก็บในห้องด้านในสุด
งานของเขาคือการให้อาหาร อาบน้ำ แปรงขนและดูแลจัดเตรียมที่นอนสะอาดๆ ให้กับเจ้าม้าตัวนี้ หลังจากขนเศษฟางเก่าจากคอกของเจ้าฟริกก้าไปกองรวมกันไว้ตรงที่ว่างด้านหลังเรียบร้อยแล้วก็ถือว่างานในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง
เด็กหนุ่มเดินไปล้างไม้ล้างมือที่บ่อน้ำใกล้ๆ ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าจะถึงตอนเย็นที่เขาต้องกลับมาทำความสะอาดคอกให้เจ้าฟริกก้าอีกรอบ ซิสนึกถึงดาบเล่มใหม่ที่พี่ชายชื่อเมลยื่นส่งให้ก่อนออกเดินทาง จนป่านนี้เขายังไม่มีโอกาสได้ทดลองใช้มันดูสักที ช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ถ้าได้ออกกำลังเรียกเหงื่อสักหน่อยก็คงไม่เลวนัก เด็กหนุ่มตัดสินใจมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักด้วยอารมณ์เบิกบานขึ้นเล็กน้อย
บริเวณเรือนพักของนักบวชแทบจะไม่ปรากฏเงาของผู้คนให้เห็น นักบวชส่วนใหญ่ยังคงยุ่งอยู่กับงานในห้องปรุงยา พวกที่เหลืออีกไม่กี่คนก็ต้องดูแลพืชสมุนไพรในสวน ซิสเดินย่ำเท้าสวบๆ เข้าไปในตัวอาคารโดยไม่ใส่ใจกับสภาพอันเงียบเชียบรอบกาย พอถึงห้องพักเด็กหนุ่มก็ตรงรี่ไปคว้าดาบที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วตั้งท่าจะย้อนกลับออกไปทันที ทว่าสายตาสะดุดเข้ากับประตูห้องนอนที่เปิดอ้าเสียก่อน เขาชะงักฝีเท้าพลางขมวดคิ้ว จำไม่ได้จริงๆ ว่าเผลอเปิดมันทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มโคลงศีรษะ ขยับจะก้าวเข้าไปปิดประตูก็พอดีได้ยินเสียงกุกกักดังลอดออกมา ซิสแน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฝาด เด็กหนุ่มกระชับดาบในมือแน่นขณะย่องเงียบกริบเข้าไปในห้องนอนเพื่อค้นหาที่มาของเสียง
ภาพเด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีเงินงามราวแสงจันทร์ กำลังวุ่นวายกับการพยายามปิดฝาหีบใส่ของตรงปลายเตียง เป็นภาพที่ทำให้ซิสรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาหยุดยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยื่นมือไปสะกิด
กรี๊ดดดด......
เจ้าหญิงกาอิยาห์หวีดร้องเสียงดังอย่างตกพระทัย หันขวับไปมองทางเบื้องหลัง พอทอดพระเนตรเห็นถนัดว่าผู้ที่บังอาจเอื้อมมือมาสัมผัสร่างของพระองค์เป็นใคร สุรเสียงใสก็แหวขึ้นพร้อมกับทรงสะบัดพระองค์ถอยห่างไปอีกหลายก้าว
“บังอาจมาก...เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้”
หนุ่มน้อยร่างผอมสูงหน้าตาดี สวมเสื้อทูนิคสีน้ำตาลทับกางเกงสีดำแบบเด็กรับใช้ทั่วไป ลดมือข้างที่ใช้สะกิดเอวของคนเป็นเจ้าหญิงลง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใสภายใต้คิ้วเข้มหนาที่บัดนี้ขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงกลาง จ้องตอบกลับไปโดยไม่หลบ ความสนเท่ห์ฉายชัดออกมาอย่างเปิดเผย
“ก็นี่มันห้องของข้า เจ้าต่างหากเข้ามาทำอะไรในห้องของข้า”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ตวัดสายตามองหน้าผู้ที่กล้าตั้งคำถามกับพระองค์แว้บหนึ่ง ก่อนจะแสร้งเมินไปทางอื่นพร้อมกับตรัสถามเปรยๆ
“เจ้าพูดจาแบบนี้ ไม่รู้ใช่มั้ยว่าข้าเป็นใคร”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที เขาโยนดาบที่ถือติดมือเข้ามาในห้องนอนลงบนเตียงดังโครม ยกสองมือขึ้นกอดอกจ้องหน้าเจ้าของคำถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยคนสวยที่ยืนพูดฉอดๆ อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร ถึงจะเคยเห็นนางแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้แม่น
“เจ้าหญิงกาอิยาห์ใช่มั้ยล่ะ” เด็กหนุ่มเว้นระยะนิดหนึ่ง ก่อนจะย้อนด้วยประโยคเก่าของอีกฝ่าย ทว่าน้ำเสียงดูแคลนเต็มที่
“เจ้าต่างหากที่ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร”
“ทำไมจะไม่รู้ เจ้าก็คือเด็กเลี้ยงม้าของข้าไงล่ะ”
ดวงตาคมกล้าของคนฟังไหววูบเล็กน้อยหากเพียงครู่เดียวก็เปล่งประกายถือดีออกมาเช่นเดิม เจ้าตัวยักไหล่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากเอ่ยแนะนำตัวเองสั้นๆ
“ข้าชื่อซิส”
“ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะชื่ออะไร ถ้ารู้ว่าข้าเป็นใครแล้วก็หลีกทางสักทีสิ เจ้าขวางหน้าข้าอยู่ไม่เห็นหรือ”
ซิสทำเสมือนไม่ได้ยินคำสั่งของเจ้าหญิง เขายังคงยืนกอดอกจ้องมองดวงพักตร์งอง้ำนิ่งอยู่ที่เดิม แถมยังเอ่ยตอบด้วยประโยคที่ทำให้เด็กสาวแทบเต้น
“ข้าไม่หลีกจนกว่าเจ้าจะตอบมาก่อนว่าเข้ามาทำอะไรในห้องของข้า”
“นี่มันห้องของเมลต่างหาก ใช่ห้องของเจ้าซะที่ไหน”
“ตอนนี้ท่านเมลไม่อยู่ ข้าพักอยู่ที่นี่เพราะฉะนั้นห้องนี้ถือเป็นห้องของข้า”
สาวน้อยสูงศักดิ์ตวัดหางตาค้อนขวับพลางอ้าปากเตรียมเปิดศึกเต็มที่ หากแล้วเหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เจ้าตัวจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นพยักหน้ายอมรับเอาดื้อๆ
“ก็ได้ ห้องของเจ้าก็ห้องของเจ้า ข้าขี้เกียจเถียงกับเด็กรับใช้อย่างเจ้าแล้ว ไปดีกว่า” พูดแล้วนางก็ถือโอกาสโมเมเดินเลี่ยงไปยังประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่หน้าตาเฉย
ผู้ที่อ้างตัวเป็นเจ้าของห้องไม่ยอมหลงกลง่ายๆ เขาก้าวเท้ายาวๆ เพียงสองครั้งก็เข้ามาสกัดหน้าเด็กสาวเอาไว้ได้ทัน
“เดี๋ยว เจ้ายังไปไม่ได้”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ชะงักพระบาท ทอดพระเนตรคนห้ามด้วยท่าทางคล้ายรำคาญเต็มที
“เจ้าซ่อนอะไรเอาไว้”
ประโยคสั้นๆ ของเด็กหนุ่มทำเอาดวงพักตร์นวลใสของคนถูกถามเผือดสีลงทันตา ดวงเนตรคู่งามหลุบลงต่ำ พระหัตถ์ที่ไขว้อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์กำ ‘ของ’ ที่ทรงฉวยมาจากหีบใส่ของตรงปลายเตียงเอาไว้แน่น หากพระโอษฐ์ยังแข็ง
“ซ่อนอะไร ไม่มีสักหน่อย”
ซิสขยับกายเข้าไปใกล้คู่กรณียิ่งขึ้น อาศัยร่างกายที่สูงกว่าของตนยืนค้ำอยู่เหนือร่างแบบบางของเจ้าหญิงราวกับจะข่มขวัญ
“ไม่มีได้ยังไง ก็ข้าเห็นอยู่ชัดๆ เป็นถึงเจ้าหญิงแต่ริอ่านขโมยของหรือไง”
“หยุดนะ กล้าดียังไงมาหาว่าข้าขโมยของ”
คน ‘เป็นถึงเจ้าหญิง’ ออกอาการโมโหกลบเกลื่อน แบบที่เคยใช้ได้ผลกับนางกำนัลมาแล้วทุกครั้ง ทว่าคนตรงหน้าไม่เพียงไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัว ตรงกันข้ามเขายังกล้าย้อนถามพระองค์กลับด้วยเสียงห้วนดุอย่างกับพวกทหารวัง
“ไม่ได้ขโมยแล้วเจ้าซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง แน่จริงก็ยื่นมือออกมาข้างหน้าพร้อมกันทั้งสองข้างเลยซี่เจ้าหญิง”
“เรื่องอะไร เชื่อเจ้าก็กลัวน่ะสิ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงผลักไหล่ของอีกฝ่ายเต็มแรงจนเขาเซผงะถอยไปข้างหลัง แล้วถือโอกาสนั้นแผ่นแผล็วออกจากห้องนอน พุ่งผ่านประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะส่งเสียงแจ้วๆ ทิ้งท้ายประกาศชัยชนะ
“เด็กเลี้ยงม้าอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า รู้ไว้ซะด้วย”
นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าเจ้าเด็กเลี้ยงม้าคนนี้เป็นเพื่อนของเมลละก็ พระองค์คงฉีกพระเนตรแลบพระชิวหาใส่แบบที่เคยทำตอนยังทรงพระเยาว์แถมให้ด้วยแล้ว
ซิสถลันตามเด็กสาวออกไปทันทีที่ตั้วตัวได้ แต่ก็ยังช้าเกินไป เขาทันได้เห็นเพียงชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนปลิวหายลงบันไดไปไวๆ เท่านั้น เด็กหนุ่มถึงกับส่ายหน้า เจ้าหญิงอะไรกัน แบบนี้มันม้าดีดกระโหลกชัดๆ
หากคนอย่างซิสไม่ใช่พวกที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เด็กหนุ่มถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง ตรงไปเปิดบานหน้าต่างออกจนสุด เหวี่ยงกายกระโดดข้ามกรอบไม้ที่สูงแค่เอวลงไปหยุดยืนอยู่บนพื้นหญ้านุ่มเบื้องล่างอย่างสวยงาม ก่อนจะไล่กวดเจ้าของร่างบางที่ถึงกับถลกกระโปรงวิ่งหนีหน้าเริ่ดตัดเข้าไปในสวนสมุนไพรของพวกนักบวช ชนิดหมดคราบเจ้าหญิง
เจ้าหญิงกาอิยาห์ซอยพระบาทถี่ยิบแทบไม่คิดชีวิตอยู่ท่ามกลางต้นพืชสีเขียวสดหลากพันธุ์ ที่ล้วนแต่ยืนต้นตรงแหน็วเรียงเป็นระเบียบราวกับแถวทหารอยู่ในสวนสมุนไพร พระองค์ไม่มีเวลาจะใส่พระทัยกับสายตาตำหนิของเหล่านักบวชที่ถึงกับรามือจากงานตรงหน้าหันมาเขม้นมองเป็นตาเดียว เพราะเด็กเลี้ยงม้าจอมตื๊อวิ่งไล่หลังมาติดๆ ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบก้าว และดูเหมือนระยะห่างจะสั้นลงเรื่อยๆ เสียด้วย
สมองของเจ้าหญิงพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดอย่างเร่งด่วน พระองค์จะต้องซ่อนตัว รอให้อีกฝ่ายวิ่งผ่านไปทางอื่นเสียก่อนแล้วค่อยแอบย่องกลับตำหนักทีหลัง ขืนยังวิ่งต่อไปทั้งอย่างนี้ ถ้าโชคดีไปถึงตำหนักแสงจันทร์ได้โดยไม่ถูกหมอนั่นไล่ทัน ก็มีหวังโดนคุณพี่เลี้ยงนอร่าหยิกเนื้อหลุด แถมยังอาจจะต้องโดนกักบริเวณเพื่อฝึกฝนมารยาทเสียใหม่อีกหลายยก ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงสักนิด
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงวิ่งพลางสอดส่ายสายพระเนตรหาที่หลบซ่อนไปพลางอย่างร้อนพระทัย เงาขาวๆ ของวิหารจันทราผ่านเข้ามาในสายพระเนตร พระองค์นึกถึงห้องลับที่ซ่อนอยู่ใต้พรมประดับผนังขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนทิศทางวิ่งตรงไปที่วิหารทันที ไม่มีเวลาให้ทรงลังเลพระทัยอีกแล้ว เสียงกิ่งไม้ลั่นกร๊อบที่ดังไล่หลังมาเร่งให้ทรงกระโจนเข้าไปด้านในอย่างเร่งด่วน
ด้วยความรีบร้อนประกอบกับสายพระเนตรยังไม่ชินกับแสงสว่างที่ลดลงกะทันหัน ทำให้เจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ทันสังเกตเห็นแผ่นอิฐปูพื้นหน้าแท่นบูชาที่เผยออยู่เล็กน้อย พระบาทข้างหนึ่งจึงสะดุดเข้ากับขอบของมันอย่างจังจนร่างแบบบางเสียหลักเซถลาไปข้างหน้า พระหัตถ์ขวาปัดไปโดนกระถางไฟเอียงกะเท่เร่จะล้มมิล้มแหล่
“บ้าจริง”
เจ้าหญิงกาอิยาห์สบถพลางถอยกลับหมายจะคว้ากระถางไฟเอาไว้ก่อนที่มันจะทันล้มลงกระแทกพื้นให้เกิดเสียงดัง ทันใดนั้นพระวรกายก็เอียงวูบ พระบาทก้าวลงสู่ความว่างเปล่า พื้นศิลาที่ควรจะรองรับอยู่ตรงนั้นพลันหายวับไปเสียแล้ว เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกพระทัย พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะ หากสิ่งที่พระหัตถ์ทั้งคู่สัมผัสได้มีเพียงความเวิ้งว้างของอากาศธาตุ ร่างของพระองค์ร่วงลิ่วลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง พระเศียรกระแทกเข้ากับพื้นแข็งๆ จนทรงสลบแน่นิ่งไปทันที
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.พ. 2556, 08:34:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.พ. 2556, 08:34:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 1640
<< ตอนที่ 10 | ตอนที่ 12 >> |