ปลูกรักริมใจ
นาถนพินนักเขียนนวนิยาย เดินทางกลับมาบ้านเกิดที่ประเทศไทยอีกครั้งหลังบิดาเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา ดินแดนอันไกลโพ้นที่เธอใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่นั้น...การกลับมาครั้งนี้คือการตั้งหลักถาวร ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจ สร้างบ้านหลังใหม่ ริมทะเลสาบอันเงียบสงบ โดยมีญาติผู้พี่คอยจัดการเป็นธุระให้...
และวิศวกรโยธาชื่อ กรกฎเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างทั้งหมด...วิชาชีพอันน่าทึ่งของเขานอกจากจะสร้างอาคารสูงเสียดฟ้าได้แล้ว...เขายังสร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในหัวใจของเธอได้ด้วย

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน:

บทที่ 2

ร่างสูงใหญ่ที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับเครื่องถ่ายเอกสารดูจะเริ่มหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อเครื่องนั้นเกิดงอแงขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เฮ้ย!เป็นไรวะ ยิ่งรีบๆอยู่นะโว้ย” กรกฎตบเครื่องถ่ายเอกสารดังปังเมื่อไม่ได้ดังใจ ร้อนถึงสตรีร่างท้วมผิวพุทธายังสุกไม่ได้ที่ ต้องรีบลุกจากโต๊ะทำงานมาห้ามศึกก่อนจะเกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่
“เดี๋ยวๆพี่ปูจ๋าใจเย็นๆสิจ๊ะ เครื่องถ่ายเอกสารวันนี้อาจจะสลึมสลือนิดหนึ่ง..เมื่อคืนคงจะปาร์ตี้หนักไปหน่อย” ตวงตาดึงแขนอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกมา หล่อนดึงถาดกระดาษออกอย่างคล่องแคล่ว ด้วยใช้งานอยู่ทุกวันจึงรู้ว่า ‘ปัญหา’ อยู่ตรงไหน
“เออ…เก่งวะ...รู้งี้ใช้ไอ้ตาถ่ายให้เสียแต่แรกก็ดี” ชายหนุ่มเอ่ยชมดวงหน้าคมค่อยคลายปมยุ่งลง พลางรับเอกสารแผ่นเจ้าปัญหาจากมืออีกฝ่าย
“แล้วก็ไม่บอกนึกว่าแน่ เห็นเดินรี่เข้าไปถึงก็กดเลย” หญิงสาวพูดพลางค้อนให้วงใหญ่
“ก็ทุกวันไม่เห็นเป็นอะไรนี่หว่า” กรกฎบอกเสียงอุบอิบเก็บเอกสารเข้าใส่กระเป๋า
“อ้าว!จะไปเลยหรือพี่ปู ไม่รอพี่ฉายออกจากห้องประชุมก่อนเหรอ”
“ไม่ดีกว่าว่ะ...มีอะไรโทรศัพท์คุยเอาแล้วกัน สายมากแล้วเดี๋ยวลูกค้ารอตาย”
กรกฎฉวยกระเป๋าเอกสารเดินออกจากออฟฟิศไป วิศวกรหนุ่มต้องส่งมอบงานให้ลูกค้าภายในวันนี้ เนื่องจากโรงงานที่สมุทรสาครได้เสร็จสิ้นลงแล้วตามสัญญาจ้าง ชายหนุ่มก้าวยาวๆไปที่รถยนต์ส่วนตัวที่จอดอยู่ ขับออกไปด้วยความเร่งรีบเกือบจูบเข้ากับรถแท๊กซี่ที่เลี้ยวเข้ามาพอดี
“เฮ้ย!ขับรถภาษาอะไรว่ะ” กรกฎสถบแต่ก็เบี่ยงหลบให้รถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้ามา เห็นผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังเพียงแวบ ด้วยรูปทรงหญิงสาวทำให้เขาอดคิดไปว่า
“เด็กใครหว่า!”


พื้นดินที่เคยว่างเปล่ามีเพียงหญ้าสีเขียวปกคลุม บัดนี้มีหลักหมุดสายระโยงระยางของเชือกและเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการก่อสร้างวางอยู่ นาถนพินทอดสายตามองบริเวณดังกล่าว งานก่อสร้างสำหรับ ‘บ้าน’ หลังแรกในชีวิตของเธอ.. พิธียกเสาเอกเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาววางใบเงิน ทอง นาก และเหรียญเงิน เหรียญทอง ลงไปในก้นหลุมของเสาเอก ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อให้เกิดสิริมงคล เมื่อพระสงฆ์เริ่มสวดชัยมงคลคาถา ประพรมน้ำมนต์ โปรยทรายเสก เจิมและปิดทองเสาเอก ขั้นตอนสุดท้ายก่อนเสร็จพิธี นาถนพินและเหล่าญาติช่วยกันโปรยข้าวตอกดอกไม้ลงสู่หลุมเสา
“หนูแดงเอาต้นกล้วยต้นอ้อยไปปลูกแถวริมรั้วด้านโน้นนะลูก จะได้เจริญงอกงาม” ป้าผ่องอำไพมารดาของอรุณฉายแนะนำหญิงสาวเป็นการเสี่ยงทายถึงความงอกงามของเจ้าของบ้าน ช่างเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในทันที หลังกระบวนการทางศาสนาได้สิ้นสุดลง
“แล้วนี้ปูยังไม่มาอีกหรือ?” อรุณฉายพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ด้วยวิศวกรโยธาผู้ควบคุมงาน ยังไม่ปรากฏกายให้เจ้าของบ้านได้รู้จัก
“โน่นไงเดินมาพอดี” ป้าผ่องอำไพบุ้ยใบ้ไปยังถนนคอนกรีตด้านหน้า เมื่อบุรุษร่างสูงใหญ่กำลังเดินตรงเข้ามา ชายหนุ่มยกมือไหว้มารดาของอรุณฉายซึ่งรู้จักดีอยู่แล้ว จากนั้นจึงเป็นคุณทวีพรเมื่อสถาปนิกหนุ่มแนะนำให้รู้จัก สุดท้ายคือนาถนพิน เขาเพียงแต่ก้มศีรษะเล็กน้อยด้วยวัยของหญิงสาว คงไม่ได้มากไปกว่าเขาอย่างแน่นอน
“พี่ฉายถามเรื่องแบบอีกที ตรงนี้จะให้ทำยังไง?” กรกฎเอ่ยถามหุ้นส่วนรุ่นพี่ การสนทนานั้นจึงเป็นเพียงเรื่องงานของบุรุษทั้งสอง ทำให้สตรีทั้งสามคนต้องเดินออกห่างออกไปยังร่มไม้ด้านหน้า ด้วยแสงแดดที่เริ่มส่องสว่างมากขึ้น ตามจำนวนเข็มนาฬิกาที่เริ่มหมุนเพิ่ม
“หนูแดงเอารถคันเล็กของป้ามาใช้ก่อนดีไม๊ลูกจะได้สะดวกเวลาไปไหนมาไหน..จะเข้ามาดูงานก่อสร้างบ้านเราบ่อยๆก็ได้ แถวนี้ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็เข้ามาลำบากเหมือนกันนะ” ป้าผ่องบอกกับหลานสาวพลางหยิบพัดเล็กในกระเป๋าออกมาคลี่ระบายความร้อนออกไป ด้วยอากาศต้นเดือนเมษายนดูอบอ้าวไม่น้อย
“แล้วคุณป้าจะมีรถใช้หรือคะ?” หญิงสาวย้อนถามสุ้มเสียงดูเกรงใจผู้อาวุโสไม่น้อย ความจริงเธอเองก็ตั้งใจเอาไว้เหมือนกันว่าเมื่อสร้างบ้านเสร็จคงต้องหารถยนต์มาใช้สักคัน เพราะโครงการที่ปลูกบ้านอยู่นั้น ค่อนออกมาทางชานเมือง รถประจำทางคงไม่สะดวกนักในเวลาอันเร่งรีบ ครั้นจะใช้บริการแท๊กซี่ตลอดข่าวคราวที่ได้รับรู้ตั้งแต่ยังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาทำให้หวาดหวั่นได้เหมือนกัน
“เดี๋ยวนี้ป้าไม่ได้ออกไปไหนบ่อยนักหรอก นานๆจะไปโน้นไปนี่เสียที ถ้าจะไปก็ให้นายฉายขับรถให้ก็ได้”
“ก็ดีนะลูก หนูแดงเอารถคุณป้ามาใช้สักพักหนึ่งก็ได้ใช้แต่แท๊กซี่มันเปลืองอยู่นะ” คุณทวีพรเอ่ยสนับสนุนบุตรสาว
“พรุ่งนี้หนูแดงก็เข้าไปที่บ้านเลยล่ะกัน...เอ๊ะ! ทำไมตาฉายคุยอะไรกันนานจริง จนป่านนี้ยังไม่เดินออกมา สายแล้วนะเนี่ยแดดก็ร้อน”
ท้ายประโยคคุณผ่องอำไพเอ่ยถึงบุตรชายคนโต
“หนูแดงเข้าไปตามให้ค่ะป้าผ่อง” นาถนพินรับอาสาหญิงสาวเดินเข้าไปบริเวณงานก่อสร้าง ช่างกำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเขมักเขม้น เธอเดินเข้าไปกระซิบบอกเบาๆกับญาติผู้พี่ เมื่อเห็นว่าทั้ง ‘สถาปนิกและวิศวกร’ กำลังปรึกษาหารือกัน
“ปูเขาติงว่าสระน้ำข้างห้องนั่งเล่นดูมันใหญ่ไป อาจจะมีปัญหาเรื่องดินเพราะต้องขุดให้ลึก กลัวจะกระทบถึงตัวบ้านในอนาคตเวลาดินมันทรุดตัวเต็มที่”
‘เจ้าของนามนั้น’ ตวัดสายตาคมมองคนตรงหน้า ผิวแก้มของหญิงสาวเนียนละเอียดเป็นสีระเรื่อราวกลีบกุหลาบ เพราะอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าวขึ้น เรือนผมยาวสีช็อกโกแลตดัดเป็นลอนคลายๆปล่อยสยายเคลียไหล่ เส้นผมบางส่วนปลิวคลอเคล้ากับสายลมที่พัดวูบไหวเข้ามาในยามนี้
“สระน้ำขนาดใหญ่ริมตัวบ้านมันสวยก็จริงอยู่ แต่นานวันเข้ามันจะสร้างปัญหาให้กับคุณ...อยู่ไปสักพักน้ำอาจซึมเข้าตัวบ้านทำให้บ้านทรุดตัวได้ อีกอย่างค่าบำรุงรักษาก็สูง… แค่ค่าจ้างคนมาล้างสระคุณก็อ้วกแตกแล้วล่ะ!”
ถ้อยคำนั้นแม้ผู้พูดจะไม่ได้ใส่อารมณ์อะไรมากมายนัก หากเจ้าของบ้านกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูกวนชอบกล น้ำเสียงของนาถนพินที่เปล่งออกไปจึงออกจะห้วนเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วขนาดเท่าไร...ถึงจะเรียกว่าพอดี”
“ก็แล้วแต่คุณกำหนด แต่ต้องไม่ใช่สเปคนี้...คุณกะจะว่ายสี่คูณร้อยเลยหรือไงครับ ถึงต้องสร้างสระใหญ่ขนาดนี้” วิศวกรหนุ่มมองดวงหน้าเรียวรูปไข่นั้นอีกครั้ง...ก็สวยดีอยู่หรอก...แต่ ‘จืดชืด’ เกินไปสำหรับรสนิยมของเขา
“ก้อ.…คุณเป็นวิศวกรจะไม่ให้คำแนะนำกับฉันบ้างหรือคะ” เจ้าของบ้านย้อนถาม
“แล้วถ้าผมแนะนำไป คุณจะทำตามหรือเปล่าล่ะ” ‘วิศวกร’ ย้อนศรบ้าง ดวงตาสีเข้มนั้นดูยิ้มเยาะ ถึงความไม่รู้ของอีกฝ่าย ผู้หญิงจะมารู้เรื่องก่อร่างสร้างแบบอะไรนักหนา
“ก็ลองบอกมาซิคะ ทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับการตัดสินในตอนสุดท้ายของฉัน” นาถนพินบอกย้ำเสียงหนัก ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเริ่มกรุ่นขึ้นทีละนิด
“ซื้อสระปูนเล็กๆมาเดี๋ยวผมให้ลูกน้องขุดให้ เลือกมุมตามใจชอบ ไม่ต้องมาขุดสระให้วุ่นวายผมเห็นมาหลายรายแล้วอยู่ไปซักพักวันดีคืนดีจะรื้อทิ้งเสียยังงั้น บอกว่าใหญ่ไปมั่งแหละ ไม่มีเวลาล้างมั่งล่ะ ไม่ใช่ผมไม่อยากได้งานนะคุณ แต่มันน่ารำคาญผมไม่ชอบมารื้องานเก่าแล้วทำใหม่…มันเซ็ง!” กรกฎบอกตรงประเด็น หากคนรับฟังชัก ‘ขุ่น’ หนักขึ้น ก็ในเมื่อเธอเป็นเจ้าของบ้านย่อมปราถนาให้ที่อยู่อาศัยขอตัวเป็นดั่งความฝันที่ตั้งไว้
“ฉันไม่ต้องการสระปูนอะไรแบบนั้น ฉันต้องการสระน้ำในแบบฉบับของตัวเอง...เพราะว่าฉันชอบน้ำมันชุ่มชื่นเวลามองเห็น” น้ำเสียงของหญิงสาวดูเด็ดเดี่ยว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวาววับ
“ความชุ่มชื่นของคุณอาจจะมาพร้อมกับปลวกรู้หรือเปล่า ที่ไหนชื้นที่นั้นปลวกถามหาทุกราย หน้าบ้านคุณก็มีทะเลสาบอันเบ่อเร่ออยู่แล้ว มันน่าจะเกินชุ่มชื่นแล้วนะ”
“เฮ้ย!เอางี้”
อรุณฉายตัดบทด้วยเห็นสีหน้าของญาติผู้น้องที่เริ่มแดงขึ้น ‘เจ้าน้องคนนี้’ มันเย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือก็จริงอยู่ หากแววตาขุ่นเขียวเยี่ยงนี้ แสดงว่า ‘เริ่มเดือด’ ส่วนหุ้นส่วนรุ่นน้องใครที่เคยร่วมงานด้วยมักเข้าใจ ในธรรมชาติของเจ้าตัวว่าบางครั้งก็ชอบยืม ‘ปากตูบมาเป็นปากตัว’
“หนูแดงเดี๋ยวพี่จะแก้แบบให้ใหม่ ย่อสระน้ำให้เล็กลงมาหน่อยจะได้ไม่ต้องขุดลึกมาก เอาแบบปลูกบัวเลี้ยงปลาหางนกยูงได้เป็นฝูง ยกเว้นแต่ปลาฉลามเท่านั้นแหละที่เลี้ยงไม่ได้” ญาติผู้พี่พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนขบขันเสียเต็มประดา ทำให้ดวงหน้าแดงเพราะริ้วอารมณ์เมื่อครู่ของสตรีเพียงหนึ่งเดียวนั้น คลายลง...เพียงหนึ่งขีด
“คุณลองเอาคำพูดของผมไปประกอบการพิจารณาดูนะครับว่าแท้จริงแล้ว คุณอยากได้สระหรืออยากได้อ่าง” กรกฎยังตอกย้ำทิ้งทวนกวนอีกฝ่ายให้หน้าแดงหนักขึ้น
“ฉันอยากได้สระค่ะ ไม่ใช่อ่าง!”
“เอาน่าหนูแดงสระก็สระงั้นก็กลับเลยล่ะกัน พี่จะขับรถไปส่ง ป่านนี้แม่กับน้าพรลมแดดถามหาแล้วมั้งเนี่ย...ร้อนจริงๆ” อรุณฉายกระตุกแขนญาติผู้น้องให้เดินตาม ก่อนจะหันไปบอกกล่าวล่ำลากับ ‘วิศวกรโยธา’


ช่วงเวลายามบ่ายของร้านอาหารแนวสมัยนิยม มุมเงียบๆสไตล์สีเอิร์ธโทนทำให้บรรยากาศรู้สึกอบอุ่น ด้วยลูกค้า ดูบางตา อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาบ่ายจัด ผู้คนรอบตึกที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงาน ยังอยู่บนอาคาร นาถนพินผลักประตูกระจกของร้านเข้าไป หญิงสาวกวาดสายตามองภายในเมื่อเห็นบุคคลที่นัดหมายจึงเดินตรงเข้าไปทักทาย
“คุณตั๋ง...มารอหนูแดงนานหรือยังคะ?” หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม
“ไม่นานหรอกครับ เพิ่มมาถึงเหมือนกัน”
บุรุษตรงหน้านั้นมีผิวขาวจัดอย่างลูกจีนทั่วไป ดวงตาคู่นั้นดูยิบหยีแต่โชคดีที่เจ้าตัวมีคิ้วเข้ม จมูกเป็นสันนิดหน่อยพอให้หายใจได้สะดวก แม้ลำตัวจะดูอวบท้วมด้วยอาหารการกินทางบ้านคงจะสมบูรณ์พูนสุข หากชายหนุ่มก็ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไปหากสาวคนไหนจะตัดสินใจเดินควง
“หนูแดงจะสั่งสปาเก็ตตี้ไม๊ครับร้านนี้เขาทำอร่อยนะ รสชาติดีไม่เลียน” ดิลกธรรมชักชวน เขารู้จักกับสตรีตรงหน้า ตั้งแต่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐฯ นาถนพินเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวและครอบครัวของเธอพอสมควรจนเรียนจบชายหนุ่มเดินทางกลับมาก่อน แต่ก็ยังติดต่อหล่อนอยู่เรื่อยๆทางอีเมล์
“ผมเสียใจด้วยนะเรื่องคุณพ่อของหนูแดง”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้สวมบทบาทพระเอกจึงต้องรีบทำคะแนนเสียหน่อย เดี๋ยวสาวเจ้าเกิดอาการน้อยใจขึ้นมา ‘แต้ม’ ที่อุตส่าห์สะสมมาแรมปีจะหดหายไปก็งานนี้ จากนั้นจึงสั่งอาหารให้ตัวเองและหญิงสาว หากนาถนพินเอ่ยค้าน หล่อนทานข้าวกลางวันกับคุณแม่มาแล้ว จึงไม่ต้องการอาหารจานหนักอีก
“ขอเป็นไอศครีมถั่วเหลืองแล้วกันค่ะ ดูจากหน้าตาคงจะอร่อย” นาถนพินบอกกับพนักเสิร์ฟพลางหัวเราะเบาๆกับการคาดเดาของตัวเอง ด้วยยุคนี้แม้แต่อาหารยังตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอก
“ตกลงหนูแดงจะยึดอาชีพนักเขียนถาวรเลยหรือครับ” เขาเอ่ยถาม ดวงตาเรียวเล็กดูวาวระยับประหลาด เมื่อทอดมองคนตรงหน้า
“ค่ะ...ก็หนูแดงเขียนหนังสือมาตั้งหลายปีแล้วตั้งแต่เรียนมหาลัย รู้สึกชอบเหมือนกันค่ะ...อิสระดี”
“ผมจะมาชวนหนูแดงไปทำงานที่โรงงานทำลูกชิ้นของเตี่ย ตอนนี้กำลังไปได้สวยลูกค้าเข้าเยอะมากเรามีแผนจะส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านด้วย”
เมื่อแรกที่หญิงสาวรู้จักสรรพนามเรียกบุคคลในครอบครัวดูเป็นมาตรฐานสากล พวงท้ายด้วยไอเอสโอหมื่นสี่กว่าๆหากเวลาเพิ่มขึ้น ‘สรรพานาม’ จึงกระชับให้สั้นเข้าเหลือเพียงแค่ 5 ส
“หนูแดงไม่มีความรู้เรื่องอาหารเลยนะคะคุณตั๋ง จบทางด้านดีไซน์มาด้วยซ้ำไปจะทำได้หรือคะ?” หญิงสาวบอก พลางเบี่ยงตัวให้พนักงานเสริฟ์วางจานอาหารและถ้วยไอศครีมลงบนโต๊ะ
“ก็มาออกแบบลูกชิ้นให้ก็ได้นี่ครับ จากกลมๆอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือไม่ก็ห้าเหลี่ยมถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการลูกชิ้นหมูบ้านเรา แปลกแหวกแนวเข้ากับสโลแกนของบริษัท ‘เด้งดึ่งโดยไม่พึ่งบอเรต’ ”
เมื่อพูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะครื้นเครง ด้วยเส้นขำช่างตื้นเขินเสียเหลือเกิน หากคนฟังกลับยิ้มจืดเพราะคู่สนทนาตรงหน้า หรือเพราะรสชาติไอศครีมถั่วเหลืองที่เจ้าตัวตักชิมเข้าไป
“ไม่อร่อยเหรอครับหนูแดง ทำหน้าชอบกล” ดิลกธรรมหยุดหัวเราะราวกดปุ่มปิดสวิทย์ได้ดั่งใจ พลางถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเครียดเหมือนเห็นหุ้นตก
“ก็อร่อยดีค่ะ ...หวานๆเย็นๆ”
ชายหนุ่มพยับหน้ารับทราบ จากนั้นจึงยิงคำถามต่อไปเสมือนเจ้าตัวกลัว ‘ภาวะสูญญากาศ’
“หนูแดงปลูกบ้านแถวไหนหรือครับ? แล้วตอนนี้เริ่มสร้างไปเยอะหรือยัง? ”
นาถนพินตอบคำถามเหล่านั้น ทีละประโยคด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายเมื่อเครื่องเริ่มร้อนอาการ ‘น้ำไหลไฟดับ ลิงหลับคาต้นตะขบ’ มักจะมีตามมา การสนทนาจึงมีสารพัดเรื่องทั้งการเมือง การตลาด ดารานักร้อง แวดวงคนในสังคมที่เธอรู้จักและไม่รู้จัก ...สำหรับดิลกธรรมแล้ว เธอมองว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีไม่น้อย ไม่มีพิษภัยให้หวาดกลัว ...แม้เจ้าของชื่อที่สุดแสนจะ ‘อลังการ’ ผู้นี้จะต้องการมากกว่าการเป็นเพื่อนก็ตามที


ถนนสายเล็กๆที่เลียบไปตามแนวลำคลองส่งน้ำนั้นดูสงบเงียบ แสงแดดในยามเช้าสีส้มอ่อนจาง ทาบทับปลายยอดไม้ ร่างโปร่งระหงในชุดกางเกงรัดรูปสีดำกับเสื้อยืดตัวยาวสีเขียวหม่น จูงจักรยานออกจากประตูรั้วของเรือนสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ นาถนพินปั่นจักรยานไปตามถนนสายดังกล่าว สายลมเย็นพัดล้อเล่นกับผิวกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก
หญิงสาวชลอแรงปั่นลงเมื่อมองเห็นร่างเล็กบางของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลัง ก้มๆเงยๆอยู่ข้างท้องร่อง ใกล้กับ กลุ่มดอกดาวกระจายสีเหลืองพร่างพรูเป็นแนวขนาน ดูละลานตาไม่น้อย
“ทำอะไรจ๊ะ?” นาถนพินเอ่ยทักดวงหน้าขาวมีรอยยิ้มละมุน ทำให้ ‘คนถูกทัก’ ที่แหงนหน้าขึ้นมองต้องมอบรอยยิ้ม ‘หลอ’ ให้อย่างลืมตัว
“...กำลังรดน้ำต้นผักชีจ๊ะ”
หญิงสาวเลื่อนสายตามองตาม ‘ผักชี’ ที่เธอรู้จักเมื่อคุณแม่ประกอบอาหารไทย จำพวกต้นข่าไก่ คือต้นและใบมีสีเขียวเสมอกัน หาก ‘ผักชี’ ที่เด็กชายบอกนั้น ลำต้นสูงปลายยอดมีดอกดวงเล็กๆสีขาวนวล ดูงดงามแปลกตาไม่ต่างจากดอกไม้ประดับในเมืองหนาว
“ผักชีมีดอกด้วยหรือจ๊ะ?”
“ลงมาดูใกล้ๆซิพี่...ดอกมันสวยนะ” เจ้าตัวเล็กเชิญชวน หญิงสาวจึงจอดจักรยานไต่ลงตามขั้นบันไดเล็กชันนั้น อย่างระวัง ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เจ้าตัวระบายยิ้มอ่อน...แม้กลิ่นหอมดั่งดอกไม้ทั่วไปจะไม่มี หากช่อดอกกระจุ๋มกระจิ๋มทำให้ดูน่าทะนุถนอมยิ่งนัก เสียดายที่เธอไม่ได้ติดกล้องตัวเล็กออกมาด้วยไม่งั้นจะเก็บภาพส่งไปให้ เพื่อนต่างชาติในแดนไกลได้ยลโฉม
“พี่คนสวยชอบล่ะซี่...ทั้งหมดนี้หนูปลูกเองแหละเอาไว้ให้ป้าสีนวลไว้ใส่ในกับข้าว”
“เหรอ! เก่งจริง” นาถนพินเอ่ยชมอย่างจริงใจ ทำให้ ‘เจ้าแสบ’ ยิ้มรับจนหน้าบานเท่าจานเชิง
“บ้านพี่คนสวยอยู่ไหนจ๊ะ...ทำไมหนูไม่เคยเห็นพี่เลย”
เจ้าจอมวายร้ายมันช่างสังเกตสังกานัก อนาคตคงไม่พ้นหน่วยสืบราชการลับ เอฟบีไอหรือจะไอเอ็มเอฟดี
“อยู่ทางโน้นค่ะบ้านสองชั้น หน้ารั้วปลูกต้นพุทธรักษาเยอะๆ...รู้จักไม๊?”
‘สายลับ’ มองตามมือของหญิงสาว พยักหน้าหงึกงักพร้อมกับยิ้มหวาน ‘บ้านคนดังในละแวกนี้’ ใครๆก็รู้จัก
“...แล้วพี่คนสวยชื่ออะไรจ๊ะ?”
มันถือโอกาสนั้นแตะแขนขาวเนียนของอีกฝ่าย ด้วยรอบตัวล้วนแต่เป็นบุรุษเพศทั้งนั้น ปู่ก็ผู้ชาย ลุงวศินก็ผู้ชาย ลูกพี่ปูก็ผู้ชายอีกเหมียนกัน!... อ้อ...มีป้าสีนวล...ผู้หญิง แต่ก็แก่จนหมดสภาพแล้ว รอเวลาเก็บเข้ากรุบรรจุเป็นวัตถุโบราณอย่างเดียว
“พี่ชื่อนาถนพินค่ะ...เรียกว่าพี่หนูแดงก็ได้นะจำง่ายดี แล้วหนูล่ะจ๊ะชื่ออะไร?”
“ชื่อแมงจ้า...ชื่อเพราะๆก็มีนะจ๊ะชื่อ เจตนิพทธ์จ้า แต่ใครๆแถวนี้เขาเรียกหนูว่าไอ้แมง บางคนก็เรียก...แมงกุ๊ดจี่!”
นาถนพินยิ้มบางด้วยเจ้าชื่อในตอนท้ายช่างยากนักที่จะตีความ...แมลงก็รู้จักอยู่เพียงไม่กี่ชนิดแต่ ‘แมงกุ๊ดจี่’ นี่สิหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ...เสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกชื่อ ‘เจ้าแมงกุ๊ดจี่’ ดังมาจากอีกฝากหนึ่งของถนน ทำให้การสนทนาระหว่างหญิงสาวและเด็กชายต้องหยุดชงักลง
“สงกะสัยพี่ปูจะตื่นแล้วล่ะหนูไปก่อนนะจ๊ะ...พี่หนูแดงคนสวย”
เจ้าตัวแสบเก็บบัวรดน้ำปีนขึ้นเนินตัวปลิวโดยมีนาถนพินปีนตามขึ้นไป หญิงสาวเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ยืนเด่น อยู่หน้าประตูรั้วของเรือนไทยโบราณ กางเกงขาสั้นความยาวครึ่งหน้าแข้งกับเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนทำให้ดูแปลกตา เมื่อครั้งเจอกันที่หน้างานก่อสร้าง
“คุณมาทำอะไรที่นี่...” กรกฎเอ่ยทักดวงหน้าคมเข้มมีริ้วรอยประหลาดใจ ก็ ‘ญาติ’ ของหุ้นส่วนรุ่นพี่ผู้ผละจากเมืองนอกเมืองนามาไม่นาน ไยเวลานี้มาปรากฏกายอยู่ ‘บ้านนอก’
“ฉันมาเยี่ยมคุณยายค่ะ” นาถนพินตอบเสียงเรียบ อาการ ‘เดือด’ จากเรื่องสระน้ำเมื่อหลายวันก่อน ดูเบาบางจนลืมเลือนไปแล้ว
“อ้อ...”
เจ้าของร่างสูงใหญ่ทำเสียงรับรู้ในลำคอ ก็หล่อนเป็นญาติสนิทของ ‘คุณพี่ฉาย’ คุณยายก็คน คนเดียวกัน ‘คุณนายนวลจันทร์’ เจ้าของที่ดินหลายสิบไร่ในละแวกนี้
“พี่หนูแดงรู้จักพี่ปูด้วยหรือจ๊ะ?”
เจ้าตัวแสบเอ่ยถามด้วยความสงสัย พลางจับข้อมือหญิงสาวเขย่าอย่าง ‘นิทหนม’ ทำให้คนตัวโตที่จ้องมองอยู่ ต้องประหลาดใจอีกระลอก ‘มันลื่นตั้งแต่เด็ก’ นี่ถ้าไม่มีญาติผู้น้องของพี่ฉายยืนอยู่ตรงนี้จะทำการถวายพระบาทให้กระแทกพระตูด สักป้าด โทษฐาน ‘หมั่นตับ’
“รู้จักค่ะ…เขาเป็นวิศวกรสร้างบ้านให้พี่เองล่ะ” นาถนพินบอกเสียงอ่อนเบา
“ไอ้แมงรดน้ำต้นผักชีเสร็จแล้วก็เข้าบ้านไป๊ ไปถามปู่ซิว่าเช้านี้จะกินอะไร” กรกฎบอกเจ้าตัวดี เสียงขรึม แต่สีหน้าดูไม่จริงจังเท่าไรนัก เจ้าจอมวายร้ายกระซิบบอกหญิงสาวราวกับหนุ่มน้อยจะลาจากสาวคนรัก ก่อนจะวิ่งปรู๊ดเข้าประตูรั้วบ้านไป
“คุณใช้เด็กทำโน้นทำนี้เยอะเกินไปหรือเปล่าคะ...เขาเพิ่งรดน้ำต้นไม้แล้วนี่ต้องไปทำอาหารให้ผู้ใหญ่อีกหรือ?” น้ำเสียงของหญิงสาวแม้จะดูราบเรียบหากดวงตาสีอำพันมีประกายวาววับ บุรุษตรงหน้านอกจากจะพูดจา ‘ตรง’ จนเกินรับได้ในบางครั้งแล้ว นี่เขายังเอาเปรียบเด็กตัวเล็กๆอีก...ช่างเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจนัก!
“ผมยังไม่ได้ใช้ให้ไอ้แมงมันทำอะไรเลยนะ...คู้ณณ” กรกฎปฎิเสธ น้ำเสียงตอนท้ายลากสูงลิบเกือบสุดปลายยอดต้นมะพร้าว
“แต่ฉันเห็นอยู่นะคะ ว่าน้องเขาเพิ่งจะรดน้ำต้นไม้ไปเมื่อกี้...สวนผักตรงนี้คุณก็คงใช้ให้เด็กทำใช่มั้ย” นาถนพินแย้ง ด้วยความมั่นใจในสายตาของตัวเอง หากคนตัวโตกลับหัวเราะขำราวได้ฟังเรื่องตลก
“สวนผักน่ะ ไอ้แมงมันทำของมันเอง...ไม่มีใครไปบังคับมันหรอก คุณจะเอาอะไรกับเด็กมันนึกอยากทำอะไรมันก็ทำไปตามเรื่องตามราว โบราณเขาถึงว่าคบเด็กสร้างบ้านไงล่ะ”
คนฟังเม้มริมฝีปากเกือบเป็นเส้นตรง...ถามไปแค่ประโยคเดียว แต่คำตอบช่างยืดยาวเหลือเกิน หญิงสาวจึงคว้าจักรยานเตรียมปั่นกลับทางเดิม
“อ้าวแล้วกัน! จะไปซะล่ะ คุณไม่เป็นทนายแก้ต่างให้ไอ้แมงมันแล้วหรือ?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูล้อเลียน รอยยิ้มบนดวงหน้าเข้มก็ยียวนกวนประสาทยิ่งนัก
“ไม่ล่ะค่ะ!...ฉันจะกลับแล้ว” คนตอบน้ำเสียงเหมือน ‘ลม’ เริ่มไม่ค่อยดี หากคนตัวโตกลับยืนยิ้มกระแตแต้แว้ดด้วยเจ้าตัวยึดถือสโลแกน ‘ งานหลักปลูกตึกสร้างบ้าน งานรองปั่นประสาทให้เสียจิต’



เจ้าจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.พ. 2556, 15:22:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2556, 15:22:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1365





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
Edelweiss 18 ก.พ. 2556, 18:58:16 น.
ชื่อจริงแมงกุ๊ดจี่หล่อมาก


ศศิภา 19 ก.พ. 2556, 13:38:21 น.
ชอบเจ้าแมงกับลูกพี่ปูจังค่ะ อิอิ


เจ้าจันทร์ 19 ก.พ. 2556, 14:32:32 น.
ขอบคุณค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account