ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 13

ทันทีที่ซิสและเจ้าหญิงกาอิยาห์ก้าวพ้นประตูศิลาก็พบเข้ากับทางเดินปูหินแผ่นโต ขนาบสองข้างด้วยกำแพงขรุขระสีเทาทึม มีเชิงเทียนเก่าคร่ำคร่าพร้อมแท่งเทียนเขรอะฝุ่นประดับอยู่เป็นระยะ ทางเดินนั้นทอดยาวออกไปเบื้องหน้า ส่วนปลายที่อยู่พ้นจากแสงคบกลืนหายไปในความมืด เด็กหนุ่มค่อยๆ ก้าวกะโผลกกะเผลกนำไปตามทางที่เห็นโดยไม่พูดไม่จา มีเจ้าหญิงกาอิยาห์สาวพระบาทตามหลังไปติดๆ

ทางเดินใต้วิหารจันทราทั้งคดเคี้ยวและวกวนเกินกว่าที่คิด ดังนั้นเมื่อเดินมาถึงทางแยก ซิสจึงต้องจุดเทียนไขทิ้งไว้เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเลือกเดินไปทางไหน หากบังเอิญหลงทางวกกลับมาที่เดิมซ้ำอีก จะได้รู้และเปลี่ยนไปเลือกเส้นทางตรงกันข้ามโดยไม่ต้องเสียเวลาคลำหาทางใหม่ ในไม่ช้าทางเดินมืดมิดใต้วิหารก็มีจุดสว่างเล็กๆ ปรากฏขึ้นตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างเต็มไปหมด

“ซิส”

“หือ”

“ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนตามหลังเรามา เจ้าได้ยินมั้ย”

เด็กหนุ่มหยุดเดิน เหลือบมองใบหน้าเหยเกของคนถาม ทันได้เห็นแววหวั่นกลัวในดวงตาสีม่วงสวยคู่นั้นแวบหนึ่ง ก่อนที่เด็กสาวจะเหลียวกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ เขาแลเลยข้ามศีรษะของนางไปยังทิศทางเดียวกันบ้าง หากไม่เห็นอะไรนอกจากเปลวเทียนริบหรี่เหมือนแสงหิ่งห้อย ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครติดตามมาอย่างที่เจ้าหญิงกาอิยาห์นึกกลัวแม้แต่น้อย

“เจ้าคิดไปเองหรือเปล่าเจ้าหญิง ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย”

“แต่ข้าได้ยินจริงๆ นะ เป็นเสียงฝีเท้าดังไล่หลังเรามา” เจ้าหญิงทรงเถียง

“เจ้าหูแว่วไปเองมากกว่า ในนี้จะมีใครนอกจากพวกเรา มาเถอะเจ้าหญิง เรายังต้องไปกันต่อ”

ซิสออกเดินโดยไม่รอ เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงต้องสาวพระบาทตามเขาไปบ้างอย่างไม่เต็มพระทัย เสียงฝีเท้าของเด็กทั้งสองสะท้อนกับผนังศิลาข้างทาง ดังก้องกลับไปกลับมาในความมืด ฟังคล้ายมีคนเดินตามหลังมาติดๆ ทำให้เจ้าหญิงกาอิยาห์ต้องคอยเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดพระองค์ก็อดรนทนไม่ได้ต้องเอื้อมพระหัตถ์ไปยุดชายเสื้อของคนนำทางเอาไว้

“ซิส”

“อะไรอีกล่ะ”

“เจ้าว่าในนี้จะมีสัตว์ประหลาดอย่างมิโนทอร์อาศัยอยู่ด้วยหรือเปล่า”

ซิสหันกลับไปมองคนพูดพลางถอนใจเฮือกใหญ่ “เจ้าคิดว่าของแบบนั้นมีอยู่จริงๆ หรือไง”

“ก็ กันน์เคยเล่าให้ข้าฟังว่าในเขาวงกตใต้ดินมีสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวชื่อมิโนทอร์ถูกขังอยู่ มิโนทอร์เป็นสัตว์ดุร้ายมาก ชอบจับคนกินเป็นอาหาร” เจ้าหญิงตอบเสียงอ่อย “เจ้าว่ามันไม่มีอยู่จริงงั้นหรือ”

“แล้วเจ้าคิดว่าคนกับวัวแต่งงานกันได้มั้ยล่ะ” เด็กหนุ่มย้อนถาม

เจ้าหญิงส่ายพระพักตร์ทันที แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ก็นั่นน่ะสิ ในเมื่อคนกับวัวแต่งงานกันไม่ได้ แล้วมิโนทอร์จะเกิดขึ้นมาได้ยังไงเล่า มันต้องเป็นตำนานหลอกเด็กอยู่แล้ว แค่นี้ก็รู้จักคิดเองซะมั่งสิเจ้าหญิง”

“เอ๊ะ เจ้าจะหาว่าข้าเป็นคนไม่รู้จักคิดหรือไง”

“ไม่ได้หา” เด็กหนุ่มโคลงศีรษะอย่างระอา “ข้าแค่จะบอกให้เจ้าหัดแยกแยะเรื่องจริงกับเรื่องหลอกเด็กเท่านั้นแหละ ข้าเลิกเชื่อตำนานเหลวไหลที่พวกพี่ๆ เล่าให้ฟังตั้งแต่อายุห้าขวบได้ละมั้ง”

“เจ้ามีพี่ด้วยหรือซิส”

เจ้าหญิงกาอิยาห์พระกรรณผึ่งขึ้นมาทันที

“เล่าเรื่องพี่ๆ ของเจ้าให้ข้าฟังบ้างสิ”

“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม”

“ก็ไหนๆ เราต้องร่วมชะตากรรมเดียวกันแล้วนี่ รู้จักกันให้ดีขึ้นอีกนิดก็ไม่เห็นจะเสียหาย เอ้า...ข้าเริ่มก่อนก็ได้ ข้ามีพี่สองคน แล้วเจ้าล่ะ”

คนถูกรบเร้าให้เล่าถึงครอบครัวมีท่าทางอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัด

“ข้ามีพี่สาวสี่คน เจ้ารู้แค่นี้ก็พอ”

“โอ้โห เจ้ามีพี่ตั้งสี่คน ถ้างั้นก็ไม่เคยต้องเหงาเลยน่ะสิ”

“แล้วมีพี่แค่สองคนมันเหงานักหรือไง”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ผงกพระเศียรรับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างง่ายดายผิดคาด

“เหงาสิ ตอนเด็กๆ ข้าติดกันนาร์พี่ชายของข้ามาก แต่เพราะต้องตามพี่เกลด้าไปอยู่ที่แลมพ์ตันก็เลยต้องแยกจากกัน พี่สาวข้าถึงจะใจดีแต่อายุนางก็ห่างจากข้ามากเหลือเกิน เราเลยไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันเท่าไหร่”

“งั้นเจ้าก็ไม่ต้องเสียใจหรอก เพราะถึงข้าจะมีพี่สาวสี่คน แต่พวกเราไม่เคยได้เล่นหัวคลุกคลีกันสักครั้ง จะว่าไป ข้าแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนเป็นเด็กเคยเล่นอะไรกับใครเขาบ้าง”

“เจ้าไม่มีเพื่อนเล่นสักคนเลยหรือซิส” เจ้าหญิงเผลอหลุดพระโอษฐ์ซักออกไปโดยไม่ทันคิด

เด็กหนุ่มตวัดสายตาคมกล้ามองหน้าคนถามแวบหนึ่ง แล้วเมินไปทางอื่น

“ไม่เกี่ยวกับเจ้านี่”

“ตอบอย่างนี้ แสดงว่าเจ้าไม่เคยมีเพื่อนแหงๆ”

“นี่เจ้าหญิง ถ้าเจ้ายังไม่หยุดพูด ข้าจะทิ้งเจ้าเอาไว้ตรงนี้คนเดียวจริงๆ ด้วย”

ซิสตัดบทด้วยน้ำเสียงห้วนสนิท แล้วก้าวเดินจ้ำพรวดๆ ไปข้างหน้าจนแทบจะลืมข้อเท้าข้างที่เจ็บไปเลย เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบสาวพระบาทตามหลังเด็กหนุ่มให้ทัน


หลังจากเสียเวลาหลงวนเวียนอยู่ใต้วิหารจนอ่อนแรง ซิสก็พาเด็กสาวเดินมาถึงปลายอีกด้านของเส้นทางอันคดเคี้ยวนั้นจนได้ เด็กหนุ่มก้มลงสำรวจพื้นศิลาซึ่งมีลวดลายแกะสลักเอาไว้อย่างสวยงาม ก่อนจะเลื่อนสายตาไปจับที่กำแพงทึบตรงหน้า นอกจากอิฐเผาอย่างดีที่เรียงซ้อนกันค่อนข้างเป็นระเบียบแล้ว ซิสก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย นอกจากซองเสียบคบไฟทำด้วยโลหะเก่าคร่ำคร่าประดับเด่นอยู่อันเดียว

เด็กหนุ่มกัดฟันเดินลากขาเข้าไปส่องไฟดูจนชิดเพื่อหาร่องรอยของตัวอักษรเช่นครั้งก่อน หากไม่พบอะไรนอกจากเส้นโลหะเล็กๆ ฝังเป็นลวดลายแปลกตาอยู่บนแผ่นศิลาเรียบเป็นมัน ไม่มีร่องรอยของทางออกหรือประตูกลซ่อนอยู่ไม่ว่าตรงส่วนไหน หรือถ้าหากมี มันก็คงซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนมากเสียจนเขาไม่อาจสังเกตเห็น แม้ว่าจะพยายามมองหาทุกซอกทุกมุมแล้วก็ตาม

ซิสรู้สึกราวกับถูกชกอย่างแรงจนสมองมึนงงไปหมด เรี่ยวแรงที่ยังเหลืออยู่ดูเหมือนจะมลายหายไปหมดสิ้น จนต้องอาศัยผนังด้านข้างเป็นที่พยุงกายเอาไว้ไม่ให้ทรุดลงไปกองกับพื้นเสียก่อน เขาคงจะมองโลกในแง่ดีเกินไปจึงกล้าคิดว่าอีกฟากหนึ่งของเขาวงกตจะมีทางออกรออยู่

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าซิส ท่าทางไม่ดีเลย”

น้ำเสียงห่วงใยที่ดังมาจากด้านหลัง ทำให้เด็กหนุ่มต้องฝืนตอบไปด้วยท่าทางที่พยายามให้ดูเหมือนปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหญิง ข้าแค่หมดแรงน่ะ เจ้าเองก็คงจะเหนื่อยเหมือนกันละสิ...”

ซิสจงใจกันเด็กสาวออกห่างจากกำแพงทึบด้านในสุดนั้น แล้วกดไหล่นางให้นั่งลงข้างทาง ก่อนจะออกคำสั่งด้วยเสียงอ่อนโยนผิดเคย

“นั่งพักที่นี่ก่อนก็แล้วกัน ถ้าเหนื่อยมากจะหลับซักงีบก็ได้ ข้าจะคอยเฝ้าให้เอง”

เจ้าหญิงกาอิยาห์มองหน้าคนพูดที่อยู่ๆ ก็เกิดใจดีผิดปกติขึ้นมา แล้วอดสงสัยไม่ได้

“เจ้าไม่เป็นอะไรแน่นะซิส หรือว่าเจ็บขาจนเพี้ยน”

“ข้าไม่เป็นอะไร เจ้านอนพักเถอะ” เด็กหนุ่มปฏิเสธพลางหย่อนกายลงนั่งข้างอีกฝ่าย

“เจ้าแปลกไปจริงๆ ด้วย ทุกทีข้าถามเจ้าไม่เคยยอมตอบดีๆ สักครั้ง มีอะไรปิดบังข้าอยู่หรือเปล่า”

เจ้าหญิงกาอิยาห์จ้องหน้าหนุ่มน้อยข้างกายอย่างคาดคั้นจนฝ่ายนั้นต้องหลบตา ตอบเลี่ยงๆ

“ข้าเหนื่อยจนไม่มีแรงทะเลาะกับเจ้าต่างหาก ไม่ได้มีอะไรปิดบังสักหน่อย”

“ไม่จริงหรอก ข้าไม่เชื่อ เจ้าต้องมีเรื่องปิดบังข้าอยู่แหงๆ เจ้าเห็นอะไรแล้วไม่ยอมบอกข้า ใช่มั้ยซิส”

คนถูกถามเบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยความอึดอัดใจ ยัยเจ้าหญิงม้าดีดกะโหลกเกิดจะฉลาดอะไรขึ้นมาตอนนี้นะ

“หันมาสบตากับข้าสิซิส ถ้าเจ้าไม่ได้ปิดบังอะไรไว้จริงๆ ก็หันมาสบตากับข้า”

‘เจ้าหญิงม้าดีดกะโหลก’ ตรัสพลางพยายามชะโงกพระพักตร์ตามไปจ้องหน้าเด็กหนุ่มไม่ลดละ จนฝ่ายนั้นต้องยอมแพ้ในที่สุด

“เอาละ บอกก็ได้ รู้แล้วเจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

“ไม่เสียใจหรอกน่า บอกมาเถอะ”

“อุโมงค์นี้ไม่มีทางออก ข้างหน้านั่นไม่มีประตู เราสองคนคงต้องติดอยู่ในนี้ตลอดกาลซะแล้ว ไงล่ะรู้แล้วสบายใจขึ้นหรือยัง...” หางเสียงเยาะๆ ท้ายประโยคของผู้พูดขาดหายไปทันทีเมื่อแลเห็นสีหน้าตื่นตระหนกจนเผือดขาวของคนฟัง เจ้าตัวถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับบ่นงึมงำ

“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่รู้จะดีกว่า”

เจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามระงับความรู้สึกเสียขวัญและผิดหวังเอาไว้อย่างเต็มความสามารถ ฝืนแย้มสรวลให้เด็กหนุ่มนิดหนึ่งก่อนจะตรัสตอบเบาหวิวแทบเป็นกระซิบ

“อย่างนั้นเองหรือ ขอบใจที่ยอมบอกข้าตามตรง”

“อย่าเพิ่งท้อน่าเจ้าหญิง เราอาจจะมาผิดทางก็ได้ พักซะก่อนเถอะ พอหายเหนื่อยแล้วค่อยเดินหาทางออกกันอีกรอบ”

เจ้าหญิงกาอิยาห์เอนพระเศียรซบลงกับแผ่นผนัง เบือนพระพักตร์ไปอีกทางแล้วนั่งนิ่งอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งซิสคิดว่านางหลับไปแล้ว หากพอเขาขยับตัวเพื่อเปลี่ยนท่านั่ง เสียงสะอื้นแผ่วเบาก็แว่วมาให้ได้ยิน

“เจ้าหญิง เจ้าร้องไห้หรือ”

เด็กหนุ่มหันไปจ้องมองเจ้าของร่างบางที่เอนซบอยู่กับผนัง เห็นเพียงกลุ่มผมสีเงินยุ่งเหยิงส่ายไปมาน้อยๆ พร้อมกับเสียงตอบอู้อี้

“ข้าไม่ได้ร้องสักหน่อย”

“เจ้าคงกลัวมากสินะ”

ประโยคคำถามของเขาคงไปจี้จุดบางอย่างในใจของคนฟังเข้าอย่างจัง เด็กสาวจึงหันขวับมาทันที หยาดน้ำใสราวเกล็ดเพชรยังคงค้างอยู่บนแก้มนวล หากนางรีบปาดมันทิ้งเสียโดยเร็วก่อนจะแหวกลบเกลื่อน

“ก็ใช่นะสิ แล้วเจ้าไม่กลัวหรือไงกันเล่า”

“ข้าก็กลัว แต่ทำไงได้ล่ะ...” ซิสยักไหล่แล้วปล่อยประโยคให้ค้างเอาไว้แค่นั้น

เจ้าหญิงกาอิยาห์มองเด็กหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงอ่อยๆ อย่างคนที่รู้ว่าตัวผิด

“ขอโทษ”

“ขอโทษทำไม”

“ก็...ข้าเป็นต้นเหตุให้เจ้าต้องพลอยมาติดอยู่ใต้วิหารไปด้วยนี่”

ซิสถอนใจอีกครั้งก่อนจะโบกมืออย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “ช่างเถอะ ข้ามันแส่หาเรื่องเอง ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก นอนพักซะเถอะเจ้าหญิง ตื่นขึ้นมาเจ้าจะได้มีแรงออกเดินต่อ”

“ไม่ต้องแล้วละซิส มันไม่มีประโยชน์ ต่อให้เราเดินยังไง สุดท้ายก็ต้องวนมาจบที่กำแพงนั่นอยู่ดี เก็บแรงที่เหลือเอาไว้ดีกว่า ดูสิว่าคนเราถ้าต้องติดอยู่ใต้ดินโดยไม่ได้กินดื่มอะไรเลยจะมีชีวิตอยู่ได้สักกี่วัน”

น้ำเสียงท้อแท้เหมือนคนสิ้นอาลัยในชีวิตของเด็กสาว ทำให้ซิสรู้สึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ เขาคิดว่าสาวน้อยสูงศักดิ์อย่างเจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่สมควรจะต้องมาจบชีวิตลงในที่มืดๆ อับทึบโดยที่ไม่มีใครรู้เห็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ส่วนตัวเขาเองก็ไม่ได้หนีออกจากบ้านเพื่อจะเอาชีวิตมาทิ้งในที่แบบนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้นต่อให้สิ้นหวังขนาดไหนเขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้ ตราบใดที่ลมหายใจสุดท้ายยังไม่ปลิวออกจากร่าง

อยู่ดีๆ ซิสก็ผุดลุกขึ้นยืนพรวดพราดจนเด็กสาวข้างกายสะดุ้ง

“นั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ”

“ไปสำรวจกำแพงด้านโน้นอีกครั้ง เจ้านอนซะเถอะ ข้าไปไม่นานหรอก”

เจ้าหญิงกาอิยาห์พยักพระพักตร์รับรู้ พระองค์ทอดพระเนตรตามแสงสว่างที่ค่อยๆ ขยับห่างออกไปพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกตื้นตันพระทัยอย่างบอกไม่ถูก ถึงซิสจะปากเสีย ชอบพูดจาไม่เข้าหูคนอื่น แถมยังหยิ่งยโสไม่มีสัมมาคารวะ แต่อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจพอที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อนโดยไม่คำนึงถึงตนเอง หากไม่ได้เขาป่านนี้พระองค์จะเป็นอย่างไรบ้างก็ยังนึกไม่ออก

เป็นครั้งแรกที่เจ้าหญิงกาอิยาห์มองเห็นจิตใจอันอ่อนโยนกล้าหาญที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางแข็งกระด้างไม่สนใจใครของเด็กเลี้ยงม้าผู้นี้

“ข้าดีใจจริงๆ ที่มีเจ้าอยู่ด้วยซิส ถ้าหากเราสองคนรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ ข้าจะแต่งตั้งเจ้าให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญที่สุดทีเดียว”

เด็กสาวส่งเสียงง่วงงุนไล่หลังเขาไป ขณะที่ดวงตาทั้งคู่เริ่มหรี่ปรือลงเพราะความเหนื่อยอ่อน

“ตำแหน่งอะไรอีกล่ะ” ซิสหันกลับมาถามอย่างสงสัยมากกว่าจะสนใจจริงจัง

“ตำแหน่งเพื่อนของข้าไงล่ะ”

“ตำแหน่งแบบนั้นข้าไม่เห็นอยากได้”

“ถึงไม่อยากได้แต่เจ้าก็ต้องรับ เพราะถึงยังไงตอนนี้ข้ากับเจ้าก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว...” เสียงของเด็กสาวค่อยๆ เบาลงจนเงียบหายไปในที่สุด

ซิสแอบชำเลืองมองจากหางตา เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงกาอิยาห์บรรทมหลับไปแล้ว จึงค่อยระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเสียบคบไฟในมือลงในซองโลหะริมผนังก่อนจะเดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม ครุ่นคิดถึงถ้อยคำที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ...‘เพื่อน’ อย่างนั้นหรือ จะว่าไปก็เป็นตำแหน่งที่ไม่เลวเหมือนกันแฮะ

“ตกลง ข้าจะยอมเป็นเพื่อนกับเจ้าก็ได้ กาอิยาห์”

เด็กหนุ่มก้มลงกระซิบที่ข้างหูคนหลับแล้วเลยนั่งมองใบหน้าของนางเพลิน จนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าซองโลหะที่เขาเสียบคบไฟลงไปนั้น บัดนี้เปล่งประกายสีส้มสว่างจ้าราวกับเหล็กที่ถูกเผาจนร้อนแดง แสงสีส้มนั้นค่อยๆ ลุกเรืองอย่างแช่มช้าไล่เรื่อยจากส่วนปลายของซอง ไปยังลวดลายที่ฝังแน่นอยู่บนผนังศิลา เพียงพริบตาเดียวผนังทั้งแถบก็เต็มไปด้วยเส้นสายสว่างจ้าสีส้มแดงเกี่ยวกระหวัดพาดพันกันเป็นลวดลายอันงดงามแปลกตา แล้วแผ่นกำแพงซึ่งเป็นประตูกลที่ซิสหาไม่พบก็ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นจากพื้นช้าๆ เผยให้เห็นห้องโถงกว้างที่ซ่อนอยู่ภายใน




เสียงฝีเท้าของคนมากกว่าหนึ่งคนที่ดังอยู่หน้าห้อง ปลุกเจ้าชายกันนาร์ซึ่งนั่งรอน้องสาวจนเผลองีบหลับไปให้ตื่นบรรทมขึ้น แสงสว่างจากหน้าต่างบานกว้างสูงเกือบจรดเพดานบอกให้รู้ว่าช่วงเวลากลางคืนได้ผ่านพ้นไปแล้ว บัดนี้ล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่ โดยที่ยังไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าหญิงกาอิยาห์ แถมเจ้าคนที่พระองค์ใช้ให้ไปตามนางมาพบ ก็พลอยหายเข้ากลีบเมฆไปอีกคน

เจ้าชายกันนาร์ชะเง้อมองผ่านบานหน้าต่างไปยังถนนปูอิฐด้านล่างเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินพระทัยเสด็จตรงไปที่ประตู ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้เอื้อมพระหัตถ์ไปสัมผัสมือจับทองเหลือง บานประตูหนาหนักก็ถูกผลักเปิดจากภายนอก แล้วร่างในชุดกระโปรงบานพลิ้วสีชมพูอ่อนหวานก็ก้าวมาหยุดอยู่เบื้องพระพักตร์

“กายย์ เจ้า...”

เสียงทักอย่างยินดีของเจ้าชายกันนาร์ชะงักค้างอยู่แค่ปลายพระชิวหา ผู้ที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตูหาใช่คนที่พระองค์ทรงรอคอยอยู่ไม่ หากแต่เป็นสาวน้อยทรงโฉมว่าที่พระคู่หมั้นขององค์ราชา นางมาพร้อมกับอดีตราชินีแห่งกรีนแลนด์และนางข้าหลวงผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง

เจ้าชายกันนาร์รู้สึกว่ากล้ามเนื้อในช่องพระนาภีเขม็งเกลียวขึ้นทันที สัญชาตญาณร้องเตือนพระองค์ว่าเจ้าหญิงลูเซียไม่ได้พาพระนางแอนน์มาเยี่ยมพระอาการประชวรของฝ่าบาทตามปรกติ เพราะทรงจำสิ่งที่น้องสาวเคยเล่าให้ฟังได้แม่นว่า นางแอบเห็นเจ้าหญิงลูเซียรับตลับเครื่องหอมจากชายชุดดำลึกลับในคืนที่มีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติขององค์ราชา หลังจากนั้นไม่กี่วัน เจ้าหญิงแคธรีนก็บังเอิญไปพบตลับดังกล่าววางอยู่ที่โต๊ะทรงพระอักษรของราชาแห่งกรีนแลนด์จึงหยิบขึ้นมาเปิดดู แล้วเลยกลายเป็นผู้รับเคราะห์ถูกพิษร้ายแทนราชาหนุ่ม

“อรุณสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะท่านน้า เจ้าหญิงลูเซีย เสด็จมาแต่เช้าทีเดียวนะพ่ะย่ะค่ะวันนี้” ทรงเอ่ยทักสตรีทั้งสองหลังจากค้อมกายลงถวายคำนับอดีตราชินีแห่งกรีนแลนด์เรียบร้อยแล้ว

“จัะ พอดีลูเซียได้ยาบำรุงขนานใหม่มา อยากจะให้เอลเบอเรธลองเสวยดู ก็เลยชวนน้ามาพร้อมกัน”

“ยาบำรุง” เจ้าชายทวนคำช้าๆ สายพระเนตรเหลือบไปยังถ้วยกระเบื้องมีฝาปิดในมือของเจ้าหญิงลูเซีย

“ถ้วยนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่จ้ะ ท่านบาธบอกว่ายานี้จะทำให้คนที่ป่วยอยู่ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”

“ท่านบาธ” คนถามย่นหัวคิ้วเพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใคร พระนางแอนน์จึงเป็นฝ่ายเฉลยด้วยน้ำเสียงกึ่งขันกึ่งประชด

“นักบวชที่เก่งที่สุดของทาเนียร์อย่างไรล่ะหลาน คนที่เจ้าชายดิเร็กซ์พามาด้วย แต่เจ้าไม่ยอมให้เขาได้ตรวจอาการของเอลเบอเรธนั่นแหละ”

“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายกันนาร์ถึงกับผงะ ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นจ้องหน้าสตรีผู้อาวุโสกว่าอย่างคาดไม่ถึง หากพอรู้สึกตัวก็รีบตวัดสายตาลงมองพื้นด้วยอาการสำรวมตามเดิม แม้จะอดแย้งไม่ได้

“ยาของนักบวชชาวทาเนียร์ ท่านน้าแน่พระทัยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะว่าไม่ใช่ยาพิษ เขาอาจจะนำยาพิษมาถวายแล้วแกล้งกราบทูลว่าเป็นยาบำรุงก็ได้”

พระนางแอนน์โบกพระหัตถ์อย่างเห็นคำเตือนของอีกฝ่ายเป็นเป็นเรื่องไร้สาระ

“หลานอย่าวิตกเกินเหตุไปหน่อยเลยกันนาร์ ลูเซียได้ทดสอบดูแล้ว ยานี่ไม่ใช่ยาพิษแน่นอน เอ้า ไปกันสักที มัวแต่ยืนพูดกันอยู่อย่างนี้ยาจะเย็นเสียหมด”

แม้จะได้ยินเช่นนั้น หากแทนที่ชายหนุ่มจะขยับหลีกทางให้ เขากลับยืนขวางประตูเอาไว้ไม่ยอมปล่อยให้พระนางแอนน์และสาวสวยในชุดสีชมพูก้าวผ่านเข้ามาในห้องง่ายๆ

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะท่านน้า แต่...เอ่อ... ตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่ตื่นพระบรรทม ถ้ายังไงทรงฝากพระโอสถไว้ที่กระหม่อมก่อนไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ พอฝ่าบาทตื่นบรรทมเมื่อไหร่ กระหม่อมจะจัดการถวายพระโอสถให้เอง”

“ไม่ได้หรอกเพคะเจ้าชาย” เจ้าหญิงลูเซียขัดขึ้นทันควัน

“ยานี้ต้องถวายตอนที่ยังร้อน หากเย็นแล้วจะเสื่อมสรรพคุณ ข้อนี้ท่านบาธย้ำกับหม่อมฉันนักหนา”

“นั่นสิจ๊ะ แค่ปลุกเอลเบอเรธขึ้นมาดื่มยานิดเดียวคงไม่เป็นไรกระมัง” พระนางแอนน์พยักพเยิดเห็นด้วยกับผู้ที่ทรงคาดหมายว่าจะได้มาเป็นพระสุณิสาในอนาคตเต็มที่

เจ้าชายกันนาร์นิ่งไปเพียงครู่เดียวก็ทรงอาสาขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น ให้กระหม่อมนำพระโอสถไปถวายฝ่าบาทแทนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ท่านน้าจะได้ไม่ต้องลำบาก”

“ไม่ลำบากหรอกจ้ะ แค่นี้เอง น้าจะได้ถือโอกาสเยี่ยมอาการของลูกไปด้วย”

ในเมื่อทำอย่างไรก็ไม่สามารถขัดพระประสงค์ของอดีตราชินีแห่งกรีนแลนด์ได้ เจ้าชายกันนาร์จึงจำต้องเสด็จนำสตรีทั้งกลุ่มไปยังห้องบรรทมด้านใน หากก่อนที่พระองค์จะเอื้อมพระหัตถ์ไปเปิดประตู ทรงหันไปหาสาวน้อยที่เดินตามหลังพระนางแอนน์มาติดๆ ตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลทว่าเฉียบขาด

“เจ้าหญิงทรงรออยู่ที่นี่ดีกว่า ส่งถ้วยยามา หม่อมฉันจะถือตามเสด็จท่านน้าเอง”

เจ้าหญิงลูเซียมีท่าทางคล้ายกับจะไม่ยินยอมในทีแรก นางลังเลอยู่อึดใจหนึ่งหากแล้วก็ยื่นถาดในมือส่งให้ชายหนุ่มแต่โดยดี ทว่าในจังหวะที่ถาดใบน้อยกำลังจะสัมผัสกับมือใหญ่ที่ยื่นมารอรับอยู่แล้วนั้น มันกลับพลิกคว่ำลงอย่างไม่มีใครคาดคิด ถ้วยกระเบื้องเนื้อบางตกกระทบพื้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ น้ำยาสีน้ำตาลไหลซึมหายไปในพื้นพรมส่งกลิ่นขมปนหวานเอียนๆ อวลไปทั้งห้อง

พระนางแอนน์ตวัดสายพระเนตรมองชายหนุ่มที่ยังยืนตะลึงยกมือค้างอยู่กลางอากาศอย่างไม่พอพระทัย

“หกหมดเลยดูซิ นี่เจ้าจะแกล้งไม่ให้เอลเบอเรธได้ดื่มยาหรือยังไงกันนาร์”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายกันนาร์ละล่ำละลักปฏิเสธ พระองค์หันไปจ้องมองเจ้าหญิงลูเซียด้วยสายพระเนตรเต็มไปด้วยคำถาม หากยังไม่ทันได้ตรัสอะไร อีกฝ่ายก็ชิงกล่าวขึ้นเสียก่อน

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าเจ้าชายจะชักพระหัตถ์กลับ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ปล่อยมือหรอกเพคะ”

“เจ้าว่าอะไรนะ”

เจ้าชายกันนาร์แทบจะอ้าพระโอษฐ์ค้างเพราะคาดไม่ถึง เจ้าหญิงลูเซียต่างหากที่เป็นฝ่ายจงใจปล่อยมือก่อนที่พระองค์จะเอื้อมหัตถ์ออกไปรับถ้วยยา พระองค์ดูไม่ออกว่านางมีเจตนาหรือไม่ แต่ผลจากการกระทำของนางก็เป็นเหตุให้มารดาของราชาเอลเบอเรธกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟไปเรียบร้อย และคนถูกกริ้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

“กันนาร์ เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกมีอคติกับชาวทาเนียร์พวกนั้นสักที คราวก่อนก็หนหนึ่งแล้ว คราวนี้แค่ยาบำรุงเจ้าก็ยังไม่ยอมให้ลูกข้าได้ดื่ม มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ”

“ท่านน้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้...”

“หยุด ไม่ต้องมาแก้ตัว น้าไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น เจ้าหลีกไป น้าจะเข้าไปเยี่ยมเอลเบอเรธ”

พระนางแอนน์ตวัดพระเนตรผ่านหน้าชายหนุ่มไปด้วยอาการพระศอแข็ง บอกให้รู้ว่าไม่พอพระทัยอย่างมาก แล้วหันไปตรัสชวนสาวน้อยที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ

“ลูเซียมากับป้า...”

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายกันนาร์ยื่นพระหัตถ์ไปขวางประตูเอาไว้อย่างลืมพระองค์ เป็นเหตุให้พระนางแอนน์ยิ่งกริ้วหนักขึ้นไปอีก

“ทำไมจะไม่ได้ น้าจะเยี่ยมลูกต้องขออนุญาตเจ้าก่อนหรือไง”

“มิไดัพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหมายความว่า...เอ่อ...ฝ่าบาทยังบรรทมอยู่...”

“เอลเบอเรธหลับอยู่แล้วยังไงล่ะ น้าแค่จะเข้าไปดูอาการลูกนิดเดียวเท่านั้น ยาก็หกไปหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครแอบเอายาพิษถวายนายของเจ้าหรอก มาเถอะลูเซีย”

ตรัสแล้วพระนางก็ผลักร่างสูงของเจ้าชายกันนาร์ให้หลบไปพ้นทาง ทรงผลักบานประตูให้เปิดออก จากนั้นจึงเสด็จตรงดิ่งไปยังเตียงนอนที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ไม่สนพระทัยกับเสียงหวีดว้ายตกใจของนางข้าหลวงและคำห้ามปรามของชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นหลาน

ภาพที่เห็นทำให้พระนางแอนน์แทบผงะ บนเตียงนอนสี่เสาขนาดใหญ่แทนที่จะมีร่างของชายหนุ่มเจ้าของห้อง กลับมีเพียงกองผ้าห่มขาดวิ่นและเศษซากของตุ๊กตาไม้หน้าตาแปลกประหลาด ไม่ว่าจะพยายามทอดพระเนตรสักกี่ครั้ง ภาพที่เห็นก็ยังคงเป็นเช่นนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

อดีตราชินีแห่งกรีนแลนด์รู้สึกหน้ามืดวิงเวียนราวกับจะเป็นลมขึ้นมาทันที จนเจ้าหญิงลูเซียต้องปราดเข้าไปช่วยประคองพระองค์เอาไว้ หากเพียงครู่เดียวก็ทรงระงับพระอาการได้ แม้พระพักตร์จะยังเผือดขาวอยู่ก็ตาม

พระนางแอนน์หันไปหาเจ้าชายกันนาร์ที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ริมประตู ตรัสเสียงสะท้านด้วยแรงโทสะ

“อย่างนี้นี่เอง เจ้าไม่อยากให้ข้าเข้ามาเยี่ยมลูกก็เพราะอย่างนี้ ใช่มั้ยกันนาร์”

“เอ่อ...คือ...”

“เจ้าโกหกว่าเอลเบอเรธหลับอยู่ แล้วไหนล่ะลูกชายข้า เอลเบอเรธอยู่ที่ไหนกัน”

เจ้าชายกันนาร์พระพักตร์เผือดสีลงด้วยความละอายพระทัย ได้แต่ทำเสียงอึกๆ อักๆ อยู่ในพระศอ เพราะไม่รู้จะทูลตอบอย่างไรดี

“ว่ายังไงล่ะกันนาร์”

“เอ่อ...กระหม่อม...”

“ตอบมาสิ มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่ทำไม เจ้าเอาลูกชายข้าไปซ่อนไว้ที่ไหน หรือว่าเจ้าสังหารเขาเสียแล้วถึงตอบไม่ได้”

“ท่านน้า!”

เจ้าชายกันนาร์อุทานอย่างตกพระทัย พระบาทที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาสตรีอาวุโสเลยพลอยหยุดชะงักไปด้วย พระองค์จ้องมองมารดาของเพื่อนรักอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าจะทรงถูกกล่าวโทษด้วยข้อหาร้ายแรงเช่นนี้ ความน้อยใจและเสียใจที่ไม่รู้มาจากไหนไหลทะลักเข้าท่วมท้นความรู้สึกของเจ้าชายหนุ่ม จนต้องขบพระทนต์เอาไว้แน่นเพื่อข่มมันลงไปก่อนจะทูลถามเสียงแห้ง

“เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะคิดร้ายต่อฝ่าบาทได้อย่างไร”

“ถ้าไม่คิดร้ายกับลูกข้า เจ้าก็อธิบายมาสิว่ารอยขาดบนผ้าห่มพวกนี้มาจากไหน แล้วยังตุ๊กตาไม้นี่อีก ของพวกนี้มาอยู่บนเตียงนอนของลูกชายข้าได้อย่างไร ตอบมาสิกันนาร์”

คำถามคาดคั้นของพระนางแอนน์ ทำให้เจ้าชายกันนาร์ต้องเบือนพระพักตร์หลบไปทางอื่นด้วยความอึดอัดพระทัย สายพระเนตรของพระองค์จึงตวัดไปทางเจ้าหญิงลูเซียโดยบังเอิญ ชายหนุ่มแทบสะดุ้งเมื่อพบว่าฝ่ายนั้นก็กำลังจ้องมองมาเช่นเดียวกัน ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าไร้อารมณ์อยู่เป็นนิจเปล่งประกายประหลาดชนิดที่ทำให้คนถูกมองหนาวเยือกไปทั้งร่าง ความข้องใจทั้งมวลกระจ่างชัดขึ้นในนาทีนั้นราวกับมีคำเฉลยกางอยู่ตรงหน้า

ที่แท้ยาบำรุงก็เป็นเพียงข้ออ้างที่ใช้ล่อให้พระองค์ติดกับ ถ้าหากเจ้าหญิงลูเซียทรงร่วมมือกับเจ้าชายดิเร็กซ์ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์ราชา นางย่อมรู้ดี และตอนนี้ก็กำลังรอคอยคำตอบจากพระองค์อยู่อย่างใจจดใจจ่อว่าประมุขหนุ่มประทับอยู่ที่ไหน

เจ้าชายกันนาร์แย้มสรวลออกมาอย่างขมขื่น หากพระองค์กราบทูลให้พระนางแอนน์ทรงทราบว่าพระโอรสเสด็จไปเมืองลัสเตอร์สโตน ราชาเอลเบอเรธก็จะทรงตกอยู่ในอันตรายทันที แต่ถ้าพระองค์ไม่กราบทูล เรื่องราวก็จะยิ่งลุกลามใหญ่โต และคนที่จะตกที่นั่งลำบากก็คือพระองค์เอง เจ้าชายหนุ่มถอนใจยาวด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง สภาพของพระองค์เวลานี้จะว่าไปก็เหมือนแมลงหน้าโง่ที่หลงไปติดอยู่กลางใยแมงมุมนั่นแหละ ยิ่งดิ้นก็มีแต่จะยิ่งถูกพันธนาการแน่นขึ้น ยิ่งหนีก็ยิ่งเหมือนถูกต้อนเข้าไปจนมุม กับดักของเจ้าชายดิเร็กซ์ครั้งนี้แหลมคมจนคาดไม่ถึงทีเดียว

หลังจากทิ้งให้ห้องทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบอยู่นาน เจ้าชายกันนาร์ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางของคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

“เรื่องนั้นกระหม่อมทูลไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หากท่านน้าต้องการทราบขอให้ทรงถามเจ้าหญิงลูเซียดูเอง บางทีนางอาจจะให้คำตอบได้ดีกว่ากระหม่อม สิ่งที่กระหม่อมสามารถทูลได้ตอนนี้มีเพียงคำยืนยันว่ากระหม่อมไม่เคยคิดร้ายต่อฝ่าบาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

คำตอบที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มทำให้พระนางแอนน์กริ้วแหวลงมาทันที

“อย่ามาเล่นลิ้นนะกันนาร์ ถ้าเจ้าไม่คิดร้ายกับลูกข้าจริงก็บอกมาสิว่าเอลเบอเรธอยู่ที่ไหน บอกมา แล้วข้าจะเชื่อเจ้า”

“กระหม่อมทูลไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นกบฏนะ”

“สุดแท้แต่พระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมไม่สามารถกราบทูลได้จริงๆ”

พระนางแอนน์เสด็จตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าชายหนุ่มแล้วตวัดพระหัตถ์ไปที่แก้มสากๆ ของเขาเต็มแรง

“เสียแรงที่ข้าไว้ใจเจ้านักกันนาร์ ที่แท้เจ้ามันก็เป็นคนเลวเลี้ยงไม่เชื่อง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะคิดคดต่อลูกชายของข้า ต่อเพื่อนสนิทของเจ้าได้” ร่างของพระนางแอนน์สั่นสะท้านด้วยแรงโทสะและความโทมนัสสุดแสน เมื่อกล่าวต่อไป

“ข้ามันโง่เองที่หลงเชื่อลิ้นปลิ้นปล้อนของเจ้ามาตลอด เจ้าหลอกข้า เจ้าหลอกทุกคน ทำทีเป็นห่วงใยคอยเฝ้าดูอาการของลูกชายข้าอย่างใกล้ชิด ที่แท้ก็เพื่อจะหาโอกาสสังหารเขาแล้วขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง ใช่มั้ย”

“มิได้พ่ะย่ะค่ะท่านน้า กระหม่อมไม่เคยคิดเช่นนั้นแม้แต่ครั้งเดียว”

“ข้าไม่เชื่อ” พระนางแอนน์ทรงตวาดทั้งน้ำตา “ข้าจะไม่เชื่อคำเท็จของเจ้าอีกต่อไปแล้ว ทหาร”

สิ้นเสียงร้องเรียก หทารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้านนอกสุดก็ลนลานเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ พวกเขาเหลือบมองประมุขฝ่ายหญิงของปราสาทสลับกับเจ้าชายกันนาร์ผู้เป็นนายด้วยสีหน้าแสดงความงุนงงอย่างเปิดเผย และยิ่งงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินรับสั่งจากพระนางแอนน์ ให้เอาตัวชายหนุ่มไปขังไว้ในคุกใต้ดินเพื่อรอการไต่สวนอย่างเป็นทางการ!







angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2556, 11:50:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2556, 11:52:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1613





<< ตอนที่ 12   ตอนที่ 14 >>
ชลวารี 13 ก.พ. 2556, 19:10:16 น.
โอ้ยแย่แล้ว เจ้าหญิงของเราจะออกมาได้มั้ย
แล้วใครจะช่วยเจ้าชายของเรา
องค์ราชาเป็นไงบ้างแล้ว
ทำไมราชินีถึงไม่เชื่อใจเจ้าชายล่ะคะ
แค่เรื่องนี้ไม่น่าจะถึงกับคิดว่าเจ้าชายคิดแย่งบัลลังก์ น่าจะมีแรงจูงใจมากกว่านี้


angelK 13 ก.พ. 2556, 22:01:15 น.
องค์ราชินีไม่เชื่อเพราะเจ้าชายพยายามปิดบังตั้งแต่ต้นค่ะ
ราชินีคิดไปด้วยความโกรธค่ะ อารมณ์ตอนนั้นคือโกรธมาก เหมือนถูกคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดหักหลังเอาน่ะค่ะ ก็เลยคิดอะไรในแง่ร้าย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account