พักตร์อสูร
ชีวิตปกติสุขของเธอต้องสิ้นสลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง โชคชะตาหรือเวรกรรม ทำให้มาโผล่ในสถานการณ์ผัว1เมีย6 แถมต้องสู้รบเพื่อเอาตัวให้รอดอีก “ขอชีวิตเก่าฉันคืนมาเถิด”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 9 (3/3) อ่านใหม่อีกทีนะคะ ก่อนนี้เนื้อหาหายไปค่ะ ลงใหม่ให้ครบแล้วค่ะ

ได้อ่านคอมเม้นท์ของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักอ่านทุกท่านแล้วปลาบปลื้มดีใจมากๆ ค่ะ ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่าน และขอขออนุญาตตอบแบบรวมๆ นะคะ (จะได้รีบปั่นต้นฉบับให้ได้เร็วกว่านี้ค่ะ ^^)

* เป็นหนังสือเรียบร้อยเมื่อไหร่ รีบบอกทันทีจ้า ^^ (คิดว่าอีกไม่นานเกินรอหลังจากต้นฉบับเสร็จเรียบร้อย [ซึ่งตอนนี้ยังไม่เสร็จ] 555)

* พระเอกของเรื่องมีเชียร์กันเข้ามาเยอะมากทั้งพะลัญจะและจุฑามณีมาศ ขอตอบว่าอีกไม่นานเกินรอ ได้รู้กันแน่นอนจ้า อิอิ (อารมณ์โหดเข้าขั้นมากที่ทรมานพี่น้องนักอ่านเช่นนี้)

* ดีใจที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านอ่านแล้วสนุก อิน มีความสุขกับนิยายเรื่องนี้ สนุกกับแต่ละตอนที่เอามาลงให้อ่าน ขอบพระคุณจากใจคนเขียนงานคนนี้ค่ะ

* ความสัมพันธ์ของท่านโชติระเสและตยาวดีนั้น จะมีโผล่มาบ้าง แต่จุดหลักของเรื่องจะโฟกัสไปที่อุษามันตราค่ะ จะมีอัพเดทความคืบหน้าแน่นอน แต่ความหวานขอเก็บไว้ให้แม่นายน้อยอุษากับพระเอกของเรื่องก็แล้วกันนะคะ ^^

* มีเพื่อนๆ บางคนสงสัยว่าต่อไปนางเอกของเราจะทำอย่างไรกันต่อไปในเบื้องหน้า เพราะหน้าตาสวยจัดจนเป็นเหตุ ซึ่งอันนี้คนเขียนก็ขอตอบว่า "ต้องติดตามตอนต่อไปจ้า" อิอิ (จะโดนตื้บไหมนี่) ส่วนจะจัดการอย่างไรนั้น ไม่นานเกินรอจ้า

* ดีใจมากๆ ที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายท่านอ่านนิยายเรื่องนี้แล้วรู้สึกรักคุณพ่อ คุณแม่มากกว่าเดิม บางคนก็คิดถึงคุณพ่อ อยากจะบอกว่าดีใจมากค่ะที่ได้เห็นและได้ยินเพื่อนๆ บอกเล่าแบบนี้ เพราะความรักใดก็แล้วแต่ จะไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักของ พ่อ แม่ ผู้ให้กำเนิดเราไปได้เลยค่ะ อย่าลืมที่จะรักและดูแลท่านให้ดีนะคะ ความรักระหว่างชายหญิงยังมีเกิดมีดับคือมีใหม่ได้เสมอ แต่ความรักของพ่อแม่เป็นนิรันดร์สำหรับลูกทุกคนค่ะ ^^

* ในโลกใหม่ที่เพชรน้ำค้างหรืออุษามันตราไปอยู่นั้น (หรือจริงแล้วก็คือสมัยโบราณเรานี่แหละค่ะ) อายุสิบสี่ก็ออกเรือนมีลูกมีเต้ากันแล้วค่ะ เอาง่ายๆ นะคะ แค่สมัย ร.5 อายุสิบสี่ก็ถวายตัวแล้วตามหลักฐานที่มี เพิ่งจะแต่งงานกันช้าลงก็หลังสงครามโลกนี่เอง

* นิยายเรื่องนี้คงจะแปลกไปบ้างจากที่เคยเขียน เพราะเน้นมุมมองหลักของนางเอก ดังนั้นจึงอาจเป็นมุมมองของโลกสีเทาไปสักนิด แต่รับประกันว่าเมื่อไหร่ที่โลกเป็นสีชมพู งานนี้มีจิกหมอนกันแน่นอนค่ะ ฮิ๊วววว! 555 (คิดไปก็หน้าแดงไป หุหุ)

* ขอบพระคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่ได้อวยพร มอบกำลังใจ และขอบคุณความรักที่ให้มานะคะ สุขสันต์วันวาเลนไทน์ย้อนหลัง แต่ความรักนั้นขอมอบให้ทุกท่านในทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที และทุกลมหายใจของคนเขียนงานคนนี้ค่ะ

* ชื่อ "พะลัญจะ" นั้นมีความหมายว่า "พลัง" ค่ะ และตอบตรงนี้เพิ่มเติมว่า "จุฑามณีมาศ" เป็นชื่อของตัวละครชายจ้า ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องในบทต่อๆ ไป และเป็นสาเหตุให้นางเอกต้องมายังที่นี่นั่นเองค่ะ แต่จะมาเพราะอะไร โปรดติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ

* เรื่องอุษามันตราได้เข้าเรียนในสำนักเรียนนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวมีเฉลยจ้า (แต่อาจจะอีกหลายบทหน่อยนะคะ)

* งานสัปดาห์หนังสือจะทันมั้ย อันนี้ไม่แน่ใจค่ะ เพราะต้นฉบับยังไม่เรียบร้อยเลย แต่จะแจ้งไว้เรื่อยๆ นะคะ ^^

และเช่นเดิม... อ้อยขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำให้อ้อยได้รับรู้ความรู้สึกร่วมนะคะ ขอบพระคุณมากๆ กับทุกคอมเม้นท์ที่ได้บอกเล่าให้อ้อยได้อ่าน และเป็นกำลังใจชั้นดีให้อ้อยเขียนงานได้ต่อไปค่ะ ถึงแม้จะเหนื่อย กดดัน (เพราะอยากเร่งต้นฉบับให้เสร็จตามกำหนด) แต่ก็ได้ความรัก ได้กำลังใจจากทุกท่านมาประโลมและเป็นแรงขับให้เขียนงานต่อเนื่องและอยากเขียนให้ออกมาให้ดีที่สุด


ขอบพระคุณอย่างที่สุด ขอบพระคุณมากๆ จากหัวใจดวงนี้

รัก...

อ้อย / สุชาคริยา


หมายเหตุ.-
(1) มาอัพอีกทีวันจันทร์นะคะ จุ๊บๆ
(2) ข้อความบางส่วนคัดลอกมาจากที่ลงในเว็บเด็กดีจ้า




----------------------------------------------------------------------------------------------



หลังจากที่ฝากตัวเป็นศิษย์สำนักท่านครูวัฑฒะโกเรียบร้อย อุษามันตราก็กลายเป็นน้องเล็กในกลุ่มที่บรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่ไม่เคยมีใครเข้ามาคุยกับเธอได้ ยกเว้นศิษย์พี่ท่านหนึ่งซึ่งรับหน้าที่คอยสอนตามคำสั่งของท่านครู

ท่านครูวัฑฒะโกไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามบนเรือนในเวลาที่เธอเรียน โดยเวลาเรียนนั้นจะเป็นตอนเช้าหลังใส่บาตรพระ จนถึงหลังอาหารเที่ยง ป้าจิตราและทิดศรจะรับมารับกลับตรงเวลาทุกวัน นั่นจึงไม่เปิดโอกาสให้ศิษย์พี่คนใดได้พูดคุย เธอมีวันหยุดประจำสัปดาห์ละหนึ่งวัน ก็คือวันพระ เพื่อไปทำบุญ ส่วนงานในโรงหล่อโลหะก็เข้าไปฝึกงานในช่วงบ่ายถึงเย็นหลังจากกลับมาจากสำนักเรียน

เธอถูกเข้าใจว่าเป็นลูกภริยารองไม่คนใดก็คนหนึ่งของท่านโชติระเส แต่กลับได้รับการดูแลประหนึ่งลูกชายภริยาเอกก็มิปาน อีกทั้งยังได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากศิษย์คนอื่นของท่านครูวัฑฒะโก จึงถูกหมั่นไส้จากใครหลายคนไม่น้อย ส่วนศิษย์พี่กลุ่มนั้นยังอยากรู้ข้อมูลที่เคยถามใจจะขาดแต่ไม่ได้คำตอบ ท่านครูก็วางระบบไว้เฉียบขาดมาก จนเธอกลายเป็นตัวประหลาดที่มีแต่คนคอยชะเง้อชะแง้มองเวลาเดินเข้าออกสำนักเรียน

เบื้องต้นได้เรียนเขียนอ่านกับศิษย์พี่ โดยท่านครูเป็นผู้วัดความรู้ แต่ในเวลาหนึ่งเดือน ก็เลื่อนชั้นขึ้นมาศึกษากาพย์กลอน สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้แก่ท่านครูอย่างยิ่ง เธออธิบายว่าท่านโชติระเสสอนเขียนอ่านมาบ้างแล้ว จึงหายสงสัย ทว่าล่าสุด ถูกเลื่อนชั้นให้ขึ้นมาเรียนตำราพิชัยสงคราม ซึ่งแต่ละคนกว่าจะเรียนจนมาถึงขั้นนี้ได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องศึกษาความรู้ไม่ต่ำกว่าสามปี

“อุษะ ท่านครูให้ลงไปที่ลานฝึก”

ศิษย์พี่ที่คอยดูแลตั้งแต่เริ่มเรียนเข้ามาบอก

“เจ้าข้า”

เธอรับคำ วางตำราเรียนล่าสุดลง ทุกคนในสำนักนี้รู้จักเธอในชื่อ ‘อุษะ’ ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับ ‘อุษา’ ยท่านครูวัฑฒะโกเป็นผู้ให้ชื่อเรียกเพื่อรักษาสภาพ ‘เด็กชาย’ เอาไว้ เพื่อดำรงภาพลักษณ์ที่เคยมีมา

ที่นี่... ศิษย์แต่ละคนต่างก็ถือดีในตัวระดับหนึ่ง ด้วยเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตทั้งในมิถิลาและเมืองใกล้เคียง อุษามันตราได้ข่าวว่ามีทั้งองค์รัชทายาทและราชนิกุลชั้นสูงจากสี่แคว้นมาเรียนที่นี่ด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะผู้มาเรียนท่านครูจำกัดไว้ว่าไม่ให้แสดงตน

ในสำนักเรียน ศิษย์คือศิษย์ ไม่มีเจ้านาย ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีลูกหลานคหบดี ไม่มีราชนิกุล มีแต่ศิษย์ของท่านครูวัฑฒะโกเท่านั้น จะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงก็ตอนที่เธอเข้ามาเรียนเพราะไม่ได้เรียนร่วมกับใคร แม้มีคนสงสัย ท่านครูกล่าวเพียงศิษย์ใหม่ยังเล็ก จึงต้องให้เรียนแยก มีเพียงคนเดียวที่รู้ว่าไม่จริง ก็คือศิษย์พี่ที่ดูแลเธอท่านนี้เท่านั้น

นั่นจึงทำให้อุษามันตราเลื่อมใสในตัวท่านครูมากขึ้นแม้แอบว่าไปหลายกระบุงโกย แต่หลังจากได้ทำพิธีขอขมาอย่างเป็นทางการนับแต่วันฝากตัวเป็นศิษย์ ความประพฤติดีและตั้งใจเรียนของเธอได้ทำให้ท่านครูเปลี่ยนไป จากเมื่อแรกสีหน้าท่าทางของท่านไม่ดีจนหลายคนรับรู้ได้ แต่ในระยะเวลาแค่แปดเดือนท่านครูก็...

“อุษะเอ๋ย จงมาใกล้ครู”

น้ำเสียงของท่านแสดงความเอ็นดูยิ่งนักเมื่อเห็นเธอเดินเข้าไปหา จนแอบเสียวในใจว่าถ้าโตกว่านี้ อาจโดนศิษย์พี่ทั้งหลายแกล้งกันบ้าง ดีที่ว่ายังเด็กจึงได้รับความเอ็นดูตามกันไป

ท่านตบบนแท่นไม้นั่งตัวใหญ่ยาวอันมีความหมายว่าให้มาใกล้ตัว รอยยิ้มเมตตามีให้ทุกครั้ง นั่นก็เธอเพราะได้กลายเป็นศิษย์รักแถวหน้า ท่านครูวัฑฒะโกไม่เคยคาดคิดว่าเด็กน้อยที่ไม่อยากรับเป็นศิษย์ในคราแรก จะมีสติปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ และช่างจดช่างจำเป็นเลิศ แม้เคยได้ยินคำเล่าลือ ก็มิอาจเทียบได้เมื่อสัมผัสกับตนเอง

อุษามันตราไม่ได้นั่งตรงที่ท่านครูกำหนดไว้ แต่คุกเข่าลงกับพื้นหญ้าทิ้งระยะห่างไว้พองาม

“หากบ้านเมืองจักมีศึก แลเจ้ามีกำลังพล เจ้าจักฟาดฟันศัตรูเลยหรือไม่ หรือคิดอ่านใช้กลศึกเยี่ยงไร จงตอบมา”

มาถึงก็โยนอะไรให้เธอกัน ครั้นหันไปมองศิษย์พี่ทั้งหลายที่กำลังจดจ้องตาไม่กะพริบ ก็อดไม่ได้ที่จะเสียวสันหลังวาบ จึงต้องขอถามบางอย่างเพื่อความมั่นใจเสียก่อน

“ท่านครูเจ้าข้า ศิษย์เพิ่งหัดเรียน ยังมิเข้าใจนัก ขอท่านครูโปรดแจงความหมายแก่ศิษย์ ให้เห็นแจ้งด้วยเถิดเจ้าข้า”

แววตาที่ทอดมองมามีเพียงความเมตตายิ่ง ท่านเอ่ยว่า “ครูแค่อยากถามเจ้า ว่าเจ้าจักจัดการเช่นไร จงตอบ”

อุษามันตราหันไปมองบรรดาศิษย์พี่อีกรอบ ก็จึงเงยหน้ามองท่านครู แล้วตอบว่า “หากหลีกการศึกมิพ้น ศิษย์จักให้พลสอดแนมดูก่อนว่าศัตรูมีความเป็นไปอย่างใด โดยใช้กลสีหจักร เป็นปฐมเจ้าข้า”

“กลนี้มีใจความกระไร จงว่ามา”

“กลหนึ่งชื่อว่าสีหจักร ให้บริรักษ์พวกพล ดูกำลังตนกำลังท่าน คิดคะเนการแม่นหมาย ยักย้ายพลเดียรดาษ พาสไครคลี่กรรกง ตั้งพลลงแปดทิศ สถิตช้างม้าอย่าไหว ตั้งพระพลาชัยจงสรรพ จงตั้งทัพโดยศาสตร์ ฝังนพบาทตรีโกน ให้ฟังโหรอันแม่น แกว่นรู้หลักมิคลาด ให้ผู้อาจทะลวงฟัน ให้ศึกผันแพ้พ่าย ย้ายพลใหญ่ให้ไหว ไสพลศึกให้หนี กลศึกอันนี้ชื่อว่าสีหจักร”

ท่านครูวัฑฒะโกยิ้มที่มุมปาก แววตาพึงใจอย่างยิ่ง โดยความหมายจากกลศึกนี้ก็คือ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง’ เช่นเดียวกับตำราพิชัยสงครามของซุนวูที่ว่า ‘รู้เขารู้เรา ร้อยรบมิพ่าย ไม่รู้เขาแต่รู้เรา ชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง ไม่รู้เขาไม่รู้เรา ทุกรบจักพ่าย ’ นั่นเอง ซึ่งไม่ยากหลังจากที่อุษามันตราได้เรียนหลักสูตรพิชัยสงครามต่างๆ มากมาย

และแม้จะใช้ชื่อแตกต่างกันไป แต่ความหมายใจความหลักๆ ของตำราพิชัยสงครามก็คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ภาษาของที่นี่เท่านั้นที่ไม่เหมือนภาษาไทย แต่หลักความคิด หลักการรบ และความหมาย ไม่ได้ผิดกันเลยแม้แต่นิดเดียว จนทำให้กลายเป็นเรื่องง่ายเมื่อเรียนรู้

“แล้วกลใดที่คิดว่าเหมาะกับตัวเจ้าที่สุด จงว่ามา”

“กลเรียงหลักยืน เจ้าข้า”

“เหตุใดจึงต้องเป็นกลนี้”

“ศิษย์ไม่ชอบการฆ่าฟันเจ้าข้าท่านครู มิสู้ค่อยๆ เคลือบแฝง ชิงพื้นที่ทีละนิด ให้คนของเราเข้าไปทำความคุ้นเคยอยู่อาศัย หรือไม่ก็ให้แต่งงานกินอยู่จนกลายเป็นพวกพ้องเรา จักประเสริฐนักเจ้าข้า มิเสียไพร่พล มิเสียเสบียง มิเสียสรรพกำลัง มีแต่ได้กับได้เจ้าข้า”

ท่านครูหัวเราะน้อยๆ ในลำคอ แววตาพึงพอใจมิขาด และพูดว่า “ใจความกระไร จงว่ามา”

“กลศึกชื่อเรียงหลักยืน ให้ชมชื่นรุกราน ผลาญให้ครอบทั่วพัน ผันเอาใจให้ชื่น หื่นสร้างไร่สร้างนา หาปลาล่วงแดนต่าง โพนเลื่อนช้างล่วงแดนเขา เอาเป็นพี่เป็นน้อง พร้องตั้งค่ายตั้งเวียง บ้านถิ่นเรียงรายมั่น เร่งกระชั้นเข้าเรียงราย เกาะเอานายเอาไพร่ ไว้ใจกายใจถึง ระวังพึงจงให้ ใส่ไคร้เอาเป็นเพื่อน ใครแข็งกล่นเกลื่อนเสีย ให้เมียผูกรัดรึง ให้เป็นจึ่งม่ามสาย รายรอบเอาจงมั่น จงเอาชั้นเป็นกล กลให้เขาลอบลัน ปล้นบ้านถิ่นเถื่อนไปมา ระวาเพศแทบเวียง กลศึกอันนี้ชื่อว่าเรียงหลักยืน”

“แล้วหากต้องปะทะศึกกันโดยตรงด้วยมิอาจเลี่ยง เจ้าจักจัดการเช่นไร จงตอบ”

“ทุกศาสตร์ ทุกกล เป็นเพียงหลัก เป็นแนวทาง ผลสัมฤทธิ์จักมากหรือน้อย ขึ้นกับหลายเหตุปัจจัยในสนามรบเจ้าข้าท่านครู หากการศึกมิพ้น ก็จำต้องเลือกกลจอมปราสาท เป็นลำดับมา ด้วยการรู้แนวจัดทัพ พื้นที่ศึก วางค่ายกล แลเลือกแม่ทัพนั้นสำคัญยิ่ง จักชนะหรือพ่าย ต้องเลือกผู้เหมาะสมเป็นบาทฐาน เลือกคนผิด ใช้คนผิด ก็จักแพ้เสียแต่ยังมิทันเริ่ม แต่ศิษย์มิอาจกล่าวในตอนนี้ว่าควรทำเช่นไร ด้วยมิได้เห็นการศึกตรงหน้า จึงกล่าวยากนัก แต่ถ้าเป็นไปได้ ศิษย์มิใคร่ให้เสียเลือดเสียเนื้อเจ้าข้า”

“ดี... ดี... การมิเสียเลือดเนื้อนั้นย่อมดีที่สุด” พูดกับเธอยังไม่ทันจบก็หันไปมองศิษย์ทั้งหลายทั้งปวง “พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ การปกครองนั้นจงตระหนักถึงชีวิตของผู้ใต้ปกครองให้มาก อย่าคิดว่าจักใช้เพียงกำลัง แม้นมีพลนับล้าน แต่มิรักชีวิตประชาชน มิห่วงผู้คนด้วยใจจริง เจ้าก็หาได้เป็นผู้ปกครองที่ดีไม่ ผู้คนจักหนีหายแลไร้ความเคารพ

“การศึกที่พวกเจ้าตอบข้าวันนี้ จงกลับไปทบทวนเสียใหม่ แม้นแต่เด็กน้อยเช่นอุษะยังระลึกได้ว่าควรกระทำเช่นไร หลบหลีกท่วงท่าใด เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงหลบหลีกให้เป็น พลในมือสูญสิ้น ศรัทธาสูญสิ้น เจ้าก็จักสูญสิ้นเช่นกัน หากศึกใดนั้นมิอาจหลบพ้น จงใคร่ครวญถึงคนของเจ้าให้มากไว้ จงจำคำครูให้แม่นมั่น ใจให้ใจ สัตย์ให้สัตย์ อสัตย์ย่อมมิได้ความซื่อตรงฉันใด มิรักคนของเจ้าด้วยใจ ก็มิอาจปกครองแผ่นดินได้ด้วยความมั่นคงแลสงบสุขฉันนั้น”

เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ได้เรียนกันถึงเรื่องใด แต่อย่างน้อยตอนนี้ที่ได้ฟังคำท่านครูวัฑฒะโกก็ทำให้ซึ้งและเข้าใจได้เป็นอย่างดี ศาสตร์การปกครองที่ได้ยิน แม้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการอบรมที่ไม่ใช่เพียงแต่ให้อ่านตำรา แต่ต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่าควรทำเช่นไร

ท่านครูวัฑฒะโกก้มหน้าลงมาหา เอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน

“ขึ้นไปจัดการกิจของเจ้าเถิด ศิษย์ข้า”

“เจ้าข้า”

อุษามันตรารับคำ ค่อยๆ ขัดเข่าถอยหลัง แล้วจึงลุกเดินออกมา เธอรู้ว่ามีสายตาไม่เป็นมิตรส่งตามมาติดๆ ในใจก็พลันนึกถึงคำกล่าวของหลวงวิจิตรวาทการที่ว่า

‘อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน’

ซึ่งถูกต้องยิ่งนัก ใช้ได้ทุกที่จริงๆ แม้แต่ในโลกแห่งนี้ หรือจริงแล้วต้องกล่าวว่าใช้ได้ทุกที่ที่มีความอิจฉาริษยา จะไปว่าคนกระทำความดีจนเด่นเองโดยอัตโนมัตินั้นก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก เพราะคนทำดีต้องได้รับการยกย่องจึงจะถูก จะให้คนทำดีมาเกรงภัย คอยแต่จะหลบคนนินทาให้ร้ายเหมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดองก็ไม่สมควรเลย ภัยของคนทำดีแต่เด่นเองนั้นก็ล้วนมาจากความริษยาในใจของบุคคลอื่น ดังนั้นควรจัดการกับความรู้สึกของบุคคลเหล่านั้น จัดการระงับกิเลสที่เกิดขึ้นให้มากเข้าไว้ ควรรู้ให้เท่าทัน ไม่ใช่ให้คนทำดีมานั่งระวังตัว แล้วปล่อยให้คนคิดชั่วสนุกปากได้ใจ ก็ถือว่าเป็นการแก้ไขไม่ถูกจุด เรื่องราวก็ไม่จบ ดังนั้นจึงควรจัดการที่ต้นเหตุถึงจะถูก

อุษามันตราก็เช่นกัน ที่ผ่านมานั้นเธอคิดเพียงว่ารีบเรียนให้จบ ตั้งใจแสวงหาความรู้ให้มาก เพราะปัญหาหลายอย่างทั้งในมนสิการและปัญหาส่วนตัวที่กลัวเกรงก็เหมือนเป็นบ่วงผูกคอกำลังหดรัดแน่นเรื่อยๆ อีกทั้งไม่นานนี้ต้องไปต่างแคว้นกับท่านโชติระเสเพื่อเริ่มค้าขาย ครอบครัวของเธอยังไม่ถือว่ามั่นคง แม้งานในโรงหล่อโลหะจะเป็นการค้าผูกขาดกับทางวังหลวงของมิถิลา แต่ก็ไม่ควรประมาทหรือชะล่าใจ เธอวางแผนไว้ว่าจะเริ่มต้นค้าขายเมื่อไปถึงเรือนของคุณตา ณ ไพศาลี เพราะอย่างน้อยการมีรายได้สองทางก็ช่วยลดความเสี่ยงกว่ามีรายได้ทางเดียว

แต่ในตอนนี้... เธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาของคนบางคนในกลุ่มศิษย์พี่เหล่านั้น พลันในใจก็คิดถึงโคลงบทหนึ่งขึ้นมา บอกตัวเองว่าหากทำดีแล้วก็จงทำไปเถอะ จะไปกลัวทำไม เธอไม่ควรสนใจความริษยาของคนเขลา ดั่งโคลงโลกนิติ พิชิตอบายที่ว่า

‘มีอายุร้อยหนึ่ง นานนัก

ศีลชื่อปัญจางค์จัก ไป่รู้

ขวบเดียวเด็กรู้รัก ษานิจ ศีลนา

พระตรัสสรรเสริญผู้ เด็กนั้นเกิดศรี’

อันมีความหมายว่า พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญผู้รู้ศีล ซึ่งเปรียบว่าเด็กแม้รู้แค่ศีลห้าก็ย่อมดีกว่าคนแก่ที่ไม่รู้จักศีลนั่นเอง

นั่นสิ... เธอตัวเล็กแค่นี้ยังรู้จักระมัดระวังความคิดได้ ไม่ล่วงละเมิดคนอื่น ไม่คิดอิจฉาริษยาคนอื่น แต่ถ้าคนโตกว่านี้แล้วคิดไม่ได้ ก็ต้องตัวใครตัวมัน เพราะเธอนั้นขอเพียงความเจริญ ความสงบแก่ตนเองและครอบครัวเป็นพอ ไม่ขอเอาตัวไปเกี่ยวพันกับสิ่งที่ทำให้ใจร้อนรุ่มพวกนั้นเป็นอันเด็ดขาด

จะอิจฉากันทำไม... จะริษยากันทำไม... เธอไม่เข้าใจ หาเรื่องให้ตัวเองถูกไฟเผาทั้งเป็นไม่มีหยุด หาความสุขใจไม่ได้แท้ๆ

มนุษย์หนอ...มนุษย์

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2556, 15:04:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2556, 15:56:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 3183





<< บทที่ 9 (2/3)   บทที่ 10 (ครึ่งแรก) --- [ลบแล้วจ้า] >>
imsoul 15 ก.พ. 2556, 15:09:24 น.
มาแล้ว มารอตั้งแต่เช้าเลย ขอบคุณคะ


สุชาคริยา 15 ก.พ. 2556, 15:16:32 น.
ขอบคุณที่ติดตามเช่นกันค่ะคุณ imsoul จุ๊บๆ ^^


ree 15 ก.พ. 2556, 15:20:23 น.
ตัดฉับกลางประโยคเลยเหรอ ค้างง่ะ
รอตอนต่อไปแล้วกัน


imsoul 15 ก.พ. 2556, 15:21:33 น.
แต่มันสั้นไปไหมคะ ค้างเลยยย ฮือๆๆๆๆ


PiNVE 15 ก.พ. 2556, 15:33:09 น.
ตอนนี้สั้นจังค่ะ อยากรู้จังว่าจะตอนยังไง ศิษย์พี่ที่ดูแลใช่จุฑามณีมาศหรือเปล่าค่ะ


omelate 15 ก.พ. 2556, 15:34:42 น.
ยังไม่หายคิดถึงอุษะเลยอ่ะ รอตั้ง2-3วันแหนะ


โซดา 15 ก.พ. 2556, 15:35:26 น.
มารายงานตัวแล้วนะคะ จุ๊ฟๆๆ


สุชาคริยา 15 ก.พ. 2556, 15:39:08 น.
เพิ่งเห็นว่าเนื้อหามันหายไปค่ะ ไม่รู้พลาดท่านไหน เอามาลงใหม่แล้วนะคะ อ้อยขอโต๊ดดดดด


supayalak 15 ก.พ. 2556, 15:42:22 น.
บทเรียนแรกเริ่มต้นแล้วซิ อุษะ


แว่นใส 15 ก.พ. 2556, 15:43:15 น.
ประโยคท้ายมันขาดหายไปหรือเปล่าคะ


taezilla 15 ก.พ. 2556, 15:43:27 น.
สนุกม๊ากกกค่ะ


Chii 15 ก.พ. 2556, 15:58:26 น.
ยังคิดถึงท่านพะลัญจะอยู่ จะมีบทบาทอีกเยอะ ๆ ไหมคะ?


Auuuu 15 ก.พ. 2556, 16:29:07 น.
เลิศศศศศศศศ


สุชาคริยา 15 ก.พ. 2556, 16:33:10 น.

คุณ ree = ลงให้ครบแล้วค่ะ ^^


คุณ imsoul = สั้นเพราะมันหายไปแบบว่า... ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยค่ะ แหะๆ

คุณแว่นใส = ใช่ค่ะ เพิ่งมาเห็นทีหลังว่าหายไปเกือบครึ่ง สงสัยเผลอลบจ้า แหะๆ

คุณ PiNVE = ศิษย์พี่ที่ดูแลไม่ใช่จุฑามณีมาศจ้า แต่เป็นศิษย์ก้นเรือนของท่านครูที่ไว้ใจได้จ้า ^^

คุณ omelate = อ้อยลงให้ครบแล้วนะคะ ก่อนหน้านี้ผิดพลาดทางเทคนิคค่ะ แหะๆ ^^

คุณโซดา = จุ๊บๆๆๆ ม๊วฟๆๆ ขอบพระคุณจ้าาาา

คุณ supayalak = อิอิ ^^

คุณแว่นใส = หายไปค่ะ แต่ตอนนี้ลงให้ใหม่ ครบแล้วจ้า ^^

คุณ taezilla = ขอบพระคุณมากๆ จ้า ^^

คุณ Chii = ท่านพะลัญจะมาแน่นอนค่ะ แต่จะเยอะมั้ย... อันนี้ไม่รู้ว่าคนอ่านจะหายคิดถึงหรือเปล่านะคะ ^^


สุชาคริยา 15 ก.พ. 2556, 16:33:35 น.
คุณ Auuuu = ขอบพระคุณจ้าาาาาา


phugan 15 ก.พ. 2556, 16:51:17 น.
หนูษาฉลาดเป็นกรดเลยค่ะ....


omelate 15 ก.พ. 2556, 17:58:59 น.
เย้ๆๆ ค่อยยังหายคิดถึงหน่อยค่ะ...


nunoi 15 ก.พ. 2556, 18:18:32 น.
เก่งเหลือเกิน อ่านตอนนี้แล้วได้ข้อคิดเยอะเลย


Pat 15 ก.พ. 2556, 18:52:24 น.
อ่านแล้วก็ได้แต่ลุ้นชีวิตของอุษามันตรา(เพชรน้ำค้าง) จะเป็นอย่างไรต่อไป พระเอกจะเป็นใครน้อ


ร้อยวจี 15 ก.พ. 2556, 19:20:22 น.
อ่านแล้วก็อยากอ่านอีก (ถึงภาษาจะอ่านยากไปนิด) แต่ไม่เป็นไร สนุกมากค่ะ


แพม 15 ก.พ. 2556, 19:30:36 น.
ยังไม่เฉลยเลย พักตร์อสูรอ่ะ นางเอกหรือเปล่าคะ


ใบบัวน่ารัก 15 ก.พ. 2556, 20:08:40 น.
กี่ขวบแล้วหรอ
โตเป็นสาวแล้วนะจะทำอย่างไรต่อไป


konhin 15 ก.พ. 2556, 22:36:39 น.
คนรักเท่าผืนหนัง จะโดนคนชังเท่าผืนเสื่อมั้ยหนอ


Bunny 16 ก.พ. 2556, 07:05:47 น.
ชอบเนื้อเรื่อง และการใช้ภาษาที่สละสลวย รออุดหนุดนะค่ะ


ree 16 ก.พ. 2556, 09:39:29 น.
วลีท้ายสุด อย่างกับไม่ใช่เด็ก และอย่างกับไม่ใช่ผู้ใหญ่ อย่างกับเป็นคนผ่านโลกมาเยอะนัก โตขึ้นสงสัยจะคมคายกว่านี้


padeedee 16 ก.พ. 2556, 13:42:15 น.
ตอนนี้เป็นศิษย์รักไปแล้ว เก่งจริงๆ ตัวแค่เนี้ย...^__^


supayalak 18 ก.พ. 2556, 09:28:30 น.
นี่แหละน้าเค้าเรียกว่าทำดีได้ แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย เพราะหากเค้าไม่ชึ่นชม ตัวเราคงลำบากแน่แท้เอย อุษะเอ้ยงานงอกแล้วหล่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account