เงาจันทร์
สร้างจากเค้าโครงเรื่องสั้น (ของตัวเองเมื่อนานมาแล้ว)...และแรงบันดาลใจจากเพลง ‘งานเต้นรำคืนพระจันทร์เต็มดวง’


‘เขา’ พบ ‘เธอ’ ในช่วงเวลาที่แปลกประหลาด สถานที่แปลกประหลาด
‘เขา’ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเจอผู้หญิงคนนี้ ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมถึงเป็น ‘เขา’ ที่ได้เจอเธอ
ทำไม ‘เขา’ ถึงได้เจอ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว...และทำไม ‘เธอ’ ถึงมาให้ ‘เขา’ เห็นเพียงคนเดียว!


‘เธอ’ เจ็บปวดกับรักครั้งแรกที่ถูกทรยศ
‘เขา’ พยายามตามหารักครั้งใหม่ที่จะไม่ทำให้เขาเจ็บปวดอีก

เมื่อหนึ่งคน หนึ่งวิญญาณมาเจอกันในวันพระจันทร์เต็มดวง
ความผูกพันจึงได้ก่อเกิด

นำทางเขาเข้าไปสู่ความรักครั้งเก่า ที่กลับกลายเป็น...ต้นตอของโศกนาฏกรรมในชีวิตเธอ

ทุกอย่างนี่...เพื่อเธอจะได้จากไปยังอีกโลกได้อย่างเป็นสุข

ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ความจริง...นั่นหมายความว่าเธอกำลังจะหลุดพ้นจากโลกนี้

…และหายไปจากชีวิตเขาตลอดกาล...
Tags: เงาจันทร์,วิญญาณ,ผี,รัก,ฆาตกรรม

ตอน: บทที่ 2 : หญิงสาวใต้เงาจันทร์


แสงจันทร์ในคืนข้างขึ้นถึงแม้ไม่ใช่วันเพ็ญ แต่แสงนวลที่ส่องลงมาลอดกิ่งไม้ใหญ่นั้นทำให้เกิดเป็นรูปเงาประหลาดบนผืนหญ้าด้านหน้า...

และท่ามกลางลานกว้าง ตรงที่ไร้ซึ่งต้นไม้ใหญ่บดบังแสงนวล ทำให้ร่างโปร่งระหงที่ยืนอยู่ดูงดงาม...ปนกลิ่นอายเยือกเย็นอย่างประหลาด

ร่างบางอยู่ในอาภรณ์สีม่วงเข้มเกือบดำ เนื้อผ้าชั้นดีขับเน้นผิวขาว...ที่ดูเหมือนจะขาวซีดเกินไปในความคิดของเขาให้ดังจะเปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทรา ดวงหน้าที่ล้อมกรอบไว้ด้วยเรือนผมสีดำสนิทที่เกล้าเป็นมวยหลวมๆ นั้นมีปอยผมเคลียไล้น้อยๆ เพิ่มความอ่อนหวานให้กับดวงหน้ากระจ่าง นัยน์ตากลมโตสีดำสนิท...ดูเหมือนจะดำสนิทเกินไป ซึ่งดนัยไม่แน่ใจว่าเกิดจากการที่เธอยืนอยู่ไกลเกินไปหรือจากสาเหตุอื่น คิ้วโก่งดำเข้มรับกับรูปดวงตางามนั้น จมูกโด่งพองามรับกับริมฝีปากแดงระเรื่อ...

วินาทีที่ทั้งสองสบตากัน...ริมฝีปากบางของหญิงสาวก็หยักยิ้มขึ้นน้อยๆ หากดวงตาหล่อนไม่ยิ้มตาม

ดนัยที่หายจากอาการตกตะลึงแล้ววางถุงบะหมี่ไว้ในรถ ก่อนที่จะออกเดินไปหาร่างบางกลางลานกว้างนั้นอย่างไม่รู้ตัว...คล้ายกับต้องมนต์บางอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มีแต่ความประหลาดใจในการปรากฏตัวของหล่อนเท่านั้นในใจเขา...

...ก็คิดดูสิ เธอเป็นใคร มาจากไหน มาได้อย่างไร แล้วแต่งตัวแบบนี้กำลังจะไปไหน...

หลายๆ คำถามเริ่มดังอึงอลอยู่ในสมองของชายหนุ่ม แต่สิ่งที่ไม่มีในความคิดของเขาอย่างหนึ่งคือความกลัว ร่างสูงเดินเข้าไปหาหญิงสาวโดยปราศจากความกังวลใดๆ คิดอยู่อย่างเดียวว่า...หล่อนเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่เท่านั้น ชั่วขณะหนึ่งดนัยคิดไม่ออกว่าจะถามคนตรงหน้าตนเองอย่างไร ยิ่งเผชิญกับดวงตาที่จ้องมองตรงมาอย่างแปลกๆ...แปลกใจระคน...คาดหวัง

แปลก...มาคาดหวังอะไรกับเขา?

ดนัยเดินช้าลงจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ยิ่งเข้าใกล้เขายิ่งเห็นประกายความงดงาม...งามจนน่าพิศวงของคนตรงหน้า ปนกับความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ไม่จางหายไปไหน กลับยิ่งเพิ่มขึ้นตามระยะทางระหว่างเขากับเธอที่ลดน้อยลง...เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...

จนกระทั่งเธอและเขาหยุดยืนเผชิญหน้ากัน...

ทั้งสองฝ่ายนิ่งกันไปนาน...ดนัยนั้นนิ่งไปเพราะว่าไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรดี แต่สำหรับเธอนั้น...เขาไม่รู้เลย

นิ่ง...นาน...จนหญิงสาวเป็นฝ่ายขยับขึ้นก่อน รอยยิ้มขื่นๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก สายตาที่จ้องมองเขาอย่างค้นคว้าสลดลง ก่อนจะพึมพำกับตนเองพลางหันหน้ากลับ

“นั่นสินะ...เขาจะเห็นได้ยังไง...”

ร่างบางเริ่มเดินห่าง ทิ้งคำพูดแปลกๆ ไว้ให้เขาคิดแล้วคิดอีก จนกระทั่งเธอเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เขาจึงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายอะไรเท่าไหร่

“เอ่อ...ถ้าที่พูดหมายถึงคุณ...ทำไมผมจะไม่เห็นล่ะ?”

ก็ถ้าตาไม่บอด หูไม่หนวก ใครก็ต้องเห็นคนมายืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง แทบจะยืนชนกันด้วยซ้ำไป และใครจะไม่อยากมองใบหน้าสวยๆ ฟังเสียงเพราะๆ กันเล่า ถามอะไรแปลกๆ...

คิดได้เพียงเท่านี้เขาก็เห็นเธอหันขวับ ก่อนจะเดิน...เหมือนกับการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ มากกว่า...เอาเป็นว่าแป๊บเดียวเอง เธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกระจ่างด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง ประกายตาสว่างใสขึ้นมาทันที อาการเหมือนคนดีใจมากมายทำให้ชายหนุ่มยิ่งสงสัยมากขึ้น

“คุณเห็นฉันเหรอ?”

ดนัยขมวดคิ้ว...เธอคิดว่าเขาตาบอดรึเปล่าเนี่ย... “เห็นสิ ทำไมผมจะไม่เห็นคุณล่ะ”

“คุณเห็นฉันจริงๆ ด้วย...ได้ยินเสียงฉันอีกด้วย...” เธอพึมพำแผ่วเบา รอยยิ้มนั้นไม่ได้กว้างเหมือนเก่า แต่ยังให้คาวมรู้สึกสดใส อิ่มเอมอย่างไรชอบกล...

“เอ่อ...” ดนัยเริ่มรู้สึกหวั่นๆ ผู้หญิงตรงหน้าถึงจะสวยหรือดูดีขนาดไหน แต่ว่าเมื่อเอาแต่พึมพำพูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา มันก็เหมือนเรายืนอยู่กับคนที่เรารู้ว่าเขา ‘ไม่ปกติ’ นั่นแหละ

...ผู้หญิงปกติคนไหนจะมายืนอยู่ตรงข้ามบ้านเขากลางดึก...ใต้แสงจันทร์กระจ่าง ยืนอยู่กลางลานกว้างแต่แต่งตัวเหมือนจะเข้างานกาล่าดินเนอร์ แล้วยังมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง จะว่าเดินมามันก็คง...ไกลเกินกว่าที่เท้าบอบบางในรองเท้าส้นสูงสีขาวใสนั้นจะเดินมาได้

“ในที่สุดก็มีคนเห็นฉัน...เจอฉันซักที”

“เอ่อ...” ท่าจะไม่ดีละ...หรือว่าเธอหลุดออกมาจากโรงพยาบาลไหน... “คุณมาจากไหนครับ...ดึกแล้วกลับบ้านก่อนดีมั้ย ผมไปส่งให้ได้นะ”
เงียบ...เธอยังยืนนิ่ง รอยยิ้มหวานยังถูกส่งมาให้เขาไม่ขาดระยะ

“คือไม่ต้องกลัวนะครับ รับรองว่าคุณถึงบ้านโดยปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนจริงๆ” ดนัยเกือบจะยกมือปฏิญาณแบบลูกเสือสำรอง ขอเพียงเธอยอมกลับบ้านกลับช่องเท่านั้นแหละ ผู้หญิงสวยๆ อย่างนี้ ต่อให้...ดู...ไม่ค่อยจะเต็มนักอย่างเธอ อย่างไรก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี

คิดๆ แล้วชายหนุ่มก็เป็นปลื้มตัวเองชะมัด เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ เลยเรา...

แต่เมื่อมองหน้าหญิงสาวแล้ว เขาก็ปลื้มต่อไม่ลง...ก็คุณเธอเล่นไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย ยังยิ้มๆ อยู่เหมือนเดิมอยู่นั่นแหละ ทำให้เขาเริ่มคิดเอาจริงๆ จังๆ แล้วนะว่าเธอ...’ไม่ปกติ’ จริงๆ

“ผมรับรอง ให้คุณโทรไปบอกคนที่บ้านไว้เลยก็ได้อ่ะ...”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หญิงสาวยังยิ้มหวาน “ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว”

“ที่นี่?” ดนัยมองซ้ายขวาหน้าหลัง เมื่อแน่ใจว่านอกจากบ้านของตนเองแล้วก็ไม่มีหลังใดอีกจึงพูดเสียงไม่แน่ใจ “เอ้อ...ถ้าคุณหมายถึงบ้านที่อยู่ตรงนั้น ผมจะบอกว่าผมเช่าแล้วนะ ถึงคุณเป็นเจ้าของบ้านแต่ตอนนี้ผมมีสิทธิอยู่...”

“ฉันไม่ใช่เจ้าของบ้านหลังนั้น” แววตาของเธอสลดลง ชั่ววูบหนึ่งที่เขาเห็นเงาสีดำสนิทพาดผ่านดวงตาหวานซึ้งนั้น “ฉันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ฉันกลับบ้านไม่ได้...”

“ฮ้า! อย่าบอกนะว่าคุณนอนที่ลานตรงนี้ ไม่ได้ๆ งั้นวันนี้คุณไปนอนบ้านผมก่อนก็ได้ ผมรับรองว่าจะไม่ทำอะไรคุณแม้แต่นิดเดียวจริงๆ”

ชายหนุ่มพูดพลางก้าวเดินนำหน้ามาทางบ้านเช่า หากเมื่อหันกลับไปแล้วเห็นร่างโปร่งบางของเธอยังยืนที่เดิม ดนัยจึงอดที่จะก้าวกลับไปเกลี้ยกล่อมเธออีกครั้งไม่ได้ ให้อย่างไรเขาก็เป็นห่วงสวัสดิภาพของเธอจริงๆ

“คุณ...ไปเถอะไม่ต้องเกรงใจ” ดนัยคว้าข้อมือเล็กก่อนจะออกแรงดึงเล็กน้อย “ผมสาบาน...เอ๊ะ!”

ท้ายประโยคร่างสูงอุทานเบาๆ ก่อนมองมือตัวเองอย่างงุนงง...

มือเขาถืออากาศ ส่วนข้อมือของเธอยังอยู่ที่เดิม

“คุณ...” ดนัยมองดวงหน้าหวานอย่างลังเลแกมหวาดๆ ก่อนที่จะลองยื่นมือไปคว้าข้อมือของเธออีกครั้ง...

มือของเขาลากผ่านอากาศตรงบริเวณที่เขาเห็นว่าเป็นข้อมือของเธอ

หญิงสาวยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มไม่ได้แลดูอ่อนหวาน หากมันเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

“ฉันบอกแล้วไง ฉันอยู่ที่นี่”

ดนัยเบิกตาโพลง คำสุดท้ายที่เขาพูดก่อนสติจะดับวูบเป็นคำจำกัดความ ‘เธอ’ ได้ชัดที่สุด

“ผี!”



“สวัสดีครับ ผมดนัย นโรวัฒน์ครับ มาประจำตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ว่างอยู่ครับ”

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนล้า ดวงตาสีแดงก่ำอ่อนโรย รอยยิ้มแห้งๆ ถูกส่งไปให้กับหัวหน้างานที่เป็นหญิงวัยกลางคน เธอกำลังมองลอดแว่นตามาสำรวจเขา เหมือนกับว่าเธอกำลังสวมบทครูระเบียบและกำลังตรวจลูกศิษย์ว่าทำผิดระเบียบหรือไม่

ดนัยรู้สึกปลาบปลื้มเล็กน้อยที่เขาจัดการรีดเสื้อผ้าไว้ก่อนตั้งแต่เมื่อจัดบ้านเสร็จ เพราะหลังจากที่เขา ‘ประสบเหตุ’ ชายหนุ่มก็เป็นลม (ครั้งแรกในชีวิต) และมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อเกือบรุ่งเช้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยน้ำค้างตั้งแต่กลางดึก

แวบเดียวที่คิดถึง ‘เรื่องเมื่อคืน’ ชายหนุ่มก็อดสั่นสะท้านน้อยๆ ด้วยความหวาดผวาไม่ได้

ดนัยได้รับการแนะนำให้รู้จักกับที่ทำงานเกือบทุกแผนก สถานที่ทำงานของเขาคือ ‘ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์’ ตัวตึกทาสีขาวมีสามชั้น ชายหนุ่มทำงานชั้นที่สาม มีห้องแล็บเรียงราย เขามีหน้าที่ในการตรวจสารต่างๆ ในวัตถุพยานที่เป็นชีววัตถุ ซึ่งถูกส่งมาจากทางตำรวจ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการหาสารที่ผิดกฎหมายเช่นยาเสพติดจากสารต่างๆ ในร่างกายของผู้ที่ถูกตรวจ

เขาเคยปลื้มอกปลื้มใจที่ได้ทำงานสายนี้เพราะเคยนึกภาพว่าจะต้องได้ออกไปตรวจแบบตำรวจพิสูจน์หลักฐาน แต่เอาเข้าจริงๆ ชายหนุ่มได้ทำเพียงแค่นั่งประจำอยู่ในห้องแล็บ ทดลอง วิเคราะห์ และออกผลการตรวจเท่านั้น ซึ่งผิดจากที่เขาคิดไว้ลิบลับ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกผิดหวังหน่อยๆ

“พี่นัยพักอยู่แถวไหนคะ” สาวน้อยคนหนึ่งที่เขายังจำชื่อไม่ได้ทักขึ้นเมื่อเขานั่งประจำที่ในห้องพัก โต๊ะทำงานถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยทำให้ชายหนุ่มซึ่งชอบความเป็นระเบียบอารมณ์ดีขึ้นมาพอสมควร

“ก็บ้านเช่าแถวๆ ......” ร่างสูงตอบพลางหยิบของออกมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว “จริงด้วย จากบ้านพี่น่ะ มองไปด้านทิศเหนือก็จะเห็นบ้าน...ใหญ่ๆ เก่าๆ สวยชะมัด”

“ฮ้า! งั้นพี่ก็อยู่ใกล้คฤหาสน์วรรณรสเหรอเนี่ย!” รุ่นน้องสาวทำตาโต ร่างบางผิวขาวแบบคนเหนือลากเก้าอี้มานั่งใกล้เขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววตื่นเต้น “เจออะไร ‘แปลกๆ’ บ้างรึเปล่า?”

ดนัยสะดุ้งเฮือกเมื่อประหวัดถึง ‘เรื่องเมื่อคืน’ อีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มใช้น้ำเสียงเบาลงเมื่อเอ่ยถามอีกครั้ง “ทำไมเหรอ คฤหาสน์...อะไรนั่นมีอะไรเหรอ?”

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ คุยด้วยสิ” น้ำเสียงสนุกสนานของสาวใหญ่ที่ก้าวเข้ามาในห้องดังขึ้น ร่างสูงโปร่งคล้ายๆ ผู้ชายของผู้มาใหม่ดูน่าเคารพ รุ่นน้องที่เขารู้จักว่าชื่อรสายกมือไหว้อย่างรวดเร็ว

“สวัสดีค่ะพี่อุ๊ นี่พี่ดนัยค่ะ คนที่ย้ายมาจากกรุงเทพฯ ไง”

สาวใหญ่พยักหน้า แววตาเฉียบคมมองร่างชายหนุ่มครู่หนึ่งก่อนยิ้มต้อนรับอบอุ่น “ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ ขอให้ทำงานที่นี่ให้สนุกนะคะ”

“ครับ ขอบคุณครับ” ดนัยยกมือไหว้ รู้สึกว่าที่นี่บรรยากาศอบอุ่นกว่าที่ทำงานเก่าของเขามาก ทุกคนต่างให้ความเป็นมิตรจนเขารู้สึกสนิทใจกับที่นี่อย่างรวดเร็ว

พี่อุ๊ที่รสาเรียกพยักหน้ารับก่อนยิ้มให้อีกครั้ง แล้วจึงเดินไปอีกห้องหนึ่ง สาหันมาบอกเขาอย่างรื่นเริง “พี่อุ๊เป็นหัวหน้างานอีกแผนกหนึ่งค่ะ ใจดีและก็น่ารักมากๆ เลยล่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยถามรสา “เออ ว่าแต่น้องสามีบ้านเช่าดีๆ ถูกๆ แนะนำให้พี่บ้างมั้ย?”

“อ้าว! ทำไมล่ะคะ?” รสาทำเสียงอยากรู้ ก่อนลดเสียงลงเป็นกระซิบ “หรือว่าพี่เจอ ‘อย่างว่า’”

“อะไรคืออย่างว่า?”

“อย่างว่า...ก็ผีไงคะ!”

“เฮ้ย!” ดนัยหลุดเสียงร้องดัง แต่ดีที่คนอื่นๆ ยังไม่มาทำงานกัน จึงมีแค่รสาเท่านั้นที่สะดุ้งกับเสียงร้องของเขา “รู้ได้ไงอ่ะสา”

“นี่พี่เจอจริงๆ เหรอคะเนี่ย” รสาทำตาโตซึ่งฉายแววตื่นเต้นเมื่อเล่ารวดเร็ว “สาไม่รู้อะไรมากหรอกค่ะ เมื่อก่อนคุณย่าของสาเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับคฤหาสน์วรรณรสให้สาฟังเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนอกจากเป็นคฤหาสน์เก่าตั้งแต่สมัยต้นๆ รัชกาลที่ 6 หลังๆ มานี่ไม่มีใครอยู่หรอกนะคะ เห็นว่าลูกหลานเจ้าของคฤหาสน์มาปลูกบ้าน...บ้านเช่าพี่นั่นแหละค่ะ แต่ก็อยู่กันไม่เท่าไหร่ก็หายจ้อยกันหมดเลย”

“เหรอ...แล้วมีอะไรอีกมั้ยเกี่ยวกับบ้านเช่าพี่?”

“สาก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะพี่นัย” หญิงสาวส่ายหน้าจนผมสั้นสลวยกระจาย “แต่ที่พี่ถามถึงบ้านเช่าอื่นๆ เท่าที่สารู้จัก บ้านที่พี่อยู่นั่นก็ดีที่สุดแล้วก็ถูกที่สุดแล้วล่ะค่ะ ว่าแต่...พี่เจออะไรคะ?”

อยู่ๆ บทสนทนาก็วกเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ดนัยจึงได้แต่หัวเราะเก้อๆ เพราะไม่อยากเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองประสบเพื่อตอกย้ำความทรงจำนัก

เรื่องแบบนี้...ลืมๆ ไปเสียก็ดี...

“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว และตั้งใจให้มันหายไปกับสายลม “พี่แค่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เท่านั้นเอง”

“งั้นเหรอคะ...ว้า!” สาวน้อยที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งจบใหม่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง “งั้นสาไปทำงานก่อนดีกว่า ดีนะคะที่วันนี้เคสที่ส่งมาไม่ค่อยมี แต่เห็นว่าตอนกลางวันจะมีพิสูจน์หลักฐานมาเอาของกลางกับผลตรวจของเราด้วยล่ะ”

“งั้นพี่ไปทำงานบ้างดีกว่า” ดนัยลุกขึ้นฉวยเสื้อกาวน์มาสวมอย่างรวดเร็ว ที่กรุงเทพฯ นั้นงานของเขาจัดว่า ‘เยอะ’ มาก แต่สำหรับที่นี่...ตอนที่เขาเข้าไปรายงานตัวกับหัวหน้า หัวหน้าก็ได้แจกแจงให้ฟังแล้วว่างานของที่นี่ไม่มากและสามารถทำได้เรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ เพราะที่จังหวัดนี้มีทั้งโรงพยาบาลที่มีฝ่ายนิติเวช ทั้งมหาวิทยาลัย ดังนั้นศูนย์ของเขาจึงมีงานน้อยกว่าที่ควรเพราะมีหน่วยงานอื่นรองรับงานไปบ้างแล้วนั่นเอง

ถึงจะพยายามลืม แต่ดนัยก็ยอมรับว่าเขาอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคฤหาสน์วรรณรสให้มากกว่านี้...



ระหว่างทางขับรถ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัย มากดบลูทูธที่เสียบไว้ข้างหูทันที

“ฮัลโหล ดนัยพูดครับ”

“พันทิวาค่ะ”

น้ำเสียงหวานพูดก่อนที่จะเงียบไป ดนัยใจเต้นแรง...พร้อมๆ กับที่จิตสำนึกกล่าวโทษตัวเองทันควัน

...ไหนว่าเพิ่งอกหักอย่างไรเล่าดนัย แล้วทำไมพอมีสาวน่ารักๆ โทรหา แกต้องดีใจแบบนี้ด้วยล่ะ?

“ครับคุณพันทิวา” ชายหนุ่มปรับน้ำเสียงให้นิ่งเรียบ ไม่อยากให้ปลายสายรู้ว่าเขาดีใจที่ได้ยินเสียงเธอ “วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ เขาออกจาก สน. รึยัง?”

‘เขา’ ที่ว่าคือแฟนของพันทิวาที่อาละวาดเมื่อคืน

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเป็นการเป็นงาน “ต้องขอบคุณคุณดนัยเมื่อวานนี้มากๆ เลยนะคะ เขาออกมาจาก สน. แล้วค่ะ...แล้วตอนนี้เขาก็อยู่ที่ทำงานด้วย”

“คุณพันทิวาจะทำยังไงล่ะครับ คุณเลิกงานหรือยัง...” ชายหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าใกล้ห้าโมงเย็นเต็มทีก็เอ่ยต่อ “จะให้ผมไปหามั้ยครับ เผื่อว่าคุณ...”

“วาไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณคุณดนัยมากที่เป็นห่วง” น้ำเสียงหญิงสาวยังราบเรียบ เจือแววยินดีเล็กน้อย “วาจะโทรมาบอกขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อวานเท่านั้นล่ะค่ะ เมื่อวานถ้าไม่ได้คุณดนัย เขาก็คงไม่ได้ไปสงบจิตสงบใจจนรู้ตัวเองว่าผิด นี่เขามาขอโทษวานะคะ วาดีใจมากเลยเพราะตั้งแต่คบกันเขาไม่เคยขอโทษวาซักคำ”

“ขอโทษ...” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา

“ใช่ค่ะ เขาขอโทษวา ขอให้วาให้โอกาสเขาอีกครั้ง...วาคิดว่า คนเราล้วนแล้วแต่ผิดพลาดกันได้ แต่เราก็ให้อภัยกันได้ วาเลย...เลยยกโทษให้เขาไปแล้วค่ะ”

น้ำเสียงที่แฝงแววสดใสยินดีของเธอไม่ได้รอดพ้นจากการสังเกตของเขา แต่หญิงสาวก็พูดต่ออย่างรวดเร็วเหมือนกลัวว่าเขาจะหาว่าเธอใจง่าย “แต่วาไม่ได้บอกเขาหรอกนะคะ เดี๋ยวเขาจะได้ใจ รอบนี้ต้องเจอการดัดนิสัยกันเสียบ้าง เขาจะได้ไม่ทำอย่างนั้นอีก”

พันทิวาเล่าด้วยน้ำเสียงร่าเริง ในขณะที่คนฟังทำหน้าตูมลงทุกทีๆ “วาก็เลยอยากจะโทรมาขอบคุณคุณดนัยสำหรับเรื่องเมื่อวาน สำหรับทุกอย่างที่คุณทำ วาคิดว่าคุณควรมีสิทธิรู้ว่าวาจะทำอย่างไรต่อไป ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ”

“ครับ...ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเป็นการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ก็แล้วกัน” ดนัยฝืนพูดเสียงร่าเริง ทั้งๆ ที่เขาออกจะงงๆ กับการตัดสินใจของหญิงสาวพอสมควร

“วาก็ดีใจค่ะที่ได้รู้จักคุณดนัย ถ้าอย่างนั้นวาขอวางสายก่อนแล้วนะคะ”

“ครับ สวัสดีครับ”

สายตัดไปแล้ว หากดนัยยังรู้สึกมึนงงแกมไม่พอใจลึกๆ

ไม่รู้ว่าพันทิวาคิดอะไรของเธอ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงยอมคืนดีกับคนที่ไม่ให้เกียรติเธอขนาดนั้น ทั้งการใช้คำพูดหยาบคาย การด่าประจาน และการจะลงมือทำร้ายร่างกายน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงประจักษ์ในธาตุแท้ของผู้ชาย แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผู้หญิงอย่างพันทิวาถอยห่างจากแฟนของเธอ แถมยังอุตส่าห์บอกเขาว่า ‘คนเราผิดพลาดกันได้ ต้องรู้จักให้อภัย’

แล้วเมื่อวานใครกันที่จะลาออกหนีแฟน...ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด ไม่ได้สังเกตว่ากว่าที่เขาจะเข้ามายังถนนส่วนบุคคลที่ทอดไปยังบ้านเช่า ท้องฟ้าก็เริ่มระบายสีม่วงเข้มแล้ว และเสียงใบไม้เสียดสีกันแรงจนเขาได้ยิน

...มืด...มืดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!

ดนัยเหลือบตามองพระจันทร์ที่วันนี้เหมือนจะมีเมฆบดบัง ชายหนุ่มเริ่มลนลานขึ้นมาทันที ‘ประสบการณ์’ เมื่อวานสอนเขาว่าจะต้องกลับบ้านก่อนมืด...หากเขาไม่อยากเจอ ‘อะไร’ อีก...

เร็วเท่าความคิด ดนัยเปิดไฟในรถฉับพลัน ความสว่างขับไล่ความกลัวของเขาไปได้มากโข แต่ทันใดนั้นเอง...ในหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะกังวานใสดังแว่วมาแต่ไกล...

“ไหนเมื่อวานยังว่าหวังดี อยากให้เขามีความสุขอย่างไรเล่า?” เสียงหวานแกมหัวเราะดังอยู่ข้างหู

“เฮ้ย!” ร่างสูงสะดุ้งสุดตัว เหยียบเบรกรถอย่างแรงจนหัวไปกระแทกคอนโซลรถดังโป้ก “มาไงเนี่ย”

“ฉันบอกแล้วว่าฉันอยู่ที่นี่...” เสียงหวานลากยาวท้ายประโยค “ตอนนี้คุณจอดรถตรงที่ของฉัน เห็นไหม?”

ชายหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อเห็นเงาของที่นั่งด้านข้างของเขาไหววูบวาบ ดนัยเปิดประตูรถก่อนเปิดหนีออกจากรถทันควัน กิริยาลุกลี้ลุกลนยิ่งทำให้เสียงหัวเราะมากขึ้น...พร้อมๆ กับลมเย็นยะเยือกที่พัดวูบผ่าน ร่างสูงรีบเปิดกุญแจไม้มือสั่น ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วปิดประตูดังปัง! ก่อนที่แสงไฟจะสาดส่องสว่างไปทั่วบ้าน

เงาไหวนั้นเลื่อนลอยไปจนถึงหน้าประตูบ้าน ก่อนจะหยุดยืนอยู่แค่เพียงตรงนั้น “คุณหนีฉันทำไม...”

น้ำเสียงเศร้าสร้อยผิดกับเสียงหัวเราะกังวานหวานเมื่อครู่ทำให้คนที่บอกว่าตัวเองเป็น ‘สุภาพบุรุษ’ รู้สึกผิดชอบกล หากความกลัวมีมากกว่า ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเงียบ

“ช่วยฉันด้วย...”

น้ำเสียงเยือกเย็นของ ‘เธอ’ ยังคงดังแว่ว ล่องลอยอยู่ในอากาศ พัดผ่านโลมลูบตัวชายหนุ่มจนเขาขนลุกซู่...

“ได้โปรด...”

ดนัยไม่สนใจ ชายหนุ่มปราดขึ้นชั้นบนโดยเร็ว ก่อนหลับตาสะกดจิตตัวเอง...ไม่รู้ไม่เห็น...ไม่รู้ไม่เห็น...ไม่รู้ไม่เห็น...ไม่รู้...มะ...หะ...เห็น...

ไฟที่เปิดสว่างไว้ทั้งบ้านดับพรึ่บลงทันควัน เป็นเวลาเดียวกับที่ดนัยลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงบานหน้าต่างค่อยๆ แง้มเปิดออกช้าๆ ด้วยแรงลมเฉื่อยหากเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ

พร้อมกับเสียงหวานเจือโศกที่แผ่วเบา หากเขาได้ยินชัดเจน “ขอโทษด้วยที่รบกวน...”

ชั่วครู่นั้นดนัยขมวดคิ้วแน่น เธอหมายความว่าอย่างไรเมื่อบอกขอโทษเขา หรือว่า...ผีสาวคนนั้นจะเลิกล้มความคิดที่จะหลอกเขาแล้ว?

แต่สิ่งที่เธอพูด...เหมือนเธอต้องการความช่วยเหลือ ไม่ได้มาหลอกหลอนอย่างที่เขาหวาดกลัว...

ช่างเถอะ! ยังไงผีก็อยู่คนละโลกกับเขา คนอย่างเขาจะมีปัญญาอะไรไปช่วยผีได้เล่า?

ร่างสูงลังเลเพียงครู่ ก่อนจะเดินกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปใกล้หน้าต่างขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอื้อมมือออกไปปิดหน้าต่าง...

ตอนนั้นเองที่เขาเห็น ‘เธอ’ อีกครั้ง

ชายหนุ่มพยายามถอนสายตาจากภาพที่เห็น แต่เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างตรึงสายตาของเขาเอาไว้ ‘เธอ’ กลับไปอยู่ตรงลานกว้างเช่นเดิม หากร่างบางในชุดสีม่วงเกือบดำนั้นบางครั้งก็วูบไหว บางครั้งก็โปร่งแสงเสียจนเขาสามารถมองทะลุเธอไปเห็นต้นไม้ใหญ่โดยรอบได้

แต่สิ่งที่ทำให้เขาสะท้อนใจของแผ่นหลังบอบบางของเธอ เธอยืนหันหลังให้บ้านหลังนี้ ดูโดดเดี่ยว...หากไม่ยอมพ่ายแพ้ ทว่าชั่วแวบหนึ่ง...เขาเห็นแผ่นหลังนั้นสะท้านน้อยๆ

เขาคิดว่าเธออาจจะหลั่งน้ำตาเงียบๆ คนเดียวกระมัง

ชั่วแวบนั้นเอง ความเป็นคนใจอ่อนก็ทำให้ชายหนุ่มเผลอเอ่ยปากกับตัวเองแผ่วเบา “ขอโทษนะที่ทำให้ร้องไห้...”

เมฆเคลื่อนมาปิดบังแสงจันทร์ที่ยังฉายนวลให้หม่นมืดลง ร่างบางของหญิงสาวที่ยืนใต้เงาจันทร์นั้นก็วับไหว ก่อนกลายเป็นเพียงเงาสีดำและจางหาย แว่วเพียงเสียงสะอื้นไห้น้อยๆ ดังจากที่อันแสนไกล ปะปนมากับประโยคคำถามที่ล่องลอยมาตามสายลม

“คุณกลัวฉันมากหรือคะ?”

ขนตามตัวชายหนุ่มพร้อมใจกันลุกพรึ่บพรั่บอีกครั้ง หากภาพแผ่นหลังบางดูโดดเดี่ยวที่ยังติดตาเขาอยู่ทรงพลังพอที่เขาจะขับไล่ความกลัวและตอบเธอด้วยเสียงสั่นๆ

“กะ...กลัวเหมือนกัน...”

“ฉันไม่ทำอันตรายคุณหรอก ฉันเพียงต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น”

เสียงหวานสั่นเครือ ทุกครั้งที่เสียงนั้นสั่นสะท้าน ลมเยือกเย็นที่พัดเอื่อยก็จะทวีความยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ จนเขาทนไม่ไหว “แต่หากคุณไม่เต็มใจช่วย ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนใจ การฝืนใจหรือการทำให้คุณกลัวรังแต่จะเป็นบาปกรรมต่อฉันมากยิ่งขึ้น”

แน่ะ...มีตัดพ้อ

จากที่กำลังกลัวๆ อยู่ พอได้ยินประโยคนี้เขาก็คลายความหวาดกลัวลงเยอะ นอกจากจะน่าสงสารแล้ว เธอยัง ‘หยิ่ง’ เสียด้วยสิเอ้า!

ชายหนุ่มกำลังลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีหรือไม่ เขาก็ใช่ว่าจะมีเวลาหรือมีความสามารถที่จะสืบหา ตามหา ค้นหา หรืออะไรก็ตามแต่ที่เธอ ‘คน’ นั้นต้องการได้ หากเผลอฟังเรื่อง เผลอรับปากแล้วทำไม่ได้ แล้วเธอเกิดโกรธขึ้นมาเล่า?

เสียงสะอื้นแผ่วเบาจางหายไปนานแล้ว เมื่อเขามองไปที่หน้าต่างอีกครั้งหนึ่งก็ไร้วี่แววของ ‘ร่าง’ ที่เคยยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างนั้น...

“อ้าว! คุณ...” ดนัยเผลอร้องเรียก และก่อนที่จะทันคิดอะไรขาของชายหนุ่มก็ก้าวยาวๆ ลงไปชั้นล่างแล้วเปิดประตูบ้านออกกว้าง ก่อนที่เขาจะเดินมาหยุดอยู่ที่กลางลานกว้างในที่สุด

ชายหนุ่มแหงนเงยขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงในวันนี้ที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืด เมฆที่ลอยเข้ามาบดบังทำให้ลานกว้างที่ควรจะสว่างไล้ด้วยแสงจันทร์กลับมืดสลัวไม่ต่างจากคืนเดือนมืดนัก และนั่นทำให้ลมเย็นที่เริ่มพัดเอื่อยอีกครั้งพร้อมกับเสียงพูดราบเรียบที่ล่องลอยมาโดยไร้เงาเจ้าของเสียง

“ออกมาทำไม ไม่กลัวฉันแล้วเหรอ?”

“กลัว” ดนัยยอมรับหน้าตาย “ใครบ้างจะไม่กลัว...เอ้อ...”

“วิญญาณ...” วูบหนึ่งที่ลมเย็นพัดผ่านหน้า เงาร่างโปร่งแสงมองทะลุผ่านได้ของเธอก็ปรากฏให้เห็น “ฉันไม่ใช่ผี ไม่ใช่สัมภเวสีแบบนั้น...หรือบางที...กาลเวลาอาจจะทำให้ฉันเป็นแบบนั้นในสักวัน หากฉันไม่สามารถไปจากที่นี่ได้”

ชายหนุ่มยืนหน้าซีด มองเงาร่างที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างหวาดผวา น้ำเสียงสั่นระริกยามกลั้นใจเอ่ย “คะ...คุณอย่า...ละ...หลอกผมนะถ้าผมจะคุยด้วย...”

“ฉันบอกแล้ว ฉันจะไม่สร้างกรรมเพิ่ม...” เมื่อแสงจันทร์สาดต้องร่างนั้น เขาก็เห็นเธอชัดเจนขึ้น มีตัวตนมากขึ้นจนแทบจะจับต้องได้ ความสว่างนวลส่องให้เห็นดวงหน้าผุดผาดอ่อนเศร้า ดวงตาสีดำสนิทที่มีแววโศกชัดเจน...

...ชัดเจนจนเขาใจอ่อน...

“เอ่อ...ผะ...ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่า ผมไม่รับปากนะว่าจะช่วยอะไรคุณได้” ดนัยยังพูดตะกุกตะกัก (แน่ล่ะ เขาไม่เคยคุ้นกับการพูดต่อหน้าวิญญาณมาก่อน) “เพราะฉะนั้นผมขอแค่ฟังเฉยๆ ถ้าช่วยได้...ก็จะพยายามช่วยเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”

ใบหน้าที่ต้องแสงจันทร์เหมือนจะเรืองแสงนวลด้วยความดีใจ หญิงสาวยิ้มอ่อนหวาน ขับไล่ความเย็นเยียบที่ล่องลอยรอบตัวให้กลายเป็นความอบอุ่นชั่วขณะ

“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ”



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.พ. 2556, 15:35:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2556, 15:35:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1231





<< บทที่ 1 : บ้านหลังใหม่   บทที่ 3 : สิตางค์ วรรณรส >>
วนัน 13 ก.พ. 2556, 11:47:04 น.
คอยก่อนคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account