ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 10
เจ้าชายกันนาร์ประทับอยู่บนเก้าอี้ผ้าไหมบุนวมนุ่มในห้องนั่งเล่นส่วนพระองค์ ทอดพระเนตรรายงานทางทหารที่เพิ่งได้รับมาใหม่ โดยพยายามไม่ใส่พระทัยกับสาวน้อยในชุดยาวกรอมเท้าสีชมพูอ่อนที่เอาแต่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าหมู่เก้าอี้กลางห้อง ไม่ยอมนั่งลงตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามา นานๆ ครั้งดวงตาสีม่วงใสภายใต้แพขนตาดกหนาจะตวัดมองมาคล้ายเจ้าตัวอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมปริปากจนแล้วจนรอด กระทั่งพระองค์หมดความอดทนต้องเอื้อนพระโอษฐ์ขึ้นก่อน หากมิได้เงยพระพักตร์จากมัวนกระดาษในพระหัตถ์
“เจ้าเลิกเดินสักทีเถอะกายย์ ข้าเวียนหัว อ่านรายงานไม่รู้เรื่องแล้ว”
สิ้นคำพูดของพี่ชาย สุรเสียงใสราวกับระฆังเงินของเจ้าหญิงกาอิยาห์ก็สวนกลับทันควัน ดวงพักตร์นวลงอง้ำ
“พี่กันนาร์ก็เลิกอ่านเอกสารพวกนี้ก่อนสิคะ ถ้าพี่เลิกอ่านน้องก็จะเลิกเดิน น้องมีเรื่องกลุ้มใจจะปรึกษา”
เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยยาวยืดด้วยเสียงอันดังจงใจให้คนเป็นน้องได้ยิน ก่อนจะวางม้วนกระดาษลงบนโต๊ะ แล้วหันไปจับพระเนตรอยู่ที่ร่างบางซึ่งยอมหยุดเดินได้สักที
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“คืออย่างนี้” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรุดพระองค์ลงนั่งบนเก้าอี้นุ่มตรงข้ามพี่ชาย โน้มพระองค์ไปข้างหน้าน้อยๆ ราวกับกำลังจะกล่าวถึงเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง
“เจ้าชายเอเดรียนจะเสด็จมาลินเด็น น้องเพิ่งได้รับจดหมายเมื่อเช้า”
พระนามคุ้นหูนั้นมีผลทำให้คิ้วเข้มพาดตรงของคนฟังขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เจ้าชายกันนาร์เคยได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นหนุ่มรูปงามเจ้าสำอางและเจ้าชู้ของผู้เป็นโอรสองค์ที่สองในราชาแห่งแลมพ์ตันมาบ้าง พระสุรเสียงที่ตรัสตอบจึงเข้มขึ้นทันทีด้วยความระแวง
“ทำไมจู่ๆ เจ้าชายเอเดรียนเกิดจะต้องเสด็จมากรีนแลนด์ หรือว่าพระองค์จะมาหาเจ้าอีกคน”
“ไม่ใช่ค่ะ เจ้าชายเอเดรียนไม่ได้มาหาน้อง แต่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพาตัวเลดี้เมลิอานาร์คู่หมั้นกลับแลมพ์ตันต่างหาก”
“พาคู่หมั้นกลับแลมพ์ตัน” ความพิศวงฉายชัดออกมาทางสีหน้าของชายหนุ่ม ตามมาด้วยคำถามกึ่งปรารภ
“เจ้าชายเอเดรียนทรงมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เห็นได้ข่าว”
“ก็นั่นน่ะสิคะ นางหมั้นแล้วแต่กลับไม่ยอมปริปากบอกกันสักคำ”
คำตอบหงุดหงิดของคนเป็นน้องทำให้พี่ชายยิ่งงง
“เดี๋ยวก่อนกายย์ นี่เจ้ากำลังพูดถึงใครกัน”
“ก็คู่หมั้นของเจ้าชายเอเดรียน เลดี้เมลิอานาร์”
“เลดี้เมลิอานาร์” เจ้าชายทวนคำแล้วส่ายพักตร์ “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ”
“รู้จักสิคะ รู้จักดีด้วย พี่กันนาร์เองก็รู้จัก นางก็คือ ‘เมล’ ยังไงล่ะคะ”
สิ้นประโยคนั้น ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในภาวะเงียบกริบ เงียบเสียจนเจ้าหญิงกาอิยาห์คิดว่าหากมีเส้นผมตกลงบนพื้นสักเส้นพระองค์ก็คงได้ยิน เด็กสาวลอบชำเลืองดูปฏิกิริยาของพี่ชายด้วยความเป็นห่วง
เจ้าชายกันนาร์ทรงนิ่งอั้นไปคล้ายพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เพิ่งได้รับฟัง พระพักตร์คมคายแดงก่ำแล้วกลับซีดเผือดลง ก่อนที่จะกลับเป็นสีแดงเข้มขึ้นมาอีกครั้งราวกับเล่นกล น้องสาวเห็นแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้หากแต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา
“นี่หมายความว่า เจ้าหมอนั่...เอ่อ...เพื่อนของเจ้าเป็นคนเดียวกับเลดี้เมลิ..อะไรคนนั้นหรือ ?”
“เมลิอานาร์ ใช่แล้วค่ะ พี่เข้าใจถูกต้อง”
“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า...” เจ้าชายเค้นพระสุรเสียงถามรอดไรพระทนต์ “...เพื่อนของเจ้าเป็นผู้หญิงงั้นสินะ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พยักพระพักตร์แทนคำตอบ เท่านั้นผู้เป็นพี่ชายก็ราวกับจะ ‘เดือด’ ขึ้นมาในบัดดล
“นี่พวกเจ้าร่วมมือกันหลอกข้าเล่นหรือไง เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรกันหา กาอิยาห์”
“แหม พี่กันนาร์ก็...อย่าเพิ่งโกรธสิคะ” น้องสาวยิ้มหวานประจบ “น้องไม่ได้คิดจะหลอกพี่สักหน่อย แต่พี่เองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเหมาเอาว่าเมลเป็นนักบวชตั้งแต่ยังไม่ทันได้เจอตัวนางด้วยซ้ำ”
พี่ชายมีอาการคล้ายสะอึกไปเล็กน้อย แต่ยังคงเสียงแข็ง “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเข้าใจผิด แล้วทำไมไม่บอกสิ่งที่ถูกให้ข้ารับรู้ล่ะ”
“ถ้าน้องบอกแล้วพี่จะเชื่อหรือคะ”
ประโยคย้อนถามของเจ้าหญิงกาอิยาห์ทำให้เจ้าชายกันนาร์จำต้องเงียบเสียงลงแล้วคิด นั่นสินะ หาก มีคนแต่งกายเหมือนผู้ชายทุกอย่างแถมยังคาดดาบเล่มยาวเอาไว้ที่เอวเสียด้วย เดินเข้ามาบอกกับพระองค์ว่านางเป็นผู้หญิง พระองค์จะเชื่อในสิ่งที่เขาบอกหรือจะทรงเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นกันแน่
คำตอบก็เป็นอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้นจะไปโทษว่าเป็นความผิดของน้องสาวกับผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่ถูกต้องนัก
“เอาเถอะ...”
เจ้าชายหนุ่มพยายามระงับอารมณ์โกรธที่ยังกรุ่นอยู่ในพระทัย ทำไมจะต้องโกรธ พระองค์ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ความจริงพระองค์ควรจะรู้สึกโล่งใจมากกว่า เพราะไม่ต้องคอยระวังความสัมพันธ์อันน่าสงสัยของน้องสาวกับหนุ่มหล่อรายนั้นอีกต่อไป
“เข้าเรื่องของเจ้าดีกว่ากายย์ เจ้าชายเอเดรียนจะเสด็จมาตามคู่หมั้น แล้วเจ้ากลุ้มเรื่องอะไร ข้ายังไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเจ้าตรงไหน”
เจ้าหญิงกาอิยาห์กระแทกพระองค์พิงพนักเก้าอี้เต็มแรง ส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างขัดพระทัย
“ทำไมจะไม่เกี่ยว เกี่ยวสิคะแถมยังเกี่ยวมากด้วย น้องไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าเมลหมั้นแล้ว น้องอยากจะให้นางอยู่ที่นี่กับเรานานๆ ไม่ต้องกลับแลมพ์ตันได้เลยยิ่งดี”
“พูดจาเอาแต่ใจเป็นเด็กไปได้ ลืมแล้วหรือว่าเมลแค่มาช่วยเจ้าคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีน ถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับแลมพ์ตัน ไม่ว่าจะหมั้นแล้วหรือยังก็ตาม”
เมื่อเห็นน้องสาวนิ่งไปไม่โต้ตอบ เจ้าชายกันนาร์ก็คิดว่าจบเรื่อง พระองค์ตั้งท่าจะหยิบม้วนกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาทอดพระเนตรต่อ หากแล้วก็แทบจะพลัดตกจากพระเก้าอี้เมื่อได้ยินคำถามโพล่งขึ้น
“พี่กันนาร์ไม่รู้สึกชอบเมลบ้างเลยหรือคะ”
“ถามอะไรของเจ้า” ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหู “ข้าไม่ใช่พวกวิปริตนี่จะได้นึกชอบผู้ชายด้วยกันได้ลงคอ”
“เอ๊ ก็น้องบอกว่าเมลเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อยจะวิปริตได้ยังไง”
เจ้าหญิงกาอิยาห์เอียงพระศอมองหน้าผู้เป็นพี่ ก่อนพยักพระพักตร์หงึกหงักกับองค์เอง คงเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เคยเห็นเมลตอนแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาก่อน จึงได้พูดออกมาเช่นนั้น
ดีละ...
รอยแย้มสรวลเร้นลับผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์สีกุหลาบ พร้อมกับความคิดใหม่เอี่ยมที่จะจับคู่พี่ชายกับเพื่อนสาวแทนการปล่อยให้นางตามเสด็จเจ้าชายพระคู่หมั้นกลับแลมพ์ตัน เด็กสาวผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ พยักหน้าเป็นสัญญาณให้นางข้าหลวงผู้ติดตามซึ่งยืนสงบเสงี่ยมรออยู่แถวหน้าประตูเตรียมตัวกลับ
เจ้าชายกันนาร์แหงนพระพักตร์มองตามร่างบางของคนเป็นน้องอย่างงงงัน บทจะมานางก็มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมยังบังคับให้พระองค์ฟังเรื่องไร้สาระของนางเสียยืดยาว พอบทจะกลับนางก็หันหลังกลับได้หน้าตาเฉย จนพี่ชายปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“อะไรของเจ้าน่ะกายย์ แล้วที่ว่าจะปรึกษาข้า จบแล้วหรือไง”
“ค่ะ น้องหาทางออกได้แล้ว ต้องรีบกลับไปวางแผน เอ๊ย กลับไปทำอย่างอื่นต่อ”
เจ้าหญิงเสด็จตรงไปที่ประตูโดยผู้เป็นพี่ชายไม่ได้เอ่ยพระโอษฐ์คัดค้านแต่อย่างใดเพียงแต่ส่งเสียงปรามไล่หลังว่า
“อย่ามัวแต่เล่นอยู่ล่ะ เจ้าควรจะหาเวลาไปอยู่กับเจ้าหญิงลูเซียบ้าง ถึงเจ้าชายดิเร็กซ์จะเสด็จกลับทาเนียร์ไปแล้วก็ยังไม่ควรวางใจ เพราะเรายังหาตัวคนร้ายไม่ได้”
น้องสาวลอบย่นจมูกใส่บานประตูก่อนจะรับคำส่งๆ เพื่อไม่ให้พี่ชายสังเกตเห็นพิรุธ
พอลับร่างของเจ้าหญิงกาอิยาห์และนางข้าหลวงผู้ติดตาม เจ้าชายกันนาร์กลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าหมู่เก้าอี้เสียเอง ม้วนกระดาษบนโต๊ะถูกทิ้งให้วางดายอยู่ที่เดิมโดยที่พระองค์ไม่มีความคิดจะเอื้อมพระหัตถ์ไปแตะ เรื่องที่เจ้าหญิงกาอิยาห์เพิ่งสารภาพเกี่ยวกับเพื่อนของนาง รบกวนพระทัยจนกระทั่งเจ้าชายกันนาร์ไม่ทรงมีสมาธิจะอ่านรายงานทางทหารพวกนั้นอีกต่อไป
ป่านนี้องค์ราชาจะทรงเป็นอย่างไรบ้างก็ยากจะเดา ยิ่งเดินทางตามลำพังกับผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นแม้แต่นักบวชฝึกหัดอย่างนั้น ถึงน้องสาวของพระองค์จะยืนยันอยู่หลายครั้งว่านางเก่ง แต่ผู้หญิงจะเก่งได้สักแค่ไหนกันเชียว หากมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นยังไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นฝ่ายคุ้มครองใครกันแน่ เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยหนักหน่วง เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พระองค์รู้ดีว่าไม่ควรทิ้งตำหนักหลวงออกไปไหนเวลานี้ แต่ความเป็นห่วงในตัวประมุขแห่งกรีนแลนด์มีมากเกินกว่าเหตุผลอันควรทุกประการ
หลังจากชั่งพระทัยอยู่ครู่ใหญ่ เจ้าชายกันนาร์ก็เลือกที่จะเสด็จออกไปพบท่านคาร์ลที่คฤหาสน์ย่านชานเมือง โดยหารู้ไม่ว่าทันทีที่ทรงย่างพระบาทพ้นจากเขตตำหนักหลวง นกสีขาวตัวใหญ่ซึ่งเกาะนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ในสวนหย่อมก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าตามติดพระองค์ไปเช่นเดียวกัน!
นักบวชสูงอายุหนวดเคราขาวนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งอยู่บนพื้นพรมกลางหอสวดมนต์เก่าแก่ ติดกับตำหนักที่ประทับของอดีตราชินีแห่งกรีนแลนด์ หอสวดมนต์หลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์องค์แรกขึ้นปกครองกรีนแลนด์ เคยถูกใช้เป็นที่ทรงศีลของบรรดาราชินีม่ายผู้สูญเสียพระสวามีจากสงครามมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งประเพณีไว้ทุกข์แบบโบราณถูกยกเลิกไปจึงได้ปิดทิ้งเอาไว้จนตัวอาคารบางส่วนเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ส่วนที่ยังดีอยู่ก็ถูกเถาวัชพืชเลื้อยขึ้นปกคลุมเสียจนรกเรื้อแทบจะมองไม่เห็นสภาพดั้งเดิม ไม่มีใครล่วงรู้ว่าบัดนี้หอสวดมนต์หลังเก่าได้ถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง...อย่างเงียบเชียบและเป็นความลับ
สายลมเย็นพัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างซึ่งถูกบดบังด้วยเถาไม้เลื้อยสีเขียวเข้ม ทิ้งก้านยาวระย้าลงมาราวกับม่าน เปลวไฟสีส้มแดงปลายคบเพลิงสะบัดไหวก่อให้เกิดรูปเงาวูบวาบน่าพรั่นพรึงคล้ายภูตผีปิศาจกำลังร่ายรำอยู่บนแผ่นผนัง ร่างที่นั่งนิ่งอยู่กลางห้องสะดุ้งผวาขึ้นทั้งตัว ก่อนที่ดวงตาสีเทาขุ่นเป็นฝ้าจะลืมขึ้นช้าๆ
นักบวชชราขยับกายเพื่อคลายความเมื่อยขบจากการที่ต้องทนนั่งนิ่งอยู่กับที่นานถึงสามวันสามคืนโดยปราศจากทั้งน้ำและอาหาร เขาเหยียดท่อนแขนข้างขวาออกไปเบื้องหน้าให้นกสีขาวปลอดที่เพิ่งบินเข้ามาในห้องร่อนลงเกาะ อีกมือหนึ่งก็ไล้ไปบนเส้นขนอ่อนนุ่มของเจ้าสัตว์อาคมตัวนั้นอย่างรักใคร่ ไม่เสียแรงที่สู้อุตสาห์นั่งสมาธิ ส่งกระแสจิตรับรู้ตามติดมันไปเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าชายกันนาร์ ในที่สุดความพยายามและความอดทนของเขาก็สัมฤทธิ์ผล
นักบวชแห่งทาเนียร์ค่อยหยัดกายขึ้นยืนอย่างลำบาก ร่างผ่ายผอมในชุดยาวรุ่มร่ามสีขาวขลิบทองโงนเงนเล็กน้อย ขณะก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งระหว่างเสาสองต้นไปสู่ขั้นบันไดหินอ่อนสีเทาทึม มีนกขาวตัวเดิมเกาะนิ่งอยู่บนไหล่ขวา ชายชราใช้มือยึดราวทองเหลืองดุนลายดอกไม้ที่กลายเป็นสีเขียวอมฟ้าเพราะคราบสนิมพยุงตัวก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น จนกระทั่งมาหยุดอยู่บนพื้นศิลาเรียบเป็นมันทว่าเย็นเฉียบบนชั้นสอง ดวงตาสีเทาขุ่นแลข้ามลานโล่งไปยังห้องที่มีคบไฟสว่างปักอยู่ข้างประตู ก่อนจะก้าวตรงไปเคาะห่วงเหล็กคร่ำคร่าลงกับแผ่นไม้สีน้ำตาลซีดแล้วยืนนิ่งรอจนได้ยินเสียงอนุญาตจากคนในห้อง จึงผลักบานประตูให้เปิดออกก่อนจะแทรกกายหายลับเข้าไปภายใน
ห้องนั้นค่อนข้างมืดทั้งยังอับทึบเนื่องจากหน้าต่างสองบานด้านในสุดชำรุดจนไม่อาจเปิดออกได้ โชคดีที่ผนังห้องเจาะช่องลมเอาไว้โดยรอบทำให้พอมีอากาศถ่ายเทได้บ้าง แสงสลัวจากเชิงเทียนกิ่งบนเสาทรงกลมตามมุมส่องให้เห็นสภาพภายในห้องที่ค่อนข้างทรุดโทรม หากได้รับการเช็ดถูทำความสะอาดเอาไว้เป็นอย่างดี บนเตียงนอนไม้สี่เสาใหญ่โตเทอะทะแบบโบราณมีที่นอนนุ่มปูทับด้วยผ้าสีเหลืองนวลสะอาดสะอ้านหอมกรุ่น เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่ที่จัดวางไว้แทนของเดิมซึ่งคงใช้การไม่ได้แล้ว ม่านคลุมรอบเตียงก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นผ้าไหมดุนลายดอกละเอียดยิบสีน้ำเงินสด เก้าอี้ไม้พนักสูงสองตัวริมผนังตั้งขนาบข้างโต๊ะไม้ครึ่งวงกลมถูกเช็ดถูจนสะอาดน่านั่ง แม้สีสันและลวดลายบนเบาะผ้าไหมจะซีดจางไปตามกาลเวลา หากทั้งโต๊ะและเก้าอี้ยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นตรงมุมห้องยังมีโต๊ะเล็กวางแจกันกระเบื้องทรงกลมรองรับด้วยผ้าลูกไม้บอบบางประดับดอกคาเมลเลียสีชมพูสลับขาวเพิ่มความสดชื่นให้กับห้องอีกด้วย ดอกไม้พวกนี้สาวใช้ของเจ้าหญิงลูเซียเป็นผู้นำมาเปลี่ยนให้ทุกวัน
นักบวชชราไม่ต้องใช้เวลานานนักในการปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวภายในห้อง เพราะบริเวณระเบียงด้านนอกซึ่งเขาเพิ่งจากมาก็ไม่ได้สว่างไปกว่ากันเท่าใดนัก เขากวาดตามองหาชายหนุ่มเจ้าของห้อง พบว่าฝ่ายนั้นกำลังยืนพิงกรอบหน้าต่างจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรเฉยเมยยากจะเดาความรู้สึก
ชายชรารีบสาวเท้าเข้าไปหาพลางกล่าวรายงาน สุ้มเสียงของเขาแม้จะฟังดูอ่อนล้าหากแฝงชัยชนะอยู่ในที
“เจ้าชายกันนาร์เสด็จออกนอกปราสาทไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่ใจหรือท่านบาธ” ผู้ฟังขมวดคิ้ว ยังไม่ปลงใจเชื่อเสียทีเดียว
“แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ นกของกระหม่อมติดตามเจ้าชายไปจนถึงสะพานชักก่อนจะบินกลับมาที่นี่”
“ดีมาก”
ชายหนุ่มในชุดดำขยับร่างเปลี่ยนจากท่ายืนตามสบายเมื่อครู่เป็นยืดตัวขึ้นตรงอย่างเตรียมพร้อม ดวงเนตรคมกริบดำสนิทราวกับสีของรัตติกาลทอดมองไปยังดาบคู่กายที่วางอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากบางเฉียบเหยียดรอยยิ้มเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็คงถึงเวลาไปเยี่ยมไข้ราชาเอลเบอเรธกันแล้ว”
กลิ่นหอมปนหวานเอียนๆ ที่ลอยตามลมมา ชวนให้เกิดความรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างประหลาด ราชองครักษ์เวรที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทมของราชาแห่งกรีนแลนด์พยายามสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอยู่หลายครั้ง หากไม่เป็นผล พอรู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็มายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้กว้างไกลสุดสายตาเสียแล้ว แม้จะงุนงงอยู่ไม่น้อย หากภาพที่เห็นก็งดงามเสียจนสององครักษ์หนุ่มแทบจะลืมหายใจ ความสงสัยที่กำลังจะก่อเกิดขึ้นในสมองระเหยหายไปรวดเร็วราวกับน้ำค้างต้องไอแดด เช่นเดียวกับความทรงจำของพวกเขา ภาพระเบียงกว้างของตำหนักหลวงดูเลือนรางห่างไกลออกไปทุกทีจนคล้ายกับเป็นเพียงภาพในความฝัน ...ทุ่งดอกไม้งดงามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี่ต่างหากเล่าคือความเป็นจริง!
ควันสีฟ้าอ่อนจางจากโถกำยานม้วนตัวลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมเอียนเปี่ยมมนต์ขลังของดอกหญ้าหลงลืมอวลตลบ ฉุดกระชากสติสัมปชัญญะของสองราชองครักษ์หนุ่มให้หลุดลอยแล้วปลิวหายไปกับสายลม
เจ้าหญิงลูเซียทรงวางโถกำยานใบเล็กในพระหัตถ์ลงบนพื้นระเบียงใกล้กับห้องบรรทมของราชาเอลเบอเรธก่อนจะเสด็จย้อนกลับไปตามทางเดิมอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครในตำหนักหลวงสงสัยหรือคิดแปลกใจที่เห็นพระองค์เสด็จมาเยี่ยมองค์ราชาเพียงลำพังในเวลาเช่นนี้ เพราะพวกเขาล้วนตกอยู่ในภวังค์ความฝันอันเกิดจากกลิ่นของดอกหญ้าหลงลืมทั้งสิ้น
เจ้าชายดิเร็กซ์ค่อยย่างพระบาทออกจากหลืบเสาที่ซ่อน หลังจากรออยู่นานจนมั่นพระทัยแล้วว่ากำยานหอมชนิดพิเศษที่ทรงใช้ให้เจ้าหญิงลูเซียถือมา ออกฤทธิ์เป็นที่เรียบร้อย ร่างในชุดสีดำทะมัดทะแมงโพกเศียรด้วยผ้าผืนใหญ่ทิ้งชายยาวตวัดคลุมดวงพักตร์เอาไว้ครึ่งๆ ก้าวผ่านราชองครักษ์เวรที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นไร้ชีวิตเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์ ขณะที่นกสีขาวตัวใหญ่บินแยกไปเกาะอยู่บนลูกกรงระเบียงเพื่อคอยดูต้นทาง
ในห้องสว่างนวลไปด้วยแสงสลัวสีอำพันจากเชิงเทียนกิ่งตั้งพื้นและโคมแก้วเจียระไนบนเพดาน หน้าต่างทุกบานถูกหับปิดเพื่อกันไม่ให้สายลมเย็นพัดมาต้องพระวรกายของผู้ที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ข้าวของทุกชิ้นยังคงตั้งอยู่ในที่ในทางของมันตามเดิมเหมือนวันที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมพระอาการของประมุขแห่งกรีนแลนด์ไม่มีผิด เพียงแต่... วันนี้ไม่มีบุคคลที่สามอย่างเจ้าชายกันนาร์อยู่เป็นก้างขวางคอ
ดวงเนตรคมกริบราวกับเหยี่ยวแลปราดไปยังพระแท่นขนาดใหญ่กลางห้อง ร่างของคนที่นอนอยู่บนนั้นแลเห็นเป็นเงาลางๆ ผ่านม่านบางเบาสีขาวซึ่งคลี่คลุมอยู่โดยรอบ เจ้าชายแห่งทาเนียร์ขยับพระวรกายเข้าไปจนชิดเพื่อจะแหวกผ้าม่านทอดพระเนตรคนบนเตียงให้ถนัดยิ่งขึ้น
ราชาเอลเบอเรธบรรทมหลับพระเนตรนิ่งไม่ได้พระสติอยู่ภายใต้ผืนแพรเนื้อบาง สีพระพักตร์ในวันนี้ดูสดใสขึ้นจนผิดตา ไม่เผือดซีดปราศจากสีโลหิตราวกับคนเจ็บหนักปางดายดังที่พระองค์เห็นครั้งก่อน จะว่าไปแล้วดูไม่ต่างจากคนที่นอนหลับตามปกติเสียด้วยซ้ำ
นักบวชของกรีนแลนด์ท่าจะเก่งจริง...
แต่ถึงกรีนแลนด์จะมีนักบวชที่เก่งกาจขนาดไหน ราชาหนุ่มพระองค์นี้ก็ต้องสิ้นพระชนม์อยู่นั่นเอง
เจ้าชายดิเร็กซ์แย้มสรวลเหี้ยมเกรียมอยู่ภายใต้ผ้าคลุมพระพักตร์ ขณะที่คมดาบขาววับในพระหัตถ์ค่อยๆ เลื่อนหลุดจากฝัก ทรงเงื้อมันขึ้นสูงแล้วตวัดฟันลงมาเต็มแรง
ใบดาบคมกริบบาดลึกเข้าไปในผิวเนื้ออ่อนนุ่มของผู้ที่นอนสิ้นสติอยู่ทีเดียวเกือบครึ่ง เพียงออกแรงกดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยศีรษะของประมุขแห่งกรีนแลนด์ก็ขาดสะบั้นออกจากร่าง โดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องหรือแสดงอาการหวาดสะดุ้งแม้สักน้อย ดอกไม้โลหิตสีแดงฉานร่วงหล่นจากร่างไร้ชีวิตลงเปื้อนผ้าปูที่นอนขาวสะอาด แต้มกลีบคาวคลุ้งกระจายเกลื่อนไปทั้งผืน กลิ่นอายแห่งความตายอวลตลบแทบจะกลบกลิ่นหอมหวานของดอกหญ้าหลงลืมให้จืดจางลงได้ชั่วขณะ
เจ้าชายดิเร็กซ์ถอนดาบกลับคืนมาพลางทอดพระเนตรผลงานตรงหน้าอย่างพึงพระทัย หน้าที่ของพระองค์เสร็จสิ้นลงแล้ว จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับว่าคณะทูตของทาเนียร์จะเกลี้ยกล่อมให้ราชาเฒ่าแห่งวูดแลนด์ยอมร่วมมือด้วยได้มากน้อยแค่ไหน
ชายหนุ่มละสายตาจากร่างอันน่าสมเพชบนเตียงนอน ขยับยกดาบในมือขึ้นเช็ดทำความสะอาดก่อนจะสอดเก็บเข้าฝักดังเดิม คมดาบขาววับล้อแสงไฟเป็นเงาเลื่อมสะท้อนปราบเข้าตา ตลอดทั้งความยาวของแผ่นโลหะแบนบางนั้นไม่มีรอยเปื้อนของคราบโลหิตให้เห็นแม้แต่หยดเดียว ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเท่าขนแมวเสียด้วยซ้ำ ดาบที่เพิ่งจะดื่มเลือดของราชาแห่งกรีนแลนด์ไปสดๆ ร้อนๆ ยังคงอยู่ในสภาพสะอาดเอี่ยมเหมือนเมื่อแรกหลุดออกจากฝักไม่มีผิด!
เจ้าชายแห่งทาเนียร์รู้สึกราวกับถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็งเย็นเฉียบจนชาดิกไปทั้งร่าง ความเข้าใจอันลางเลือนพุ่งวาบเข้าสู่สมอง เร่งเร้าให้พระองค์ต้องตวัดพระเนตรกลับไปยังร่างไร้ชีวิตของคนบนเตียงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้สิ่งที่ทรงทอดพระเนตรเห็นกลับไม่ใช่ซากร่างของราชาเอลเบอเรธ หากแต่เป็นตุ๊กตาไม้แกะสลักฝีมือหยาบ วางอยู่เหนือที่นอนนุ่มใต้ผืนแพรสีเหลืองนวลขาดเป็นริ้ว ดวงเนตรคมกริบของเจ้าชายดิเร็กซ์จ้องนิ่งไปที่กระดาษแผ่นน้อยซึ่งตกอยู่ข้างตัวตุ๊กตา เปลวไฟสีน้ำเงินอมม่วงปราศจากความร้อนกำลังลุกไหม้ลามเลียกระดาษแผ่นนั้น เพียงพริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เศษเถ้า
ไม่มีผ้าปูที่นอนชุ่มโลหิต...
ไม่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง...
ไม่มีแม้กระทั่งองค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์... ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงอันเกิดจากเวทมนตร์มายาทั้งสิ้น
“บัดซบ”
เจ้าชายดิเร็กซ์ขบพระทนต์แน่นเพื่อข่มโทสะ เป็นเพราะทรงประมาทฝีมือของศัตรูมากเกินไปจึงถูกกลหลอกเด็กง่ายๆ แค่นี้ตบตาเอาได้
“หนังเหนียวนักนะเอลเบอเรธ อย่าให้ข้ารู้ก็แล้วกันว่าเจ้าไปมุดหัวซ่อนอยู่ที่ไหน”
ชายหนุ่มกระแทกดาบคืนสู่ฝักเต็มแรงก่อนจะผละออกห่างจากเตียงนอน ก้าวตรงไปยังประตูทางออกด้วยความรวดเร็วและเงียบเชียบเฉกเช่นขามา
“เจ้าเลิกเดินสักทีเถอะกายย์ ข้าเวียนหัว อ่านรายงานไม่รู้เรื่องแล้ว”
สิ้นคำพูดของพี่ชาย สุรเสียงใสราวกับระฆังเงินของเจ้าหญิงกาอิยาห์ก็สวนกลับทันควัน ดวงพักตร์นวลงอง้ำ
“พี่กันนาร์ก็เลิกอ่านเอกสารพวกนี้ก่อนสิคะ ถ้าพี่เลิกอ่านน้องก็จะเลิกเดิน น้องมีเรื่องกลุ้มใจจะปรึกษา”
เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยยาวยืดด้วยเสียงอันดังจงใจให้คนเป็นน้องได้ยิน ก่อนจะวางม้วนกระดาษลงบนโต๊ะ แล้วหันไปจับพระเนตรอยู่ที่ร่างบางซึ่งยอมหยุดเดินได้สักที
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“คืออย่างนี้” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรุดพระองค์ลงนั่งบนเก้าอี้นุ่มตรงข้ามพี่ชาย โน้มพระองค์ไปข้างหน้าน้อยๆ ราวกับกำลังจะกล่าวถึงเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง
“เจ้าชายเอเดรียนจะเสด็จมาลินเด็น น้องเพิ่งได้รับจดหมายเมื่อเช้า”
พระนามคุ้นหูนั้นมีผลทำให้คิ้วเข้มพาดตรงของคนฟังขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เจ้าชายกันนาร์เคยได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นหนุ่มรูปงามเจ้าสำอางและเจ้าชู้ของผู้เป็นโอรสองค์ที่สองในราชาแห่งแลมพ์ตันมาบ้าง พระสุรเสียงที่ตรัสตอบจึงเข้มขึ้นทันทีด้วยความระแวง
“ทำไมจู่ๆ เจ้าชายเอเดรียนเกิดจะต้องเสด็จมากรีนแลนด์ หรือว่าพระองค์จะมาหาเจ้าอีกคน”
“ไม่ใช่ค่ะ เจ้าชายเอเดรียนไม่ได้มาหาน้อง แต่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพาตัวเลดี้เมลิอานาร์คู่หมั้นกลับแลมพ์ตันต่างหาก”
“พาคู่หมั้นกลับแลมพ์ตัน” ความพิศวงฉายชัดออกมาทางสีหน้าของชายหนุ่ม ตามมาด้วยคำถามกึ่งปรารภ
“เจ้าชายเอเดรียนทรงมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เห็นได้ข่าว”
“ก็นั่นน่ะสิคะ นางหมั้นแล้วแต่กลับไม่ยอมปริปากบอกกันสักคำ”
คำตอบหงุดหงิดของคนเป็นน้องทำให้พี่ชายยิ่งงง
“เดี๋ยวก่อนกายย์ นี่เจ้ากำลังพูดถึงใครกัน”
“ก็คู่หมั้นของเจ้าชายเอเดรียน เลดี้เมลิอานาร์”
“เลดี้เมลิอานาร์” เจ้าชายทวนคำแล้วส่ายพักตร์ “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ”
“รู้จักสิคะ รู้จักดีด้วย พี่กันนาร์เองก็รู้จัก นางก็คือ ‘เมล’ ยังไงล่ะคะ”
สิ้นประโยคนั้น ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในภาวะเงียบกริบ เงียบเสียจนเจ้าหญิงกาอิยาห์คิดว่าหากมีเส้นผมตกลงบนพื้นสักเส้นพระองค์ก็คงได้ยิน เด็กสาวลอบชำเลืองดูปฏิกิริยาของพี่ชายด้วยความเป็นห่วง
เจ้าชายกันนาร์ทรงนิ่งอั้นไปคล้ายพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เพิ่งได้รับฟัง พระพักตร์คมคายแดงก่ำแล้วกลับซีดเผือดลง ก่อนที่จะกลับเป็นสีแดงเข้มขึ้นมาอีกครั้งราวกับเล่นกล น้องสาวเห็นแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้หากแต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา
“นี่หมายความว่า เจ้าหมอนั่...เอ่อ...เพื่อนของเจ้าเป็นคนเดียวกับเลดี้เมลิ..อะไรคนนั้นหรือ ?”
“เมลิอานาร์ ใช่แล้วค่ะ พี่เข้าใจถูกต้อง”
“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า...” เจ้าชายเค้นพระสุรเสียงถามรอดไรพระทนต์ “...เพื่อนของเจ้าเป็นผู้หญิงงั้นสินะ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พยักพระพักตร์แทนคำตอบ เท่านั้นผู้เป็นพี่ชายก็ราวกับจะ ‘เดือด’ ขึ้นมาในบัดดล
“นี่พวกเจ้าร่วมมือกันหลอกข้าเล่นหรือไง เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรกันหา กาอิยาห์”
“แหม พี่กันนาร์ก็...อย่าเพิ่งโกรธสิคะ” น้องสาวยิ้มหวานประจบ “น้องไม่ได้คิดจะหลอกพี่สักหน่อย แต่พี่เองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเหมาเอาว่าเมลเป็นนักบวชตั้งแต่ยังไม่ทันได้เจอตัวนางด้วยซ้ำ”
พี่ชายมีอาการคล้ายสะอึกไปเล็กน้อย แต่ยังคงเสียงแข็ง “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเข้าใจผิด แล้วทำไมไม่บอกสิ่งที่ถูกให้ข้ารับรู้ล่ะ”
“ถ้าน้องบอกแล้วพี่จะเชื่อหรือคะ”
ประโยคย้อนถามของเจ้าหญิงกาอิยาห์ทำให้เจ้าชายกันนาร์จำต้องเงียบเสียงลงแล้วคิด นั่นสินะ หาก มีคนแต่งกายเหมือนผู้ชายทุกอย่างแถมยังคาดดาบเล่มยาวเอาไว้ที่เอวเสียด้วย เดินเข้ามาบอกกับพระองค์ว่านางเป็นผู้หญิง พระองค์จะเชื่อในสิ่งที่เขาบอกหรือจะทรงเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นกันแน่
คำตอบก็เป็นอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้นจะไปโทษว่าเป็นความผิดของน้องสาวกับผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่ถูกต้องนัก
“เอาเถอะ...”
เจ้าชายหนุ่มพยายามระงับอารมณ์โกรธที่ยังกรุ่นอยู่ในพระทัย ทำไมจะต้องโกรธ พระองค์ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ความจริงพระองค์ควรจะรู้สึกโล่งใจมากกว่า เพราะไม่ต้องคอยระวังความสัมพันธ์อันน่าสงสัยของน้องสาวกับหนุ่มหล่อรายนั้นอีกต่อไป
“เข้าเรื่องของเจ้าดีกว่ากายย์ เจ้าชายเอเดรียนจะเสด็จมาตามคู่หมั้น แล้วเจ้ากลุ้มเรื่องอะไร ข้ายังไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเจ้าตรงไหน”
เจ้าหญิงกาอิยาห์กระแทกพระองค์พิงพนักเก้าอี้เต็มแรง ส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างขัดพระทัย
“ทำไมจะไม่เกี่ยว เกี่ยวสิคะแถมยังเกี่ยวมากด้วย น้องไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าเมลหมั้นแล้ว น้องอยากจะให้นางอยู่ที่นี่กับเรานานๆ ไม่ต้องกลับแลมพ์ตันได้เลยยิ่งดี”
“พูดจาเอาแต่ใจเป็นเด็กไปได้ ลืมแล้วหรือว่าเมลแค่มาช่วยเจ้าคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีน ถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับแลมพ์ตัน ไม่ว่าจะหมั้นแล้วหรือยังก็ตาม”
เมื่อเห็นน้องสาวนิ่งไปไม่โต้ตอบ เจ้าชายกันนาร์ก็คิดว่าจบเรื่อง พระองค์ตั้งท่าจะหยิบม้วนกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาทอดพระเนตรต่อ หากแล้วก็แทบจะพลัดตกจากพระเก้าอี้เมื่อได้ยินคำถามโพล่งขึ้น
“พี่กันนาร์ไม่รู้สึกชอบเมลบ้างเลยหรือคะ”
“ถามอะไรของเจ้า” ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหู “ข้าไม่ใช่พวกวิปริตนี่จะได้นึกชอบผู้ชายด้วยกันได้ลงคอ”
“เอ๊ ก็น้องบอกว่าเมลเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อยจะวิปริตได้ยังไง”
เจ้าหญิงกาอิยาห์เอียงพระศอมองหน้าผู้เป็นพี่ ก่อนพยักพระพักตร์หงึกหงักกับองค์เอง คงเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เคยเห็นเมลตอนแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาก่อน จึงได้พูดออกมาเช่นนั้น
ดีละ...
รอยแย้มสรวลเร้นลับผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์สีกุหลาบ พร้อมกับความคิดใหม่เอี่ยมที่จะจับคู่พี่ชายกับเพื่อนสาวแทนการปล่อยให้นางตามเสด็จเจ้าชายพระคู่หมั้นกลับแลมพ์ตัน เด็กสาวผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ พยักหน้าเป็นสัญญาณให้นางข้าหลวงผู้ติดตามซึ่งยืนสงบเสงี่ยมรออยู่แถวหน้าประตูเตรียมตัวกลับ
เจ้าชายกันนาร์แหงนพระพักตร์มองตามร่างบางของคนเป็นน้องอย่างงงงัน บทจะมานางก็มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมยังบังคับให้พระองค์ฟังเรื่องไร้สาระของนางเสียยืดยาว พอบทจะกลับนางก็หันหลังกลับได้หน้าตาเฉย จนพี่ชายปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“อะไรของเจ้าน่ะกายย์ แล้วที่ว่าจะปรึกษาข้า จบแล้วหรือไง”
“ค่ะ น้องหาทางออกได้แล้ว ต้องรีบกลับไปวางแผน เอ๊ย กลับไปทำอย่างอื่นต่อ”
เจ้าหญิงเสด็จตรงไปที่ประตูโดยผู้เป็นพี่ชายไม่ได้เอ่ยพระโอษฐ์คัดค้านแต่อย่างใดเพียงแต่ส่งเสียงปรามไล่หลังว่า
“อย่ามัวแต่เล่นอยู่ล่ะ เจ้าควรจะหาเวลาไปอยู่กับเจ้าหญิงลูเซียบ้าง ถึงเจ้าชายดิเร็กซ์จะเสด็จกลับทาเนียร์ไปแล้วก็ยังไม่ควรวางใจ เพราะเรายังหาตัวคนร้ายไม่ได้”
น้องสาวลอบย่นจมูกใส่บานประตูก่อนจะรับคำส่งๆ เพื่อไม่ให้พี่ชายสังเกตเห็นพิรุธ
พอลับร่างของเจ้าหญิงกาอิยาห์และนางข้าหลวงผู้ติดตาม เจ้าชายกันนาร์กลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าหมู่เก้าอี้เสียเอง ม้วนกระดาษบนโต๊ะถูกทิ้งให้วางดายอยู่ที่เดิมโดยที่พระองค์ไม่มีความคิดจะเอื้อมพระหัตถ์ไปแตะ เรื่องที่เจ้าหญิงกาอิยาห์เพิ่งสารภาพเกี่ยวกับเพื่อนของนาง รบกวนพระทัยจนกระทั่งเจ้าชายกันนาร์ไม่ทรงมีสมาธิจะอ่านรายงานทางทหารพวกนั้นอีกต่อไป
ป่านนี้องค์ราชาจะทรงเป็นอย่างไรบ้างก็ยากจะเดา ยิ่งเดินทางตามลำพังกับผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นแม้แต่นักบวชฝึกหัดอย่างนั้น ถึงน้องสาวของพระองค์จะยืนยันอยู่หลายครั้งว่านางเก่ง แต่ผู้หญิงจะเก่งได้สักแค่ไหนกันเชียว หากมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นยังไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นฝ่ายคุ้มครองใครกันแน่ เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยหนักหน่วง เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พระองค์รู้ดีว่าไม่ควรทิ้งตำหนักหลวงออกไปไหนเวลานี้ แต่ความเป็นห่วงในตัวประมุขแห่งกรีนแลนด์มีมากเกินกว่าเหตุผลอันควรทุกประการ
หลังจากชั่งพระทัยอยู่ครู่ใหญ่ เจ้าชายกันนาร์ก็เลือกที่จะเสด็จออกไปพบท่านคาร์ลที่คฤหาสน์ย่านชานเมือง โดยหารู้ไม่ว่าทันทีที่ทรงย่างพระบาทพ้นจากเขตตำหนักหลวง นกสีขาวตัวใหญ่ซึ่งเกาะนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ในสวนหย่อมก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าตามติดพระองค์ไปเช่นเดียวกัน!
นักบวชสูงอายุหนวดเคราขาวนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งอยู่บนพื้นพรมกลางหอสวดมนต์เก่าแก่ ติดกับตำหนักที่ประทับของอดีตราชินีแห่งกรีนแลนด์ หอสวดมนต์หลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์องค์แรกขึ้นปกครองกรีนแลนด์ เคยถูกใช้เป็นที่ทรงศีลของบรรดาราชินีม่ายผู้สูญเสียพระสวามีจากสงครามมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งประเพณีไว้ทุกข์แบบโบราณถูกยกเลิกไปจึงได้ปิดทิ้งเอาไว้จนตัวอาคารบางส่วนเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ส่วนที่ยังดีอยู่ก็ถูกเถาวัชพืชเลื้อยขึ้นปกคลุมเสียจนรกเรื้อแทบจะมองไม่เห็นสภาพดั้งเดิม ไม่มีใครล่วงรู้ว่าบัดนี้หอสวดมนต์หลังเก่าได้ถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง...อย่างเงียบเชียบและเป็นความลับ
สายลมเย็นพัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างซึ่งถูกบดบังด้วยเถาไม้เลื้อยสีเขียวเข้ม ทิ้งก้านยาวระย้าลงมาราวกับม่าน เปลวไฟสีส้มแดงปลายคบเพลิงสะบัดไหวก่อให้เกิดรูปเงาวูบวาบน่าพรั่นพรึงคล้ายภูตผีปิศาจกำลังร่ายรำอยู่บนแผ่นผนัง ร่างที่นั่งนิ่งอยู่กลางห้องสะดุ้งผวาขึ้นทั้งตัว ก่อนที่ดวงตาสีเทาขุ่นเป็นฝ้าจะลืมขึ้นช้าๆ
นักบวชชราขยับกายเพื่อคลายความเมื่อยขบจากการที่ต้องทนนั่งนิ่งอยู่กับที่นานถึงสามวันสามคืนโดยปราศจากทั้งน้ำและอาหาร เขาเหยียดท่อนแขนข้างขวาออกไปเบื้องหน้าให้นกสีขาวปลอดที่เพิ่งบินเข้ามาในห้องร่อนลงเกาะ อีกมือหนึ่งก็ไล้ไปบนเส้นขนอ่อนนุ่มของเจ้าสัตว์อาคมตัวนั้นอย่างรักใคร่ ไม่เสียแรงที่สู้อุตสาห์นั่งสมาธิ ส่งกระแสจิตรับรู้ตามติดมันไปเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าชายกันนาร์ ในที่สุดความพยายามและความอดทนของเขาก็สัมฤทธิ์ผล
นักบวชแห่งทาเนียร์ค่อยหยัดกายขึ้นยืนอย่างลำบาก ร่างผ่ายผอมในชุดยาวรุ่มร่ามสีขาวขลิบทองโงนเงนเล็กน้อย ขณะก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งระหว่างเสาสองต้นไปสู่ขั้นบันไดหินอ่อนสีเทาทึม มีนกขาวตัวเดิมเกาะนิ่งอยู่บนไหล่ขวา ชายชราใช้มือยึดราวทองเหลืองดุนลายดอกไม้ที่กลายเป็นสีเขียวอมฟ้าเพราะคราบสนิมพยุงตัวก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น จนกระทั่งมาหยุดอยู่บนพื้นศิลาเรียบเป็นมันทว่าเย็นเฉียบบนชั้นสอง ดวงตาสีเทาขุ่นแลข้ามลานโล่งไปยังห้องที่มีคบไฟสว่างปักอยู่ข้างประตู ก่อนจะก้าวตรงไปเคาะห่วงเหล็กคร่ำคร่าลงกับแผ่นไม้สีน้ำตาลซีดแล้วยืนนิ่งรอจนได้ยินเสียงอนุญาตจากคนในห้อง จึงผลักบานประตูให้เปิดออกก่อนจะแทรกกายหายลับเข้าไปภายใน
ห้องนั้นค่อนข้างมืดทั้งยังอับทึบเนื่องจากหน้าต่างสองบานด้านในสุดชำรุดจนไม่อาจเปิดออกได้ โชคดีที่ผนังห้องเจาะช่องลมเอาไว้โดยรอบทำให้พอมีอากาศถ่ายเทได้บ้าง แสงสลัวจากเชิงเทียนกิ่งบนเสาทรงกลมตามมุมส่องให้เห็นสภาพภายในห้องที่ค่อนข้างทรุดโทรม หากได้รับการเช็ดถูทำความสะอาดเอาไว้เป็นอย่างดี บนเตียงนอนไม้สี่เสาใหญ่โตเทอะทะแบบโบราณมีที่นอนนุ่มปูทับด้วยผ้าสีเหลืองนวลสะอาดสะอ้านหอมกรุ่น เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่ที่จัดวางไว้แทนของเดิมซึ่งคงใช้การไม่ได้แล้ว ม่านคลุมรอบเตียงก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นผ้าไหมดุนลายดอกละเอียดยิบสีน้ำเงินสด เก้าอี้ไม้พนักสูงสองตัวริมผนังตั้งขนาบข้างโต๊ะไม้ครึ่งวงกลมถูกเช็ดถูจนสะอาดน่านั่ง แม้สีสันและลวดลายบนเบาะผ้าไหมจะซีดจางไปตามกาลเวลา หากทั้งโต๊ะและเก้าอี้ยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นตรงมุมห้องยังมีโต๊ะเล็กวางแจกันกระเบื้องทรงกลมรองรับด้วยผ้าลูกไม้บอบบางประดับดอกคาเมลเลียสีชมพูสลับขาวเพิ่มความสดชื่นให้กับห้องอีกด้วย ดอกไม้พวกนี้สาวใช้ของเจ้าหญิงลูเซียเป็นผู้นำมาเปลี่ยนให้ทุกวัน
นักบวชชราไม่ต้องใช้เวลานานนักในการปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวภายในห้อง เพราะบริเวณระเบียงด้านนอกซึ่งเขาเพิ่งจากมาก็ไม่ได้สว่างไปกว่ากันเท่าใดนัก เขากวาดตามองหาชายหนุ่มเจ้าของห้อง พบว่าฝ่ายนั้นกำลังยืนพิงกรอบหน้าต่างจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรเฉยเมยยากจะเดาความรู้สึก
ชายชรารีบสาวเท้าเข้าไปหาพลางกล่าวรายงาน สุ้มเสียงของเขาแม้จะฟังดูอ่อนล้าหากแฝงชัยชนะอยู่ในที
“เจ้าชายกันนาร์เสด็จออกนอกปราสาทไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่ใจหรือท่านบาธ” ผู้ฟังขมวดคิ้ว ยังไม่ปลงใจเชื่อเสียทีเดียว
“แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ นกของกระหม่อมติดตามเจ้าชายไปจนถึงสะพานชักก่อนจะบินกลับมาที่นี่”
“ดีมาก”
ชายหนุ่มในชุดดำขยับร่างเปลี่ยนจากท่ายืนตามสบายเมื่อครู่เป็นยืดตัวขึ้นตรงอย่างเตรียมพร้อม ดวงเนตรคมกริบดำสนิทราวกับสีของรัตติกาลทอดมองไปยังดาบคู่กายที่วางอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากบางเฉียบเหยียดรอยยิ้มเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็คงถึงเวลาไปเยี่ยมไข้ราชาเอลเบอเรธกันแล้ว”
กลิ่นหอมปนหวานเอียนๆ ที่ลอยตามลมมา ชวนให้เกิดความรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างประหลาด ราชองครักษ์เวรที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทมของราชาแห่งกรีนแลนด์พยายามสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอยู่หลายครั้ง หากไม่เป็นผล พอรู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็มายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้กว้างไกลสุดสายตาเสียแล้ว แม้จะงุนงงอยู่ไม่น้อย หากภาพที่เห็นก็งดงามเสียจนสององครักษ์หนุ่มแทบจะลืมหายใจ ความสงสัยที่กำลังจะก่อเกิดขึ้นในสมองระเหยหายไปรวดเร็วราวกับน้ำค้างต้องไอแดด เช่นเดียวกับความทรงจำของพวกเขา ภาพระเบียงกว้างของตำหนักหลวงดูเลือนรางห่างไกลออกไปทุกทีจนคล้ายกับเป็นเพียงภาพในความฝัน ...ทุ่งดอกไม้งดงามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี่ต่างหากเล่าคือความเป็นจริง!
ควันสีฟ้าอ่อนจางจากโถกำยานม้วนตัวลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมเอียนเปี่ยมมนต์ขลังของดอกหญ้าหลงลืมอวลตลบ ฉุดกระชากสติสัมปชัญญะของสองราชองครักษ์หนุ่มให้หลุดลอยแล้วปลิวหายไปกับสายลม
เจ้าหญิงลูเซียทรงวางโถกำยานใบเล็กในพระหัตถ์ลงบนพื้นระเบียงใกล้กับห้องบรรทมของราชาเอลเบอเรธก่อนจะเสด็จย้อนกลับไปตามทางเดิมอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครในตำหนักหลวงสงสัยหรือคิดแปลกใจที่เห็นพระองค์เสด็จมาเยี่ยมองค์ราชาเพียงลำพังในเวลาเช่นนี้ เพราะพวกเขาล้วนตกอยู่ในภวังค์ความฝันอันเกิดจากกลิ่นของดอกหญ้าหลงลืมทั้งสิ้น
เจ้าชายดิเร็กซ์ค่อยย่างพระบาทออกจากหลืบเสาที่ซ่อน หลังจากรออยู่นานจนมั่นพระทัยแล้วว่ากำยานหอมชนิดพิเศษที่ทรงใช้ให้เจ้าหญิงลูเซียถือมา ออกฤทธิ์เป็นที่เรียบร้อย ร่างในชุดสีดำทะมัดทะแมงโพกเศียรด้วยผ้าผืนใหญ่ทิ้งชายยาวตวัดคลุมดวงพักตร์เอาไว้ครึ่งๆ ก้าวผ่านราชองครักษ์เวรที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นไร้ชีวิตเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์ ขณะที่นกสีขาวตัวใหญ่บินแยกไปเกาะอยู่บนลูกกรงระเบียงเพื่อคอยดูต้นทาง
ในห้องสว่างนวลไปด้วยแสงสลัวสีอำพันจากเชิงเทียนกิ่งตั้งพื้นและโคมแก้วเจียระไนบนเพดาน หน้าต่างทุกบานถูกหับปิดเพื่อกันไม่ให้สายลมเย็นพัดมาต้องพระวรกายของผู้ที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ข้าวของทุกชิ้นยังคงตั้งอยู่ในที่ในทางของมันตามเดิมเหมือนวันที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมพระอาการของประมุขแห่งกรีนแลนด์ไม่มีผิด เพียงแต่... วันนี้ไม่มีบุคคลที่สามอย่างเจ้าชายกันนาร์อยู่เป็นก้างขวางคอ
ดวงเนตรคมกริบราวกับเหยี่ยวแลปราดไปยังพระแท่นขนาดใหญ่กลางห้อง ร่างของคนที่นอนอยู่บนนั้นแลเห็นเป็นเงาลางๆ ผ่านม่านบางเบาสีขาวซึ่งคลี่คลุมอยู่โดยรอบ เจ้าชายแห่งทาเนียร์ขยับพระวรกายเข้าไปจนชิดเพื่อจะแหวกผ้าม่านทอดพระเนตรคนบนเตียงให้ถนัดยิ่งขึ้น
ราชาเอลเบอเรธบรรทมหลับพระเนตรนิ่งไม่ได้พระสติอยู่ภายใต้ผืนแพรเนื้อบาง สีพระพักตร์ในวันนี้ดูสดใสขึ้นจนผิดตา ไม่เผือดซีดปราศจากสีโลหิตราวกับคนเจ็บหนักปางดายดังที่พระองค์เห็นครั้งก่อน จะว่าไปแล้วดูไม่ต่างจากคนที่นอนหลับตามปกติเสียด้วยซ้ำ
นักบวชของกรีนแลนด์ท่าจะเก่งจริง...
แต่ถึงกรีนแลนด์จะมีนักบวชที่เก่งกาจขนาดไหน ราชาหนุ่มพระองค์นี้ก็ต้องสิ้นพระชนม์อยู่นั่นเอง
เจ้าชายดิเร็กซ์แย้มสรวลเหี้ยมเกรียมอยู่ภายใต้ผ้าคลุมพระพักตร์ ขณะที่คมดาบขาววับในพระหัตถ์ค่อยๆ เลื่อนหลุดจากฝัก ทรงเงื้อมันขึ้นสูงแล้วตวัดฟันลงมาเต็มแรง
ใบดาบคมกริบบาดลึกเข้าไปในผิวเนื้ออ่อนนุ่มของผู้ที่นอนสิ้นสติอยู่ทีเดียวเกือบครึ่ง เพียงออกแรงกดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยศีรษะของประมุขแห่งกรีนแลนด์ก็ขาดสะบั้นออกจากร่าง โดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องหรือแสดงอาการหวาดสะดุ้งแม้สักน้อย ดอกไม้โลหิตสีแดงฉานร่วงหล่นจากร่างไร้ชีวิตลงเปื้อนผ้าปูที่นอนขาวสะอาด แต้มกลีบคาวคลุ้งกระจายเกลื่อนไปทั้งผืน กลิ่นอายแห่งความตายอวลตลบแทบจะกลบกลิ่นหอมหวานของดอกหญ้าหลงลืมให้จืดจางลงได้ชั่วขณะ
เจ้าชายดิเร็กซ์ถอนดาบกลับคืนมาพลางทอดพระเนตรผลงานตรงหน้าอย่างพึงพระทัย หน้าที่ของพระองค์เสร็จสิ้นลงแล้ว จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับว่าคณะทูตของทาเนียร์จะเกลี้ยกล่อมให้ราชาเฒ่าแห่งวูดแลนด์ยอมร่วมมือด้วยได้มากน้อยแค่ไหน
ชายหนุ่มละสายตาจากร่างอันน่าสมเพชบนเตียงนอน ขยับยกดาบในมือขึ้นเช็ดทำความสะอาดก่อนจะสอดเก็บเข้าฝักดังเดิม คมดาบขาววับล้อแสงไฟเป็นเงาเลื่อมสะท้อนปราบเข้าตา ตลอดทั้งความยาวของแผ่นโลหะแบนบางนั้นไม่มีรอยเปื้อนของคราบโลหิตให้เห็นแม้แต่หยดเดียว ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเท่าขนแมวเสียด้วยซ้ำ ดาบที่เพิ่งจะดื่มเลือดของราชาแห่งกรีนแลนด์ไปสดๆ ร้อนๆ ยังคงอยู่ในสภาพสะอาดเอี่ยมเหมือนเมื่อแรกหลุดออกจากฝักไม่มีผิด!
เจ้าชายแห่งทาเนียร์รู้สึกราวกับถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็งเย็นเฉียบจนชาดิกไปทั้งร่าง ความเข้าใจอันลางเลือนพุ่งวาบเข้าสู่สมอง เร่งเร้าให้พระองค์ต้องตวัดพระเนตรกลับไปยังร่างไร้ชีวิตของคนบนเตียงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้สิ่งที่ทรงทอดพระเนตรเห็นกลับไม่ใช่ซากร่างของราชาเอลเบอเรธ หากแต่เป็นตุ๊กตาไม้แกะสลักฝีมือหยาบ วางอยู่เหนือที่นอนนุ่มใต้ผืนแพรสีเหลืองนวลขาดเป็นริ้ว ดวงเนตรคมกริบของเจ้าชายดิเร็กซ์จ้องนิ่งไปที่กระดาษแผ่นน้อยซึ่งตกอยู่ข้างตัวตุ๊กตา เปลวไฟสีน้ำเงินอมม่วงปราศจากความร้อนกำลังลุกไหม้ลามเลียกระดาษแผ่นนั้น เพียงพริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เศษเถ้า
ไม่มีผ้าปูที่นอนชุ่มโลหิต...
ไม่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง...
ไม่มีแม้กระทั่งองค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์... ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงอันเกิดจากเวทมนตร์มายาทั้งสิ้น
“บัดซบ”
เจ้าชายดิเร็กซ์ขบพระทนต์แน่นเพื่อข่มโทสะ เป็นเพราะทรงประมาทฝีมือของศัตรูมากเกินไปจึงถูกกลหลอกเด็กง่ายๆ แค่นี้ตบตาเอาได้
“หนังเหนียวนักนะเอลเบอเรธ อย่าให้ข้ารู้ก็แล้วกันว่าเจ้าไปมุดหัวซ่อนอยู่ที่ไหน”
ชายหนุ่มกระแทกดาบคืนสู่ฝักเต็มแรงก่อนจะผละออกห่างจากเตียงนอน ก้าวตรงไปยังประตูทางออกด้วยความรวดเร็วและเงียบเชียบเฉกเช่นขามา
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2556, 09:20:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.พ. 2556, 09:22:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 1675
<< ตอนที่ 9 | ตอนที่ 11 >> |
ree 10 ก.พ. 2556, 09:38:55 น.
เวทย์มนตร์ก็มีประโยชน์อย่างนี้เอง
เวทย์มนตร์ก็มีประโยชน์อย่างนี้เอง
angelK 11 ก.พ. 2556, 08:30:52 น.
นั่นสิคะคุณ ree ทำให้คนเขียนเพ้อเจ้อได้เยอะด้วย อิอิ
ขอบคุณค่าคุณ อสิตา แอบเขิน แต่ดีใจที่แวะมาทักทายค่ะ
นั่นสิคะคุณ ree ทำให้คนเขียนเพ้อเจ้อได้เยอะด้วย อิอิ
ขอบคุณค่าคุณ อสิตา แอบเขิน แต่ดีใจที่แวะมาทักทายค่ะ