ร้อยรัดดวงใจรัก ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มายดรีมจ้า วางแผงประมาณเดือนมิถุนายน
อิงลดาถูกแฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยบอกเลิกเพราะเพิ่งค้นพบตัวเองว่าชอบเพศเดียวกัน ทำให้อิงลดาเสียใจมากเพราะตั้งความหวังไว้ว่าเรียนจบแล้วจะแต่งงานกัน ทำให้ตั้งป้อมรังเกียจผู้ชายผู้ชายหน้าตาหล่อๆ แต่เมื่อมาเจอกับลอราช ช่างภาพชื่อดังที่หน้าตาไม่ได้อยู่ในข่ายของความหล่อเพราะไว้หนวดไว้เคราจนดูหน้าคล้ายโจรห้าร้อย และการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก อิงลดาไม่ชอบขี้หน้าลอราชเลยสักนิดเดียว แต่เพราะพรหมลิขิตทำให้ทั้งคู่ต้องมาพัวกันเป็นวันพันหลักทั้งด้วยเรื่องของงานและคนรอบข้างทั้งคู่จึงถูกร้อยรัดไว้ด้วยความรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4 ซ่อนรัก

หลังนำเจ้ารถอีโก้คาร์คันใหม่ป้ายแดงเข้าจอดภายในรั้วบ้านเรียบร้อยแล้ว ร่างระหงของอิงลดาก็ก้าวเดินฉับๆ เข้าไปภายในตัวบ้านด้วยสีหน้ารื่นรมย์หลังเล่นกับเจ้าหนูตัวน้อยจนหนำใจ และพลันหยุดชะงักเมื่อเห็นผู้เป็นอานั่งหัวฟูอยู่บนโซฟาตัวนุ่มโดยมีโน้ตบุ๊กวางอยู่ตรงหน้า มาม่าผัดที่ยังอยู่เต็มจานวางอยู่ข้างๆ หน้าที่กำลังนิ่วและคิ้วที่กำลังขมวดเของอาสาวหมือนคิดอะไรไม่ตก หญิงสาวเดินเข้าไปทรุดกายลงนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยถามยิ้มๆ

“อาแหนมทำไมนั่งทำหน้าแบบนี้ล่ะคะ เขียนนิยายไม่ออกหรือคะ”

“ใช่จ้ะ เขียนบทเอ้อ..เลิฟซีนไม่ออก” อินทิราสารภาพด้วยสีหน้าขัดเขิน คิ้วเรียวเริ่มคลายออกเมื่อเห็นหน้าหลานสาวคนสวย

“นิยายของอาแหนมมีบทเลิฟซีนด้วยหรือคะ แล้วเอาประสบการณ์ที่ไหนมาเขียน?” หลานสาวเอ่ยถามเสียงสูง แม้จะรู้มาว่าอีกฝ่ายเขียนนิยายรักแต่คิดว่าเป็นแนวเรียบร้อย น่ารัก กุ๊กกิ๊ก เหมาะกับบุคลิก และตัวเธอเองเป็นคนไม่ชอบอ่านนิยายพวกนี้เสียด้วยเลยไม่ได้ใส่ใจกับงานของผู้เป็นอานัก

“มีสิ! น้ำอิงคงไม่รู้สินะว่านิยายของอาน่ะมีคนอ่านเยอะ พิมพ์ครั้งเดียวไม่พอต้องพิมพ์ซ้ำด้วยนะจ๊ะ ลองเอาหนังสือของอาไปอ่านสักเล่มแล้วจะติดใจจ้ะ” อินทิราเอ่ยโอ้อวดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ จากนั้นก็เอ่ยเสียงอ่อยๆ ระคนเก้อเขินตามออกมา

“ส่วนที่น้ำอิงถามว่าอาเอาประสบการณ์ที่ไหนมาเขียน อ่านมาจากพวกนิตยสารของต่างประเทศบ้าง และก็จินตนาการเอาเองบ้างจ้ะ”

“อ่านมาจากนิตยสารน้ำอิงคิดว่าคงไม่แปลกหรอกค่ะ แต่จินตนาการเองนี่สิอาแหนมคิดไปได้ยังไงคะ” อิงลดาถามและมองหน้าอาสาวด้วยความงุนงงระคนสงสัย เพราะแฟนก็ไม่มีแล้วเอาอะไรไปจินตนาการ

เฮ้อ! ช่างสามารถจริงๆ คุณอา สงสัยคงต้องเอาหนังสือไปลองอ่านบ้างแล้ว!

“เอาล่ะ! คิดได้หรือไม่ได้อาก็เขียนหนังสือมาตั้งหลายเล่มแล้วล่ะจ้ะ แต่ตอนนี้พักเรื่องเขียนไม่ออกไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่น้ำอิงกินอะไรมาหรือยัง ว่าวันนี้อายังไม่ได้ทำกับข้าวเลยได้แต่ผัดมาม่ากิน” อินทิราเอ่ยออกมาหน้าเจื่อนๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วงน้ำอิงหรอกค่ะ วันนี้กินข้าวที่บ้านพี่แจงมาแล้ว แล้วมาม่าผัดเนี่ยอาแหนมก็ยังไม่ได้กินเลยนี่นา เดี๋ยวก็พาลเป็นลมไปหรอกจ้ะ” หลานสาวเตือนด้วยความเป็นห่วง

“อ๋อ! คนที่น้ำอิงไปรับมาจากสนามบินน่ะหรือจ๊ะ” อินทิราเอ่ยถามแล้วก็หันมาจัดการกับผัดมาม่าในจานจนหมด หลังจากมัวแต่นั่งคิดเรื่องบทเลิฟซีนจนกระทั่งแม้แต่อาหารก็ยังไม่ได้แตะต้อง

“ใช่ค่ะ นอกจากนี้นะคะวันนี้น้ำอิงยังเจอผู้ชายปากเสียที่สนามบินอีก และบังเอิญเป็นคนที่รู้จักและคุ้นเคยกับพี่แจงดีด้วยนะอาแหนม ทำไมโลกเรามันถึงได้กลมจนน่าประหลาดใจแบบนี้ก็ไม่รู้” อิงลดายังบ่นเรื่องนี้ไม่เลิก

“แต่โลกเรามันก็กลมจริงๆ อย่างที่น้ำอิงว่าแหละจ้ะ เพราะเรามักจะเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดได้อยู่เสมอ แล้วเขามาว่าอะไรน้ำอิงหรือจ๊ะถึงได้ดูโกรธเขานักหนา” ผู้เป็นอาเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าขึ้งโกรธของหลานสาวยามพูดถึง

“คนอะไรไม่รู้นอกจากชื่อจะโบร่ำโบราณแล้ว หน้าตายังเหมือนโจรห้าร้อยเข้าไปอีก” หลานสาวตอบไม่ตรงคำถามแต่ยังคงพร่ำบ่นไม่หยุด จนผู้เป็นอาอมยิ้มด้วยความขบขันเพราะไม่ค่อยเห็นกิริยาอย่างนี้ของหลานสาวนัก จึงเอ่ยถามออกไปเหมือนเป็นการชวนคุยมากกว่าจะสนใจถามอย่างจริงจัง

“โบราณยังไงหรือจ๊ะ”

“แล้วชื่อลอราชอาแหนมว่าเชยหรือเปล่าล่ะคะ ยังกับชื่อของพระลอในเรื่องพระเพื่อนพระแพงของอาแหนมที่น้ำอิงเคยอ่าน” อิงลดาบอกผู้เป็นอาเสียงขุ่น และพลันหน้าตาของคนที่ถูกพาดพิงถึงก็ลอยเด่นมาให้เห็นทันทีเ จึงไม่ทันได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนฟัง

“ลอราช!”อินทิราทวนคำเหมือนรู้จักบุคคลที่ถูกเอ่ยถึง จนหลานสาวจ้องมองอย่างสงสัยจนต้องเอ่ยถาม

“อาแหนมรู้จักคนคนนี้ด้วยเหรอคะ”

“ปละ เปล่าหรอกจ้ะ” ปากบอกว่าเปล่าแต่ภายในใจนั้นหวนคิดไปถึงสมัยตอนเรียนมัธยมขึ้นมาทันควัน คงจะไม่มีใครชื่อซ้ำกันขนาดนี้หรอกน่า และหูก็ได้ยินหลานสาวเอ่ยต่อไปอีก

“ที่สำคัญเพื่อนสนิทของนายลอราชดันเป็นน้องชายของพี่แจงด้วยนะคะ นี่แหละค่ะโลกกลมที่น้ำอิงว่า”

“เพื่อนเขาชื่อภูวดลหรือเปล่าจ๊ะ” อินทิราถามออกไปอย่างลืมตัวด้วยท่าทางเผลอไผล

“ใช่ค่ะ แต่อาแหนมรู้ได้ยังไงคะ” คราวนี้อิงลดาจึงสังเกตเห็นอากัปกิริยาของผู้เป็นอาที่ผิดแผกแปลกไป

“อาคิดว่าคงไม่ผิดตัวหรอกจ้ะ เพราะสองคนนี้เขาเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ชื่อเล่นยังคล้ายๆ กันอีก คือเรนกับเคน ตรงตามที่อาบอกหรือเปล่าล่ะจ๊ะ” และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดที่พูดอยู่เมื่อครู่ก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อได้ยินคำตอบของหลานสาว

“ใช่ค่ะ แสดงว่าอาแหนมรู้จักสองคนนี้จริงๆ เฮ้อ! ” อิงลดาถอนหายใจก่อนจะนึกได้และเอ่ยถามออกมา

“อาแหนมไปรู้จักสองคนนี้ได้ยังไง ดูแล้ววงจรชีวิตไม่น่าจะวนเวียนมาเจอกันได้เลยนะคะ”

ผู้เป็นอาของเธอนั้นเรียนโรงเรียนสตรีมาโดยตลอด เรียนก็จบจากคณะอักษรศาสตร์ที่มีผู้ชายเรียนน้อยมากอีกต่างหาก แล้วจะไปเจอสองหนุ่มที่ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้เลย

“อาไม่ได้รู้จักเขาอย่างเป็นทางการหรอกจ้ะ สองคนนี้เป็นนักฟุตบอลชื่อดังของโรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนที่อาเรียนอยู่ เพื่อนๆ ของอาพากันไปเชียร์โดยลากอาไปด้วยแทบทุกครั้ง พวกเขาเป็นขวัญใจของนักเรียนสาวๆ ในสมัยนั้น ใครไม่รู้จักสองคนนี้จะถือว่าเชยทีเดียวเลยจ้ะ”

อินทิราไม่ได้เล่าความจริงให้หลานสาวฟังทั้งหมด ว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในสาวๆ เหล่านั้นเหมือนกัน ทว่าเป็นการแอบชื่นชมเงียบๆ ไม่แสดงออกให้ใครรู้แม้แต่ในกลุ่มเพื่อน และเป็นเอามากจนถึงขั้นแอบรัก เพราะสองหนุ่มคนดังเคยมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนสนิทของเธอด้วย

ไม่คิดเหมือนกันว่าอาการปั๊ปปี้เลิฟที่เกิดขึ้นในวันนั้น จะส่งผลให้ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถลืมเขาได้เลยด้วยซ้ำ การแอบรักข้างเดียวนี่มันช่างทรมานใจดีจริงๆ

“น้ำอิงก็รู้ว่ารูปร่างหน้าตาอย่างอาคงไม่เป็นจุดสนใจของเขาหรอกจ้ะ” น้ำเสียงของอินทิราที่เอ่ยออกมานั้นหางเสียงมีแววคล้ายดั่งน้อยใจ

“ทำไมอาแหนมคิดแบบนั้นล่ะคะ ใครมาว่าอาของน้ำอิงไม่สวยจะตบปากให้” อิงลดาพูดด้วยสีหน้าขึงขังและพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสะบัดๆ

“อย่างคุณเคนน่ะน้ำอิงเชื่อว่าปัจจุบันก็คงเป็นขวัญใจสาวๆ อยู่เหมือนเดิม แต่นายลอราชนั่นสิ! น้ำอิงไม่อยากเชื่อเลย เพราะหน้าตาไว้หนวดเคราราวกับโจร แถมมีพวกบอดี้การ์ดคอยติดตามอีกนะคะ ทำยังกับพวกมาเฟียในหนังเลยค่ะอาแหนม ”

แม้จะรู้ว่าความคิดของเธอมันลำเอียงชัดๆ แต่เธอไม่ชอบหน้าเขานี่นา แล้วที่น่าโมโหยังมาพูดเป็นทำนองข่มขู่เธออีก

นอกจากหน้าตาจะเหมือนโจรยังทำตัวยังกับเป็นพวกนักเลงอีก!

“น้ำอิงอคติกับเขาไปหรือเปล่า อย่าลืมนะส่วนมากผู้หญิงมักชอบผู้ชายหน้าตาดิบๆ เถื่อนๆ นะจ๊ะ และส่วนมากคนดังๆ รวยๆ เขามักจะมีบอดี้การ์ดกันอยู่แล้วจ้ะ ไม่เห็นจะแปลก” อินทิราพูดจากประสบการณ์การเขียนนิยายของเธอเอง เพราะถ้าเรื่องไหนเขียนให้พระเอกบุคลิกเป็นแบบที่เธอพูด คนอ่านจะชอบมากเป็นพิเศษ ยิ่งพระเอกใจร้าย ใจดำ แสนเอาแต่ใจกับนางเอก ยิ่งมีบทตบๆ จูบๆ มากเท่าไหร่คนอ่านก็ยิ่งชอบ และที่สำคัญหนังสือจะขายดีตามมา

“ช่างเถอะ เราอย่าไปพูดถึงเขาเลย หวังว่าคงจะไม่มาเจอะเจอกันอีกหรอกค่ะ” อิงลดาเอ่ยตัดบทจากนั้นก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำและนอนหลับพักผ่อน ส่วนอินทิราในเวลานี้นอกจากจะเขียนนิยายไม่ออกแล้ว ยังมีแต่เรื่องของคนที่เธอเคยแอบรักอยู่เต็มสมองไปหมด จนแทบอยากร้องกรี๊ดระบายความรู้สึกออกมาดังๆ


รถบีเอ็มดับบลิว Z4 สมรรถนะเยี่ยม ทันสมัย โฉบเฉี่ยวปราดเปรียวสมกับรูปลักษณ์สีเหลืองลออ ที่ภูวดลกำลังนำพาเครื่องยนต์สองร้อยยี่สิบแรงม้า พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงตรงไปยังปากช่องโดยมีลอราชนั่งอยู่เบาะโดยสารด้านข้าง มีรถยนต์บีเอ็มดับบลิวสีดำซึ่งมีดอนกับแดนขับตามหลังมาไม่ห่างอีกคัน

“แหม! ไอ้เคน ตกลงแกจะเป็นนักแข่งรถหรือไงวะดูขับรถเข้า” ลอราชเอ่ยปากค่อนขอดผู้เป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ของรถที่ขับหรือสีของตัวรถ

“ไม่ได้หรอกว่ะ ต้องขับรถแบบนี้แหละถึงจะเหมาะ แกก็รู้ว่าฉันทำหนังสือเกี่ยวกับความเซ็กซี่ของผู้หญิง ดังนั้นรถที่ขับก็ต้องโฉบเฉี่ยวไฉไลหน่อยไม่งั้นมันจะไม่เข้ากัน” คำตอบแบบกำปั้นทุบดินขอภูวดลทำให้ลอราชต้องส่ายหน้า

“ฉันไม่เห็นชอบเลย รถคันเล็กๆ อย่างฉันต้องพวกรถฮัมเมอร์โน่นถึงจะเหมาะ” รถที่ลอราชเอ่ยถึงเป็นพวกรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่ที่เขากำลังมองๆ หาไว้ใช้อยู่

“เออ! รถแบบนั้นมันเข้ากับหน้าโหดๆ เถื่อนๆ ของแกนั่นแหละ ฉันไม่เข้าใจเลยว่ะทำไมต้องไว้หนวดไว้เคราเป็นโจรห้าร้อยแบบนี้ด้วยวะ หน้าตาแกน่ะโกนหนวดออก แม้แต่ดาราที่ว่าหล่อๆ ยังแพ้แกเลยว่ะ” ภูวดลเอ่ยพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจในตัวเพื่อนสนิทนัก ชำเลืองมองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้ากับเสื้อโปโลสีดำที่แบะอกให้เห็นไรขนประปราย พร้อมทั้งขาขาวๆ ที่เต็มไปด้วยขนขาที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามของเพื่อนแล้วอมยิ้ม

“ขาของแกนี่ขาวกว่าหน้าของผู้หญิงบางคนเสียอีกนะไอ้เรน เสียแต่ขนมันเยอะไปหน่อยเท่านั้น”

“แกไม่ต้องมาทำเป็นว่าฉันหรอกน่า ของแกก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉันหรอก” ลอราชพูดพร้อมกับมองการแต่งกายเพื่อนที่แต่งตัวไม่แตกต่างจากเขานัก เพียงแต่เปลี่ยนจากกางเกงขาสั้นเป็นยีนส์เท่านั้น ถึงแม้จะไม่เห็นขนที่ขาแต่ขนที่แขนก็มีไม่น้อยไปกว่าเขานัก และเหลือบเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ตรงข้างๆ ประตูรถ จึงหยิบขึ้นมาดูมองชื่อเรื่อง ‘รักซ้อนซ่อนเสน่หา’ บนหน้าปก และก็หันไปถามเพื่อนอย่างแปลกใจ

“แกอ่านหนังสือนิยายรักพวกนี้ด้วยหรือวะ”

“ฉันแวะไปที่สำนักพิมพ์แล้วพนักงานเอามาให้อ่านว่ะ ตอนนี้พ่อฉันให้ดูแลที่นั่นด้วย และหนังสือเล่มนี้เป็นเบสท์เซลเลอร์ของสำนักพิมพ์ฉันโว๊ย พิมพ์ครั้งที่ห้าแล้ว”

“แกเป็นบอกอหรือไงถึงต้องอ่านหนังสือพวกนี้ด้วย”

“ถึงฉันไม่ได้เป็นแต่เป็นคนดูแลโว๊ย ดังนั้นต้องรู้เรื่องหนังสือในสำนักพิมพ์ด้วย ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าหนังสือเล่มนี้ทำไมถึงขายดีนัก จะลองเอามาอ่านดู”

“คนแต่งชื่อ ‘ซ่อนรัก’ ชื่อแปลกดีว่ะไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” ลอราชเอ่ยอย่างกังขาทว่าเมื่อเหลือบเห็นคำว่าสิบแปดบวกที่ด้านหลังปกก็ถึงกับหัวเราะลั่น

“ทำไมต้องเป็นสิบแปดบวกแสดงว่าต้องเป็นหนังสือที่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดอ่านแน่นอน”

“นั่นสิ! ฉันถึงอยากรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ทำไมถึงขายดีนัก” ภูวดลรำพึงขึ้นมาเบาๆ

“เท่าที่ฉันถามจากคนในสำนักพิมพ์ หนังสือสิบแปดบวกไม่ใช่เป็นหนังสือต้องห้ามอะไรอย่างที่เขียนไปนัก เพียงแต่ในปัจจุบันถ้าในเล่มมีบทเลิฟซีนต้องมีคำนี้ประกอบไปด้วยเท่านั้น”

“แต่ชื่อเรื่องก็บ่งบอกแล้วว่าเป็นนิยายรัก” ลอราชพูดก่อนจะวางหนังสือไว้ที่เดิมอย่างไม่สนใจนัก

“ฉันเองข้องใจเรื่องชื่อของนักเขียนไม่แตกต่างจากแกหรอกว่ะ อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ต้องลองเข้าไปอ่านในเล่มดูว่ะ”


เกือบห้าโมงเย็นรถสปอร์ตคันงามจึงแล่นเข้าสู่ภายในบริเวณบ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงพูลลาภ อังคะกุล ผู้เป็นบิดาของลอราช ซึ่งเป็นเจ้าของไร่สตอเบอรี่ที่ใหญ่ที่สุดที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมทั้งไร่ส้มที่จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมระดับห้าดาวหลายแห่งในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญๆ อีกด้วย

เรือนไทยหลังงามสร้างจากไม้สักทองทั้งหลังเป็นแบบกึ่งรีสอร์ต ด้านหน้าเป็นกาเลแบบทางเหนือ ทว่าเมื่อผสมกันออกมาแล้วกลับดูสวยงามแปลกตา เพราะมีกลิ่นอายของความสมัยใหม่กับเก่าปนเปกลมกลืนกันจนแยกไม่ออก รอบๆ ตัวบ้านเต็มไปด้วยแปลงไม้ดอกที่เจ้าของบ้านปลูกไว้และกำลังผลิดอกงามสะพรั่ง ไหวเอนล้อสายลมที่กำลังพัดโบกสะบัดอยู่ไปมาอย่างไม่ขาดสายทั้งยังส่งกลิ่นหอมระรินโชยมาตามลม

ท่ามกลางบรรยากาศเย็นยะเยือกของช่วงปลายฝนต้นหนาว และยังรายล้อมไว้ด้วยเทือกเขาดงพญาเย็นที่ทอดยาวจนสุดสายตา จนสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างชัดเจน ก้อนเมฆสีขาวลอยเรี่ยลงต่ำจนคล้ายจะสัมผัสด้วยมือได้ ฝูงอีกาสีดำมืดบินเกาะกลุ่มกันอยู่บนท้องฟ้ากำลังพากันบินกลับรัง บางส่วนก็บินกันเป็นคู่ๆ พร้อมกับส่งเสียงร้องดังก้องให้รู้ว่าเวลายามเย็นได้มาเยือนแล้ว

“อากาศเย็นยะเยือกดีจังว่ะไอ้เรน” ภูวดลพูดเสียงสั่นขณะยกมือขึ้นกอดอก

“นั่นสิ บางครั้งคนไทยเราก็แปลกนะ บ้านเมืองเรามีที่ให้เที่ยวออกเยอะแยะ แถมยังสวยงาม อากาศก็ดีสุดๆ แบบนี้ก็ยังสรรหาไปเที่ยวต่างประเทศกัน” ลอราชพึมพำเบาๆ

“แกพูดเหมือนไม่ได้เพิ่งมาจากต่างประเทศยังงั้นแหละ”

“ฉันเพิ่งค้นพบสัจธรรมไง ถึงได้กลับมาไงวะ”

ลอราชพูดจบก็แหงนหน้าสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ที่พัดพามาจากยอดเขาและสูดเข้าสู่ปอดอย่างชื่นอกชื่นใจ ยกกล้องถ่ายรูปคู่ใจในมือขึ้นถ่ายภาพวิวยามเย็น ที่เวลานี้แสงและสีสวยงามเป็นไปเองโดยธรรมชาติไม่จำเป็นต้องปรับมุมกล้องแต่อย่างใด พร้อมกับเก็บภาพกลุ่มอีกาและบรรดานกต่างๆ ที่บินอยู่บนท้องฟ้า

“ฉันเพิ่งได้เห็นอีกาชัดๆ ก็คราวนี้แหละว่ะ และไม่สงสัยเลยว่าทำไมคนเราถึงได้เปรียบเปรยกันว่าอย่าใจดำเหมือนอีกา” ภูวดลที่พาตัวเองมายืนเคียงข้างเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ขณะมองอีกาคู่หนึ่งบินมาเกาะบนต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ที่ยืนอยู่จนมองเห็นตัวดำๆ ของมันได้อย่างชัดเจน

“ทำไมหรือวะ” ถามเพื่อนทั้งยังไม่ละสายตาจากทิศทัศน์บนท้องฟ้าซึ่งกำลังบรรจงถ่ายอยู่

“ตอนแรกฉันนึกว่าอีกาจะดำแค่ปีกแค่นั้นไง ไม่นึกว่าจะดำทั้งตัวแบบนี้ ก็สมแล้วที่ถูกเอามาเปรียบเทียบ” ผู้เป็นเพื่อนตอบเสียงขำๆ

“ถ้าแกไม่พูดฉันไม่เคยสังเกตเหมือนกัน” ลอราชละสายตาจากกล้องถ่ายรูปหันมองตามสายตาของเพื่อนไปยังอีกาคู่นั้น ก่อนจะหันมองเลยไปทางดอนกับแดนคนสนิทคู่ใจ ซึ่งกำลังช่วยกันรื้อของฝากจากท้ายรถง่วนอยู่แล้วจึงพูดกับภูวดล

“ฉันว่าอากาศที่นี่ดีกว่ากรุงเทพอย่างเทียบกันไม่ติด” พลางมองบรรยากาศรอบตัวซึ่งเวลานี้ดวงอาทิตย์กำลังใกล้จะลับขอบฟ้า อากาศดูเหมือนจะยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ ผิดกับในกรุงเทพ ที่เขาเพิ่งเดินทางจากมาราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

“นั่นสิ! ถ้าเป็นในกรุงเทพตอนนี้ยังร้อนอยู่เลย บางวันร้อนจนถึงใกล้หกโมงโน่น” ภูวดลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“บ้านแกน่าอยู่จริงๆ นะไอ้เรน ดูทุกอย่างที่นี่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยตอนฉันมาเมื่อหลายปีก่อนเลย” ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้าน ซึ่งเขารู้ว่าอาณาเขตที่ติดต่อกับบ้านหลังนี้นั้นเป็นกิจการของครอบครัวเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมกึ่งรีสอร์ต ฟาร์มโคนมและสุดท้ายโรงผลิตไวน์รสชาติเยี่ยมซึ่งกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนี้

ทว่าสิ่งสะดุดสายตาและทำให้อดมองอย่างหมั่นไส้ไม่ได้เมื่อยามเห็น คงไม่พ้นป้ายสีน้ำตาลเข้มอันใหญ่ที่เขียนเป็นตัวหนังสือหวัดอย่างวิจิตรงดงามซึ่งติดไว้ด้านหน้าทางเข้าด้วยคำว่า ‘เรือนลอราช’

“หมั่นไส้จังว่ะ แหม! เรือนลอราช ยังกับเป็นเจ้าทางเหนือต้องมีชื่อติดไว้หน้าคุ้ม เออ! จริงสิ ลืมไปว่าแม่แกมีเชื้อเจ้าทางเหนือด้วยนี่หว่า” ภูวดลแบะปากค่อนขอดเพื่อนอย่างหมั่นไส้ทุกครั้งที่มาที่นี่ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นแล้ว

ส่วนคนถูกค่อนขอดเมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายของเพื่อนก็หน้าสลดลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด จนคนเอ่ยแซวรู้สึกตัว เพราะเจ้าสร้อยดาริกาผู้เป็นแม่ของลอราชเสียชีวิตไปตอนผู้เป็นเพื่อนไปเรียนต่างประเทศปีแรก ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องทำหน้ามีลับลมคมในแล้วจึงเอ่ยกระเซ้าออกไป

“แล้วถ้าแกแต่งงานเรือนนี้ก็ต้องมีชื่อเมียของแกด้วยสิวะ ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเรือนลอราชอิงลดาหรืออิงลดา ลอราชดีล่ะ”

และคำพูดพาดพิงหญิงสาวจ้าของนามอิงลดาของเขาก็ได้ผล เมื่อสีหน้าของเพื่อนสนิทที่สลดลงเมื่อครู่เปลี่ยนไป และเอ่ยโต้ตอบออกมาทันควัน

“แกจะไปพูดถึงผู้หญิงคนนั้นทำไมวะ” ช่างภาพหนุ่มคนดังอยากจะตะบันหน้าเพื่อนสนิทสักทีสองที เพราะสมองเจ้ากรรมของเขาพอได้ยินเพื่อนเอ่ยถึงชื่อหญิงสาวคนนี้ขึ้นมา หน้าสวยๆ แต่งอง้ำของเจ้าหล่อนก็ลอยมาให้เห็นในทันใด ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาให้จดจำและระลึกถึงมากมายก่ายกอง ทำไมต้องมาเจาะจงเป็นผู้หญิงที่มองเขายังกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อนด้วย ขณะกำลังจะเอ่ยปากด่าเพื่อนออกไปอีกก็เห็นสตรีกลางคนหน้าตางดงาม เดินลงมาจากบนบ้านและร้องทักด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ

“เรนของป้ากลับมาแล้วจริงๆ ด้วย” แล้วจึงตรงเข้าสวมกอดร่างสูงใหญ่ด้วยความคิดถึงพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาไม่หยุด จนหน้าหนวดๆ ของคนถูกหอมแดงระเรื่อด้วยความอายเพื่อนที่ยืนมองมายิ้มๆ

“เรนก็คิดถึงป้านวลครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับโอบกอดร่างท้วมของคุณนวลตอง พี่สาวของบิดาที่เป็นคนช่วยเลี้ยงเขามาแต่เล็กแต่น้อยด้วยความคิดถึงไม่แพ้กัน เพราะมารดานั้นร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอดตั้งแต่คลอดตัวเขามา

“พ่อเราบอกจะมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ ทำไมเรนถึงเพิ่งมาล่ะ รู้ไหมป้ารอมาหลายวันแล้ว บาปกรรมจริงๆ หลอกให้คนแก่รอ” นอกจากเสียงบ่นยังมีน้ำหูน้ำตาไหลตามมาด้วย จนลอราชต้องยกมือขึ้นไหว้และเอ่ยขอโทษ

“ของโทษนะครับป้านวลเรนก็กลับมาแล้วนี่นา” ท่าทางและน้ำเสียงออดอ้อนที่ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวแถมหน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเคราแสดงต่อหญิงกลางคน ทำให้ผู้ชมหลายคนถึงแอบยิ้ม เพราะไม่ค่อยมีใครเห็นท่าทีแบบนี้บ่อยนัก

“ดูสิ! แล้วทำไมไว้หนวดไว้เครายังกับมหาโจรแบบนี้ล่ะคะ ป้าไม่ชอบเลย โกนออกซะมันจั๊กจี้” คุณนวลตองเมื่อได้กอดได้หอมก็ค่อยคลายความคิดถึงลง แม้ดวงตาจะยังรื้นไปด้วยน้ำตาขณะพูดกับคนในอ้อมแขนก็ตาม

“เรื่องหนวดเอาไว้ก่อนนะครับ ป้านวลสบายดีหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มรู้สึกผิดไม่น้อยที่ช่วงเวลาที่ผ่านมามัวแต่บ้าทำงานจนไม่ค่อยได้กลับเมืองไทย

“ไม่สบายหรอกจ้ะ คิดถึงเรนนั่นแหละ พ่อเราก็เหมือนกันทำเป็นบ่นแต่ป้าก็รู้ว่าคงคิดถึงลูกชายมาก ป้าแอบเห็นชอบไปยืนซึมๆ ต่อหน้ารูปแม่ของเรนเสมอจ้ะ”
แม้ช่วงหลังๆ จะติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เนท ที่สามารถเห็นหน้าเห็นตากันทำให้คลายความคิดถึงลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่เหมือนกับได้คุยตัวเป็นๆ อย่างในขณะนี้

“สวัสดีครับป้านวล จำผมได้หรือเปล่าครับ” ภูวดลเอ่ยทักขัดจังหวะขึ้น หลังจากยืนดูละครบทโศกมาพักใหญ่ เพราะถ้าขืนให้คุยกันต่อไปอาจจะมีภาคต่ออย่างแน่นอน

“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะจ๊ะ ป้าเห็นตัวติดกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่แหมพอเรนไม่อยู่ไม่เห็นมาเที่ยวที่นี่เลยนะ” คุณนวลตองเอ่ยต่อว่าพลางส่งค้อนให้ ภูวดลเมื่อถูกถามแบบนี้ก็ไปไหนไม่ถูกเหมือนกัน เพราะไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ เลยได้แต่อึกๆ อักๆ

“สวัสดีครับคุณนวล” เสียงฝาแฝดที่ยืนหิ้วของฝากพะรุงพะรังเอ่ยทักเหมือนช่วยชีวิต

“สวัสดีจ้ะพ่อแฝด” คุณนวลตองเอ่ยทักคนสนิทของหลานชายคนโปรดพร้อมกับรับไหว้ ทั้งคู่เป็นบุตรชายของดำรงศักดิ์ ซึ่งเป็นคนสนิทของน้องชายซึ่งเปรียบประดุจญาติสนิท ก่อนจะหันไปส่งเสียงดุ

“ป้าเคยบอกให้เรียกว่าป้านวลเหมือนเรน ทำไมไม่ยอมเรียกซะทีล่ะ”
ดอนกับแดนไม่ตอบได้แต่ยิ้มรับเฉยๆ ตามสไตล์ จนคุณนวลตองคร้านที่จะพูดเรื่องนี้อีก รีบชักชวนให้ทุกคนขึ้นไปบนบ้าน ที่ตอนนี้คนในบ้านต่างโผล่หน้ากันสลอนเพื่อรอทักทาย และชายหนุ่มต้องหยุดคุยกับคนเหล่านี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเก่าแก่ที่อยู่กันมาตั้งแต่เขายังเด็กแทบทั้งนั้น

“แล้วพ่อเลี้ยงล่ะครับป้านวล” หลังจากทรุดกายลงนั่งข้างๆ ผู้เป็นป้า ลอราชก็เอ่ยถามถึงบิดา

“เดี๋ยวป้าก็ตีซะหรอก เรียกพ่อเขาแบบนั้นอีกแล้วนะ เด็กคนนี้นี่” ปากบอกว่าจะตีแต่ก็ฟาดลงมาเรียบร้อยแล้ว ภูวดลถึงกับหัวเราะลั่นออกมา เมื่อเห็นเพื่อนนั่งลูบแขนป้อย

“ป้านวลครับ เรนอายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะครับ ไม่ใช่เจ็ดขวบ” หลานชายโอดครวญเสียงอ่อย

“จะอายุเท่าไหร่ก็ช่างเหอะ เรนก็ยังเป็นเด็กเสมอในสายตาป้า ส่วนพ่อเราน่ะเดี๋ยวคงมาหรอกจ้ะ เห็นบอกกับป้าว่าออกไปดูไร่องุ่น มีคู่แข่ง คนอิจฉาก็แยะ ช่วงนี้มีเรื่องเยอะ เรนเตือนๆ พ่อให้ระวังตัวด้วยบ้างนะ ป้าพูดจนปากแทบฉีกแล้ว”
ผู้เป็นป้าเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะให้เด็กในบ้านนำข้าวของไปเก็บ และเลยเดินเข้าไปในครัวดูอาหารต้อนรับหลานชายคนโปรด



ฐิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2556, 21:49:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.พ. 2556, 21:49:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 5631





<< ตอนที่ 3 เกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง   
ใบบัวน่ารัก 19 ก.พ. 2556, 07:27:02 น.
อยากให้ร่วมงานกันเร็วๆ


nunoi 22 ก.พ. 2556, 11:16:57 น.
เอ๊ะ อาแหนม แอบรัก นายเคน หรือ นายเรน หล่ะเนี๊ยะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account