ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 14
เจ้าหญิงกาอิยาห์ลืมพระเนตรขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของซิส พระองค์ขยับลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบกายด้วยความงุนงง แล้วดวงเนตรสีม่วงใสก็เบิกกว้างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าส่วนในสุดของทางเดินที่เคยเป็นกำแพงทึบตัน บัดนี้กลายสภาพเป็นห้องโถงกว้างไปเสียแล้ว
“เป็นไปได้ยังไงน่ะซิส เจ้าพบประตูทางออกแล้วหรือ” สุรเสียงใสแจ๋วตรัสซักทันควัน
เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าว่าเราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
“เอาสิ”
เจ้าหญิงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวตามหลังเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องที่เห็นเป็นเงาสลัวอยู่เบื้องหน้าโดยไม่รอช้า
ห้องนั้นสร้างด้วยศิลาสีขาวนวลสะอาดสะอ้าน ดูผิดไปจากสีเทาทึมที่เด็กทั้งสองเห็นจนเจนตาตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ผนังโดยรอบประดับเชิงเทียนทองเหลืองทรวดทรงอ่อนช้อยพร้อมแท่งเทียนสีขาวเป็นระยะ เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงร่ายเวทมนตร์บทเดิมอีกครั้งเพื่อจุดเทียนไข ทำให้ห้องทั้งห้องสว่างเรืองรองขึ้นทันที
“สวยจังเลย คิดไม่ถึงว่าใต้วิหารจะมีห้องที่สวยขนาดนี้ซ่อนอยู่” ทรงรำพึงอย่างชื่นชม
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือเจ้าหญิง ลองดูตรงนั้นซะก่อนเถอะ”
ซิสขัดคอ พลางชี้มือไปยังส่วนในสุดของห้องซึ่งเป็นที่ตั้งของหีบศิลาขนาดขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายหีบศพ มีรูปปั้นเทพธิดาสวมอาภรณ์คลุมหน้าแบบไว้ทุกข์ประดับเป็นฉากหลัง เมื่อทั้งคู่ก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นตัวอักษรจารึกอยู่ข้างหีบว่า...แอนเดเมียนผู้เป็นที่สนิทเสน่หาของจันทราเทวีทอดร่างอยู่ ณ ที่นี้...
เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์เสียด้วยความกลัว ทรงกระตุกแขนคนข้างกายพร้อมกับร้องเร่ง
“ไปเถอะซิส อย่าอยู่ตรงนี้เลย”
“จะรีบไปไหนเล่า” เด็กหนุ่มแกล้งยั่ว “เมื่อกี้เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าห้องนี้สวย ก็อยู่ชมความสวยอีกสักพักจะเป็นไร”
คนเป็นเจ้าหญิงพระพักตร์คว่ำ หากพระโอษฐ์ยังเถียงไม่ลดละ
“สวยก็ส่วนสวยสิ แต่นี่มันสุสานชัดๆ เจ้าโรคจิตหรือไงถึงชอบอยู่ใกล้ๆ คนตาย”
คนถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘โรคจิต’ หัวเราะเบาๆ แล้วส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ไปยังรูปสลักเทพธิดาที่ตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ด้านหลังโลงศพ ก่อนจะบอกสั้นๆ
“ข้ากำลังดูรูปปั้นพวกนั้นอยู่ต่างหาก”
รูปปั้นเทพธิดาคลุมหน้าด้วยผ้าบางพลิ้วอย่างคนไว้ทุกข์ที่ซิสกำลังเพ่งมองอยู่นั้น แกะสลักอย่างวิจิตรด้วยหินมุกดาสีขาวใสเนื้อละเอียดราวกับแก้ว เทพธิดาองค์แรกและองค์สุดท้ายอยู่ในอิริยาบถเหมือนกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนแท่นหิน มีพิณทองคำขนาดเล็กวางอยู่บนตัก มือทั้งสองข้างของพวกนางแตะอยู่ที่สายพิณคล้ายกำลังบรรเลงบทเพลงอันไพเราะขับกล่อมผู้ตายให้นิทราอย่างเป็นสุข เทพธิดาอีกสามองค์ที่เหลือยืนก้มหน้าอย่างเศร้าหมองอยู่ระหว่างกลาง ในมือของนางทั้งสามช้อนประคองวัตถุบางอย่างเอาไว้ด้วย
ประกายสีทองสุกปลั่งจากวัตถุในมือของเทพธิดาองค์ริมซ้ายกระทบสายพระเนตรของเจ้าหญิงกาอิยาห์เข้าอย่างจัง พระองค์จึงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบขึ้นมาดูอย่างสนพระทัย วัตถุชิ้นนั้นมีลักษณะเหมือนกล่องใส่อัญมณี หากภายในแทนที่จะมีเครื่องประดับล้ำค่าวางอยู่ กลับกลายเป็นเส้นโลหะขนาดบางเท่าเส้นผม ขดม้วนเป็นวง สีของมันงามประหลาดคือมีทั้งสีเงินและสีทองเหลือบซ้อนกันอยู่อย่างที่พระองค์ไม่เคยเห็นในโลหะชนิดไหนมาก่อน ด้วยความที่ไม่ทรงทราบว่ามันคืออะไร มีไว้เพื่อประโยชน์อันใด เจ้าหญิงจึงปิดฝากล่องแล้ววางคืนไว้ที่เดิม เทพธิดาองค์ถัดมาถือพานศิลารองรับด้วยผ้ากำมะหยี่ดำ ด้านบนคือลูกศรสีเงินหักครึ่ง ส่วนปลายเป็นสีคล้ำราวกับถูกอาบย้อมด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง
เจ้าหญิงกาอิยาห์ไล่สายพระเนตรไปยังเทพธิดาองค์สุดท้าย นึกแปลกพระทัยนิดหน่อยที่พบเพียงม้วนกระดาษเนื้อหนาแบบที่นิยมใช้กันตามวิหารในสมัยโบราณ วางอยู่ในกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ พระองค์เอื้อมพระหัตถ์หยิบมันออกมาคลี่ดู เนื้อกระดาษเก่าแก่เสียจนกลายเป็นสีเหลือง มีตัวอักษรภาษากรีนแลนด์เขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ยาวเหยียด ภาษานั้นเก่าเกินกว่าที่จะทรงเข้าพระทัยเนื้อความได้ตลอด หากก็พอจะอ่านได้ว่าบันทึกนั้นกล่าวถึงมหาสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งนักบวชผู้หนึ่งสามารถขับไล่กองทัพของศัตรูออกจากแผ่นดินกรีนแลนด์ด้วยการบรรเลงบทเพลงจากพิณประหลาดที่ใช้เส้นผมของจันทราเทวีขึงแทนสาย
เจ้าหญิงละสายพระเนตรจากบันทึกชั่วคราว หันไปจ้องมองโลงศิลาขนาดใหญ่อีกครั้ง อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ผู้ที่ทอดร่างอย่างสงบอยู่ตรงหน้านี้จะเป็นคนเดียวกันกับนักบวชหนุ่มในบันทึกหรือเปล่า
ขณะที่พระองค์กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตนเองอยู่นั้น หนุ่มน้อยข้างกายก็ส่งเสียงอุทานขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาทรงตกพระทัยจนเกือบจะเผลอร้องกรี๊ดออกมา พอตั้งสติได้ เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงแหวใส่เขาทันที
“เป็นอะไรของเจ้าอีกล่ะซิส อยู่ดีๆ ก็ร้องออกมาซะดังลั่น หัวใจข้าเกือบจะหยุดเต้น”
“เจ้าดูนั่นสิ”
แทนที่จะกล่าวคำขอโทษ ซิสกลับชี้ให้เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรไปที่เทพธิดาองค์สุดท้าย
“อะไร” เด็กสาวเหลียวมองตามปลายนิ้วของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเพราะไม่เห็นสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย
“ก็รูปปั้นธรรมดาๆ นี่นา ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก เจ้าอยากให้ข้าดูอะไรก็พูดมาชัดๆ สิ”
เด็กหนุ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างรำคาญ ก่อนจะเฉลย
“มงกุฎไงเล่า เจ้าไม่เห็นหรือ”
“ก็...เห็น”
“แล้วไม่นึกแปลกใจมั่งหรือไง ว่าทำไมถึงมีแต่เทพธิดาองค์นี้เท่านั้นที่สวมมงกุฎ”
“ก็...”
นั่นสินะ ในบรรดารูปปั้นเทพธิดาทั้งห้าองค์ มีแต่เทพธิดาองค์สุดท้ายนี่แหละที่สวมมงกุฎ มันต้องเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังความแตกต่างนี้เป็นแน่
เจ้าหญิงกาอิยาห์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด เพียงครู่เดียวก็หันไปออกคำสั่งกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เจ้าลองหมุนดูสิซิส ข้าเคยเห็นพี่กันนาร์หมุนมงกุฎดอกไม้บนเศียรของรูปปั้นเทพธิดาในวิหาร แล้วประตูที่กำแพงก็เปิดออก บางทีนี่ก็อาจจะเป็นอย่างเดียวกัน”
เด็กหนุ่มไม่ต้องรอให้คนเป็นเจ้าหญิงตรัสซ้ำ เขารีบเอื้อมมือไปที่มงกุฎบนเศียรของเทพธิดาองค์สุดท้าย ก่อนออกแรงหมุนไปทางขวาเบาๆ พอครบรอบที่สามก็มีเสียงครืดคราดดังมาจากมุมห้อง ก่อนที่เสาทรงกลมบริเวณนั้นจะพลิกเปิดออก เผยให้เห็นบันไดแคบๆ ที่ซ่อนอยู่ด้านใน!
“ไชโย”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ดีพระทัยจนแทบจะโผเข้าไปกอดคอเด็กเลี้ยงม้า พระองค์เสด็จตัวปลิวตรงไปยังบันไดที่เห็นทันที
ซิสเดินกระโผลกกระเผลกตามหลังเด็กสาวไปติดๆ ดวงตาคมกริบจ้องมองแผ่นโลหะแบนบางฉลุลายวิจิตรที่เรียงซ้อนกันเป็นวงสูงขึ้นไปด้านบนอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก สภาพของบันไดดูบอบบางง่อนแง่นจนน่ากลัวว่าจะพังครืนลงมาได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง ถ้าใครบังอาจก้าวเท้าเหยียบลงไปโดยไม่ระวัง
เด็กหนุ่มลองแหย่ขาข้างหนึ่งลงไปหยั่งน้ำหนักดูก่อน บันไดโลหะที่มีด้านหนึ่งตรึงแน่นกับแท่งศิลา อีกด้านร้อยด้วยโซ่เส้นบางสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังเกาะยึดกันดีอยู่ เขาจึงทิ้งน้ำหนักลงไปทั้งตัวแล้วกัดฟันเดินลากขานำหน้าคนเป็นเจ้าหญิงขึ้นไปก่อน ด้วยความที่บันไดทั้งชันทั้งแคบเด็กหนุ่มจึงต้องอาศัยผนังด้านข้างเป็นที่เกาะพยุงตัวไปตลอดทาง และต้องหยุดพักเป็นระยะกว่าจะสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่บนพื้นศิลาด้านบนสุดได้สำเร็จ
แสงสลัวที่แลเห็นผ่านช่องลมซึ่งอยู่ต่ำลงไปทำให้ซิสรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง อย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็น่าจะขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับพื้นดินแล้ว ทางออกคงจะอยู่อีกไม่ไกลนัก เขาก้าวต่อไปตามทางเดินแคบๆ ที่ทอดรออยู่เบื้องหน้าโดยไม่ลังเล เมื่อเดินมาจนสุดทางก็พบกำแพงหินขวางหน้าอยู่เช่นเดียวกับครั้งก่อน
ซิสพยายามมองหาร่องรอยของประตูที่อาจจะซ่อนอยู่บนกำแพง แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับแนวศิลาที่ยื่นล้ำออกมามากกว่าปกติเข้าจนได้ พอลองออกแรงผลักดู กำแพงส่วนนั้นก็พลิกกลับเข้าไปด้านใน ทำให้เด็กหนุ่มเกือบจะเสียหลักหัวทิ่มตามเข้าไปด้วย โชคดีที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ก้าวตามมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ทัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าซิส” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร”
ซิสปฏิเสธแล้วพาเด็กสาวก้าวผ่านช่องแคบๆ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเข้าไปภายใน ภาพที่เห็นทำให้เขาต้องหลุดปากถามออกมาด้วยความสงสัย
“ตกลงตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันแน่”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรไปรอบห้องตามสายตาของอีกฝ่าย เงาทะมึนของตู้หนังสือที่เห็นเรียงรายอยู่รอบด้าน ทำให้พระองค์ทรงเดาได้ไม่ยาก
“น่าจะเป็นห้องสมุด”
เจ้าหญิงสาวพระบาทผ่านโต๊ะยาวกลางห้อง ไปหยุดยืนทอดพระเนตรร่องรอยของคบไฟที่มีคนเคยจุดแล้วปักทิ้งไว้ตรงข้างประตู ก่อนจะหันกลับมาร้องบอกเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
“ที่นี่ต้องเป็นห้องสมุดในวิหารแน่ๆ ซิสเรารอดแล้ว”
หลังจากนั้นเจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ค้นหาตัวอักษรคำว่า ‘เปิด’ ที่สลักอยู่บนแผ่นประตูจนเจอ แล้วพาเด็กหนุ่มก้าวออกไปสู่อิสรภาพได้สำเร็จ
ทันทีที่เสด็จถึงตำหนักแสงจันทร์ หญิงกาอิยาห์ก็แทบจะทรงล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากของพระพี่เลี้ยง พระองค์เพิ่งจะเอาชีวิตรอดจากการถูกขังให้ตายทั้งเป็นอยู่ใต้วิหารโบราณมาหยกๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า มิน่าเล่านอร่าถึงไม่ดุเรื่องที่ทรงหายตัวไปทั้งคืนแม้แต่คำเดียว ซ้ำยังรีบกุลีกุจอพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดเตรียมซุปร้อนๆ ไว้ให้ดื่มอย่างเอาอกเอาใจผิดปกติ
“พี่ชายข้าน่ะหรือถูกจับ เป็นไปได้ยังไง” ทรงถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงบอกความงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกเอาจริงๆ
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบรายละเอียดนักเพคะ แต่ได้ยินเขาลือกันว่าทรงถูกจับด้วยข้อหากบฏเมื่อเช้าตรู่นี่เอง”
กบฏ!
คำๆ นั้นสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่ในพระเศียรของเจ้าหญิง ราวกับมีใครมาตะโกนใส่หน้าพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พื้นตำหนักใต้เบื้องพระบาทเริ่มโคลงเคลง ห้องทั้งห้องดูเหมือนจะหมุนคว้างได้เองอย่างน่าประหลาด สิ่งสุดท้ายที่ทรงรับรู้คือเสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกของเหล่านางกำนัลและพระพี่เลี้ยง จากนั้นแสงสว่างรอบพระวรกายก็พลันวูบดับลง
เจ้าหญิงกาอิยาห์พบว่าพระองค์กลับมายืนอยู่ในอุโมงค์มืดมิดใต้วิหารอีกครั้ง หากคราวนี้ไม่มีเด็กเลี้ยงม้าปากเสียคอยช่วยเหลืออย่างเคย ทำให้ต้องทรงคลำหาทางออกอยู่เป็นเวลานาน ทั้งเหนื่อยทั้งท้อจนเกือบจะถอดพระทัยยอมแพ้เสียหลายหน ทว่าในที่สุดพระองค์ก็พบประตูเหล็กสนิมเขรอะบานหนึ่งเข้าจนได้ แสงสว่างรำไรที่ทอลอดออกมาจากช่องลูกกรงเหนือบานประตู ช่วยให้พระทัยชื้นขึ้นนิดหน่อย บางที... นี่อาจจะเป็นทางออกที่ทรงค้นหาอยู่ก็ได้ เจ้าหญิงทรงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะเปิดประตูบานนั้น หากไม่สำเร็จ ดูเหมือนมันจะติดล็อกจากด้านใน แถมบางคราวยังมีเสียงคล้ายผู้ชายบ่นอะไรงึมงำฟังไม่ได้สรรพ ดังลอดออกมาให้ได้ยินอีกด้วย ด้วยความสงสัยจึงทรงเขย่งปลายพระบาท ทอดพระเนตรผ่านเข้าไปทางช่องลูกกรงเหนือพระเศียร
ภาพที่ปรากฏแก่สายพระเนตรคือห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ หน้าตาไม่ต่างอะไรกับห้องที่ใช้คุมขังนักโทษโดยทั่วไปนัก ในห้องมีชายผู้หนึ่งถูกล่ามแขนขาติดกับกำแพงหินด้วยโซ่เส้นโต ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ผิวเนื้อบริเวณแผ่นอกและช่วงท้องแหลกยับไปด้วยรอยแส้ เลือดสดๆ ยังคงไหลรินจากปากแผล ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วจนพระองค์อยากจะเบือนพระพักตร์หนีเป็นกำลัง หากความใคร่รู้บังคับให้ทรงเพ่งมองภาพนั้นต่อไป
เสียงแหบห้าวของผู้ชายอีกคนที่ทรงเห็นแต่เพียงด้านหลัง ตั้งคำถามอะไรบางอย่างดังอยู่แว่วๆ แต่ชายผู้เป็นนักโทษกลับนิ่งเฉยไม่ยอมตอบ น้ำทั้งถังจึงถูกสาดโครมลงไปบนร่างกายอันบอบช้ำที่ห้อยอยู่กับแผ่นผนังเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่าๆ เจ้าของร่างสะดุ้งเฮือก กล้ามเนื้อแทบทุกมัดไหวระริกด้วยความเจ็บปวด
แม้เจ้าหญิงกาอิยาห์จะเคยได้ยินมาบ้างว่ามีการทรมานนักโทษด้วยวิธีเฆี่ยนจนเนื้อแตกแล้วราดซ้ำด้วยน้ำเกลือ หากไม่คิดว่าจะทรงมีโอกาสได้เห็นของจริงกับตาตัวเองเช่นครั้งนี้ มันช่างเป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน ทว่าคนเป็นนักโทษกลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ
พระองค์นึกนิยมความใจแข็งของเขา จึงพยายามเพ่งสายพระเนตรฝ่าความมืด เพื่อจะมองให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังเส้นผมยาวรุงรังจับเป็นแผ่นหนาเพราะคราบโลหิตให้ถนัด หากเมื่อนักโทษหนุ่มเงยหน้าขึ้น คนเป็นเจ้าหญิงกลับเป็นฝ่ายต้องใช้พระมุฐิ(กำปั้น)อุดพระโอษฐ์เอาไว้ ไม่ให้เสียงกรีดร้องโหยหวนดังเล็ดลอดออกมา น้ำพระเนตรอุ่นจัดพรั่งพรูลงอาบพระพักตร์จนไม่อาจมองเห็นภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป
เด็กสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวถอนสะอื้น ผวาลุกขึ้นนั่งโดยแรงจนแพรผืนบางที่คลี่คลุมอยู่เหนือร่างเลื่อนหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น หยาดน้ำตาเม็ดกลมใสกลิ้งอยู่บนนวลแก้มขาวเผือด ขณะที่เสียงร้องเรียกชื่อพี่ชายยังคงค้างอยู่แทบริมฝีปาก นางกระพริบตาถี่ๆ เหลียวมองรอบห้องโถงกว้างที่สว่างไสวไปด้วยแสงแห่งวันอย่างงุนงงในนาทีแรก แล้วแววรับรู้ก็ค่อยกลับคืนมาสู่ดวงตาสีม่วงทีละน้อย
ฝัน...
นางคงหมดสติแล้วฝันไปนั่นเอง เด็กสาวปาดน้ำตาทิ้งพลางลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า
“ข้าจะไปหาพี่กันนาร์”
“ไม่ได้นะเพคะ”
คนเป็นพี่เลี้ยงแทบจะทิ้งถ้วยยาในมือ ปราดเข้ามาขวางหน้านายสาวเอาไว้ทันที
“เมื่อวานก็ทรงหายไปจนกระทั่งเช้า นี่เพิ่งจะฟื้นจากประชวรพระวาโยแหม็บๆ จะเสด็จไปตะลอนข้างนอกอีกแล้ว หม่อมฉันไม่ยอมเด็ดขาด องค์หญิงทรงทราบบ้างหรือเปล่าเพคะว่าสถานการณ์ในลินเด็นตอนนี้เป็นอย่างไร ขนาดมหาดเล็กที่พระเชษฐาส่งมาเชิญเสด็จพระองค์ไปเฝ้าเมื่อคืน ยังไม่กล้ากลับตำหนักหลวงเลย แล้วองค์หญิงจะเสด็จออกไปทำไมเพคะ อันตรายเปล่าๆ หม่อมฉันว่า...”
“เดี๋ยวก่อนนอร่า”
เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามพระพี่เลี้ยงก่อนที่จะต้องฟังนางร่ายยาวไปมากกว่านั้น พระองค์ตรัสถามเสียงแหลม
“เจ้าว่าพี่ข้าให้คนมาตามอย่างนั้นหรือ”
นอร่ากะพริบตาปริบๆ มองอาการ ‘แตกตื่น’ ของนายสาวอย่างไม่เข้าใจ
“เพคะ ทรงใช้ให้มหาดเล็กประจำห้องบรรทมขององค์ราชามาทูลเชิญเสด็จองค์หญิง แต่หม่อมฉันเห็นว่าดึกมากแล้วก็เลยไล่เขากลับไป เขาก็ดื๊อดื้อนะเพคะ ยังเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่แถวหน้าตำหนักจนกระทั่งเช้า เพิ่งจะยอมล่าถอยกลับไปตอนที่รู้ข่าวเจ้าชายกันนาร์ทรงถูกจับนี่เอง”
“แล้วเจ้าได้บอกเขาหรือเปล่าว่าข้าไม่อยู่” เจ้าหญิงกาอิยาห์แทบจะทรงเขย่าร่างถามพระพี่เลี้ยง
“เปล่าเพคะ เรื่องไม่งามแบบนั้นหม่อมฉันจะกล้าปริปากได้อย่างไร ...จริงสิหม่อมฉันเกือบลืม เมื่อวานนี้พระองค์เสด็...”
พระพี่เลี้ยงยังตั้งคำถามไม่ทันจบประโยคก็ต้องอ้าปากค้างอีกรอบ เพราะผู้เป็นนายสาวผลุนผลันวิ่งออกจากห้องไปเสียแล้ว
แสงแดดร้อนแรงยามบ่ายทอลอดกลุ่มใบไม้รูปห้าแฉกลงมาเป็นริ้ว ทำให้หนุ่มน้อยที่หลบมานอนอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลใหญ่ต้องเบือนหน้าหนี เขาพลิกกายตะแคงข้าง ซุกศีรษะลงกับต้นแขนหวังจะหลับต่อให้สบาย หากเพียงครู่เดียวก็มีอาการคล้ายสะดุ้ง ลุกพรวดพราดขึ้นนั่งราวกับถูกผึ้งต่อย เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบกายล่อกแล่กเหมือนจะหาอะไรสักอย่าง เมื่อไม่พบก็ทำสีหน้าโล่งอก หากเจ้าตัวยังผ่อนลมหายใจออกมาไม่ทันหมดเฮือก เสียงแจ๋วๆ เถียงคำไม่ตกฟากของใครบางคนก็ลอยตามสายลมมาอีก คราวนี้ชัดเจนจนเขาสามารถจับทิศได้ว่า ‘เสียง’ นั้นดังมาจากทางไหน
ซิสลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเผ่นหนีตามสัญชาตญาณ หากบทสนทนาที่บังเอิญได้ยินทำให้เขาต้องชะงักฝีเท้า เงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันรู้ตัว เท้าเจ้ากรรมก็พาร่างของเขาก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่ ณ ‘ที่เกิดเหตุ’ ด้านหลังคอกสัตว์เรียบร้อยแล้ว
หนุ่มน้อยแฝงกายอยู่หลังดงไม้รกเรื้อ เพ่งสายตาไปยังกำแพงศิลาทรุดโทรมตรงหน้าด้วยความสงสัย ใครๆ ก็รู้ว่าอีกฟากของแนวกำแพงหนาไม่มีแม้แต่ช่องลมระบายอากาศนี้ คือทางลงไปสู่คุกใต้ดิน ตามปกติที่หน้าประตูบานใหญ่ตรงปากทางเข้าออกจะมีทหารยามร่างยักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองนาย หากคราวนี้พิเศษหน่อย ด้วยมีเด็กสาวในชุดกระโปรงยาวสีชมพูอมส้มคาดเส้นริบบิ้นสีเงินตรงช่วงอก ยืนแยกเขี้ยวยิงฟันใส่นายทหารทั้งสองอยู่ด้วยท่าทางโกรธจัด ใบหน้าของนางแม้จะสะอาดสะอ้านผ่องใสผิดกว่าตอนเพิ่งแยกกับเขาที่วิหาร หากยังมีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียปรากฏให้เห็น ที่ประหลาดกว่านั้นคือ นางไม่ได้สวมรองเท้า!
คนที่เป็นถึงเจ้าหญิงน่ะหรือจะเผอเรอถึงขนาดทรงพระดำเนินพระบาทเปล่าออกมานอกพระตำหนัก แถมสถานที่ที่เสด็จยังเป็นคุกใต้ดินเสียอีก ...ยัยเจ้าหญิงม้าดีดกระโหลกรีบร้อนมาทำอะไรแถวนี้กันแน่
ซิสตั้งคำถามถามตนเองในใจ แล้วก็ได้รับคำตอบกลับมาอย่างรวดเร็วในรูปของเสียงแหลมปรี๊ดแผดสนั่น
“ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้ ข้าจะไปเยี่ยมพี่ชาย พวกเจ้ามีสิทธิอะไรมาห้ามข้า”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าหญิง พวกกระหม่อมแค่ทำตามพระเสาวนีย์ของพระนางแอนน์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านน้าน่ะหรือ ท่านน้าทรงเข้ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”
นายทหารทั้งสองมองหน้ากันเองด้วยท่าทางอึดอัดใจ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ไม่มีใครกล้าให้คำตอบ
“ว่าอย่างไรเล่า”
เด็กสาวเอียงคอจ้องหน้าทหารยามทีละคน เมื่อพวกเขายังคงเงียบ นางก็อาละวาดต่อ
“พวกเจ้าตอบไม่ได้ก็แปลว่าโกหกสินะ งั้นหลีกไป ข้าจะเข้าไปหาพี่ชาย”
นายทหารหนุ่มรีบยื่นหอกในมือออกมาขวางประตูไว้ทันที
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ได้โปรดอย่าทำให้พวกกระหม่อมลำบากใจเลย”
“งั้นพวกเจ้าก็อย่าขวางข้าสิ ข้าขอร้องละ ให้ข้าเข้าไปหาพี่ชายหน่อยเถอะนะ แค่แป๊บเดียวก็ได้ พอเห็นเขาแล้วข้าจะรีบกลับออกมาทันทีเลย ข้าให้สัญญา”
“ถึงพระองค์จะตรัสเช่นนั้นก็ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อ ‘ลูกอ้อน’ ใช้ไม่ได้ผล เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ทรงกลับมาใช้วิธีถนัด คือ ‘โวย’ ตามเดิม
“ทำไมล่ะ พี่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องห้ามกันถึงขนาดนี้ด้วย”
“เชษฐาของเจ้าหญิงคิดกบฏ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า ‘ผิด’ อีกหรือเพคะ”
ประโยคย้อนถามที่ดังแทรกขึ้น เป็นของสตรีสาวหน้าตาสะสวยที่ซิสไม่เคยเห็นมาก่อน นางก้าวเดินอย่างแช่มช้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเจ้าหญิงกาอิยาห์
เด็กสาวหันขวับไปมองผู้มาใหม่ตาวาว
“ไม่จริง พี่ชายหม่อมฉันไม่เคยคิดกบฏ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทรงตอบมาสิว่าตอนนี้องค์ราชาประทับอยู่ที่ไหน”
ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมบริเวณนั้นทันที...
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงเม้มพระโอษฐ์แน่น เบือนพระพักตร์ไปทางอื่น ในขณะที่มุมปากของผู้พูดขยับยกขึ้นคล้ายจะยิ้ม ซิสไม่ชอบรอยยิ้มของนางเอาเสียเลย มันดูไร้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่รอยยิ้มของมนุษย์
“เห็นมั้ยเพคะ เจ้าหญิงก็ทรงตอบไม่ได้ ถ้าเชษฐาของพระองค์ไม่ได้คิดลอบสังหารองค์ราชาจริง เหตุใดต้องปิดบังพวกเราเรื่องที่พระองค์ทรงหายตัวไปด้วย”
“หายตัวไป” คนฟังทวนคำพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“ทรงหมายถึง ‘องค์ราชา’ ที่ประชวรอยู่บนพระแท่นน่ะหรือเพคะ”
เจ้าหญิงลูเซียแย้มพระสรวลเยาะ “ก็จะมีพระองค์ไหนอีกเล่าเพคะ”
“ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“นั่นสินะเพคะ เป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อฝ่าบาททรงพระประชวรหนักจนแทบจะขยับพระวรกายเองไม่ได้แต่กลับทรงหายตัวไปจากพระแท่นบรรทม ทั้งที่เชษฐาของเจ้าหญิงก็เฝ้าอยู่ทั้งคน น่าแปลกใจใช่มั้ยล่ะเพคะ หรือทรงเห็นว่าไม่แปลก”
“หยุดนะ เลิกพูดจาใส่ความพี่ชายหม่อมฉันสักที”
“หม่อมฉันไม่ได้ใส่ความ ถ้าเจ้าหญิงไม่เชื่อจะไปทูลถามพระนางแอนน์ดูก็ได้ แต่ต้องระวังหน่อยนะเพคะ เพราะหม่อมฉันได้ยินมาว่าพระนางกริ้วมาก ถ้าหากภายในสิบวันนี้เจ้าชายกันนาร์ยังไม่ยอมเปิดเผยที่ประทับขององค์ราชาให้ทรงทราบ จะต้องถูกสภาผู้ครองแคว้นตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตแน่”
ผู้พูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงนั้น ก่อนจะเดินยิ้มหวานผ่านหน้าเด็กสาวไปยังประตูบานใหญ่ที่ทหารยามทั้งสองเปิดเอาไว้รอ
เจ้าหญิงกาอิยาห์ขยับจะก้าวตามเข้าไปบ้าง หากทหารทั้งสองรีบยื่นหอกแหลมออกมาขวางหน้าไว้เช่นเคย
“อะไรกัน ทีเจ้าหญิงลูเซียพวกเจ้ายังปล่อยให้นางผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ แล้วทำไมทีข้าต้องมาห้ามกันอยู่นั่นแหละ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ พระนางแอนน์ประทานอนุญาตไว้เฉพาะเจ้าหญิงลูเซียพระองค์เดียว เพราะต้องทรงนำอาหารมาส่งให้นักโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“อาหาร พี่ชายข้าต้องกินอาหารที่เจ้าหญิงลูเซียนำมาให้อย่างนั้นหรือ ปล่อยข้านะ ข้าจะเข้าไปข้างใน ปล่อยข้า” เจ้าหญิงกาอิยาห์ยิ่งโวยวายหนักขึ้น ทั้งดิ้นทั้งผลักเพื่อจะฝ่าด่านทหารยามร่างยักษ์เข้าไปในคุกให้ได้
ซิสทนดูอยู่นาน เห็นท่าเรื่องราวจะไปกันใหญ่ จึงตัดสินใจก้าวกะโผลกกะเพลกออกไปคว้าแขนคนเป็นเจ้าหญิงเอาไว้ แล้ว ‘ลาก’ นางออกจากบริเวณนั้นทันที เขาพาเด็กสาวเดินมาจนกระทั่งถึงลานโล่งด้านหลังคอกม้าจึงหยุด พอเอี้ยวตัวกลับไปมอง เสียงแจ๋วๆ ก็แหวเข้าใส่ดังลั่น
“ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะซิส อยู่ดีๆ ลากข้ามาที่นี่ทำไม”
ซิสมองหน้าเด็กสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนพยายามสะกดอารมณ์ ก่อนจะย้อนเสียงห้วน
“ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าหญิงกาอิยาห์”
“รู้สิ ก็จะเข้าไปช่วยพี่กันนาร์ไงล่ะ”
“ด้วยวิธีโง่ๆ อย่างพะบู๊กับทหารยามที่ตัวโตกว่าเจ้าตั้งสองเท่านั่นน่ะหรือ”
“เอ๊ะ...” คนเป็นเจ้าหญิงหน้าแดง อยากจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะถ้ามาคิดดูดีๆ มันก็เป็นวิธีที่โง่จริงอย่างที่เด็กหนุ่มว่านั่นแหละ
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไงเล่า พี่ชายข้าถูกขังทั้งคนนะซิส”
เด็กหนุ่มหวนนึกไปถึงวีรกรรมที่เพิ่งผ่านมาของคนตรงหน้า แล้วคำตอบก็หลุดออกจากปากโดยอัตโนมัติ
“ไม่ต้องทำอะไรเลย ข้าว่าเจ้าอยู่เฉยๆ แหละดีที่สุด”
“พูดอย่างนี้ได้ยังไง เจ้าไม่รู้หรือว่าในคุกใต้ดินน่ะทั้งมืดทั้งอับ แถมยังมีพวกผู้คุมใจโหดชอบทรมานนักโทษด้วยการเฆี่ยนตีอีก ข้าฝัน...เอ๊ย...เอาเป็นว่า ข้ายอมให้พี่ชายโดนอะไรแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
“ถึงไม่ยอม แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ เป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็กเถอะน่า เจ้าหญิง”
เจ้าหญิงกาอิยาห์สะบัดพระพักตร์พรืดบอกให้ว่ารู้คำพูดของอีกฝ่ายไม่ถูกพระอารมณ์อย่างแรง พระองค์ทรุดลงนั่งกับพื้นหญ้า ชักพระชานุขึ้นมากอดด้วยท่าทางกลุ้มใจหนัก ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่เข้าพระทัยว่าเหตุใดองค์ราชาซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็นตุ๊กตาที่ทรงใช้เวทมนตร์สร้างขึ้น จึงหายตัวไปจากพระแท่นบรรทมได้เอง หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน พี่ชายถึงต้องใช้ให้มหาดเล็กมาตามตัวพระองค์ไปพบกลางดึก
เมื่อมีคำถามใหม่ที่ต้องทรงหาคำตอบผุดขึ้นในสมอง คนเป็นเจ้าหญิงก็อดที่จะหันไปหา ‘ที่ปรึกษาปากเสีย’ คนเดิมไม่ได้
“ซิส”
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อขยับตัว มองรอยยิ้มหวานผิดปกติของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล
“อะไรอีกล่ะ”
“เราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย”
ไม่มีคำตอบ หากคนเป็นเจ้าหญิงยังสามารถตรัสต่อไปจนได้
“เจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่างสิ”
นั่นไง...
ซิสทำหน้าเมื่อย
ที่เขาคิดเอาไว้ ผิดซะที่ไหน...
ความมืดค่อยโรยตัวลงปกคลุมปราสาทลินเด็นอย่างแช่มช้า อัจกลับแก้วถูกจุดขึ้นทีละดวงจนสว่างไสวไปทั้งปราสาท แม้จะอยู่ในช่วงเวลาอันเคร่งเครียด หากวิสัยรักความสนุกก็ยังไม่จางหายไปจากสายเลือดของชาวกรีนแลนด์ เสียงบรรเลงดนตรีและเสียงหัวเราะรื่นเริงในงานเลี้ยงอาหารค่ำจึงดังลอดออกมาจากตำหนักโน้นบ้างตำหนักนี้บ้างให้ได้ยินประปราย จะเว้นก็แต่ตำหนักแสงจันทร์ของเจ้าหญิงกาอิยาห์ ที่วันนี้ออกจะเงียบเหงาผิดปกติด้วยเจ้าของตำหนักเสด็จเข้าห้องบรรทมปิดประตูเงียบตั้งแต่หัวค่ำ บรรดาข้าหลวงสาวๆ จึงพลอยถูก ‘คุณพี่เลี้ยงนอร่า’ กำชับให้เก็บตัวอยู่แต่ในห้องตามไปด้วย
ดึกสงัก... แสงไฟในตำหนักแสงจันทร์ค่อยทยอยดับลงทีละดวง เจ้าหญิงกาอิยาห์บรรทมรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเดินตรวจตรารอบตำหนักตามปกติของนอร่าเงียบหายไป จึงค่อยเสด็จ ‘ย่อง’ ไปที่หน้าต่าง ผลักบานกระจกหนาให้เปิดออกอย่างแผ่วเบา ใช้ผ้าปูเตียงที่บรรจงนำมาผูกต่อกับผ้าห่มจนได้เป็นเส้นยาวโยงเข้ากับเสาต้นที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะโหนพระองค์ลงสู่พื้นดินเบื้องล่างด้วยท่าทางราวกับนักกายกรรมมืออาชีพ
หลังจากทรงหยุดรออยู่สักพักจนแน่พระทัยแล้วว่าไม่มีใครเห็น เจ้าหญิงในชุดเสื้อทูนิกสีคล้ำ กางเกงรัดปลายขาสั้นแค่เข่าแบบเด็กรับใช้ ก็เสด็จมุ่งหน้าตรงไปยังสวนสมุนไพรของพวกนักบวชทันที
ในดงไม้ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวลาง มีเงาร่างของใครบางคนนั่งขดตัวซุ่มซ่อนเหมือนรออยู่นานแล้ว ทีแรกเจ้าหญิงกาอิยาห์เกือบจะไม่ทรงสังเกตเห็น เพราะเสื้อคลุมสีเข้มที่เขาสวมอยู่แทบจะทำให้ร่างผอมบางนั้นกลืนหายไปกับความมืดรอบด้าน หากพอเขาขยับตัว พระองค์จึงเพิ่งประจักษ์ว่าเงาตะคุ่มที่ทรงเข้าพระทัยว่าเป็นก้อนหินแต่แรก ที่แท้แล้วคือพระสหายคนใหม่นั่นเอง
ซิสปัดฮู้ดคลุมศีรษะออก เดินตัวตรงเข้าไปหาเด็กสาวสูงศักดิ์ด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ เขาอยู่ในเครื่องแบบทหารองครักษ์สีน้ำเงินเข้มหลวมโพลกที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงหามาให้สวม ดีที่เด็กหนุ่มตัวสูง หาไม่แล้วคงจะดูตลกมากกว่านี่
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรพระสหายแล้วต้องรีบเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นเพื่อซ่อนรอยแย้มสรวล หากคนตาไวยังแอบเห็นจนได้
“ยิ้มอะไร มีอะไรน่าขำนักหรือ” เด็กหนุ่มตวัดเสียง ใบหน้าที่บึ้งอยู่แล้วยิ่งบึ้งหนักขึ้นไปอีก เขาทำท่าเหมือนจะหันหลังเดินกลับเอาดื้อๆ หากอีกฝ่ายมือไวรีบคว้าต้นแขนเอาไว้เสียก่อน
“โฮ้ย อะไรกัน เป็นผู้ชายแท้ๆ ทำใจน้อยไปได้เจ้านี่ ข้ายิ้มซะที่ไหน ดูสิ ไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”
ผู้พูดพยายามทำพระพักตร์เฉยให้ดู ‘เนียน’ สุดชีวิต หากไม่ค่อยสำเร็จ ด้วยดวงเนตรทั้งคู่ยังคงไหวระริกฟ้องอยู่ชัดเจน
ซิสจ้องมองเด็กสาวตรงหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงดัง
“เอ๊ะ...” คนถูกจ้องขมวดคิ้ว ก้มลงมองสำรวจตัวเองอย่างระแวงขึ้นมาบ้าง
“หัวเราะทำไม มีอะไรน่าขำกันยะ”
“เปล๊า” ‘พระสหาย’ ยักไหล่ยียวน ตอบหน้าตาเฉย “ข้าหัวเราะที่ไหน เจ้าหูฝาดไปเองต่างหาก”
เด็กสาวแทบเต้นเมื่อรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายย้อนเข้าให้บ้าง
“ซิส เจ้านี่มัน... ก็ได้ ข้าขำเจ้า แล้วมีอะไรมั้ยล่ะ ก็เจ้าแต่งตัวแบบนี้แล้วมันดู...แปลกๆ นี่นา”
“เจ้าเป็นคนยัดเยียดชุดนี้มาให้ข้าใส่เองนะ มีสิทธิอะไรมาว่าข้าดูแปลกๆ”
“ก็ของมันแปลกข้าก็ต้องว่าแปลกสิ เอาน่า เจ้าเองก็หัวเราะเยาะข้าไปแล้วนี่ ถือว่าหายกัน” คนเป็นเจ้าหญิงรีบโมเมเปลี่ยนเรื่อง “ไหนล่ะของที่ข้าสั่ง ได้มาหรือเปล่า”
ซิสแหวกเสื้อคลุมหยิบถุงหนังที่ห้อยอยู่ตรงบั้นเอวออกมายื่นส่งให้เด็กสาว
“เอ้า เหล้าที่แรงที่สุดในตลาด ว่าแต่เจ้าจะเอาของพรรนี้ไปทำไม”
คนถูกถามอมยิ้ม
“ไม่ต้องถามน่า เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เองแหละ”
แม้จะอยู่ในความมืดหากเด็กหนุ่มก็ยังสังเกตเห็นว่าเจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงแอบเทอะไรบางอย่างลงไปในถุงหนังใบนั้นแล้วเขย่าให้เข้ากันก่อนจะส่งคืนให้เขา ซิสเปิดจุก ยกถุงใส่เหล้าขึ้นดมอย่างไม่ไว้ใจ หากไม่พบกลิ่นผิดปกติแม้แต่น้อย ...เหล้าก็ยังคงเป็นเหล้า ใสแจ๋วหอมหวนชวนดื่มอยู่นั่นเอง
“เจ้าใส่อะไรลงไปน่ะ” เด็กหนุ่มอดถามไม่ได้
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลแบบอมภูมิ ยักพระขนงแผล็บด้วยกิริยาที่หากพระพี่เลี้ยงมาเห็นเข้าเป็นต้องถูกถวายหยิกเนื้อเขียวแน่นอน
“สมุนไพรทำให้ง่วงไงล่ะ ข้าแอบจิ๊กของนอร่ามา นางชอบดื่มชาผสมสมุนไพรชนิดนี้ก่อนเข้านอนเป็นประจำ แต่เจ้าอย่าลองจิบเข้าไปเชียวนะซิส เดี๋ยวได้หลับหัวทิ่มข้าไม่รู้ด้วย”
“สมุนไพรของเจ้าฤทธิ์แรงขนาดนั้นเชียว”
“อันที่จริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ข้าแอบเติมส่วนผสมพิเศษลงไปด้วยนิดหน่อย เจ้าอย่ามัวสงสัยอยู่เลยน่า รีบไปได้แล้ว ซักมากเสียเวลาเปล่าๆ”
เจ้าหญิงทรงทรงตัดบทด้วยการพยักเพยิดให้เด็กหนุ่มออกเดินนำไปก่อน ส่วนพระองค์เสด็จตามหลังเขาไปติดๆ ซิสเลือกใช้เส้นทางด้านหลังคอกสัตว์ เพราะสามารถทะลุผ่านไปยังคุกใต้ดินได้โดยไม่มีใครเห็น
เมื่อมาหยุดอยู่หลังดงไม้ที่เขาแอบอยู่เมื่อตอนเช้า เด็กหนุ่มก็หันไปถามคนข้างกาย
“ทีนี้เอายังไงต่อ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงแหวกพุ่มไม้เบื้องพระพักตร์ออกเป็นช่อง ทอดพระเนตรไปยังประตูทางลงสู่คุกใต้ดิน ซึ่งเป็นสถานที่เดียวในบริเวณนี้ที่มีแสงไฟส่องสว่าง หน้าประตูบานใหญ่ยังคงมีทหารยามเฝ้าอยู่สองนายเช่นเดิม หากเป็นคนละชุดกับเมื่อเช้า ท่าทางพวกเขาคงจะเบื่อหน่ายน่าดูเพราะคนหนึ่งยืนทำท่าเหมือนจะหลับมิหลับแหล่ ในขณะที่อีกคนมัวแต่จ้องมองแมลงกลางคืนที่บินอยู่เหนือกระถางไฟราวกับจะศึกษาธรรมชาติของพวกมันให้ถ่องแท้
เจ้าหญิงแย้มพระสรวลอย่างพอพระทัย พระองค์ถอยกลับมาหาเด็กหนุ่มที่ยืนขมวดคิ้วคอยอยู่ ส่งสัญญาณให้เขาโน้มตัวลงมา แล้วทรงกระซิบแผนการให้ฟัง
ซิสส่ายหน้าทันทีเมื่อฟังจบ
“ไม่เอาละ ข้าว่า แค่พวกนั้นเห็นข้าก็ความแตกแล้ว”
“ไม่แตกหรอกน่า อย่างน้อยๆ ตอนนี้เจ้าก็ดูคล้ายทหารองครักษ์มากกว่าข้าแหละ”
“ก็แหงสิ” เด็กหนุ่มกระแทกเสียง “เจ้าอุตสาห์เตรียมเครื่องแบบชุดนี้มาให้ข้าใส่โดยเฉพาะเลยนี่ ข้าละนึกสงสัยแต่แรกแล้วเชียว”
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มพระสรวลเรี่ยๆ “อย่าบ่นนักเลยน่า มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้าจะไม่ช่วยข้าหรือไง เราเป็นเพื่อนกันนะซิส”
คน ‘เป็นเพื่อนกัน’ เบ้หน้า
“ใครที่ยอมหลวมตัวเป็นเพื่อนกับเจ้านี่ ชีวิตคงขาดทุนพิลึก”
แม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น หากเด็กหนุ่มก็ยอมก้าวออกไปสู่ลานกว้างหน้าคุกใต้ดินแต่โดยดี
ทหารยามร่างยักษ์หันขวับมามองชายหนุ่มหน้าอ่อนในเสื้อคลุมสีคล้ำที่เพิ่งก้าวเข้ามาสู่รัศมีของแสงไฟเป็นตาเดียวกัน หนึ่งในสองเอ่ยถามเสียงดัง
“นั่นใครน่ะ มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้”
ผู้มาใหม่ไม่ตอบ หากทำใจกล้าเดินเข้าไปหาคนถามโดยพยายามซ่อนใบหน้าให้อยู่ในเงามืดมากที่สุด เขาแสร้งทำเป็นเซเล็กน้อยเหมือนคนเมาขณะยกถุงหนังขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยชวนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ขึ้นจมูก
“คืนนี้อากาศเย็นนะพี่ชาย สนใจจะดื่มแก้หนาวกับข้าสักอึกมั้ยล่ะ”
ท่าทางระแวดระวังของทหารยามค่อยผ่อนคลายลงเมื่อคนชวนขยับใกล้เข้ามา ชายเสื้อคลุมสีคล้ำที่เขาสวมเผยอออกเล็กน้อย เผยให้เห็นเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินขลิบทองด้านในแวบหนึ่ง
“จะดีรื้อน้องชาย มันผิดกฎนะ”
“พวกท่านกลัวด้วยหรือ ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร ข้าไปหาเพื่อนดื่มที่อื่นก็ได้”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิน้องชาย ข้ายังไม่ได้พูดสักคำว่าจะไม่ดื่มกับเจ้า”
เด็กหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะส่งถุงหนังในมือให้ทหารยามผู้นั้น
เมื่อถุงใส่เหล้าถูกยื่นมาตรงหน้า นายทหารร่างยักษ์ก็เอื้อมมือมารับไปดื่มอั้กๆ ราวกับคนขาดน้ำ เขายกหลังมือขึ้นเช็ดปากด้วยท่าทางพออกพอใจแล้วส่งมันต่อให้ผู้เป็นเพื่อน
ซิสปล่อยให้ชายทั้งสองแบ่งกันดื่มเหล้าจนชุ่มปอดก่อนจะรับถุงหนังกลับคืนมา เด็กหนุ่มตั้งท่าจะผละออกจากบริเวณนั้น หากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงกรนสนั่นหวั่นไหวสองเสียงก็ดังประสานขึ้นเกือบจะพร้อมกัน พอเขาเหลียวกลับไปดูก็พบว่าทหารยามทั้งคู่ฟุบหลับไปเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มยกถุงใส่เหล้าในมือขึ้นมองด้วยสีหน้าขยาด ผูกมันไว้ข้างเอวตามเดิม ก่อนจะผิวปากส่งสัญญาณเรียกเจ้าของแผนการที่ซ่อนตัวอยู่หลังดงไม้
เจ้าหญิงกาอิยาห์ในคราบของเด็กรับใช้หนุ่มน้อยทรงโผล่พระพักตร์ยิ้มกริ่มออกมาแทบจะในทันที แสดงว่าคอยทอดพระเนตรเหตุการณ์อยู่ตลอด พระองค์สาวพระบาทเข้าไปหยุดชื่นชม ‘ผลงาน’ ของซิสด้วยท่าทางภูมิพระทัยราวกับทรงเป็นผู้ลงมือเสียเอง
“เห็นมั้ยล่ะ ข้าบอกเจ้าว่าสำเร็จก็ต้องสำเร็จสิ ความไม่แตกสักหน่อย พวกเขาไม่สงสัยเจ้าเลยด้วยซ้ำ”
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องพูดมากหรอก จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้าเถอะเจ้าหญิง” เด็กหนุ่มหน้าบูด
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มพระสรวลขณะก้มลงค้นตัวทหารยามเพื่อหากุญแจ เมื่อได้มาแล้วพระองค์ก็เสด็จตรงไปที่ประตู ทรงไขแม่กุญแจขนาดใหญ่เท่ากำปั้นที่คล้องอยู่กับสายโซ่ออก ผลักบานเหล็กแสนฝืดให้เปิดเป็นช่องพอสอดตัวเข้าไปได้ จากนั้นจึงหันมาพยักเพยิดเรียกพระสหาย
ฝ่ายถูกเรียกส่ายหัวดิก “อย่าดีกว่า เจ้าเข้าไปคนเดียวเถอะ ข้าจะดูต้นทางให้”
“ดูทำไม ทางมันไม่หายไปไหนหรอก เจ้าแหละลงมาเป็นเพื่อนกันหน่อย”
“เจ้ากลัวละสิท่า”
เท่านั้นเสียงใสๆ ก็แผดสนั่น
“ไม่ได้กลัวย่ะ แต่ข้าถือคติ...คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย เจ้าไม่เคยได้ยินหรือไง”
“ไม่เคย”
“งั้นก็เคยซะ”
ตรัสแล้ว ‘คนไม่กลัว’ ก็ตรงเข้าฉุดแขนอีกฝ่าย ลากให้ตามลงไปในคุกใต้ดินด้วยกันจนได้
คุกใต้ดินของปราสาทลินเด็นมีสภาพคล้ายกับที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรเห็นในพระสุบินแทบทุกอย่าง ต่างกันแต่ว่าของจริงดูเลวร้ายมากกว่ากันหลายเท่าตัว ทางเดินที่ทอดลึกลงไปสู่ความมืดเบื้องล่างทั้งชันทั้งลื่นด้วยมีคราบราและตะไคร่เกาะหนา คบไฟที่ปักเอาไว้ห่างๆ บนผนังให้แสงสว่างสลัวเลือนจนมองแทบจะไม่เห็นบันไดแต่ละขั้นที่ทอดรออยู่เบื้องหน้า หากที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือกลิ่น อากาศที่อับทึบยิ่งกักเก็บกลิ่นกายอันร้ายกาจของเหล่านักโทษเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เจ้าหญิงกาอิยาห์ต้องทรงใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แสดงอาการคลื่นเหียนให้ปรากฏออกมาต่อหน้าเด็กหนุ่ม ยิ่งเดินลึกลงไปเท่าไหร่กลิ่นเหม็นก็ยิ่งฉุนรุนแรงขึ้นเท่านั้น
สุดปลายบันไดคือลานแคบๆ ทอดไปสู่ทางเดินที่ยื่นยาวออกไปทางซ้ายและขวา ขนาบข้างทางเดินคือห้องขังที่เรียงรายติดต่อกันไป สังเกตได้จากประตูเหล็กทึบที่ส่วนบนเป็นช่องติดลูกกรงเหล็กขนาดแค่พอให้มองลอดเข้าไปภายในได้ ด้านล่างเจาะเป็นช่องติดบานพับสำหรับส่งน้ำและอาหาร ประตูแต่ละบานปิดล็อกด้วยโซ่คล้องแม่กุญแจดอกโต
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงมีพระวรกายที่เตี้ยเกินกว่าจะสามารถเขย่งปลายพระบาทมองหาพี่ชายผ่านช่องลูกกรงหน้าประตูได้ ซิสจึงต้องเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นเสียเอง ในห้องขังยิ่งมืดกว่าด้านนอก แสงคบไฟในมือเด็กหนุ่มแทบจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แทบทุกห้องว่างเปล่า มีเพียงห้องริมสุดเท่านั้นที่พอแสงคบวูบผ่าน ก็มีเสียงคล้ายคนลากโซ่ดังขึ้นพร้อมกับคำถามที่ตามมา
“นั่นใคร”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงจำเสียงห้าวๆ ของพี่ชายได้ก็วิ่งถลาเข้าไปเกาะขอบประตูทันที
“พี่กันนาร์ นี่น้องเองค่ะ น้องมาช่วยแล้ว รอเดี๋ยวนะคะ น้องจะเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้แหละ”
พระองค์ต้องทรงเสียเวลากับการค้นหาลูกกุญแจอยู่พักใหญ่ กว่าจะทำให้บานประตูหนาหนักตรงหน้าเลื่อนเปิดได้สำเร็จ ภาพของคนเป็นพี่ค่อยปรากฏแก่สายพระเนตร เขาดูซูบลงเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลา บัดนี้มีหนวดเคราขึ้นเขียวดูแปลกตา เส้นผมยาวสลวยสีเงินยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไร้มาดของหนุ่มสำอางโดยสิ้นเชิง ทว่า...ถ้าไม่นับขาข้างที่ถูกล่ามโซ่ติดกำแพง ชายหนุ่มก็ดูเป็นปกติดีทุกอย่าง ไม่มีบาดแผล ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
“เฮ้อ โล่งอกไปที”
เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะผวาร่างเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นพี่ ส่วนเด็กหนุ่มที่เดินตามมาข้างหลังถอยไปยืนสำรวจกำแพงอิฐอีกด้านหนึ่งอยู่เงียบๆ เปิดโอกาสให้สองพี่น้องสนทนากันตามสบาย
นักโทษหนุ่มขมวดคิ้ว ตั้งท่าจะถอยหนีตามสัญชาตญาณ หากพอเพ่งมองใบหน้าของเด็กรับใช้ที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามานั่งยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าเพียงชั่วครู่ เขาก็อุทานอย่างแปลกใจ
“กายย์”
“ใช่แล้วค่ะ น้องเอง”
“เจ้าเข้ามาได้ยังไง ทำไมแต่งตัวแบบนี้”
เด็กสาวก้มลงมองชุดที่ตนเองสวมแล้วเงยขึ้นยิ้มจนตาหยี “ก็ปลอมตัวน่ะสิคะ เหมาะกับน้องใช่มั้ยล่ะ”
ผู้เป็นพี่ได้แต่โคลงศีรษะ
“เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“อ้าว ก็มาช่วยพี่กันนาร์ไงคะ นอร่าบอกว่าพี่ส่งคนมาตามน้องเมื่อคืนนี้ แล้วทำไมอยู่ดีๆ พี่ถึงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏไปได้”
เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยหนักหน่วงก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดประทานน้องสาว พอเล่าจบก็ทรงตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“เจ้าหายไปไหนมากายย์ ทำไมปล่อยให้ข้ารอเก้อ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลแหยๆ ตอบเสียงค่อย
“น้อง..เอ่อ..ไปเดินเล่นที่วิหารจันทราแล้วบังเอิญสะดุดหินแผ่นหนึ่งเข้า ก็เลยเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ ดีแต่ได้ซิสช่วยเอาไว้ไม่งั้นคงไม่ได้มานั่งพูดกับพี่อย่างนี้หรอก”
“ซิสหรือ”
นักโทษหนุ่มตวัดสายตามองหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่อีกฟากของห้องขังตามอาการพยักเพยิดบอกของน้องสาว ทีแรกเขาจำอีกฝ่ายไม่ได้เพราะการแต่งกายที่ผิดแปลกไป หากเพียงครู่เดียวก็นึกออก ดวงหน้างามคมขมวดบึ้งทันที ความไม่ถูกชะตาแต่เดิมทำให้ชายหนุ่มไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยคำขอบคุณ หากจำต้องทำตามมารยาท เสียงพูดจึงห้วนสั้น
“ขอบใจ”
คนฟังเองก็ผงกศีรษะรับด้วยท่าทางเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายเช่นกัน
เจ้าชายกันนาร์ทอดพระเนตรอย่างไม่ชอบพระทัย...ไอ้เจ้าเด็กนี่ ท่าทางยโสน่าถีบพิลึก...
“ขอโทษนะคะ เป็นเพราะน้องแท้ๆ พี่กันนาร์ถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้”
เสียงอ่อนอ่อยที่ดังขึ้นทำให้คนเป็นพี่ต้องยอมละสายตาจากเด็กหนุ่ม หันมาปลอบน้องสาว
“ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกกายย์ อย่าคิดมากไปเลย”
“ไม่คิดได้ยังไงคะ ก็เจ้าหญิงลูเซียบอกน้องว่า ถ้าภายในสิบวันนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวขององค์ราชา พี่จะถูกประหาร”
ชายหนุ่มหัวเราะ
“ก็ยังมีเวลาอีกตั้งสิบวันไม่ใช่หรือ”
“พี่กันนาร์ นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ พี่จะถูกประหาร น้องยอมไม่ได้หรอก” เสียงใสๆ ชักเครือ
ผู้เป็นพี่ถอนใจเฮือก เอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ที่ก้มต่ำอย่างปลอบประโลม
“พี่ขอโทษ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกน่า เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าท่านน้าไม่ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครอง หากจะทรงตัดสินโทษกันจริงๆ ก็มีทางเดียวคือต้องเรียกประชุมสภาผู้ครองแคว้นนั่นละ”
“ก็ทรงเรียกแล้วน่ะสิคะ น้องถึงร้อนใจอยู่นี่ไง พี่กันนาร์หนีไปซ่อนตัวก่อนไม่ดีหรือ...”
“ไม่ดี” เสียงตอบที่สวนกลับมาทันควัน เข้มข้นจนเกือบจะกลายเป็นห้วน
“ถ้าข้าหนี ก็เท่ากับยอมรับข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏน่ะสิ”
“แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง พี่อาจจะถูกประหารก็ได้นะ”
“ไม่หรอก ถ้าฝ่าบาทเสด็จกลับมาทัน”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงจ้องมองพี่ชายราวกับว่าเขากลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว
“จะทันได้ยังไงกันคะ ตอนนี้พระองค์ประทับอยู่ที่ไหนพวกเราก็ยังไม่รู้เลย”
“เราไม่รู้ แต่มังกรจิ๋วของเจ้าน่าจะรู้ไม่ใช่หรือ”
คนฟังนิ่งงันไป แล้วประกายแห่งความหวังก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาคู่สวย
“จริงด้วย ทำไมน้องถึงไม่ทันนึกนะ น้องจะส่งวายไปบอกให้เมลเชิญเสด็จองค์ราชากลับมาเดี๋ยวนี้ละค่ะ”
“ไม่ใช่ที่นี่กายย์”
มือที่กำลังจะปลดต่างหูชะงักค้าง “ทำไมคะ”
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย คืนนี้เจ้ากลับไปก่อนดีกว่า”
“แล้วพี่...”
เจ้าชายกันนาร์ทรงโบกพระหัตถ์
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าอยู่ของข้าได้ ห่วงตัวเจ้าเองเถอะ จำไว้ว่าห้ามพูดเรื่องฝ่าบาทกับใครทั้งนั้น แล้วอย่าประมาทจนเผลอทำพิรุธให้ถูกจับได้เสียก่อนล่ะ รีบกลับไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงอิดออดจนผู้เป็นพี่ต้องสำทับเสียงดุเป็นครั้งที่สอง พระองค์จึงยอมขยับพระวรกาย เสด็จจากมาอย่างไม่เต็มพระทัยนัก
“เป็นไปได้ยังไงน่ะซิส เจ้าพบประตูทางออกแล้วหรือ” สุรเสียงใสแจ๋วตรัสซักทันควัน
เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าว่าเราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
“เอาสิ”
เจ้าหญิงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวตามหลังเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องที่เห็นเป็นเงาสลัวอยู่เบื้องหน้าโดยไม่รอช้า
ห้องนั้นสร้างด้วยศิลาสีขาวนวลสะอาดสะอ้าน ดูผิดไปจากสีเทาทึมที่เด็กทั้งสองเห็นจนเจนตาตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ผนังโดยรอบประดับเชิงเทียนทองเหลืองทรวดทรงอ่อนช้อยพร้อมแท่งเทียนสีขาวเป็นระยะ เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงร่ายเวทมนตร์บทเดิมอีกครั้งเพื่อจุดเทียนไข ทำให้ห้องทั้งห้องสว่างเรืองรองขึ้นทันที
“สวยจังเลย คิดไม่ถึงว่าใต้วิหารจะมีห้องที่สวยขนาดนี้ซ่อนอยู่” ทรงรำพึงอย่างชื่นชม
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือเจ้าหญิง ลองดูตรงนั้นซะก่อนเถอะ”
ซิสขัดคอ พลางชี้มือไปยังส่วนในสุดของห้องซึ่งเป็นที่ตั้งของหีบศิลาขนาดขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายหีบศพ มีรูปปั้นเทพธิดาสวมอาภรณ์คลุมหน้าแบบไว้ทุกข์ประดับเป็นฉากหลัง เมื่อทั้งคู่ก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นตัวอักษรจารึกอยู่ข้างหีบว่า...แอนเดเมียนผู้เป็นที่สนิทเสน่หาของจันทราเทวีทอดร่างอยู่ ณ ที่นี้...
เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์เสียด้วยความกลัว ทรงกระตุกแขนคนข้างกายพร้อมกับร้องเร่ง
“ไปเถอะซิส อย่าอยู่ตรงนี้เลย”
“จะรีบไปไหนเล่า” เด็กหนุ่มแกล้งยั่ว “เมื่อกี้เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าห้องนี้สวย ก็อยู่ชมความสวยอีกสักพักจะเป็นไร”
คนเป็นเจ้าหญิงพระพักตร์คว่ำ หากพระโอษฐ์ยังเถียงไม่ลดละ
“สวยก็ส่วนสวยสิ แต่นี่มันสุสานชัดๆ เจ้าโรคจิตหรือไงถึงชอบอยู่ใกล้ๆ คนตาย”
คนถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘โรคจิต’ หัวเราะเบาๆ แล้วส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ไปยังรูปสลักเทพธิดาที่ตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ด้านหลังโลงศพ ก่อนจะบอกสั้นๆ
“ข้ากำลังดูรูปปั้นพวกนั้นอยู่ต่างหาก”
รูปปั้นเทพธิดาคลุมหน้าด้วยผ้าบางพลิ้วอย่างคนไว้ทุกข์ที่ซิสกำลังเพ่งมองอยู่นั้น แกะสลักอย่างวิจิตรด้วยหินมุกดาสีขาวใสเนื้อละเอียดราวกับแก้ว เทพธิดาองค์แรกและองค์สุดท้ายอยู่ในอิริยาบถเหมือนกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนแท่นหิน มีพิณทองคำขนาดเล็กวางอยู่บนตัก มือทั้งสองข้างของพวกนางแตะอยู่ที่สายพิณคล้ายกำลังบรรเลงบทเพลงอันไพเราะขับกล่อมผู้ตายให้นิทราอย่างเป็นสุข เทพธิดาอีกสามองค์ที่เหลือยืนก้มหน้าอย่างเศร้าหมองอยู่ระหว่างกลาง ในมือของนางทั้งสามช้อนประคองวัตถุบางอย่างเอาไว้ด้วย
ประกายสีทองสุกปลั่งจากวัตถุในมือของเทพธิดาองค์ริมซ้ายกระทบสายพระเนตรของเจ้าหญิงกาอิยาห์เข้าอย่างจัง พระองค์จึงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบขึ้นมาดูอย่างสนพระทัย วัตถุชิ้นนั้นมีลักษณะเหมือนกล่องใส่อัญมณี หากภายในแทนที่จะมีเครื่องประดับล้ำค่าวางอยู่ กลับกลายเป็นเส้นโลหะขนาดบางเท่าเส้นผม ขดม้วนเป็นวง สีของมันงามประหลาดคือมีทั้งสีเงินและสีทองเหลือบซ้อนกันอยู่อย่างที่พระองค์ไม่เคยเห็นในโลหะชนิดไหนมาก่อน ด้วยความที่ไม่ทรงทราบว่ามันคืออะไร มีไว้เพื่อประโยชน์อันใด เจ้าหญิงจึงปิดฝากล่องแล้ววางคืนไว้ที่เดิม เทพธิดาองค์ถัดมาถือพานศิลารองรับด้วยผ้ากำมะหยี่ดำ ด้านบนคือลูกศรสีเงินหักครึ่ง ส่วนปลายเป็นสีคล้ำราวกับถูกอาบย้อมด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง
เจ้าหญิงกาอิยาห์ไล่สายพระเนตรไปยังเทพธิดาองค์สุดท้าย นึกแปลกพระทัยนิดหน่อยที่พบเพียงม้วนกระดาษเนื้อหนาแบบที่นิยมใช้กันตามวิหารในสมัยโบราณ วางอยู่ในกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ พระองค์เอื้อมพระหัตถ์หยิบมันออกมาคลี่ดู เนื้อกระดาษเก่าแก่เสียจนกลายเป็นสีเหลือง มีตัวอักษรภาษากรีนแลนด์เขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ยาวเหยียด ภาษานั้นเก่าเกินกว่าที่จะทรงเข้าพระทัยเนื้อความได้ตลอด หากก็พอจะอ่านได้ว่าบันทึกนั้นกล่าวถึงมหาสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งนักบวชผู้หนึ่งสามารถขับไล่กองทัพของศัตรูออกจากแผ่นดินกรีนแลนด์ด้วยการบรรเลงบทเพลงจากพิณประหลาดที่ใช้เส้นผมของจันทราเทวีขึงแทนสาย
เจ้าหญิงละสายพระเนตรจากบันทึกชั่วคราว หันไปจ้องมองโลงศิลาขนาดใหญ่อีกครั้ง อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ผู้ที่ทอดร่างอย่างสงบอยู่ตรงหน้านี้จะเป็นคนเดียวกันกับนักบวชหนุ่มในบันทึกหรือเปล่า
ขณะที่พระองค์กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตนเองอยู่นั้น หนุ่มน้อยข้างกายก็ส่งเสียงอุทานขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาทรงตกพระทัยจนเกือบจะเผลอร้องกรี๊ดออกมา พอตั้งสติได้ เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงแหวใส่เขาทันที
“เป็นอะไรของเจ้าอีกล่ะซิส อยู่ดีๆ ก็ร้องออกมาซะดังลั่น หัวใจข้าเกือบจะหยุดเต้น”
“เจ้าดูนั่นสิ”
แทนที่จะกล่าวคำขอโทษ ซิสกลับชี้ให้เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรไปที่เทพธิดาองค์สุดท้าย
“อะไร” เด็กสาวเหลียวมองตามปลายนิ้วของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเพราะไม่เห็นสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย
“ก็รูปปั้นธรรมดาๆ นี่นา ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก เจ้าอยากให้ข้าดูอะไรก็พูดมาชัดๆ สิ”
เด็กหนุ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างรำคาญ ก่อนจะเฉลย
“มงกุฎไงเล่า เจ้าไม่เห็นหรือ”
“ก็...เห็น”
“แล้วไม่นึกแปลกใจมั่งหรือไง ว่าทำไมถึงมีแต่เทพธิดาองค์นี้เท่านั้นที่สวมมงกุฎ”
“ก็...”
นั่นสินะ ในบรรดารูปปั้นเทพธิดาทั้งห้าองค์ มีแต่เทพธิดาองค์สุดท้ายนี่แหละที่สวมมงกุฎ มันต้องเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังความแตกต่างนี้เป็นแน่
เจ้าหญิงกาอิยาห์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด เพียงครู่เดียวก็หันไปออกคำสั่งกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เจ้าลองหมุนดูสิซิส ข้าเคยเห็นพี่กันนาร์หมุนมงกุฎดอกไม้บนเศียรของรูปปั้นเทพธิดาในวิหาร แล้วประตูที่กำแพงก็เปิดออก บางทีนี่ก็อาจจะเป็นอย่างเดียวกัน”
เด็กหนุ่มไม่ต้องรอให้คนเป็นเจ้าหญิงตรัสซ้ำ เขารีบเอื้อมมือไปที่มงกุฎบนเศียรของเทพธิดาองค์สุดท้าย ก่อนออกแรงหมุนไปทางขวาเบาๆ พอครบรอบที่สามก็มีเสียงครืดคราดดังมาจากมุมห้อง ก่อนที่เสาทรงกลมบริเวณนั้นจะพลิกเปิดออก เผยให้เห็นบันไดแคบๆ ที่ซ่อนอยู่ด้านใน!
“ไชโย”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ดีพระทัยจนแทบจะโผเข้าไปกอดคอเด็กเลี้ยงม้า พระองค์เสด็จตัวปลิวตรงไปยังบันไดที่เห็นทันที
ซิสเดินกระโผลกกระเผลกตามหลังเด็กสาวไปติดๆ ดวงตาคมกริบจ้องมองแผ่นโลหะแบนบางฉลุลายวิจิตรที่เรียงซ้อนกันเป็นวงสูงขึ้นไปด้านบนอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก สภาพของบันไดดูบอบบางง่อนแง่นจนน่ากลัวว่าจะพังครืนลงมาได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง ถ้าใครบังอาจก้าวเท้าเหยียบลงไปโดยไม่ระวัง
เด็กหนุ่มลองแหย่ขาข้างหนึ่งลงไปหยั่งน้ำหนักดูก่อน บันไดโลหะที่มีด้านหนึ่งตรึงแน่นกับแท่งศิลา อีกด้านร้อยด้วยโซ่เส้นบางสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังเกาะยึดกันดีอยู่ เขาจึงทิ้งน้ำหนักลงไปทั้งตัวแล้วกัดฟันเดินลากขานำหน้าคนเป็นเจ้าหญิงขึ้นไปก่อน ด้วยความที่บันไดทั้งชันทั้งแคบเด็กหนุ่มจึงต้องอาศัยผนังด้านข้างเป็นที่เกาะพยุงตัวไปตลอดทาง และต้องหยุดพักเป็นระยะกว่าจะสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่บนพื้นศิลาด้านบนสุดได้สำเร็จ
แสงสลัวที่แลเห็นผ่านช่องลมซึ่งอยู่ต่ำลงไปทำให้ซิสรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง อย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็น่าจะขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับพื้นดินแล้ว ทางออกคงจะอยู่อีกไม่ไกลนัก เขาก้าวต่อไปตามทางเดินแคบๆ ที่ทอดรออยู่เบื้องหน้าโดยไม่ลังเล เมื่อเดินมาจนสุดทางก็พบกำแพงหินขวางหน้าอยู่เช่นเดียวกับครั้งก่อน
ซิสพยายามมองหาร่องรอยของประตูที่อาจจะซ่อนอยู่บนกำแพง แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับแนวศิลาที่ยื่นล้ำออกมามากกว่าปกติเข้าจนได้ พอลองออกแรงผลักดู กำแพงส่วนนั้นก็พลิกกลับเข้าไปด้านใน ทำให้เด็กหนุ่มเกือบจะเสียหลักหัวทิ่มตามเข้าไปด้วย โชคดีที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ก้าวตามมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ทัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าซิส” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร”
ซิสปฏิเสธแล้วพาเด็กสาวก้าวผ่านช่องแคบๆ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเข้าไปภายใน ภาพที่เห็นทำให้เขาต้องหลุดปากถามออกมาด้วยความสงสัย
“ตกลงตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันแน่”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรไปรอบห้องตามสายตาของอีกฝ่าย เงาทะมึนของตู้หนังสือที่เห็นเรียงรายอยู่รอบด้าน ทำให้พระองค์ทรงเดาได้ไม่ยาก
“น่าจะเป็นห้องสมุด”
เจ้าหญิงสาวพระบาทผ่านโต๊ะยาวกลางห้อง ไปหยุดยืนทอดพระเนตรร่องรอยของคบไฟที่มีคนเคยจุดแล้วปักทิ้งไว้ตรงข้างประตู ก่อนจะหันกลับมาร้องบอกเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
“ที่นี่ต้องเป็นห้องสมุดในวิหารแน่ๆ ซิสเรารอดแล้ว”
หลังจากนั้นเจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ค้นหาตัวอักษรคำว่า ‘เปิด’ ที่สลักอยู่บนแผ่นประตูจนเจอ แล้วพาเด็กหนุ่มก้าวออกไปสู่อิสรภาพได้สำเร็จ
ทันทีที่เสด็จถึงตำหนักแสงจันทร์ หญิงกาอิยาห์ก็แทบจะทรงล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากของพระพี่เลี้ยง พระองค์เพิ่งจะเอาชีวิตรอดจากการถูกขังให้ตายทั้งเป็นอยู่ใต้วิหารโบราณมาหยกๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า มิน่าเล่านอร่าถึงไม่ดุเรื่องที่ทรงหายตัวไปทั้งคืนแม้แต่คำเดียว ซ้ำยังรีบกุลีกุจอพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดเตรียมซุปร้อนๆ ไว้ให้ดื่มอย่างเอาอกเอาใจผิดปกติ
“พี่ชายข้าน่ะหรือถูกจับ เป็นไปได้ยังไง” ทรงถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงบอกความงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกเอาจริงๆ
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบรายละเอียดนักเพคะ แต่ได้ยินเขาลือกันว่าทรงถูกจับด้วยข้อหากบฏเมื่อเช้าตรู่นี่เอง”
กบฏ!
คำๆ นั้นสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่ในพระเศียรของเจ้าหญิง ราวกับมีใครมาตะโกนใส่หน้าพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พื้นตำหนักใต้เบื้องพระบาทเริ่มโคลงเคลง ห้องทั้งห้องดูเหมือนจะหมุนคว้างได้เองอย่างน่าประหลาด สิ่งสุดท้ายที่ทรงรับรู้คือเสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกของเหล่านางกำนัลและพระพี่เลี้ยง จากนั้นแสงสว่างรอบพระวรกายก็พลันวูบดับลง
เจ้าหญิงกาอิยาห์พบว่าพระองค์กลับมายืนอยู่ในอุโมงค์มืดมิดใต้วิหารอีกครั้ง หากคราวนี้ไม่มีเด็กเลี้ยงม้าปากเสียคอยช่วยเหลืออย่างเคย ทำให้ต้องทรงคลำหาทางออกอยู่เป็นเวลานาน ทั้งเหนื่อยทั้งท้อจนเกือบจะถอดพระทัยยอมแพ้เสียหลายหน ทว่าในที่สุดพระองค์ก็พบประตูเหล็กสนิมเขรอะบานหนึ่งเข้าจนได้ แสงสว่างรำไรที่ทอลอดออกมาจากช่องลูกกรงเหนือบานประตู ช่วยให้พระทัยชื้นขึ้นนิดหน่อย บางที... นี่อาจจะเป็นทางออกที่ทรงค้นหาอยู่ก็ได้ เจ้าหญิงทรงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะเปิดประตูบานนั้น หากไม่สำเร็จ ดูเหมือนมันจะติดล็อกจากด้านใน แถมบางคราวยังมีเสียงคล้ายผู้ชายบ่นอะไรงึมงำฟังไม่ได้สรรพ ดังลอดออกมาให้ได้ยินอีกด้วย ด้วยความสงสัยจึงทรงเขย่งปลายพระบาท ทอดพระเนตรผ่านเข้าไปทางช่องลูกกรงเหนือพระเศียร
ภาพที่ปรากฏแก่สายพระเนตรคือห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ หน้าตาไม่ต่างอะไรกับห้องที่ใช้คุมขังนักโทษโดยทั่วไปนัก ในห้องมีชายผู้หนึ่งถูกล่ามแขนขาติดกับกำแพงหินด้วยโซ่เส้นโต ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ผิวเนื้อบริเวณแผ่นอกและช่วงท้องแหลกยับไปด้วยรอยแส้ เลือดสดๆ ยังคงไหลรินจากปากแผล ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วจนพระองค์อยากจะเบือนพระพักตร์หนีเป็นกำลัง หากความใคร่รู้บังคับให้ทรงเพ่งมองภาพนั้นต่อไป
เสียงแหบห้าวของผู้ชายอีกคนที่ทรงเห็นแต่เพียงด้านหลัง ตั้งคำถามอะไรบางอย่างดังอยู่แว่วๆ แต่ชายผู้เป็นนักโทษกลับนิ่งเฉยไม่ยอมตอบ น้ำทั้งถังจึงถูกสาดโครมลงไปบนร่างกายอันบอบช้ำที่ห้อยอยู่กับแผ่นผนังเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่าๆ เจ้าของร่างสะดุ้งเฮือก กล้ามเนื้อแทบทุกมัดไหวระริกด้วยความเจ็บปวด
แม้เจ้าหญิงกาอิยาห์จะเคยได้ยินมาบ้างว่ามีการทรมานนักโทษด้วยวิธีเฆี่ยนจนเนื้อแตกแล้วราดซ้ำด้วยน้ำเกลือ หากไม่คิดว่าจะทรงมีโอกาสได้เห็นของจริงกับตาตัวเองเช่นครั้งนี้ มันช่างเป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน ทว่าคนเป็นนักโทษกลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ
พระองค์นึกนิยมความใจแข็งของเขา จึงพยายามเพ่งสายพระเนตรฝ่าความมืด เพื่อจะมองให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังเส้นผมยาวรุงรังจับเป็นแผ่นหนาเพราะคราบโลหิตให้ถนัด หากเมื่อนักโทษหนุ่มเงยหน้าขึ้น คนเป็นเจ้าหญิงกลับเป็นฝ่ายต้องใช้พระมุฐิ(กำปั้น)อุดพระโอษฐ์เอาไว้ ไม่ให้เสียงกรีดร้องโหยหวนดังเล็ดลอดออกมา น้ำพระเนตรอุ่นจัดพรั่งพรูลงอาบพระพักตร์จนไม่อาจมองเห็นภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป
เด็กสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวถอนสะอื้น ผวาลุกขึ้นนั่งโดยแรงจนแพรผืนบางที่คลี่คลุมอยู่เหนือร่างเลื่อนหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น หยาดน้ำตาเม็ดกลมใสกลิ้งอยู่บนนวลแก้มขาวเผือด ขณะที่เสียงร้องเรียกชื่อพี่ชายยังคงค้างอยู่แทบริมฝีปาก นางกระพริบตาถี่ๆ เหลียวมองรอบห้องโถงกว้างที่สว่างไสวไปด้วยแสงแห่งวันอย่างงุนงงในนาทีแรก แล้วแววรับรู้ก็ค่อยกลับคืนมาสู่ดวงตาสีม่วงทีละน้อย
ฝัน...
นางคงหมดสติแล้วฝันไปนั่นเอง เด็กสาวปาดน้ำตาทิ้งพลางลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า
“ข้าจะไปหาพี่กันนาร์”
“ไม่ได้นะเพคะ”
คนเป็นพี่เลี้ยงแทบจะทิ้งถ้วยยาในมือ ปราดเข้ามาขวางหน้านายสาวเอาไว้ทันที
“เมื่อวานก็ทรงหายไปจนกระทั่งเช้า นี่เพิ่งจะฟื้นจากประชวรพระวาโยแหม็บๆ จะเสด็จไปตะลอนข้างนอกอีกแล้ว หม่อมฉันไม่ยอมเด็ดขาด องค์หญิงทรงทราบบ้างหรือเปล่าเพคะว่าสถานการณ์ในลินเด็นตอนนี้เป็นอย่างไร ขนาดมหาดเล็กที่พระเชษฐาส่งมาเชิญเสด็จพระองค์ไปเฝ้าเมื่อคืน ยังไม่กล้ากลับตำหนักหลวงเลย แล้วองค์หญิงจะเสด็จออกไปทำไมเพคะ อันตรายเปล่าๆ หม่อมฉันว่า...”
“เดี๋ยวก่อนนอร่า”
เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามพระพี่เลี้ยงก่อนที่จะต้องฟังนางร่ายยาวไปมากกว่านั้น พระองค์ตรัสถามเสียงแหลม
“เจ้าว่าพี่ข้าให้คนมาตามอย่างนั้นหรือ”
นอร่ากะพริบตาปริบๆ มองอาการ ‘แตกตื่น’ ของนายสาวอย่างไม่เข้าใจ
“เพคะ ทรงใช้ให้มหาดเล็กประจำห้องบรรทมขององค์ราชามาทูลเชิญเสด็จองค์หญิง แต่หม่อมฉันเห็นว่าดึกมากแล้วก็เลยไล่เขากลับไป เขาก็ดื๊อดื้อนะเพคะ ยังเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่แถวหน้าตำหนักจนกระทั่งเช้า เพิ่งจะยอมล่าถอยกลับไปตอนที่รู้ข่าวเจ้าชายกันนาร์ทรงถูกจับนี่เอง”
“แล้วเจ้าได้บอกเขาหรือเปล่าว่าข้าไม่อยู่” เจ้าหญิงกาอิยาห์แทบจะทรงเขย่าร่างถามพระพี่เลี้ยง
“เปล่าเพคะ เรื่องไม่งามแบบนั้นหม่อมฉันจะกล้าปริปากได้อย่างไร ...จริงสิหม่อมฉันเกือบลืม เมื่อวานนี้พระองค์เสด็...”
พระพี่เลี้ยงยังตั้งคำถามไม่ทันจบประโยคก็ต้องอ้าปากค้างอีกรอบ เพราะผู้เป็นนายสาวผลุนผลันวิ่งออกจากห้องไปเสียแล้ว
แสงแดดร้อนแรงยามบ่ายทอลอดกลุ่มใบไม้รูปห้าแฉกลงมาเป็นริ้ว ทำให้หนุ่มน้อยที่หลบมานอนอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลใหญ่ต้องเบือนหน้าหนี เขาพลิกกายตะแคงข้าง ซุกศีรษะลงกับต้นแขนหวังจะหลับต่อให้สบาย หากเพียงครู่เดียวก็มีอาการคล้ายสะดุ้ง ลุกพรวดพราดขึ้นนั่งราวกับถูกผึ้งต่อย เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบกายล่อกแล่กเหมือนจะหาอะไรสักอย่าง เมื่อไม่พบก็ทำสีหน้าโล่งอก หากเจ้าตัวยังผ่อนลมหายใจออกมาไม่ทันหมดเฮือก เสียงแจ๋วๆ เถียงคำไม่ตกฟากของใครบางคนก็ลอยตามสายลมมาอีก คราวนี้ชัดเจนจนเขาสามารถจับทิศได้ว่า ‘เสียง’ นั้นดังมาจากทางไหน
ซิสลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเผ่นหนีตามสัญชาตญาณ หากบทสนทนาที่บังเอิญได้ยินทำให้เขาต้องชะงักฝีเท้า เงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันรู้ตัว เท้าเจ้ากรรมก็พาร่างของเขาก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่ ณ ‘ที่เกิดเหตุ’ ด้านหลังคอกสัตว์เรียบร้อยแล้ว
หนุ่มน้อยแฝงกายอยู่หลังดงไม้รกเรื้อ เพ่งสายตาไปยังกำแพงศิลาทรุดโทรมตรงหน้าด้วยความสงสัย ใครๆ ก็รู้ว่าอีกฟากของแนวกำแพงหนาไม่มีแม้แต่ช่องลมระบายอากาศนี้ คือทางลงไปสู่คุกใต้ดิน ตามปกติที่หน้าประตูบานใหญ่ตรงปากทางเข้าออกจะมีทหารยามร่างยักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองนาย หากคราวนี้พิเศษหน่อย ด้วยมีเด็กสาวในชุดกระโปรงยาวสีชมพูอมส้มคาดเส้นริบบิ้นสีเงินตรงช่วงอก ยืนแยกเขี้ยวยิงฟันใส่นายทหารทั้งสองอยู่ด้วยท่าทางโกรธจัด ใบหน้าของนางแม้จะสะอาดสะอ้านผ่องใสผิดกว่าตอนเพิ่งแยกกับเขาที่วิหาร หากยังมีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียปรากฏให้เห็น ที่ประหลาดกว่านั้นคือ นางไม่ได้สวมรองเท้า!
คนที่เป็นถึงเจ้าหญิงน่ะหรือจะเผอเรอถึงขนาดทรงพระดำเนินพระบาทเปล่าออกมานอกพระตำหนัก แถมสถานที่ที่เสด็จยังเป็นคุกใต้ดินเสียอีก ...ยัยเจ้าหญิงม้าดีดกระโหลกรีบร้อนมาทำอะไรแถวนี้กันแน่
ซิสตั้งคำถามถามตนเองในใจ แล้วก็ได้รับคำตอบกลับมาอย่างรวดเร็วในรูปของเสียงแหลมปรี๊ดแผดสนั่น
“ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้ ข้าจะไปเยี่ยมพี่ชาย พวกเจ้ามีสิทธิอะไรมาห้ามข้า”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าหญิง พวกกระหม่อมแค่ทำตามพระเสาวนีย์ของพระนางแอนน์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านน้าน่ะหรือ ท่านน้าทรงเข้ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”
นายทหารทั้งสองมองหน้ากันเองด้วยท่าทางอึดอัดใจ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ไม่มีใครกล้าให้คำตอบ
“ว่าอย่างไรเล่า”
เด็กสาวเอียงคอจ้องหน้าทหารยามทีละคน เมื่อพวกเขายังคงเงียบ นางก็อาละวาดต่อ
“พวกเจ้าตอบไม่ได้ก็แปลว่าโกหกสินะ งั้นหลีกไป ข้าจะเข้าไปหาพี่ชาย”
นายทหารหนุ่มรีบยื่นหอกในมือออกมาขวางประตูไว้ทันที
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ได้โปรดอย่าทำให้พวกกระหม่อมลำบากใจเลย”
“งั้นพวกเจ้าก็อย่าขวางข้าสิ ข้าขอร้องละ ให้ข้าเข้าไปหาพี่ชายหน่อยเถอะนะ แค่แป๊บเดียวก็ได้ พอเห็นเขาแล้วข้าจะรีบกลับออกมาทันทีเลย ข้าให้สัญญา”
“ถึงพระองค์จะตรัสเช่นนั้นก็ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อ ‘ลูกอ้อน’ ใช้ไม่ได้ผล เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ทรงกลับมาใช้วิธีถนัด คือ ‘โวย’ ตามเดิม
“ทำไมล่ะ พี่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องห้ามกันถึงขนาดนี้ด้วย”
“เชษฐาของเจ้าหญิงคิดกบฏ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า ‘ผิด’ อีกหรือเพคะ”
ประโยคย้อนถามที่ดังแทรกขึ้น เป็นของสตรีสาวหน้าตาสะสวยที่ซิสไม่เคยเห็นมาก่อน นางก้าวเดินอย่างแช่มช้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเจ้าหญิงกาอิยาห์
เด็กสาวหันขวับไปมองผู้มาใหม่ตาวาว
“ไม่จริง พี่ชายหม่อมฉันไม่เคยคิดกบฏ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทรงตอบมาสิว่าตอนนี้องค์ราชาประทับอยู่ที่ไหน”
ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมบริเวณนั้นทันที...
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงเม้มพระโอษฐ์แน่น เบือนพระพักตร์ไปทางอื่น ในขณะที่มุมปากของผู้พูดขยับยกขึ้นคล้ายจะยิ้ม ซิสไม่ชอบรอยยิ้มของนางเอาเสียเลย มันดูไร้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่รอยยิ้มของมนุษย์
“เห็นมั้ยเพคะ เจ้าหญิงก็ทรงตอบไม่ได้ ถ้าเชษฐาของพระองค์ไม่ได้คิดลอบสังหารองค์ราชาจริง เหตุใดต้องปิดบังพวกเราเรื่องที่พระองค์ทรงหายตัวไปด้วย”
“หายตัวไป” คนฟังทวนคำพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“ทรงหมายถึง ‘องค์ราชา’ ที่ประชวรอยู่บนพระแท่นน่ะหรือเพคะ”
เจ้าหญิงลูเซียแย้มพระสรวลเยาะ “ก็จะมีพระองค์ไหนอีกเล่าเพคะ”
“ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“นั่นสินะเพคะ เป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อฝ่าบาททรงพระประชวรหนักจนแทบจะขยับพระวรกายเองไม่ได้แต่กลับทรงหายตัวไปจากพระแท่นบรรทม ทั้งที่เชษฐาของเจ้าหญิงก็เฝ้าอยู่ทั้งคน น่าแปลกใจใช่มั้ยล่ะเพคะ หรือทรงเห็นว่าไม่แปลก”
“หยุดนะ เลิกพูดจาใส่ความพี่ชายหม่อมฉันสักที”
“หม่อมฉันไม่ได้ใส่ความ ถ้าเจ้าหญิงไม่เชื่อจะไปทูลถามพระนางแอนน์ดูก็ได้ แต่ต้องระวังหน่อยนะเพคะ เพราะหม่อมฉันได้ยินมาว่าพระนางกริ้วมาก ถ้าหากภายในสิบวันนี้เจ้าชายกันนาร์ยังไม่ยอมเปิดเผยที่ประทับขององค์ราชาให้ทรงทราบ จะต้องถูกสภาผู้ครองแคว้นตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตแน่”
ผู้พูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงนั้น ก่อนจะเดินยิ้มหวานผ่านหน้าเด็กสาวไปยังประตูบานใหญ่ที่ทหารยามทั้งสองเปิดเอาไว้รอ
เจ้าหญิงกาอิยาห์ขยับจะก้าวตามเข้าไปบ้าง หากทหารทั้งสองรีบยื่นหอกแหลมออกมาขวางหน้าไว้เช่นเคย
“อะไรกัน ทีเจ้าหญิงลูเซียพวกเจ้ายังปล่อยให้นางผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ แล้วทำไมทีข้าต้องมาห้ามกันอยู่นั่นแหละ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ พระนางแอนน์ประทานอนุญาตไว้เฉพาะเจ้าหญิงลูเซียพระองค์เดียว เพราะต้องทรงนำอาหารมาส่งให้นักโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“อาหาร พี่ชายข้าต้องกินอาหารที่เจ้าหญิงลูเซียนำมาให้อย่างนั้นหรือ ปล่อยข้านะ ข้าจะเข้าไปข้างใน ปล่อยข้า” เจ้าหญิงกาอิยาห์ยิ่งโวยวายหนักขึ้น ทั้งดิ้นทั้งผลักเพื่อจะฝ่าด่านทหารยามร่างยักษ์เข้าไปในคุกให้ได้
ซิสทนดูอยู่นาน เห็นท่าเรื่องราวจะไปกันใหญ่ จึงตัดสินใจก้าวกะโผลกกะเพลกออกไปคว้าแขนคนเป็นเจ้าหญิงเอาไว้ แล้ว ‘ลาก’ นางออกจากบริเวณนั้นทันที เขาพาเด็กสาวเดินมาจนกระทั่งถึงลานโล่งด้านหลังคอกม้าจึงหยุด พอเอี้ยวตัวกลับไปมอง เสียงแจ๋วๆ ก็แหวเข้าใส่ดังลั่น
“ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะซิส อยู่ดีๆ ลากข้ามาที่นี่ทำไม”
ซิสมองหน้าเด็กสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนพยายามสะกดอารมณ์ ก่อนจะย้อนเสียงห้วน
“ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าหญิงกาอิยาห์”
“รู้สิ ก็จะเข้าไปช่วยพี่กันนาร์ไงล่ะ”
“ด้วยวิธีโง่ๆ อย่างพะบู๊กับทหารยามที่ตัวโตกว่าเจ้าตั้งสองเท่านั่นน่ะหรือ”
“เอ๊ะ...” คนเป็นเจ้าหญิงหน้าแดง อยากจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะถ้ามาคิดดูดีๆ มันก็เป็นวิธีที่โง่จริงอย่างที่เด็กหนุ่มว่านั่นแหละ
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไงเล่า พี่ชายข้าถูกขังทั้งคนนะซิส”
เด็กหนุ่มหวนนึกไปถึงวีรกรรมที่เพิ่งผ่านมาของคนตรงหน้า แล้วคำตอบก็หลุดออกจากปากโดยอัตโนมัติ
“ไม่ต้องทำอะไรเลย ข้าว่าเจ้าอยู่เฉยๆ แหละดีที่สุด”
“พูดอย่างนี้ได้ยังไง เจ้าไม่รู้หรือว่าในคุกใต้ดินน่ะทั้งมืดทั้งอับ แถมยังมีพวกผู้คุมใจโหดชอบทรมานนักโทษด้วยการเฆี่ยนตีอีก ข้าฝัน...เอ๊ย...เอาเป็นว่า ข้ายอมให้พี่ชายโดนอะไรแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
“ถึงไม่ยอม แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ เป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็กเถอะน่า เจ้าหญิง”
เจ้าหญิงกาอิยาห์สะบัดพระพักตร์พรืดบอกให้ว่ารู้คำพูดของอีกฝ่ายไม่ถูกพระอารมณ์อย่างแรง พระองค์ทรุดลงนั่งกับพื้นหญ้า ชักพระชานุขึ้นมากอดด้วยท่าทางกลุ้มใจหนัก ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่เข้าพระทัยว่าเหตุใดองค์ราชาซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็นตุ๊กตาที่ทรงใช้เวทมนตร์สร้างขึ้น จึงหายตัวไปจากพระแท่นบรรทมได้เอง หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน พี่ชายถึงต้องใช้ให้มหาดเล็กมาตามตัวพระองค์ไปพบกลางดึก
เมื่อมีคำถามใหม่ที่ต้องทรงหาคำตอบผุดขึ้นในสมอง คนเป็นเจ้าหญิงก็อดที่จะหันไปหา ‘ที่ปรึกษาปากเสีย’ คนเดิมไม่ได้
“ซิส”
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อขยับตัว มองรอยยิ้มหวานผิดปกติของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล
“อะไรอีกล่ะ”
“เราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย”
ไม่มีคำตอบ หากคนเป็นเจ้าหญิงยังสามารถตรัสต่อไปจนได้
“เจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่างสิ”
นั่นไง...
ซิสทำหน้าเมื่อย
ที่เขาคิดเอาไว้ ผิดซะที่ไหน...
ความมืดค่อยโรยตัวลงปกคลุมปราสาทลินเด็นอย่างแช่มช้า อัจกลับแก้วถูกจุดขึ้นทีละดวงจนสว่างไสวไปทั้งปราสาท แม้จะอยู่ในช่วงเวลาอันเคร่งเครียด หากวิสัยรักความสนุกก็ยังไม่จางหายไปจากสายเลือดของชาวกรีนแลนด์ เสียงบรรเลงดนตรีและเสียงหัวเราะรื่นเริงในงานเลี้ยงอาหารค่ำจึงดังลอดออกมาจากตำหนักโน้นบ้างตำหนักนี้บ้างให้ได้ยินประปราย จะเว้นก็แต่ตำหนักแสงจันทร์ของเจ้าหญิงกาอิยาห์ ที่วันนี้ออกจะเงียบเหงาผิดปกติด้วยเจ้าของตำหนักเสด็จเข้าห้องบรรทมปิดประตูเงียบตั้งแต่หัวค่ำ บรรดาข้าหลวงสาวๆ จึงพลอยถูก ‘คุณพี่เลี้ยงนอร่า’ กำชับให้เก็บตัวอยู่แต่ในห้องตามไปด้วย
ดึกสงัก... แสงไฟในตำหนักแสงจันทร์ค่อยทยอยดับลงทีละดวง เจ้าหญิงกาอิยาห์บรรทมรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเดินตรวจตรารอบตำหนักตามปกติของนอร่าเงียบหายไป จึงค่อยเสด็จ ‘ย่อง’ ไปที่หน้าต่าง ผลักบานกระจกหนาให้เปิดออกอย่างแผ่วเบา ใช้ผ้าปูเตียงที่บรรจงนำมาผูกต่อกับผ้าห่มจนได้เป็นเส้นยาวโยงเข้ากับเสาต้นที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะโหนพระองค์ลงสู่พื้นดินเบื้องล่างด้วยท่าทางราวกับนักกายกรรมมืออาชีพ
หลังจากทรงหยุดรออยู่สักพักจนแน่พระทัยแล้วว่าไม่มีใครเห็น เจ้าหญิงในชุดเสื้อทูนิกสีคล้ำ กางเกงรัดปลายขาสั้นแค่เข่าแบบเด็กรับใช้ ก็เสด็จมุ่งหน้าตรงไปยังสวนสมุนไพรของพวกนักบวชทันที
ในดงไม้ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวลาง มีเงาร่างของใครบางคนนั่งขดตัวซุ่มซ่อนเหมือนรออยู่นานแล้ว ทีแรกเจ้าหญิงกาอิยาห์เกือบจะไม่ทรงสังเกตเห็น เพราะเสื้อคลุมสีเข้มที่เขาสวมอยู่แทบจะทำให้ร่างผอมบางนั้นกลืนหายไปกับความมืดรอบด้าน หากพอเขาขยับตัว พระองค์จึงเพิ่งประจักษ์ว่าเงาตะคุ่มที่ทรงเข้าพระทัยว่าเป็นก้อนหินแต่แรก ที่แท้แล้วคือพระสหายคนใหม่นั่นเอง
ซิสปัดฮู้ดคลุมศีรษะออก เดินตัวตรงเข้าไปหาเด็กสาวสูงศักดิ์ด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ เขาอยู่ในเครื่องแบบทหารองครักษ์สีน้ำเงินเข้มหลวมโพลกที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงหามาให้สวม ดีที่เด็กหนุ่มตัวสูง หาไม่แล้วคงจะดูตลกมากกว่านี่
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรพระสหายแล้วต้องรีบเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นเพื่อซ่อนรอยแย้มสรวล หากคนตาไวยังแอบเห็นจนได้
“ยิ้มอะไร มีอะไรน่าขำนักหรือ” เด็กหนุ่มตวัดเสียง ใบหน้าที่บึ้งอยู่แล้วยิ่งบึ้งหนักขึ้นไปอีก เขาทำท่าเหมือนจะหันหลังเดินกลับเอาดื้อๆ หากอีกฝ่ายมือไวรีบคว้าต้นแขนเอาไว้เสียก่อน
“โฮ้ย อะไรกัน เป็นผู้ชายแท้ๆ ทำใจน้อยไปได้เจ้านี่ ข้ายิ้มซะที่ไหน ดูสิ ไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”
ผู้พูดพยายามทำพระพักตร์เฉยให้ดู ‘เนียน’ สุดชีวิต หากไม่ค่อยสำเร็จ ด้วยดวงเนตรทั้งคู่ยังคงไหวระริกฟ้องอยู่ชัดเจน
ซิสจ้องมองเด็กสาวตรงหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงดัง
“เอ๊ะ...” คนถูกจ้องขมวดคิ้ว ก้มลงมองสำรวจตัวเองอย่างระแวงขึ้นมาบ้าง
“หัวเราะทำไม มีอะไรน่าขำกันยะ”
“เปล๊า” ‘พระสหาย’ ยักไหล่ยียวน ตอบหน้าตาเฉย “ข้าหัวเราะที่ไหน เจ้าหูฝาดไปเองต่างหาก”
เด็กสาวแทบเต้นเมื่อรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายย้อนเข้าให้บ้าง
“ซิส เจ้านี่มัน... ก็ได้ ข้าขำเจ้า แล้วมีอะไรมั้ยล่ะ ก็เจ้าแต่งตัวแบบนี้แล้วมันดู...แปลกๆ นี่นา”
“เจ้าเป็นคนยัดเยียดชุดนี้มาให้ข้าใส่เองนะ มีสิทธิอะไรมาว่าข้าดูแปลกๆ”
“ก็ของมันแปลกข้าก็ต้องว่าแปลกสิ เอาน่า เจ้าเองก็หัวเราะเยาะข้าไปแล้วนี่ ถือว่าหายกัน” คนเป็นเจ้าหญิงรีบโมเมเปลี่ยนเรื่อง “ไหนล่ะของที่ข้าสั่ง ได้มาหรือเปล่า”
ซิสแหวกเสื้อคลุมหยิบถุงหนังที่ห้อยอยู่ตรงบั้นเอวออกมายื่นส่งให้เด็กสาว
“เอ้า เหล้าที่แรงที่สุดในตลาด ว่าแต่เจ้าจะเอาของพรรนี้ไปทำไม”
คนถูกถามอมยิ้ม
“ไม่ต้องถามน่า เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เองแหละ”
แม้จะอยู่ในความมืดหากเด็กหนุ่มก็ยังสังเกตเห็นว่าเจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงแอบเทอะไรบางอย่างลงไปในถุงหนังใบนั้นแล้วเขย่าให้เข้ากันก่อนจะส่งคืนให้เขา ซิสเปิดจุก ยกถุงใส่เหล้าขึ้นดมอย่างไม่ไว้ใจ หากไม่พบกลิ่นผิดปกติแม้แต่น้อย ...เหล้าก็ยังคงเป็นเหล้า ใสแจ๋วหอมหวนชวนดื่มอยู่นั่นเอง
“เจ้าใส่อะไรลงไปน่ะ” เด็กหนุ่มอดถามไม่ได้
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลแบบอมภูมิ ยักพระขนงแผล็บด้วยกิริยาที่หากพระพี่เลี้ยงมาเห็นเข้าเป็นต้องถูกถวายหยิกเนื้อเขียวแน่นอน
“สมุนไพรทำให้ง่วงไงล่ะ ข้าแอบจิ๊กของนอร่ามา นางชอบดื่มชาผสมสมุนไพรชนิดนี้ก่อนเข้านอนเป็นประจำ แต่เจ้าอย่าลองจิบเข้าไปเชียวนะซิส เดี๋ยวได้หลับหัวทิ่มข้าไม่รู้ด้วย”
“สมุนไพรของเจ้าฤทธิ์แรงขนาดนั้นเชียว”
“อันที่จริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ข้าแอบเติมส่วนผสมพิเศษลงไปด้วยนิดหน่อย เจ้าอย่ามัวสงสัยอยู่เลยน่า รีบไปได้แล้ว ซักมากเสียเวลาเปล่าๆ”
เจ้าหญิงทรงทรงตัดบทด้วยการพยักเพยิดให้เด็กหนุ่มออกเดินนำไปก่อน ส่วนพระองค์เสด็จตามหลังเขาไปติดๆ ซิสเลือกใช้เส้นทางด้านหลังคอกสัตว์ เพราะสามารถทะลุผ่านไปยังคุกใต้ดินได้โดยไม่มีใครเห็น
เมื่อมาหยุดอยู่หลังดงไม้ที่เขาแอบอยู่เมื่อตอนเช้า เด็กหนุ่มก็หันไปถามคนข้างกาย
“ทีนี้เอายังไงต่อ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงแหวกพุ่มไม้เบื้องพระพักตร์ออกเป็นช่อง ทอดพระเนตรไปยังประตูทางลงสู่คุกใต้ดิน ซึ่งเป็นสถานที่เดียวในบริเวณนี้ที่มีแสงไฟส่องสว่าง หน้าประตูบานใหญ่ยังคงมีทหารยามเฝ้าอยู่สองนายเช่นเดิม หากเป็นคนละชุดกับเมื่อเช้า ท่าทางพวกเขาคงจะเบื่อหน่ายน่าดูเพราะคนหนึ่งยืนทำท่าเหมือนจะหลับมิหลับแหล่ ในขณะที่อีกคนมัวแต่จ้องมองแมลงกลางคืนที่บินอยู่เหนือกระถางไฟราวกับจะศึกษาธรรมชาติของพวกมันให้ถ่องแท้
เจ้าหญิงแย้มพระสรวลอย่างพอพระทัย พระองค์ถอยกลับมาหาเด็กหนุ่มที่ยืนขมวดคิ้วคอยอยู่ ส่งสัญญาณให้เขาโน้มตัวลงมา แล้วทรงกระซิบแผนการให้ฟัง
ซิสส่ายหน้าทันทีเมื่อฟังจบ
“ไม่เอาละ ข้าว่า แค่พวกนั้นเห็นข้าก็ความแตกแล้ว”
“ไม่แตกหรอกน่า อย่างน้อยๆ ตอนนี้เจ้าก็ดูคล้ายทหารองครักษ์มากกว่าข้าแหละ”
“ก็แหงสิ” เด็กหนุ่มกระแทกเสียง “เจ้าอุตสาห์เตรียมเครื่องแบบชุดนี้มาให้ข้าใส่โดยเฉพาะเลยนี่ ข้าละนึกสงสัยแต่แรกแล้วเชียว”
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มพระสรวลเรี่ยๆ “อย่าบ่นนักเลยน่า มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้าจะไม่ช่วยข้าหรือไง เราเป็นเพื่อนกันนะซิส”
คน ‘เป็นเพื่อนกัน’ เบ้หน้า
“ใครที่ยอมหลวมตัวเป็นเพื่อนกับเจ้านี่ ชีวิตคงขาดทุนพิลึก”
แม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น หากเด็กหนุ่มก็ยอมก้าวออกไปสู่ลานกว้างหน้าคุกใต้ดินแต่โดยดี
ทหารยามร่างยักษ์หันขวับมามองชายหนุ่มหน้าอ่อนในเสื้อคลุมสีคล้ำที่เพิ่งก้าวเข้ามาสู่รัศมีของแสงไฟเป็นตาเดียวกัน หนึ่งในสองเอ่ยถามเสียงดัง
“นั่นใครน่ะ มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้”
ผู้มาใหม่ไม่ตอบ หากทำใจกล้าเดินเข้าไปหาคนถามโดยพยายามซ่อนใบหน้าให้อยู่ในเงามืดมากที่สุด เขาแสร้งทำเป็นเซเล็กน้อยเหมือนคนเมาขณะยกถุงหนังขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยชวนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ขึ้นจมูก
“คืนนี้อากาศเย็นนะพี่ชาย สนใจจะดื่มแก้หนาวกับข้าสักอึกมั้ยล่ะ”
ท่าทางระแวดระวังของทหารยามค่อยผ่อนคลายลงเมื่อคนชวนขยับใกล้เข้ามา ชายเสื้อคลุมสีคล้ำที่เขาสวมเผยอออกเล็กน้อย เผยให้เห็นเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินขลิบทองด้านในแวบหนึ่ง
“จะดีรื้อน้องชาย มันผิดกฎนะ”
“พวกท่านกลัวด้วยหรือ ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร ข้าไปหาเพื่อนดื่มที่อื่นก็ได้”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิน้องชาย ข้ายังไม่ได้พูดสักคำว่าจะไม่ดื่มกับเจ้า”
เด็กหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะส่งถุงหนังในมือให้ทหารยามผู้นั้น
เมื่อถุงใส่เหล้าถูกยื่นมาตรงหน้า นายทหารร่างยักษ์ก็เอื้อมมือมารับไปดื่มอั้กๆ ราวกับคนขาดน้ำ เขายกหลังมือขึ้นเช็ดปากด้วยท่าทางพออกพอใจแล้วส่งมันต่อให้ผู้เป็นเพื่อน
ซิสปล่อยให้ชายทั้งสองแบ่งกันดื่มเหล้าจนชุ่มปอดก่อนจะรับถุงหนังกลับคืนมา เด็กหนุ่มตั้งท่าจะผละออกจากบริเวณนั้น หากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงกรนสนั่นหวั่นไหวสองเสียงก็ดังประสานขึ้นเกือบจะพร้อมกัน พอเขาเหลียวกลับไปดูก็พบว่าทหารยามทั้งคู่ฟุบหลับไปเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มยกถุงใส่เหล้าในมือขึ้นมองด้วยสีหน้าขยาด ผูกมันไว้ข้างเอวตามเดิม ก่อนจะผิวปากส่งสัญญาณเรียกเจ้าของแผนการที่ซ่อนตัวอยู่หลังดงไม้
เจ้าหญิงกาอิยาห์ในคราบของเด็กรับใช้หนุ่มน้อยทรงโผล่พระพักตร์ยิ้มกริ่มออกมาแทบจะในทันที แสดงว่าคอยทอดพระเนตรเหตุการณ์อยู่ตลอด พระองค์สาวพระบาทเข้าไปหยุดชื่นชม ‘ผลงาน’ ของซิสด้วยท่าทางภูมิพระทัยราวกับทรงเป็นผู้ลงมือเสียเอง
“เห็นมั้ยล่ะ ข้าบอกเจ้าว่าสำเร็จก็ต้องสำเร็จสิ ความไม่แตกสักหน่อย พวกเขาไม่สงสัยเจ้าเลยด้วยซ้ำ”
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องพูดมากหรอก จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้าเถอะเจ้าหญิง” เด็กหนุ่มหน้าบูด
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มพระสรวลขณะก้มลงค้นตัวทหารยามเพื่อหากุญแจ เมื่อได้มาแล้วพระองค์ก็เสด็จตรงไปที่ประตู ทรงไขแม่กุญแจขนาดใหญ่เท่ากำปั้นที่คล้องอยู่กับสายโซ่ออก ผลักบานเหล็กแสนฝืดให้เปิดเป็นช่องพอสอดตัวเข้าไปได้ จากนั้นจึงหันมาพยักเพยิดเรียกพระสหาย
ฝ่ายถูกเรียกส่ายหัวดิก “อย่าดีกว่า เจ้าเข้าไปคนเดียวเถอะ ข้าจะดูต้นทางให้”
“ดูทำไม ทางมันไม่หายไปไหนหรอก เจ้าแหละลงมาเป็นเพื่อนกันหน่อย”
“เจ้ากลัวละสิท่า”
เท่านั้นเสียงใสๆ ก็แผดสนั่น
“ไม่ได้กลัวย่ะ แต่ข้าถือคติ...คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย เจ้าไม่เคยได้ยินหรือไง”
“ไม่เคย”
“งั้นก็เคยซะ”
ตรัสแล้ว ‘คนไม่กลัว’ ก็ตรงเข้าฉุดแขนอีกฝ่าย ลากให้ตามลงไปในคุกใต้ดินด้วยกันจนได้
คุกใต้ดินของปราสาทลินเด็นมีสภาพคล้ายกับที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรเห็นในพระสุบินแทบทุกอย่าง ต่างกันแต่ว่าของจริงดูเลวร้ายมากกว่ากันหลายเท่าตัว ทางเดินที่ทอดลึกลงไปสู่ความมืดเบื้องล่างทั้งชันทั้งลื่นด้วยมีคราบราและตะไคร่เกาะหนา คบไฟที่ปักเอาไว้ห่างๆ บนผนังให้แสงสว่างสลัวเลือนจนมองแทบจะไม่เห็นบันไดแต่ละขั้นที่ทอดรออยู่เบื้องหน้า หากที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือกลิ่น อากาศที่อับทึบยิ่งกักเก็บกลิ่นกายอันร้ายกาจของเหล่านักโทษเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เจ้าหญิงกาอิยาห์ต้องทรงใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แสดงอาการคลื่นเหียนให้ปรากฏออกมาต่อหน้าเด็กหนุ่ม ยิ่งเดินลึกลงไปเท่าไหร่กลิ่นเหม็นก็ยิ่งฉุนรุนแรงขึ้นเท่านั้น
สุดปลายบันไดคือลานแคบๆ ทอดไปสู่ทางเดินที่ยื่นยาวออกไปทางซ้ายและขวา ขนาบข้างทางเดินคือห้องขังที่เรียงรายติดต่อกันไป สังเกตได้จากประตูเหล็กทึบที่ส่วนบนเป็นช่องติดลูกกรงเหล็กขนาดแค่พอให้มองลอดเข้าไปภายในได้ ด้านล่างเจาะเป็นช่องติดบานพับสำหรับส่งน้ำและอาหาร ประตูแต่ละบานปิดล็อกด้วยโซ่คล้องแม่กุญแจดอกโต
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงมีพระวรกายที่เตี้ยเกินกว่าจะสามารถเขย่งปลายพระบาทมองหาพี่ชายผ่านช่องลูกกรงหน้าประตูได้ ซิสจึงต้องเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นเสียเอง ในห้องขังยิ่งมืดกว่าด้านนอก แสงคบไฟในมือเด็กหนุ่มแทบจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แทบทุกห้องว่างเปล่า มีเพียงห้องริมสุดเท่านั้นที่พอแสงคบวูบผ่าน ก็มีเสียงคล้ายคนลากโซ่ดังขึ้นพร้อมกับคำถามที่ตามมา
“นั่นใคร”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงจำเสียงห้าวๆ ของพี่ชายได้ก็วิ่งถลาเข้าไปเกาะขอบประตูทันที
“พี่กันนาร์ นี่น้องเองค่ะ น้องมาช่วยแล้ว รอเดี๋ยวนะคะ น้องจะเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้แหละ”
พระองค์ต้องทรงเสียเวลากับการค้นหาลูกกุญแจอยู่พักใหญ่ กว่าจะทำให้บานประตูหนาหนักตรงหน้าเลื่อนเปิดได้สำเร็จ ภาพของคนเป็นพี่ค่อยปรากฏแก่สายพระเนตร เขาดูซูบลงเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลา บัดนี้มีหนวดเคราขึ้นเขียวดูแปลกตา เส้นผมยาวสลวยสีเงินยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไร้มาดของหนุ่มสำอางโดยสิ้นเชิง ทว่า...ถ้าไม่นับขาข้างที่ถูกล่ามโซ่ติดกำแพง ชายหนุ่มก็ดูเป็นปกติดีทุกอย่าง ไม่มีบาดแผล ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
“เฮ้อ โล่งอกไปที”
เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะผวาร่างเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นพี่ ส่วนเด็กหนุ่มที่เดินตามมาข้างหลังถอยไปยืนสำรวจกำแพงอิฐอีกด้านหนึ่งอยู่เงียบๆ เปิดโอกาสให้สองพี่น้องสนทนากันตามสบาย
นักโทษหนุ่มขมวดคิ้ว ตั้งท่าจะถอยหนีตามสัญชาตญาณ หากพอเพ่งมองใบหน้าของเด็กรับใช้ที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามานั่งยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าเพียงชั่วครู่ เขาก็อุทานอย่างแปลกใจ
“กายย์”
“ใช่แล้วค่ะ น้องเอง”
“เจ้าเข้ามาได้ยังไง ทำไมแต่งตัวแบบนี้”
เด็กสาวก้มลงมองชุดที่ตนเองสวมแล้วเงยขึ้นยิ้มจนตาหยี “ก็ปลอมตัวน่ะสิคะ เหมาะกับน้องใช่มั้ยล่ะ”
ผู้เป็นพี่ได้แต่โคลงศีรษะ
“เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“อ้าว ก็มาช่วยพี่กันนาร์ไงคะ นอร่าบอกว่าพี่ส่งคนมาตามน้องเมื่อคืนนี้ แล้วทำไมอยู่ดีๆ พี่ถึงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏไปได้”
เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยหนักหน่วงก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดประทานน้องสาว พอเล่าจบก็ทรงตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“เจ้าหายไปไหนมากายย์ ทำไมปล่อยให้ข้ารอเก้อ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลแหยๆ ตอบเสียงค่อย
“น้อง..เอ่อ..ไปเดินเล่นที่วิหารจันทราแล้วบังเอิญสะดุดหินแผ่นหนึ่งเข้า ก็เลยเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ ดีแต่ได้ซิสช่วยเอาไว้ไม่งั้นคงไม่ได้มานั่งพูดกับพี่อย่างนี้หรอก”
“ซิสหรือ”
นักโทษหนุ่มตวัดสายตามองหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่อีกฟากของห้องขังตามอาการพยักเพยิดบอกของน้องสาว ทีแรกเขาจำอีกฝ่ายไม่ได้เพราะการแต่งกายที่ผิดแปลกไป หากเพียงครู่เดียวก็นึกออก ดวงหน้างามคมขมวดบึ้งทันที ความไม่ถูกชะตาแต่เดิมทำให้ชายหนุ่มไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยคำขอบคุณ หากจำต้องทำตามมารยาท เสียงพูดจึงห้วนสั้น
“ขอบใจ”
คนฟังเองก็ผงกศีรษะรับด้วยท่าทางเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายเช่นกัน
เจ้าชายกันนาร์ทอดพระเนตรอย่างไม่ชอบพระทัย...ไอ้เจ้าเด็กนี่ ท่าทางยโสน่าถีบพิลึก...
“ขอโทษนะคะ เป็นเพราะน้องแท้ๆ พี่กันนาร์ถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้”
เสียงอ่อนอ่อยที่ดังขึ้นทำให้คนเป็นพี่ต้องยอมละสายตาจากเด็กหนุ่ม หันมาปลอบน้องสาว
“ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกกายย์ อย่าคิดมากไปเลย”
“ไม่คิดได้ยังไงคะ ก็เจ้าหญิงลูเซียบอกน้องว่า ถ้าภายในสิบวันนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวขององค์ราชา พี่จะถูกประหาร”
ชายหนุ่มหัวเราะ
“ก็ยังมีเวลาอีกตั้งสิบวันไม่ใช่หรือ”
“พี่กันนาร์ นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ พี่จะถูกประหาร น้องยอมไม่ได้หรอก” เสียงใสๆ ชักเครือ
ผู้เป็นพี่ถอนใจเฮือก เอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ที่ก้มต่ำอย่างปลอบประโลม
“พี่ขอโทษ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกน่า เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าท่านน้าไม่ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครอง หากจะทรงตัดสินโทษกันจริงๆ ก็มีทางเดียวคือต้องเรียกประชุมสภาผู้ครองแคว้นนั่นละ”
“ก็ทรงเรียกแล้วน่ะสิคะ น้องถึงร้อนใจอยู่นี่ไง พี่กันนาร์หนีไปซ่อนตัวก่อนไม่ดีหรือ...”
“ไม่ดี” เสียงตอบที่สวนกลับมาทันควัน เข้มข้นจนเกือบจะกลายเป็นห้วน
“ถ้าข้าหนี ก็เท่ากับยอมรับข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏน่ะสิ”
“แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง พี่อาจจะถูกประหารก็ได้นะ”
“ไม่หรอก ถ้าฝ่าบาทเสด็จกลับมาทัน”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงจ้องมองพี่ชายราวกับว่าเขากลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว
“จะทันได้ยังไงกันคะ ตอนนี้พระองค์ประทับอยู่ที่ไหนพวกเราก็ยังไม่รู้เลย”
“เราไม่รู้ แต่มังกรจิ๋วของเจ้าน่าจะรู้ไม่ใช่หรือ”
คนฟังนิ่งงันไป แล้วประกายแห่งความหวังก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาคู่สวย
“จริงด้วย ทำไมน้องถึงไม่ทันนึกนะ น้องจะส่งวายไปบอกให้เมลเชิญเสด็จองค์ราชากลับมาเดี๋ยวนี้ละค่ะ”
“ไม่ใช่ที่นี่กายย์”
มือที่กำลังจะปลดต่างหูชะงักค้าง “ทำไมคะ”
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย คืนนี้เจ้ากลับไปก่อนดีกว่า”
“แล้วพี่...”
เจ้าชายกันนาร์ทรงโบกพระหัตถ์
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าอยู่ของข้าได้ ห่วงตัวเจ้าเองเถอะ จำไว้ว่าห้ามพูดเรื่องฝ่าบาทกับใครทั้งนั้น แล้วอย่าประมาทจนเผลอทำพิรุธให้ถูกจับได้เสียก่อนล่ะ รีบกลับไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงอิดออดจนผู้เป็นพี่ต้องสำทับเสียงดุเป็นครั้งที่สอง พระองค์จึงยอมขยับพระวรกาย เสด็จจากมาอย่างไม่เต็มพระทัยนัก
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.พ. 2556, 08:46:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.พ. 2556, 13:28:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 1825
<< ตอนที่ 13 | ตอนที่ 15 >> |
ชลวารี 14 ก.พ. 2556, 11:30:46 น.
ราชาจะกลับมาทันมั้ยนะ งั้นนางเอกของเราก็ใกล้จะรู้ว่าสาวใช้จริงเป็นใครสิคะ
อ้อแล้ว ขมวดพระคิ้ว น่าจะเป็นพระขนง มั้ยคะ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว มาต่อเร็วนะคะ
ราชาจะกลับมาทันมั้ยนะ งั้นนางเอกของเราก็ใกล้จะรู้ว่าสาวใช้จริงเป็นใครสิคะ
อ้อแล้ว ขมวดพระคิ้ว น่าจะเป็นพระขนง มั้ยคะ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว มาต่อเร็วนะคะ
angelK 14 ก.พ. 2556, 13:31:23 น.
ต๊าย หลุดไปได้อย่างไร น่าขายหน้ายิ่งนัก ขอบคุณคุณชลวารีมากค่ะ แก้ไขเป็นขมวดคิ้วเรียบร้อยแล้วค่ะ
ต๊าย หลุดไปได้อย่างไร น่าขายหน้ายิ่งนัก ขอบคุณคุณชลวารีมากค่ะ แก้ไขเป็นขมวดคิ้วเรียบร้อยแล้วค่ะ