Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: บทที่ 4 : เริ่มต้นฝึกงาน

พริมานอนไม่หลับ

หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งนิ่งๆ หลังจากที่พยายามปั่นต้นฉบับก็แล้ว ลองอ่านหนังสือนิยายก็แล้ว แม้กระทั่งยานอนหลับชั้นดีอย่างหนังสือเรียน...ก็ยังไม่สามารถทำให้เธอข่มตาลงได้ ตอนนี้เธอเลยได้แต่เปิดคอมพิวเตอร์ หาอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น...

ภูธเรศนั้นหายไปเดือนหนึ่งเต็มๆ มีแต่โทรศัพท์ที่โทรมาเกือบทุกวัน...เรื่องที่พูดๆ ให้ฟังส่วนมากก็เรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องของนุชนาถ...โดยเฉพาะเรื่องของแฟนสาวของเขานั้นดูจะเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มกังวลใจมากกว่าอย่างอื่น

เพราะเวลาที่ไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ ทำให้ความสัมพันธ์ในช่วงนี้ของพวกเขาค่อนข้างห่างเหินกันมากหน่อย พริมาได้แต่รับฟังและให้คำปรึกษาไปตามสมควรเท่านั้น ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้ เพราะช่วงนี้เธอเพิ่งเสร็จจากการสอบปลายภาคเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และกำลังจะเริ่มฝึกงานภาคฤดูร้อนในวันพรุ่งนี้...

การเรียนปริญญาโทสาขานิติวิทยาศาสตร์ที่นี่จะมีการฝึกปฏิบัติงานด้วย นัยว่าเพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติจริงในภาคสนาม นักศึกษาทุกคนต่างสามารถเลือกสถานที่ฝึกงานเองได้ แต่ก็ต้องให้อยู่ในสายงานที่ตัวเองเรียน และถ้าเป็นที่ฝึกงานที่สามารถเก็บข้อมูลไปใช้ในวิทยานิพนธ์ได้ก็ยิ่งดีใหญ่

พริมานั้นยังไม่ได้วางแผนว่าจะเลือกทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องอะไร หัวข้อที่เธอสนใจนั้นมีอยู่สองสามหัวข้อ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไปฝึกงานกับกองพิสูจน์หลักฐานที่อยู่ในจังหวัดเดียวกับมหาวิทยาลัย อย่างน้อยที่นี่ก็มีคุณหญิงมธุการีเป็นพี่เลี้ยงในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และคุณหญิงนั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับเท็จที่สามารถออกรายงานได้ ที่สำคัญ...ถ้าฝึกอยู่ที่นี่เธอก็จะได้ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องเสียค่าเช่าหอเพิ่มอีกด้วย

เพื่อนๆ ที่เลือกไปฝึกงานที่ไกลๆ กันหมดต่างไถ่ถามเธออย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลือกฝึกงานที่นี่

“ก็...แค่ไม่อยากเสียเงินเพิ่ม อีกอย่างตอนไปฝึกงานสมัยป.ตรี ก็ไปตั้งไกลแล้ว รอบนี้อยู่ที่นี่ดีกว่า”

พริมาให้เหตุผลว่าอย่างนั้น สมัยเรียนปริญญาตรีเธอไปฝึกงานที่สำนักงานอัยการที่อยู่ต่างจังหวัดมาแล้ว ดังนั้นฝึกงานรอบนี้เธอจึงอยากที่จะอยู่ในบรรยากาศที่คุ้นเคยบ้าง...

หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ใกล้หมอนสว่างวาบขึ้น ก่อนจะเกิดเสียงสั่นๆ ตามมาเพราะหญิงสาวไม่ชอบเปิดเสียงโทรศัพท์ พริมาเหลือบมองเวลาที่อยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊คแล้วต้องขมวดคิ้วเพิ่มขึ้นไปอีก

...ตีสองแล้ว ใครมันบ้าโทรมาตอนนี้เนี่ย...

หญิงสาวสองจิตสองใจไม่อยากรับโทรศัพท์ซักเท่าไหร่ แต่เมื่อคิดว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอีกฝ่ายคงไม่โทรมารบกวนในเวลานี้กระมัง พริมาจึงได้แต่หยิบโทรศัพท์มากดรับเบอร์แสนคุ้น พลางกรอกเสียงลงไป

“หวัดดีหมอ”

เสียงอึกทึกแทบจะกลบเสียงพูดติดจะอ้อแอ้เล็กน้อยของอีกฝ่าย พริมาต้องกดปุ่มเร่งเสียงก่อนนิ่วหน้า พยายามฟังประโยคที่ปลายสายกำลังพูด

“นุชเหรอครับ...ภูน้า...”

คนรับสายอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนเค้นเสียงให้ออกมาเป็นปกติเมื่อตอบ “หมอ เราเอง...พริมนะ นายโทรผิดแล้ว” หญิงสาวแอบถอนหายใจน้อยๆ แล้วพูดต่อ “หมออยู่ไหน ทำไมเสียงดังจัง”

“พริมเหรออออ...” อีกฝ่ายทำเสียงตกใจ “อูยยยย...โทษทีน้า เราว่าเรากดเบอร์นุชแล้วนะ ทำไมถึงกลายเป็นเบอร์พริมได้ก็ไม่รู้”

“อ้อ...” ร่างบางทำเสียงในลำคออย่างเข้าใจ “งั้นฉันวางแล้วนะ มีไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้นะ”

เธอกำลังจะเอาโทรศัพท์ออกจากหูเมื่อได้ยินเสียงโวยวายของผู้ชาย ก่อนที่จะมีเสียงเข้มๆ ของใครบางคนที่เธอค่อนข้างคุ้นพูดออกมาแบบ ‘ลิ้นไก่สั้น’ พอๆ กันกับผู้ชายคนแรก

“หนูพริมเหรอออออ...” น้ำเสียงลากยาวนั้นทำให้หญิงสาวหรี่ตาลง...จริงๆ แล้วคนหลังนี้น่าจะเกิดอาการลิ้นไก่สั้นมากกว่าภูธเรศนะเนี่ย “...โผมอยากให้คูณมารับนายภูหน่อยได้ม้ายยย...”

“ไปรับเหรอคะ?” น้ำเสียงนี้เธอจำได้แล้ว ถึงแม้ต้องใช้เวลาจำมากหน่อย (เพราะไม่เคยคุ้นกับเวอร์ชั่นนี้) นั่นคือเสียงสุเมษ นายแพทย์หนุ่มรุ่นพี่ของเพื่อนเธอ ที่ตอนนี้เป็นเรซิเดนซ์ ในสาขาศัลยศาสตร์ ในโรงพยาบาลเดียวกันกับภูธเรศ

“ช่าย...มารับไอ้ภูมานหน่อย วันนี้มานออกมากินเหล้ากับพี่ แล้วพี่เป็นคนไปรับมานมาเอง ตอนนี้พี่ขับรถกลับไม่หวายแล้ว เพราะงั้นหนูพริมช่วยมารับมานหน่อยได้ม้ายยย”

“ได้ค่ะ พี่หมออยู่ตรงไหนคะ?”

“ร้าน........หนูพริมรู้จักม้าย”

“ค่ะ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง เดี๋ยวพริมออกไปนะคะ”

หญิงสาวไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ หากแต่กดวางหูรวดเร็ว ร่างบางกระโจนผลุงจากเตียงไปหยิบเสื้อยืดกางเกงยีนส์มาผลัดเปลี่ยนอย่างว่องไว มือบางคว้าโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงินและกุญแจห้องก่อนปิดไฟปิดประตู แล้วรีบวิ่งลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

ใครว่าพวกหมอรักษาสุขภาพกัน ต่อให้รักษาสุขภาพขนาดไหน...แต่น้ำเมาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอเห็นว่าพวกบรรดาแพทย์ทั้งหลายพากันกรอกเข้าไปในร่างกายของตัวเองเหมือนไม่รู้ว่ามันมีโทษอย่างไรด้วยซ้ำ บางทีเพราะการเรียนที่หนักหนาสาหัส ดังนั้นบางครั้งเธอจึงเคยเจอภูธเรศเวอร์ชั่นหลุดโลกหลายครั้งด้วยกัน ทำเอาคนที่ไม่เคยรู้จักชายหนุ่มมาก่อนไม่มีทางเชื่อมโยงเขาไปถึงอาชีพของเขาได้แน่ๆ

เมื่อพริมาจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมๆ ถนนหน้าร้านเหล้าที่น่าจะเรียกได้อย่างเต็มปากว่าผับ ร่างบางก็เดินเข้าไปด้านในทันที ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนมองหาร่างเพื่อนชายท่ามกลางแสงเสียงสับสนวุ่นวาย ก่อนที่จะเห็นเงาร่างคุ้นตาหลายร่างนั่งกระจุกกันอยู่ตรงมุมหนึ่ง

หญิงสาวพยายามฝ่าบรรดานักเต้นเท้าไฟที่ตอนนี้กำลังออกลวดลายกันเต็มที่เพื่อเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอ่ยทักทายบรรดา ‘นายแพทย์’ ทั้งหลายที่ตอนนี้ต่างหมดสภาพไปตามๆ กัน

“สวัสดีค่ะพี่หมอทั้งหลาย...เลี้ยงอะไรกันคะเนี่ยวันนี้”

เธอค่อนข้างจะคุ้นเคยกับบรรดาเพื่อนนายแพทย์ของภูธเรศอยู่ เพราะหลายครั้งหลายคราที่ชายหนุ่มจะพาเธอมา ‘ยัด’ ไว้ในห้องพักแพทย์ หรือไม่ก็พาไปร่วมกลุ่มสังสรรค์ด้วยกันบางครั้ง จนทำเอาคุณหมอสองสามคนเคยสงสัยว่าเธอกับภูธเรศเป็นอะไรกันหรือเปล่า

“หนูพรีมมมม...” คนเมาคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวาน ซึ่งหากเป็นในยามปกติมันคงกระชากใจสาวน้อยสาวใหญ่ได้ตามๆ กัน แต่ตอนนี้มันกลับทำให้ใบหน้าติดจะเจ้าชู้เล็กๆ ของเจ้าของรอยยิ้มดู ‘ค่อนข้างแย่’ “มารับภูกลับแล้วเหรอคร้าบบ...พวกพี่ก็กามลางจากลับแล้วเหมือนกาน แต่ว่าภูมันมากับพี่เมษ...เลยต้องห้ายหนูพรีมมาร้าบ”

สุเมษเองก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้หญิงสาวเหมือนกัน “ม่ายเจอกันต้างนานนะหนูพรีมมา พอดีมีเลี้ยงฉลองนิดหน่อย...แต่เจ้าของเลี้ยงกลับไปซะละ...เอาภูไปเลยคร้าบบบ...”

พริมาขมวดคิ้ว มองคนที่เธอต้อง ‘เอาไป’ ที่ตอนนี้เอาคางเกยโต๊ะพลางส่งสายตาวิบวับมาให้เธออย่างเมาเต็มที่ หญิงสาวหันไปยิ้มให้บรรดาคุณหมอ ก่อนจะเอ่ยปากขออนุญาตลากตัวภูธเรศกลับบ้าน

“งั้น...พริมเอาหมอนี่กลับเลยนะคะ แล้วพวกพี่หมอจะกลับกันยังไงคะ แต่ละคนก็เมาเหมือนกัน...”

“ม่ายต้องเป็นห่วง” สุเมษอีกนั่นแหละที่ตอบเธอ ดวงตาฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มไม่มีจุดโฟกัส “เดี๋ยวพวกพี่จารออยู่ตรงเน้ซักพัก แล้วค่อยหาทางกลับกัน หนูพริมเอาไอ้ภูไปเถอะ”

“ค่ะ...”

ร่างบางเดินอ้อมโต๊ะไปที่นั่งของเพื่อน มือบางเอื้อมออกไปดึงไหล่กว้างนั้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะเจ้าตัวดูจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย

“ภู...ไอ้หมอ ลุกเดี๋ยวนี้นะ!”

สุดท้ายหญิงสาวได้แต่ตวาดแหวออกมา ภูธเรศที่เอาแต่หัวเราะกับความพยายามที่ไร้ประโยชน์ของอีกฝ่ายถึงได้ดันตัวลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ยืนโงนเงนท่ามกลางการเอาใจช่วยของคนทั้งโต๊ะ

“ง้านนน...โผ้มกลับแล้วนะครับทุกโคน...โอ๊ะๆๆ!”

ร่างสูงเซแซ่ดๆ ไปปะทะตัวเพื่อนสาวที่ยืนอยู่อย่างระแวดระวัง ภูธเรศยกมือขึ้นโอบเอวบางตามสัญชาตญาณ ก่อนจะยิ้มหวานให้กับพริมาที่ตอนนี้หน้าแดงจัดไปแล้ว

“ขอบจายนะเพื่อน ปายละคร้าบบบบ...ผมไปละ”

พริมาได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้กับคนที่เหลือ ก่อนที่จะค่อยๆ โอบพยุงร่างสูงให้ออกเดินไปข้างหน้า ทิ้งบรรดาคุณหมอทั้งโต๊ะให้หันมามองหน้ากันเองก่อนหัวเราะเหอะๆๆๆ อย่างมีเลศนัย

“เมื่อกี้...ไอ้ภูมันบอกว่าจะโทรหาครายนะ” เป็นสุเมษอีกนั่นแหละที่เปิดประเด็นก่อน

คุณหมอที่กำลังยกเหล้าที่เหลือก้นแก้วขึ้นดื่มหันมาพูดเสียงกวนๆ “โทรหาแฟนมันอ่ะดิ”

“อ้าว แฟนมันมะช่ายคุณนุชเหรอ?” อีกคนทำท่าขมวดคิ้ว พยายามเค้นสมองนึกถึงหน้าแฟนสาวของรุ่นน้อง...ที่ดูเหมือนจะปรากฎตัวให้พวกเขาเห็นน้อยกว่าเพื่อนผู้หญิงคนเมื่อครู่อีก

“น่านสิ...” มือเรียวของคุณหมออีกคนชี้ไปตรงหน้า สีหน้ายิ้มๆ “บอกว่าจะโทรหาแฟน แล้วทำมายหนูพริมมาซะงั้นล่ะ”

“เออๆ ช่างมานเหอะ” สุดท้ายสุเมษก็เป็นคนปิดท้ายประเด็นอยู่ดี “ชนแก้ว!!!”




“นั่งดีๆ ฉันบอกให้นั่งดีๆ ตัวตรงๆ ไงเล่าไอ้หมอ!”

พริมาส่งเสียงดังที่สุด เผื่อว่าคนที่นั่งซ้อนท้ายเธออยู่จะได้ยินเสียงแล้วทำตัวดีๆ เสียบ้าง

“ฮะๆๆๆๆ”

คำตอบที่ได้กลับเป็นเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างอ้อแอ้อยู่ข้างๆ หู ตอนขับออกมาจากร้านเหล้า พริมายังใส่หมวกกันน็อคดิบดี แต่เมื่อขับไปแล้วก็ได้ยินเสียง ‘กึก’ ตรงด้านหลังหมวกที่ดังขึ้นไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง ทำให้เธอต้องจำใจถอดหมวกกันน็อคออกเมื่อรถติดไฟแดง เพื่อป้องกันไม่ให้หน้าผากของเพื่อนมีลูกกลมๆ โนๆ เมื่อลงจากรถแล้ว

ดังนั้นตอนนี้หัวโตๆ ของเพื่อนชายจึงมาซุกอยู่ตรงบ่าของเธอ เมื่อเขาพยายามจะพูดอะไรกับเธอ (แต่เธอดันไม่ได้ยิน) ลมหายใจร้อนๆ ก็จะผะผ่าวอยู่ตรงซอกคอหรือไม่ก็หลังใบหู ซึ่งก็ส่งผลให้ใบหน้าคนขับแดงซ่าน ร้อนเห่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

แล้วพอตัวเขาเริ่มเอนๆ จะตก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็สั่งให้ชายหนุ่มคว้าเอวบางของเพื่อนไว้มั่น โดยที่เจ้าตัวทำได้แค่เพียงโวยลั่นบอกให้เขานั่งดีๆ เท่านั้น

ภูธเรศเมา...ชายหนุ่มยอมรับ แต่ว่าความรู้สึกที่ว่าเมาแล้วเพื่อนอย่างเธอมารับกลับนี่ก็รู้สึกดีไปอีกแบบนี่นะ...เขาไม่ได้เมาจนไม่รู้ว่าร่างบางที่ตอนนี้ตกอยู่ในอ้อมกอดแน่นหนานุ่มนิ่มขนาดไหน และรู้ว่าเพื่อนสาวเขาเป็นคนขี้อาย (แต่ไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่) เขาจึงได้โอกาสแกล้งให้เธออายเท่านั้นเองจริงจริ๊งงงง...

ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองขันๆ เอาเหอะ ก็ไม่ใช่ว่าแกล้งอย่างเดียวหรอก แต่ว่าการที่มีเพื่อนคนนี้อยู่ใกล้ๆ มันทำให้เขาสบายใจจริงๆ นะ

พริมาเหลือบมองคนที่ซ้อนข้างหลังอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาเขาไป ‘ทิ้ง’ ไว้ที่ไหนดี เอาไว้ที่ห้องหล่อน...ก็ดีนะ ใกล้กว่า แต่ว่ามันยังไงๆ อยู่...จะเอาไปที่คอนโดของเขา หญิงสาวก็ไม่แน่ใจว่าจะไปถึงโดยสวัสดิภาพหรือไม่ เพราะว่าตอนนี้คนเมาเริ่มพยายามจะ ‘เลื้อย’ ลงจากรถให้ได้ จนหล่อนต้องตวาดเขาให้อยู่นิ่งๆ หลายครั้งแล้ว แต่ว่าภูธเรศก็ทำเหมือนจะไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น...

...ก็อาจจะไม่ได้ยินก็ได้นะ ไม่อย่างนั้นที่เขาพยายามพูดข้างหู หล่อนคงรับรู้ได้มากกว่าเพียงลมร้อนแผ่วเบาที่พรูเข้าปะทะเท่านั้น...

“ภู...ขอร้อง ยังไม่ต้องพยายามลงจากรถได้มั้ยเพื่อน ฉันประคองรถไม่ไหวละนะ”

“ง้านเหรอ...” ลมเย็นๆ ที่ปะทะใบหน้าชายหนุ่มช่วยให้สร่างเมาไปได้มาก แต่นานๆ ที...อ้อนเพื่อนบ้างอะไรบ้างก็ไม่เสียหายอะไรหรอก โดยเฉพาะพริมา...ผู้หญิงแข็งๆ ที่เขารู้ว่าเธอมีมุมอ่อนโยนไม่น้อยเลย

“เราอยากนอนแล้วพริม นอนด้ายม้าย”

“ม่ายด้ายยยยย...” พริมาร้องเสียงหลง กลัวว่าเพื่อนจะหลับจริงแล้วเดี๋ยวจะรูดไถลตกจากรถ “โอเคๆ วันนี้นายไปอยู่ห้องของฉันก่อนก็ได้ อย่าเพิ่งหลับนะ”

“โอเค๊...ม่ายหลับ”

“สัญญาแล้วนะเว้ย”

ตลอดทางจนมาถึงที่พักของพริมา หญิงสาวทั้งขู่ทั้งปลอบคนเมา (ที่ตอนนี้เริ่มสร่างเมาหน่อยๆ) ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงห้องพักหล่อนโดยสวัสดิภาพ

พริมาซึ่งเอาแขนของเขาพาดบ่า มือของหล่อนโอบรอบเอวสอบของคนตัวใหญ่กว่าเหลียวไปมองโซฟาก่อนขมวดคิ้ว...ไม่ไหว ภูธเรศตัวสูงเกินไป ถ้านอนโซฟาตัวน้อยนั้น...ขาเขาต้องเลยออกมามากแน่ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็เมื่อยซะเปล่าๆ

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกก่อนจะตัดสินใจลากร่างสูงนั้นเขาไปในห้องนอน ก่อนจะออกแรงผ่อนร่างคุณหมอที่ดูเหมือนจะโปร่งบาง...ผอมๆ หากแต่จริงๆ แล้วมีกล้ามเนื้อดังคนที่ชอบออกกำลังบ้างเป็นบางครั้งที่ว่าง และมวลกล้ามเนื้อที่ว่าก็หนักพอสมควรด้วยลงบนด้านหนึ่งของเตียงกว้าง ก่อนที่จะเดินไปเปิดตู้แล้วหยิบเอาผ้าห่มผืนหนาที่หล่อนจะเอาออกมาใช้ในฤดูหนาวทุกปีออกมาปูที่พื้น ทบกันให้หนาๆ หน่อยก็คงพอเป็นที่นอนแก้ขัดไปก่อนได้ละกัน ส่วนผ้าห่มนั้นหล่อนมีมากมายจนต้องพับเก็บเอาไว้บ้าง ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา

จัดการเรื่องที่นอนเสร็จ หญิงสาวก็หันไปมอง ‘ตัวปัญหา’ ที่ทำให้หล่อนยังไม่ได้นอนจนป่านนี้ ตอนนี้ตัวปัญหาที่ว่ากางแขนกางขาอย่างถือสิทธิ์เต็มที่บนเตียงของหล่อน ใบหน้าหลับพริ้มอย่างสุขโขสโมสร...

พริมาย่นจมูกอย่างนึกเคืองเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดประตูตู้เป็นครั้งที่สาม แล้วดึงเอาผ้าขนหนูเพื่อไปชุบน้ำหมาดๆ แล้วก็นำมาเช็ดหน้าเขาอย่างเบามือ...โดยมีคุณหมอครางอือๆ อาๆ แล้วก็หันหน้าหนีความเย็นของผ้าเป็นบางคราวเท่านั้น

...รูปหน้าคมคายอย่างนี้ คิ้วหนาหากแต่เรียวได้รูป ดวงตาดำใหญ่ยาวรีสองชั้นชัดเจน ไล่ระเรื่อยมาจนถึงสันจมูกโด่ง...ไล้มาจนถึงริมฝีปากบางหยักงามเกินชาย...

...นี่ถ้าหล่อนแต่งกลอนได้ จะแต่งบทชมโฉมให้เขาซักบทหนึ่งเลยเอ้า!

แต่ก็นั่นแหละ...เพราะหล่อนแต่งกลอนไม่เป็น ไม่มีหัวทางศิลปะ ดังนั้นสิ่งที่พริมาทำได้มากที่สุด ก็คือพิมพ์ใบหน้านั้นไว้ในหัวใจอย่างเงียบๆ ให้มันประทับอยู่ในใจของหล่อนคนเดียวอย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว

พริมายิ้มบางๆ ให้กับตัวเอง เมื่อหล่อนเก็บผ้าขนหนูเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็เดินมายื้อยุดคุณหมอหนุ่มให้ลุกขึ้นจากเตียงหล่อน เพื่อไปนอนบน ‘ที่นอนจำเป็น’ ที่เธอเตรียมไว้ให้

“ภู...ไอ้หมอ ลุกเร็ว”

“อือออ...ม่ายลุก ง่วง!” คนเป็นหมอส่งเสียงฉุนเฉียวตอบกลับ

อีกฝ่ายพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนจะบอกเสียงดุ “ง่วงก็ไปนอนที่นอนนายสิเฮ้ย! ลุกเร็ว...นี่มันที่นอนฉันนะ”

“ขี้เหนียว...เราจานอนตรงนี้ อย่ากวนนะ”

คนตัวโตกว่าไถหัวเข้าไปซุกในกองสารพัดหมอนของเธอ พริมาได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ อย่างอยากรู้

“ตกลง...นายไปดื่มกับพวกพี่หมอเค้าทำไมอ่ะ”

คนเป็นหมอเริ่มไถหัวตัวเองกลับเข้าที่เดิมเมื่อกองหมอนไม่มีออกซิเจนให้หายใจ คิ้วหนาขมวดหน่อยๆ “พี่...พี่เมษจบแล้ว ได้เฉพาะทางแล้ว” หลังจากผลสอบรอบสุดท้ายออก สุเมษก็เดินมาชวนเขาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ได้ฉลองเนื่องในโอกาสดีๆ แบบนี้เขาไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

“จริงเหรอ...มิน่าล่ะ แหม...ไม่ได้แสดงความยินดีเลย” ร่างบางพึมพำกับตัวเองแล้วถามต่อ “แล้วตกลงตอนแรกนายจะโทรหาใครกันแน่เนี่ยภู”

“โทรหา...โทรหา...” ชายหนุ่มพยายามเค้นสมองตอบ แต่ถึงแม้ว่าจะสร่างเมาบ้างแล้ว สมองก็ยังไม่สามารถประมวลผลอะไรได้ดีนัก “...อืม...โทรหานุช เราจาโทรหานุช”

“โทรหานุช แล้วมาติดเบอร์ฉันได้ยังไงยะ” ร่างบางกำมือแน่น ถึงแม้จะรู้คำตอบบ้างแล้วเมื่อตอนที่เขาโทรมาครั้งแรก ถึงแม้จะเข้าใจว่าทำไมเข้าถึงต้องโทรหานุชนาถไม่ใช่เธอ...แต่เธอก็ยังรู้สึก...น้อยใจ

คราวนี้ริมฝีปากบางยิ้มกว้างขวาง ก่อนมือหนาๆ จะยกขึ้นมาชี้หน้าเธอพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ “ก็เพราะเราจำได้แต่เบอร์เธอไงพริม เหอะๆๆๆ”

ปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ คนเป็นหมอก็หลับคร่อก ทิ้งให้เธอทำหน้าพิกลอยู่คนเดียว...ความรู้สึกหลายอย่างกำลังตีกันอลหม่านในหัวของเธอ...

เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่กดค้นหาเบอร์โทรศัพท์ หรือเขาไม่ได้ตั้งเบอร์แฟนสาวไว้ที่ปุ่มกดโทรด่วน เธอไม่รู้เหตุผลที่เขาต้องเลือกกดเบอร์โทรศัพท์ที่เขาจำได้ เธอไม่รู้อะไรทั้งนั้น...

...แต่...รู้เพียงแต่ว่า...จนกระทั่งเธอนอนลงบนที่นอนแก้ขัดที่ตอนแรกปูไว้ให้คุณหมอหนุ่ม เธอก็ยังไม่หยุดยิ้ม...




ภูธเรศตื่นนอนมาด้วยอาการปวดหัวหนึบ คอแห้ง และทรงตัวไม่ค่อนมั่นคงนัก อันเป็นอาการที่สรุปใจความได้สั้นๆ ว่า ‘แฮงค์’

เพดานห้องนี้ไม่ค่อยคุ้นเคย...ไม่เหมือนเพดานของห้องพักแพทย์ที่เขาต้องไปนอนพักบ่อยๆ เมื่อถึงเวรต้องขึ้นวอร์ดดึก ไม่เหมือนเพดานห้องนอนในคอนโดของเขาด้วยอีกต่างหาก...

ชายหนุ่มเหลียวไปรอบๆ ตัว เมื่อเห็นสารพัดหมอนก็ยิ้มออกมาได้ ที่นี่คงเป็นห้องของพริมาแน่นอนแล้ว ทั้งสภาพห้อง ทั้งสารพัดหมอนที่รายล้อมเขาอยู่ทำให้ริมฝีปากบางต้องหยักยิ้มขึ้นอย่างห้ามตัวเองไม่ค่อยอยู่

แทนที่พริมาจะชอบตุ๊กตาเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น หล่อนกลับชอบที่จะมีหมอนหลายๆ ใบอยู่บนที่นอนมากกว่าสารพัดสัตว์ในร่างตุ๊กตา ทุกครั้งเวลาเขามาเรียกให้เพื่อนสาวตื่นนอนทีไร จะได้เห็นสารพัดหมอนของหล่อนถูกก่อวางคล้ายๆ กำแพงกั้นรอบบริเวณหัวนอน เป็นเหมือนบังเกอร์ขนาดย่อมของทหาร ปกติเขาได้แต่มาปลุกเธอเท่านั้น ไอ้นอนค้างแบบนี้ไม่เคยเลย...ยิ่งเป็นบนเตียงด้วยแล้ว...

ภูธเรศลุกพรวด ลืมความรู้สึกวิงเวียนไปหมดเมื่อนึกว่าเขากับพริมานอนบนเตียงเดียวกัน...ก็ถึงแม้ว่าเตียงมันจะกว้างจนขนาดที่คนสองคนนอนแล้วไม่ต้องแตะโดนกันก็ได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าจะมีวันไหนที่เขาและเธอนอนร่วมเตียงกัน แล้วชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นที่ผ้าห่มผืนหนาปูที่พื้น พร้อมกับหมอนและผ้าห่มเรียบร้อย

ร่างสูงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะทิ้งศีรษะลงบนหมอนดังเดิม แต่ว่าเขากะผิดไปหน่อย...

“ปึ๊ก!”

“โอ้ย!!!”

เสียงแรกนั้นเป็นเสียงกะโหลกแข็งๆ ทุบเข้ากับราวเหล็กกล้าที่ดัดเป็นลวดลายอยู่บนหัวเตียงเต็มรัก ถึงแม้จะมีหมอนรองก่อนอีกชั้นหนึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดน้อยลงซักเท่าไหร่เลย ร่างสูงจึงร้องเสียงดังลั่นห้อง

ภูธเรศคลำด้านหลังศีรษะป้อยๆ ก่อนเงยหน้ามองพริมาที่วิ่งมาจากห้องรับแขกด้านหน้า เจ้าหล่อนขมวดคิ้วเรียวก่อนก้าวพรวดเดียวมายืนอยู่ตรงหน้าเขา พลางมองใบหน้าที่ซีดลงเพราะความเจ็บนั้นอย่างร้อนรน

“เป็นอะไรหมอ ร้องเสียงดัง...โดนอะไรรึเปล่า”

ไม่ว่าเปล่า พริมายังเอื้อมมือไปลูบศีรษะด้านหลังของเพื่อนอย่างเป็นห่วงพลางถาม “เจ็บมั้ย”

“นิดหน่อย เราไม่ระวังเอง เอาหัวไปทุบกับหัวเตียงของเธอได้” ชายหนุ่มยิ้มขำตัวเอง ก่อนเหลียวมองหานาฬิกา “กี่โมงแล้วเนี่ย?”

“เจ็ดโมงกว่า ฉันกำลังทำอาหารเช้าอยู่...อ๊ะ! ตายแล้ว!”

ร่างบางวิ่งผลุนผลันออกไปจากห้องรวดเร็วเช่นเดียวกับขามา ทิ้งให้ภูธเรศนั่งขำอยู่บนเตียงสักครู่ ก่อนที่เธอจะเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง

“ลุกได้มั้ยตอนนี้” เจ้าหล่อนถามเสียงเรียบๆ พลางจับตามองใบหน้าคมที่ซีดๆ กว่าปกติ “ค้างรึเปล่า?”

“คิดว่าไหวอยู่นะ” ร่างสูงตวัดผ้าห่มผืนหนาออกจากร่าง ก่อนจะลองลุกขึ้นยืนดู...แล้วก็กลับไปนั่งแปะ เอนตัวลงนอนบนเตียงอยู่อย่างเดิม

ริมฝีปากอิ่มของเพื่อนสาวหยักยิ้มเยาะน้อยๆ “คงไม่ไหวแล้วว่ะ งั้นกินในนี้ก็ได้...”

หญิงสาวเดินกลับออกไปอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับเข้ามาพร้อมกับข้าวต้มควันฉุยถ้วยโต พริมาวางข้าวต้มไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะพับขนาดเล็กมาจัดแจงกางไว้บนเตียงดิบดี รอให้คนเมาค้างเลื่อนตัวเองมาอยู่ในท่านั่งกึ่งเอนบนหมอนแล้ว ร่างบางจึงวางถ้วยอาหารเช้าร้อนๆ ไว้เบื้องหน้า ก่อนบอก

“ข้าวต้มหมูใส่ไข่ กินร้อนๆ น่าจะช่วยได้...”

“ไม่กินด้วยกันเหรอ?” แทนที่จะหยิบช้อนขึ้นมา ชายหนุ่มกลับเอ่ยปากถามเพื่อนสาวเมื่อเห็นเธอเริ่มเปิดประตูตู้เสื้อผ้าพลางค้นอะไรกุกๆ กักๆ อีกแล้ว ก่อนจะโผล่ออกมาพร้อมกับเสื้อชอร์ปออกปฏิบัติงานภาคสนามของสาขาวิชาหล่อนและกางเกงยีนสีเข้ม

“ม่ายล่ะ...ฉันต้องรีบไป” เธอเหลียวมามองเขาเมื่อเห็นสายตาสงสัยสะท้อนในกระจกที่ติดบานประตูตู้เสื้อผ้า “วันนี้ฝึกงานวันแรกน่ะ”

“หา!? ฝึกงาน...แล้วทำไมเธอไม่บอกเราก่อนล่ะพริม” คนเป็นหมอโวยวาย พลางจ้องร่างบางเขม็ง “งั้นเดี๋ยวเธออาบน้ำนะ ทำธุระส่วนตัวเธอเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจะไปส่ง”

“ม่ายเอา” พริมาปฏิเสธทันควัน “นายอยู่นี่แหละ แค่ยืนยังแทบทำไม่ได้เลย...เมื่อวานท่าจะจัดหนักเลยสิเนี่ย ไม่ต้องไปส่งฉัน เดี๋ยววันนี้เราไปเอง”

“เอางั้นเหรอ...ไม่รบกวนเราเลยนะ วันนี้ไม่มีเวรเรา เราหยุด” ภูธเรศยังพยายามโน้มน้าวเพื่อนต่อ...ได้ไงเล่า วันนี้เธอไปฝึกงานวันแรกนะ เขาต้องไปส่งอยู่แล้ว ในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ ยังไงเล่า

...ยัยพริมน่ะเฟอะฟะจะตาย แถมเซ้นต์ในเรื่องทิศทางยังเข้าขั้นย่ำแย่อีกด้วย ขนาดคอนโดของเขาที่เธอเข้าออกมานับครั้งไม่ถ้วน พอปล่อยให้เธอขับรถไปหาเขาเอง...แม่เล่นหลงทางซะเป็นชั่วโมงๆ นี่ต้องบอกว่าขนาดไป ‘หลายรอบ’ แล้วจริงๆ นะ...

แล้วไอ้เรื่องไปเองใน ‘วันแรก’ เนี่ย เขากลัวว่าหล่อนจะได้ไปสายตั้งแต่วันแรกเลยน่ะสิ ความประทับใจแรกพบมีส่วนในการคบหาสมาคมกันต่อไปภายภาคหน้า เพราะงั้นเขาไม่อยากให้เธอไปก่อเรื่องให้คนอื่นหมั่นไส้เพราะไปสายครั้งแรกหรอก

“ไม่เอา!” พริมายืนยันหนักแน่น “เราไม่หลงหรอกน่า เมื่อวานเราอุตส่าห์ขับรถไปสำรวจเส้นทางเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าไม่หลงแน่ อีกอย่างวันนี้ได้หยุดทั้งที...นายอยู่สบายๆ เหอะหมอ พักให้หายเมาค้างก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้ เรากลับเย็นๆ โน่นแหละ”

คนเป็นหมอส่งสายตาออดอ้อนจะไปส่ง แต่เจอกับสายตาแข็งๆ ของหญิงสาวเป็นเชิง ‘ฉันดูแลตัวเองได้’ ภูธเรศจึงได้แต่ถอนหายใจยอมแพ้

“งั้นก็รีบไปอาบน้ำเหอะ เข้างานเช้านี่นะ”

ร่างบางไม่ตอบคำ แต่เดินฉับๆ เข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้เขานั่งมองถ้วยข้าวต้มตรงหน้าสักพัก แล้วร่างสูงก็ถอนหายใจเฮือกออกมา

...บางทีเธอก็ต้องดูแลตัวเองบ้างอะไรบ้างอ่ะนะ...



“ใช่ค่ะ...คงไปสายหน่อยอ่ะค่ะ”

พริมากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ในใจรู้สึกร้อนรุ่ม เครียดเกร็งไปหมด “ขอโทษนะคะ...วันแรกก็สายซะแล้ว”

“แล้วน้องจะมายังไงอ่ะครับ”

“คง...คงต้องหาร้านซ่อมแถวนี้อ่ะค่ะ แล้วค่อยหารถไปต่อเอง”

“ไม่ไหวมั้ง...” ปลายสายทำเสียงครุ่นคิด ก่อนที่เธอจะได้ยินเขาตะโกนบอกอะไรใครซักอย่าง โดยที่หล่อนแอบได้ยินคำว่า ‘เด็กฝึกงาน’ ก็คงหมายถึงเธอล่ะนะ...

“...เดี๋ยวผมจะออกไปรับน้องเองละกัน น้องอยู่ตรงไหนล่ะครับ”

หลังจากที่คะยั้นคะยออยู่ครู่หนึ่ง พริมาก็ต้องยอมรับว่าเธอไม่มีทางไปถึงที่ฝึกงานได้เองแน่ หญิงสาวจึงบอกสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้ให้กับปลายสาย แล้วก็เลื่อนตัวเองมานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่ริมฟุตบาท จ้องมองไปที่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่ตอนนี้...ดับอนาถ

หล่อนไม่รู้ว่าตอนขับออกมานั้นไปเหยียบใส่อะไรรึเปล่า แต่พอแล่นมาได้จนถึงแถวๆ ที่เริ่มร้างบ้านผู้คนแล้วนั่นแหละ พริมาถึงเริ่มรู้สึกถึงการปัดไปเป๋มาของรถ เมื่อหล่อนก้มลงสำรวจเรียบร้อยแล้วก็รู้ได้เลยว่ามันไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้แล้ว...

...ที่สำคัญ...หล่อนกำลังหลงทาง!

พริมาอยากร้องไห้...ร้องให้กับความเลินเล่อครั้งแล้วครั้งเล่าของตนเอง และร้องให้กับความขี้หลงขี้ลืมอย่างชนิดที่หาไหนเทียบไม่ได้ แถมยังเกิดตอนวันฝึกงานวันแรกด้วย! โอ้ยยยยยยย...ป่านนี้หล่อนไม่ต้องเตรียมเจอคุณหญิงเฉ่งเอาหรอกเหรอเนี่ย...

มือเรียวคว้าโทรศัพท์ที่เก็บไปเมื่อครู่ขึ้นมาใหม่ นิ้วกดๆ เบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจอัตโนมัติ หากแต่ชะงักเมื่อจะกดปุ่มโทรออก...

...หล่อนจะโทรไปหาภูธเรศทำไม?

ไม่รู้...ไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ซักนิด หล่อนแค่คิดว่าตอนนี้กำลังตกที่นั่งลำบาก และคนแรกที่คิดถึง...คนแรกที่จะมาช่วยเธอทุกที...คือเขา...

หลายครั้งที่เขาเหมือนกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าบางทีก่อนที่เธอจะโทรไป เขากลับเป็นฝ่ายโทรมาถามข่าวคราวเองด้วยซ้ำ

โทรศัพท์ของหญิงสาวเริ่มสั่นเป็นสัญญาณบอกว่ามีสายเข้า พริมาขมวดคิ้วก่อนมองดูเบอร์โทรศัพท์ แล้วใจก็วับลงในพริบตา...ภูธเรศโทรมา!

หญิงสาวลังเลเล็กน้อย ก่อนกดรับ “ว่าไงหมอ อาการแฮงค์ดีขึ้นยัง”

“กินข้าวต้มร้อนๆ ของเธอก็ช่วยได้มากละ...” ปลายสายส่งเสียงร่าเริงมาให้ ก่อนถามกลับ “แล้วเธอล่ะ ถึงที่ฝึกงานรึยัง?”

“หา...เอ่อ...” พริมาตัดสินใจบอกความจริงเพื่อนดีกว่า “เอ่อ...ยังไม่ถึงอ่ะ อ๊ะ!”

ท้ายประโยคร่างบางผุดลุกขึ้นยืนรวดเร็ว ไม่สนใจกับอาการวูบเล็กๆ ของตน ดวงตากลมโตจ้องไปที่รถกระบะที่ใช้ออกตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองฯ ที่แล่นมาจอดอยู่ข้างๆ มอเตอร์ไซค์ของหล่อน และมีรถกระบะของใครไม่รู้ตามมาจอดใกล้ๆ กันติดๆ

ประตูรถตำรวจเปิดออก เผยให้เห็นนายตำรวจคนหนึ่งที่ลงมายืนยิ้มกว้าง เมื่อมองเห็นเธอและสภาพรถ ก่อนจะเอ่ยปากสัพยอกขำๆ

“ฝึกงานวันแรกก็หลงทาง ยางแบนซะแล้วเหรอเนี่ย”

พริมาได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่าย เพราะภูธเรศยังส่งเสียงตื่นตระหนกมาทางปลายสายอยู่ชัดเจน “ทำไมยังไม่ถึงที่ฝึกงานล่ะ พริม...พริม...”

หล่อนกระแอมเรียกเสียงที่แหบกะทันหันจากเหตุการณ์ตรงหน้า ก่อนจะพูดเบาๆ กับปลายสาย “ไม่มีอะไรแล้วภู เราจะไปฝึกงานแล้วนะ ถ้ายังไม่รู้สึกหายก็นอนพักที่นั่นก่อนละกัน ทำตัวตามสบายนะ ถ้าจะกลับก่อนกุญแจก็เอาไว้ที่เดิมด้วย อ้อ...แล้วไม่ต้องตามเรามาที่ฝึกงานด้วยนะ เพราะเราอาจต้องออกตรวจเลย เข้าใจมั้ย?”

“แล้วทำไมยังไปไม่ถึงที่ฝึกงาน พริม...ไอ้พริม!”

หญิงสาวกดตัดสายทันควันก่อนที่คุณหมอจะได้ซักไซ้มากไปกว่านี้ หล่อนไม่อยากยอมรับกับเจ้าตัวเขาหรอกว่าที่เขาพูดวันนี้ก่อนที่เธอจะขับรถออกมาน่ะถูกทุกอย่าง

เหลียวมามองอีกทีก็เห็นว่ารถของหล่อนถูกยกขึ้นไปไว้หลังรถกระบะที่ตามรถตำรวจมาเรียบร้อยแล้ว และคนขับรถก็ออกรถไปเรียบร้อยแล้วด้วย ทิ้งให้หล่อนอ้าปากเหวอด้วยความตกใจอยู่คนเดียว

ร้อยโทกฤษณะที่เห็นท่าทางขำๆ ของคนตรงหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ไปทำงานกันเถอะ”

“คะ...ค่ะ”

ร่างบางก้าวขึ้นรถฝั่งคนโดยสาร ยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ตอนนี้ขึ้นมานั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว เขาคนนั้นหันมายิ้มตอบก่อนจะขับรถย้อนไปตามทางที่หล่อนจากมา พลางเอ่ยเสียงนุ่ม...

“ยินดีต้อนรับเด็กฝึกงานสำหรับการฝึกงานวันแรกครับ”

‘เด็กฝึกงาน’ ยิ้มกว้าง หัวเราะน้อยๆ กับคำเรียกนั้น

“ยินดีเช่นกันค่ะ”


............................................


ตอบคำถามกันหน่อยดีกว่า
เรื่องนี้เคยลงในเด็กดีมาก่อนนะคะ ตอนนี้ก็เริ่มเอาไปลงอีกครั้งนึงแล้ว หลังจากผ่านวิกฤติการสอบมาได้ ^^

อยากให้ทุกคนติดตามไปเรื่อยๆ ค่ะ ^^

คุณ lovemuay ยังไงคงต้องรบกวนเรื่องเกี่ยวกับทางการแพทย์ด้วยค่ะ พี่ก็รู้แค่นิดหน่อยเอง ^^

คุณ ใบบัวน่ารัก ลองอ่านไปค่ะ พริมเป็นพวก...เรียกว่าไง อยากเป็นเพื่อน อยากตัดใจ แต่ก็รักไปแล้ว และไม่ได้มีความคิดที่จะแย่งแต่อย่างใดค่ะ

คุณ หมีสีชมพู ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ก็ลงเพิ่มในเด็กดีแล้วนะคะ

คุณ nunoi คนแอบรักก็มักเป็นอย่างนี้...รึเปล่า 5555+

คุณ juneo ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ในสายงานน่ะค่ะ ความรู้มันค่อนข้างเฉพาะทางหน่อย ^^



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2556, 01:21:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2556, 01:27:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 2899





<< บทที่ 3 : ระหว่างคำว่า "เรา"   บทที่ 5 : ความสำคัญระหว่างคนสองคน >>
lovemuay 6 มี.ค. 2556, 10:11:04 น.
หายไปนาน คิดถึงจังเลยค่ะ อิอิ


nunoi 6 มี.ค. 2556, 13:25:15 น.
โหยยย หายไปนานเลย แต่ยังรออยู่นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account