Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: บทที่ 5 : ความสำคัญระหว่างคนสองคน


ภูธเรศเดินกลับไปกลับมาในห้องหลายรอบแล้ว...

ตั้งแต่ที่พริมาวางหู ชายหนุ่มก็เริ่มอยู่ไม่สุข ร่างสูงเริ่มเดินสำรวจห้องหับของเพื่อนสาวอย่างถือวิสาสะ ตั้งใจว่าจะทำความสะอาดห้องของเธอแก้เซ็ง แต่เมื่อคิดถึงเสียงที่ได้ยินลอดจากปลายสายตอนคุยกันเมื่อครู่ หมอหนุ่มก็รู้สึกฉุนหน่อยๆ...แต่อย่าถามเขานะว่าทำไม เพราะเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

เริ่มต้นเก็บกวาดจากในห้องนอนแล้วกัน หลังจากที่เขาไม่ได้มาเยี่ยมห้องเธอเป็นเดือน ตอนนี้สภาพห้องของเพื่อนเป็นเหมือนห้องเก็บกระดาษใช้แล้วไม่มีผิด ทั้งห้องกระจายเกลื่อนด้วยกระดาษจดโน้ต ชีทเอกสารประกอบการเรียน อีกหลายอย่างหลายประการที่เจ้าของห้องปล่อยปะไว้ไม่เก็บกวาด ผ้าห่มกับหมอนที่ยัยตัวยุ่งเอาออกมานอนเมื่อตอนกลางคืนก็ยังวางแปะไว้ที่พื้นไม่ได้เก็บ ฯลฯ

ไม่ไหวละนะ...ยัยนี่เป็นผู้หญิงจริงๆ รึเปล่าเนี่ย!

แม้จะบ่นหงุดหงิดในใจแค่ไหน แต่คุณหมอหนุ่มก็เริ่มเก็บข้าวของประดามีที่กองๆ สุมๆ ไว้ตามมีตามเกิดของเพื่อนให้เข้าที่อย่างรวดเร็วเท่าที่อาการแฮงค์ของเขาจะอำนวย ด้วยทนไม่ได้กับสภาพห้องที่เหมือนห้องของชายโสดมากกว่าหญิงโสดของเพื่อน

จนกระทั่งเก็บของเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะหนังสือพลางหอบหายใจน้อยๆ ด้วยความเหนื่อย เพราะนอกจากเก็บของแล้ว ภูธเรศยังต้องเดินไปหยิบไม้กวาดมากวาดฝุ่นในห้อง เอาขยะที่ไม่จำเป็นออกไปทิ้ง เก็บผ้าห่ม ที่นอนหมอนมุ้งของเพื่อนจนเนี้ยบ จนตอนนี้ห้องนอนที่แสนรกเมื่อครู่กลายเป็นห้องที่น่านอนไปในทันควัน ภูธเรศมองรอบๆ ห้องพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เพราะเดาได้เลยว่าเมื่อเพื่อนกลับมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

...ยัยพริมต้องบ่นใหญ่แน่นอน เพราะเธอหาว่าเขาจะทำให้เธอหาของที่ต้องการไม่เจอ ในขณะที่เขาก็จะพร่ำบ่นว่าการสะสมไรฝุ่นไว้เป็นเพื่อนในห้องนอนมันไม่ดีต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง...

คิดแล้วก็ฮาจริงๆ นะเนี่ย พวกเขาสองคนน่าจะไปสลับเพศกันซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ดีนะที่พริมายังพอมีฝีมือในการทำอาหารอยู่บ้าง ไม่งั้นเขาคงคิดว่าเธอคงมีฮอร์โมนเพศชายเยอะเกิน...จนไม่สามารถทำอะไรๆ ได้อย่างผู้หญิงคนอื่นซะแล้ว

คิดถึงอาหาร...คุณหมอหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือแล้วต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าอีกชั่วโมงกว่าๆ ก็จะถึงเวลาเที่ยงแล้ว ชายหนุ่มลุกพรวด มือปัดไปโดนสมุดเล่มหนึ่งที่เขาเก็บขึ้นมาจากพื้นเมื่อครู่ให้ตกลงไปที่พื้นอีกครั้งแต่ร่างสูงกลับเดินเลยไปด้วยความรีบร้อน...ไม่ได้สนใจกับสมุดบันทึกที่เปิดค้างไว้หน้าหนึ่งที่ขึ้นต้นด้วยข้อความว่า...

ภูธเรศ...


ร่างสูงของคุณหมอหนุ่มเดินขึ้นไปบนอาคารหรู ชั้นที่ขึ้นมานั้นกรุกระจกเผยให้เห็นวิวภายนอกกว้างขวาง ภูธเรศยกยิ้มให้กับพนักงานสาวๆ ที่เดินผ่านหน้าไปมา ก่อนที่จะเดินตรงไปยังโต๊ะของเลขาฯ ที่อยู่ด้านหน้าของห้องประธานบริษัท

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะ...ภู!”

ตาคมสวยเบิกกว้าง ใบหน้างามที่มีเครื่องสำอางตกแต่งให้โฉบเฉี่ยวตามสมัยเผยรอยยิ้มหวาน ก่อนที่จะหุบยิ้มทันควันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอยู่ในระหว่างภาคทัณฑ์คนตรงหน้าอยู่

นุชนาถแกล้งก้มลงเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ไม่ยอมเอ่ยปากคุยกับคุณหมอหนุ่มที่ตอนนี้ทำหน้างอนง้อเธอเต็มที่ ก่อนที่จะสะดุดเมื่อมือเรียวคล้ายผู้หญิงจะยื่นช่อดอกไม้สีชมพูมาตรงหน้า

“แทนคำขอโทษของผม...ยกโทษให้ผมนะครับที่รัก”
ใบหน้างามขึ้นสีระเรื่อ เสหลบไม่มองกุหลาบช่องามที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ภูธเรศขมวดคิ้วนิดๆ แต่ก็รีบเอ่ยง้อต่ออย่างรวดเร็ว

“น่านะ...นุชครับ ช่วงก่อนผมงานยุ่งจริงๆ ยิ่งช่วงนี้อาจารย์หมอชอบใช้งานผมอยู่เรื่อย...” ขอโทษนะครับอาจารย์ ผมขอยกอาจารย์มาเป็นข้ออ้างง้อสาวก่อนละกัน “...แต่ผมก็ทำตามสัญญาแล้วไงจ๊ะ ที่บอกว่าจะมาทานกลางวันกับนุชทุกวันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ไง วันนี้ผมก็มาแล้วนะ”

คนพูดพยายามฉีกยิ้มเต็มที่ หากแต่คนฟังยังตีหน้าบึ้ง สวนว่า “คุณมาสาย...ไม่มีเวลาไปกินข้าวพอหรอกค่ะ”

“ทำไมจะไม่พอล่ะจ๊ะ...เราก็หาร้านแถวๆ บริษัทคุณไปกินข้าวกันก็ได้นี่นา...”

“คุณจะให้ฉันไปนั่งร้านแถวๆ นี้เนี่ยนะ?” หญิงสาวย้อนถามเสียงสูง สีหน้าบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นเอาเรื่อง “จำได้มั้ยคะที่คุณพาฉันไปนั่งทานข้าวร้านริมถนนครั้งหนึ่ง แล้วฉันก็อาหารเป็นพิษน่ะ นี่คุณกะจะให้ฉันป่วยอีกเหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น...” คนเป็นหมอพยายามแก้สถานการณ์ตรงหน้าให้ดีขึ้น “งั้นคุณอยากไปไหน ผมจะพาไปเลยเอามั้ยจ๊ะ เราไปคุยกันบนรถก็ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเสียเวลาไปเรื่อยๆ...”

“ป่านนี้แฟนคุณนุชยังไม่มารับไปทานข้าวอีกเหรอครับ?”

เสียงผลักประตูห้องที่อยู่เยื้องด้านหลังโต๊ะทำงานของหญิงสาวและเสียงนุ่มๆ ของชายหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องทำให้คู่รักทั้งสองหันไปดูพร้อมกันเป็นตาเดียว และดูเหมือนคนมาใหม่จะชะงักนิดหนึ่งเมื่อมองเห็นร่างสูงของคุณหมอหนุ่ม ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะยิ้มบางๆ ให้กับภูธเรศ

“อ้าว...คุณหมอมารับคุณนุชแล้วเหรอครับวันนี้?”

“ครับคุณสันต์ ช่วงนี้ผมต้องบริการนุชหน่อย เธอกำลังอยู่ในช่วงงอนผมน่ะครับ” คุณหมอยิ้มบางๆ ตอบกลับ หากแต่สายตาสองคู่กลับประสานกันอย่างรู้เท่าทันความคิดกันและกันเป็นอย่างดี

ภูธเรศรู้สึกทะแม่งๆ กับเจ้านายของแฟนสาวพอสมควร สัญชาตญาณของผู้ชาย (ที่มีอยู่น้อยนิด) บอกกับเขาว่าผู้ชายคนนี้รู้สึก ‘อะไรบางอย่าง’ กับนุชนาถ หากการแสดงออกนั้นไม่ชัดเจนพอที่เขาจะทำอะไรตอบโต้กลับไปได้ ทว่าเพราะเขาเชื่อใจนุชนาถ ว่าเธอมั่นคงพอ (ไม่อย่างนั้นก็คงไม่คบกันมานานตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง) ที่จะไม่หวั่นไหวไปกับเจ้านายหนุ่มหล่อคนนั้น คนที่เขายอมรับว่าไม่ได้มีอะไรด้อยไปกว่าเขาเลยซักนิด...แถมภาษีอาจดีกว่าเขาด้วยซ้ำไป...

...เวลาเหรอ...ใกล้ชิดกันตลอดในเวลางานอยู่แล้ว การเอาอกเอาใจเหรอ...นุชนาถก็เคยพูดอยู่บ่อยๆ ถึงความอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้ให้เขาฟัง หน้าตาก็ดี แถมยังรวยกว่าเขาตั้งเยอะ...

...เขามันก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆ เป็นหมอที่วันๆ ไม่ได้อยู่กับสิ่งจรรโลงใจ เวลาส่วนใหญ่ก็หมกตัวอยู่แต่กับงาน ฐานะก็แค่พอมีพอกินเท่านั้นเอง...

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาฝากความหวังไว้จึงมีเพียงความไว้วางใจในตัวของคนรักเพียงอย่างเดียว...และเขาก็เชื่อใจเธอเสมอมา...

สายตาคมกล้าของคุณหมอหนุ่มมองจับใบหน้าหล่อเหลา ผิวเข้มคร้ามของคนตรงหน้าขับเน้นให้ดูเร้าอารมณ์มากขึ้น ร่างเพรียวสูงเช่นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำส่งให้ชุดสูทแบบผู้บริหารที่สวมใส่อยู่เข้ากับเขายิ่งนัก ประกายตาของสันต์หม่นลงน้อยๆ จนภูธเรศแทบจับสังเกตไม่ได้เมื่อคุณหมอหนุ่มเอ่ยปากรับตัวเลขาเขาออกไปทานข้าว

แต่เพียงชั่ววิบตา นักธุรกิจหนุ่มก็ส่งยิ้มสดใสให้กับคู่รักทั้งสองคนก่อนบอก “ถ้าอย่างนั้นก็รีบหน่อยนะครับ คุณนุช...ผมยอมให้คุณเลท แต่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงโอเคมั้ย?”

นุชนาถเผยยิ้มหวาน “ขอบคุณค่ะคุณสันต์”

“ถ้าอย่างนั้น...ทานมื้อกลางวันให้อร่อยนะครับ ผมไปล่ะ” ท่านประธานหนุ่มก้มศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงลา ก่อนจะก้าวเท้าจากไป ทิ้งให้คู่รักทั้งสองคนมองหน้ากันเงียบๆ ก่อนที่ภูธเรศจะเป็นฝ่ายหยิบกระเป๋าถือของแฟนสาวขึ้นมาแล้วกล่าวเสียงสดใส

“ไปกันเถอะครับ ผมฮิ้ว...หิวแล้วล่ะที่รักจ๋า”

ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ รีบถอนสายตาออกจากทางที่เมื่อครู่เจ้านายหนุ่มของตนเองเดินลับหายไป ก่อนที่จะหันกลับไปทำหน้าย่นจมูกใส่แฟนหนุ่มอย่างงอนไม่หาย

“ใครเป็นที่รักคุณไม่ทราบ คุณพริมามากกว่ามั้งที่ใช่”

“ว่าไปนั่น...” ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ก่อนกระเซ้าแฟนสาว “หึงเค้าล่ะสิ บอกแล้วว่าดูให้ดีๆ พริมน่ะเหมือนผู้ชายจะตาย ไม่ใช่สเปคผมหรอก ขานั้นเค้าเรียกเพื่อนสนิทเฉยๆ ตกลงหายงอนชั่วคราวแล้วเราไปกินข้าวกันนะ เดี๋ยวจะเลทมากไปกว่านี้เจ้านายคุณจะดุผมเอา”

หญิงสาวตวัดค้อนคมส่งไปให้คนช่างพูด ก่อนจะออกเดินนำลิ่วๆ โดยที่มีคุณหมอหนุ่มเดินตามติดๆ พลางร้องเรียกเธอให้รออย่างรื่นเริง...

...ทิ้งความสงสัยแปลกๆ เกี่ยวกับสายตาที่นุชนาถมองตามเจ้านายหนุ่มเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น...





“จะเข้าร้านนี้จริงเหรอคะ?”

นุชนาถกระตุกแขนเสื้อแฟนหนุ่มเมื่อเห็นเขากำลังจะก้าวเข้าไปในร้านอาหารที่ดูเรียบๆ เป็นเหมือนบ้านไม้ในสวนร่มรื่น หญิงสาวเหลือบมองคนที่ยืนเคียงข้างตัวเองด้วยสายตาตำหนิเมื่อมองการแต่งกายของเขา ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงยีนส์สีซีด และรองเท้าผ้าใบสีดำดุขะมุกขะมอม...หญิงสาวเบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์นิดหน่อย ก่อนเอ่ยต่อ

“นุชว่า...ไปกินร้านอื่นดีกว่ามั้ยคะ ร้านนี้...ดูยังไงๆ อยู่”

ภูธเรศเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ด้วยความงง...ตอนนั่งรถก็ตกลงกันแล้วว่าให้เขาเลือกร้าน ร้านอะไรก็ได้เพราะกินเวลาพักเที่ยงไปค่อนข้างมากแล้ว แล้วพอพามาจริงๆ ก็จะเกี่ยงไม่กินซะงั้น...

สายตาคมของคุณหมอหนุ่มเหลือบไปเห็นรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ในบริเวณลานจอดรถของทางร้าน สติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ด้านหน้ารถติดไว้ว่า ‘ตรวจสถานที่เกิดเหตุ’ พลันแววตาของภูธเรศก็เป็นประกายวาบ ก่อนที่จะหันไปบอกแฟนสาวที่ยืนอย่างตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะเข้าหรือไม่เข้าว่า

“เอาเถอะน่านุชจ๋า นี่มันก็กินเวลาพักของคุณมามากแล้ว ผมรับรองว่าที่นี่อาหารอร่อยเพราะว่ามากินบ่อยๆ กับเพื่อนๆ ที่เป็นหมอ คุณลองหน่อยละกัน เค้ามีอาหารหลายอย่างหลากเมนูนะครับ ไทย จีน ฝรั่ง แล้วแต่จะเลือกเลยล่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มเอาใจก่อนที่จะแตะแผ่นหลังของร่างบางให้เดินเข้าไปในร้าน บริกรของทางร้านรีบเดินเข้ามาต้อนรับ คุณหมอหนุ่มเจรจาอยู่สองสามคำก็ได้ที่นั่งเป็นโต๊ะติดผนังกรุกระจก ที่มองออกไปแล้วเห็นสวนหย่อมน้อยๆ ที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างดีของทางร้าน สีเขียวของต้นไม้ทำให้คนมองรู้สึกสบายตามากยิ่งขึ้น เป็นที่พอใจแก่คู่หนุ่มสาวนัก

ร่างบางเอ่ยขอบคุณบริกรที่เดินเข้ามาส่งเมนูให้ ก่อนที่จะพูดกับคุณหมอหนุ่มที่เริ่มก้มหน้าก้มตาสำรวจเมนูอย่างจริงจัง “เมื่อคืนคุณทำไมไม่โทรมาคะภู”

“หา...เอ่อ...” คุณหมอหนุ่มคิดสะระตะคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพบว่าการไม่โกหกดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด “เมื่อคืนผมไปดื่มกับพวกพี่หมอสุเมษเขาน่ะ พี่เขาจะได้เป็นศัลยแพทย์เต็มตัวแล้วนะ เลยชวนกันไปฉลองกันหนักหน่อย”

“เลยลืมโทรมาหาฉันน่ะเหรอคะ”

“โธ่...ที่รักจ๋า...” หมอหนุ่มเริ่มใช้ลูกอ้อนเมื่อเห็นคนที่นั่งตรงกันข้ามเริ่มทำหน้าบึ้ง สีเขียวของต้นไม้ไม่สามารถช่วยให้คนนั่งใกล้ๆ อารมณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด “ผมขอโทษน้า...ตอนแรกผมก็จะโทรหาคุณเหมือนกัน โทรแล้วด้วยแต่...”

“ขออนุญาตรับเมนูครับ”

คราวนี้คนมารับเมนูไม่ใช่บริกรคนเดิม หากแต่เป็นเจ้าของร้านหน้าตายิ้มแย้มเดินเข้ามาขัดจังหวะการสารภาพผิดของภูธเรศ หมอหนุ่มเกือบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเขาก็ยังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะบอกเรื่องที่ไปค้างห้องเพื่อนสนิทให้กับแฟนสาวรู้หรือไม่ดี เมื่อมีคนขัดตาทัพก็ถือว่าต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายให้เขาไปก่อนแล้วกัน

“สปาเกตตี้คาโบนาร่าค่ะ ภูคะ...ภูจะเอาอะไรเหรอคะ”

“อืม...เหมือนคุณแล้วกันจ้ะ” ชายหนุ่มยิ้มหวานให้แฟนสาวพลางหันไปเอ่ยเจ้าของร้านอย่างอยากรู้

“วันนี้มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ มีรถตรวจสถานที่เกิดเหตุมาด้วย หรือตำรวจมากินข้าวกัน”

“เปล่าหรอกครับคุณหมอ” เจ้าของร้านหนุ่มยิ้มน้อยๆ ขณะตอบคำถาม “คือเมื่อคืนร้านโดนขโมยยกเค้าน่ะครับ ตอนนี้ตำรวจกำลังตรวจสถานที่เกิดเหตุอยู่”

ชั้นสองและชั้นสามของร้านอาหารแห่งนี้เป็นที่พักของเจ้าของร้านและครอบครัว ตอนนี้เจ้าของร้านมาบริหารร้าน ภรรยาคงทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้เหล่าตำรวจอยู่กระมัง...หมอหนุ่มคิดเพลินๆ ก่อนที่จะสะดุดความคิดเมื่อเจ้าของร้านเอ่ยเสริมประโยคเมื่อครู่ก่อนจะเดินไปในห้องครัว

“อ้อ...ผมเห็นเพื่อนคุณหมอมาด้วยนะครับ ไม่เห็นบอกกันก่อนเลยว่าน้องเค้าเป็นตำรวจ ผมล่ะชอบสาวในเครื่องแบบซะจริงๆ ดูเท่ดีว่ามั้ยครับ”

คงจะจริงที่เจ้าของร้านนี้ชอบสาวในเครื่องแบบเพราะภรรยาเขาก็เป็นพยาบาลรุ่นพี่ของภูธเรศเอง แต่ข้อมูลที่เพิ่งได้มาทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าพริมาจะต้องอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ...

“ภูคะ”

นุชนาถเรียกเสียงเรียบ ขัดจังหวะความคิดของคุณหมอหนุ่มทันควัน

“ฮะ...ว่าไงนะจ๊ะ?”

“เปล่าหรอกค่ะ แค่กำลังอยากรู้ว่า ‘น้องเค้า’ ของพี่เจ้าของร้านที่เป็นคนรู้จักของคุณ...เป็นผู้หญิงเหรอคะ?”

“รู้ได้ไงเนี่ย”

“รู้มากกว่านั้นอีก...” นุชนาถเอ่ยเสียงเย็น ระหว่างที่โน้มตัวลงมาใกล้แฟนหนุ่มเรื่อยๆ ดวงตาคมหวานจับจ้องใบหน้าหล่อเหล่าเป็นประกายประหลาด “คนๆ นั้นคือคุณพริมาใช่มั้ยคะ?”

ชายหนุ่มอึ้งกิมกี่ นึกไม่ถึงเลยว่าแฟนสาวจะเดาไปถึงเพื่อนสนิทของเขาเร็วขนาดนี้ แถมเดาแม่นซะด้วย...

ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้นะว่านุชนาถไม่ค่อยชอบพริมาเท่าไหร่ สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะกลัวเขาชอบยัยเด็กเฟอะฟะนั่นมั้ง...ใคร้...ใครจะไปชอบลงเล่า ทำตัวเป็นเด็กก็เท่านั้น รกรุงรังก็เท่านั้น ไม่มีความเป็นกุลสตรีก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรเทียบแฟนเขาได้ซักอย่าง...

แต่พริมาก็เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่สุดที่เป็นเพศเดียวกัน นอกจากรู้ใจกันทุกอย่างแล้ว พริมายังมีประโยชน์ในการช่วยเขาง้อคนที่กำลังนั่งตรงหน้านี้ด้วย หลายครั้งที่ไอเดียการง้อสาวของภูธเรศได้มาจากเพื่อน และทั้งเขาทั้งพริมาต่างก็ปิดปากเงียบกับเรื่องนี้มาโดยตลอด

...ดีนะที่พริมาเข้าใจทุกอย่างและไม่ถือสาเรื่องที่นุชนาถจะเข้าใจเธอผิด ไม่อย่างนั้นเขาซึ่งเป็นคนกลางคงลำบากใจหน่อยล่ะ...นั่นก็เพื่อนรัก นี่ก็คนรัก...และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาสนิทกับพริมาเกินกว่าเพื่อนคนไหนๆ

“คิดว่าคงงั้นแหละ พริมเรียนด้านนี้นี่ เค้าบอกผมเหมือนกันว่าวันนี้มีฝึกงาน อ๊ะ...อาหารมาพอดี ทานกันเถอะครับ

แฟนสาวของคุณหมอพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนตักอาหารเข้าปาก หากแต่ในใจคิดหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดถึงเพื่อนสนิทของแฟนตัวเอง




“ของได้แล้วค่าพี่กฤษ”

ร่างบางที่สวมเสื้อโปโล กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบออกมายืนท้าแดดกับรองสารวัตรฝ่ายตรวจสถานที่เกิดเหตุ กฤษณะรับกล่องเครื่องมือจากหญิงสาวแล้วก็เอ่ย

“กลับเข้าไปข้างในไป๊! ข้างนอกมันร้อนนะ อันตรายด้วย...”

พริมายักไหล่นิดๆ แล้วก็ทรุดลงนั่งยองๆ ใกล้ๆ ผู้หมวดหนุ่ม ไม่นำพาว่าพื้นที่ตรงนั้นคือหลังคาที่ยื่นออกไปของชั้นหนึ่งซักนิด คนอื่นๆ นอกจากเขากับเธอนั้นบางคนกำลังสอบถามข้อมูลจากภรรยาเจ้าของบ้าน บางคนก็วุ่นอยู่กับการถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุพร้อมกับทำหน้าที่ปัดฝุ่นหาลายนิ้วมือไปด้วย เนื่องจากกำลังคนในฝ่ายมีน้อยทำให้คนหนึ่งต้องทำหลายๆ หน้าที่ การทำงานจึงค่อนข้างช้ากว่าที่ควร

เมื่อครู่ตอนตรวจสถานที่เกิดเหตุ กฤษณะพบว่ามีร่องรอยการงัดแงะที่หน้าต่าง และเนื่องจากตำรวจสันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะปีนเข้ามาภายในบริเวณบ้านจากตรงรั้วคอนกรีตสูงมุมที่ติดกับริมตลิ่ง ชายคานั้นอยู่ห่างจากรั้วไม่มากนัก คนที่ปีนเก่งๆ สามารถปีนจากรั้วมาหลังคาได้สบายๆ กฤษณะจึงต้องออกมาตามหารอยรองเท้าหรือรอยเท้าที่อาจจะเหลือติดอยู่ของคนร้ายโดยการออกมาปีนหลังคาบ้าง

หากเป็นการตรวจรอยเท้าภายในอาคาร ตำรวจหนุ่มคงไม่ต้องออกมาด้อมๆ มองๆ ขนาดนี้ เพราะเพียงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า PolyLight ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ไฟฉายแต่ออกแบบให้สามารถเปลี่ยนสลับสีของแสงได้ เวลาใช้ก็ฉายไปที่พื้นที่สงสัย และสวมแว่นตาที่มีสีที่สามารถตัดแสงให้เห็นในสิ่งที่เราต้องการหาได้ เครื่องมือนี้เป็นประโยชน์ในการหาร่องรอยต่างๆ ไม่เพียงแต่รอยเท้าเท่านั้น แต่แสงที่แตกต่างกัน จะทำปฏิกิริยากับวัตถุที่แตกต่างกัน ดังนั้นเครื่องมือนี้จึงสามารถใช้หารอยเลือด ร่องรอยสารคัดหลั่งได้ด้วย ถือเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นที่มีประสิทธิภาพและลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้ดีอย่างหนึ่ง แต่เวลาใช้นั้นจะต้องอยู่ในที่มืด ซึ่งแน่นอนว่านอกหลังคาตอนกลางวันนั้น...ไม่มีทางมืดแน่ ดังนั้นผู้หมวดหนุ่มจึงทำได้เพียงออกมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่พอจะใช้ได้เท่านั้น

“เราใช้ผงฝุ่นไม่ได้เหรอคะ?” พริมาถาม หญิงสาวมองตามวิธีการทำงานของผู้หมวดหนุ่มอย่างสนใจ กฤษณะได้รับมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงของเธอตลอดการฝึกงานนี้ ดังนั้นนอกจากวันใดที่มีการจับเท็จและการไปขึ้นศาลของคุณหญิงผู้กองแล้ว นอกเหนือจากนั้นเธอมีหน้าที่ออกตรวจสถานที่เกิดเหตุกับผู้หมวดหนุ่มตลอด

“พื้นไม่เรียบ ปัดแล้วไม่ได้อะไรหรอก ถ้าพื้นเรียบนี่น่าลอง” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตอบ ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของสาวตรงหน้าที่ดูสนอกสนใจการทำงานของเขาซะเหลือเกิน

...อยากบอกว่าคนก็น่าสนใจไม่น้อยไปกว่างานหรอกนะจ๊ะสาวน้อย...

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องหาร่องรอยแล้วถ่ายรูปน่ะสิคะ” ร่างบางกวาดตามองทั่วบริเวณ หากแต่สายตานั้นแลเลยไปถึงลานจอดรถและไปสะดุดกับรถคันหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ...

...ไม่หรอกน่า...อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เห็นแต่หลังคารถน่ะบอกไม่ได้หรอกว่าเป็นรถของคุณหมอหนุ่มรึเปล่า อีกอย่างเมื่อคืนเธอเป็นคนลากเขาเข้าห้องเอง (เอ...คำมันทะแม่งๆ นาพริมา) แล้วรถเขาจะเอามาจากไหน หรือว่าจะให้คนอื่นเอามาให้...

...ช่างเถอะ หยุดสนใจอีตาหมอนั่น แล้วก็กลับมาตั้งใจทำงานดีกว่า!

หญิงสาวสูดลมหายใจเฮือก ก่อนที่จะลุกพรวดขึ้นเมื่อมองอีกที กฤษณะกำลังยกกล้องถ่ายรูปขึ้นถ่ายร่องรอยอะไรบางอย่างที่ใกล้ๆ ชายคาโน่นแล้ว

และเพราะลุกพรวดพราดรวดเร็ว ภาพตรงหน้าจึงดับมืดลงไปวูบหนึ่ง ร่างบางเสียการทรงตัวนิดๆ แต่เพราะพื้นลาดเอียงของหลังคาทำให้พริมาล้มกลิ้งลงไปทันที!

“เฮ้ย! น้องพริม!”




เสียงนั้นดังไปถึงส่วนหน้าร้าน ภูธเรศที่เพิ่งนั่งนิ่งๆ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จถึงกับเหลียวไปมองด้วยความตกใจเช่นเดียวกับลูกค้าคนอื่นๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นออกไปดูสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ไม่นำพาต่ออาการขวางหูขวางตาของนุชนาถที่ยังคงนั่งนิ่งต่อไปตรงนั้นอีกซักพักจึงตัดสินใจเดินออกมาดูด้วย

คุณหมอหนุ่มวิ่งออกไปสมทบกับเจ้าของร้านที่วิ่งมาก่อนหน้านี้แล้วไปยังต้นเสียง เมื่อเลี้ยวไปยังมุมหลังร้าน ก็ได้เห็นผู้หมวดหนุ่มที่ตอนนี้กระโดดลงมาจากกำแพงนั่งยองๆ พร้อมกับยื่นมือแตะร่างบางเบาๆ อย่างกลัวเธอเจ็บ

“พริม!...เจ็บตรงไหนบ้างบอกพี่เร็ว ตายๆ ทำไมจู่ๆ ถึงกลิ้งตกลงมาอย่างนี้ฮะ?”

“กลิ้งตกลงมาเหรอ?”

ทั้งกฤษณะและพริมาที่ยังไม่ทันได้ตอบคำถามของผู้หมวดหนุ่มต่างหันไปมองคนที่เพิ่งมาใหม่สองสามคน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงของเพื่อนหนุ่มยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเหล่าไทยมุงที่เริ่มออกมาดูกันเรื่อยๆ

“มะ...หมอ”

“เฮ้ยกฤษ หนูพริมเป็นไงบ้าง” ไม่ทันที่หญิงสาวจะทันได้ตอบคำถามของเพื่อน เสียงจากข้างบนก็ดังขึ้น พร้อมๆ กันนั้นก็เห็นนายตำรวจที่มาด้วยกันโผล่หน้าออกมาจากชายคาพลางร้องถามอย่างเป็นห่วง

“หนูไม่เป็นไรค่ะพี่ แค่รู้สึกเหมือนจะขยับตัวไม่ได้...”

“เจ็บตรงไหนบ้างบอกพี่สิ” กฤษณะบอกอย่างเป็นห่วง “ลุกไหวมั้ย?”

ผู้หมวดหนุ่มช้อนหลังร่างบางให้ลุกนั่ง ภูธเรศก้าวพรวดเข้าไปแทรกอย่างรวดเร็วพลางทำท่าจะดึงร่างเพื่อนสาวเข้ามาหาตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่ช้ากว่ากฤษณะที่เบี่ยงอ้อมแขนที่มีร่างบางให้หลบพ้นมือชายหนุ่มอย่างระแวง จนภูธเรศต้องย้ำ “ผมทำเอง...ยัยนี่เพื่อนผม”

กฤษณะมองตรงมายังร่างของผู้มาใหม่นิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววทุกข์ร้อนห่วงใย ร่างบางในอ้อมแขนของผู้หมวดหนุ่มทำหน้าช็อคไม่หาย ก่อนที่จะเอ่ยเสียงเบา

“มาได้ไงเนี่ย?”

“ก็เรามากินข้าว...”

“...กับฉันค่ะ คุณพริมา สวัสดีค่ะ” ร่างงามสมส่วนในชุดสูททำงานเดินเข้ามาอยู่เคียงข้างคุณหมอหนุ่ม ใบหน้าสวยคมยิ้มน้อยๆ ให้กับคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนในอ้อมแขนของกฤษณะ หากสายตานั้นไม่ยิ้มด้วย “คราวนี้คุณพริมเกิด ‘อุบัติเหตุ’ ตกลงมาจากหลังคาเลยเหรอคะเนี่ย...คงไม่เป็นไรมากหรอกค่ะภู เพราะปกติแล้วคุณพริมเธอก็ค่อนข้างจะ...เอ้อ...เจออุบัติเหตุบ่อยๆ เหมือนกัน”

คำพูดนั้นส่อนัยที่รู้กันระหว่างหญิงสาวทั้งคู่ พริมายังทำหน้านิ่งเฉยทั้งที่ในใจโวยวายกับความอยุติธรรมที่อีกฝ่ายโยนให้ เธอไม่ได้อยากเกิดมาซุ่มซ่าม พยายามระวังตัวที่สุดแล้ว แต่ตั้งแต่คบกับภูธเรศเป็นเพื่อน เธอเจ็บตัวทีไร หมอนี่ก็จะแล่นมาหาทุกทีเหมือนติดกล้องวงจรปิดไว้กับตัวเธอตลอดอย่างนั้นแหละ

กฤษณะไม่ได้สนใจสองหนุ่มสาวเลย หากแต่ก้มลงถามคนในอ้อมแขนอย่างเป็นห่วง “นอกจากปวดเนื้อปวดตัวแล้วพริมยังเจ็บส่วนไหนเป็นพิเศษรึเปล่า พี่ควรพาเราไปเอ็กซ์เรย์ดีมั้ยเนี่ย ทำไมจู่ๆ ถึงลุกขึ้นยืนแล้วกลิ้งตกลงมาเนี่ย?”

“พริมเป็นโรคความดันต่ำ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยแทรกร่างบางที่กำลังจะอ้าปากตอบ สายตาแวววับยังจับจ้องไปที่แขนที่โอบประคองร่างเพื่อนสาวของเขาเอาไว้ “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร...ผมเป็นหมอและเป็นเพื่อนพริม เดี๋ยวผมจะเอาเพื่อนไปส่งโรงพยาบาลเองครับ”

“พริมไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะพี่กฤษ หมอไม่ต้องไปส่งเราที่โรง’บาลหรอก มากับคุณนุชไม่ใช่เหรอ เราไม่รบกวนดีกว่า...”

ไม่อยากมองเวลาเขาอยู่ด้วยกัน แต่เพราะในฐานะ ‘เพื่อน’ นอกจากมองแล้วเธอยังต้องฝืนยิ้มรับอีก ให้ทำอะไรฝืนความรู้สึกแบบนี้...ถ้าเลี่ยงได้เธอก็อยากจะเลี่ยงเหมือนกัน

...ไม่ได้เป็นพวกมาโซคิสม์ซักหน่อย จะได้ทนความเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วยังสามารถยิ้มชื่นได้อีก...

กฤษณะนิ่งคิดเพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนช้อนร่างบางขึ้นทั้งตัว โอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงแล้วเอ่ย “งั้นก็กลับกันเลยดีกว่า ข้างบนเสร็จแล้วใช่มั้ยครับพี่”

เสียงนายตำรวจที่ยังอยู่ข้างบนตอบกลับมาเป็นเชิงว่าเรียบร้อย ผู้หมวดหนุ่มก้มลงมองคนในอ้อมแข็นที่ยังคงเจ็บเนื้อเจ็บตัวเกินกว่าที่จะปฏิเสธการกระทำของเขาได้พลางบอก “งั้นกลับกันเลยดีกว่า จะไปโรง’บาลมั้ยค่อยว่ากันอีกทีนะ”

“ค่ะ”

พริมาพยักหน้ารับ เบือนหน้าหลบสายตาเพื่อนที่จ้องมาเขม็งอย่างไม่อยากเชื่อหูเชื่อตาตัวเอง ก่อนจะเอ่ยลาเบาๆ “เราไปก่อนนะหมอ สวัสดีค่ะคุณนุช” ท้ายประโยคเธอหันมามองผู้หญิงทื่ยืนเกาะแขนเสื้อของคุณหมอหนุ่มนิ่ง แววตาสงบปิดบังความร้าวรานภายในมิดเม้น

...เธอกำลังหวังอะไรอยู่พริมา หวังให้เขาเข้ามาดูแลเธอในฐานะเพื่อน แล้วทิ้งแฟนเขาไว้ตรงนี้น่ะหรือ...

“ค่ะ...ลาก่อน”

นุชนาถจ้องกลับด้วยสายตาสงบเฉกกัน หาก...ผู้หญิงด้วยกันนั้นดูออก พริมาก็คิดว่าตนเองรู้ความนัยแห่งสายตานั้นดี เป็นความนัยเดียวกันกับที่เธอได้อยู่ทุกครั้งเมื่อเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้...

‘อย่าคิดชอบแฟนฉันเด็ดขาด!’ นั่นแหละนัยที่เธอส่งมาทางสายตานั้น

ร่างสูงของผู้หมวดหนุ่มออกเดิน ผ่านไทยมุงที่ตอนนี้สลายตัวเกือบหมดเมื่อไม่เห็นว่าใครจะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร ผ่านร่างสูงโปร่งของภูธเรศที่ยืนนิ่งไม่ว่าอะไร...อย่างเงียบๆ



และเงียบงันอยู่อย่างนั้นจนกลับถึงกอง...



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มี.ค. 2556, 00:57:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มี.ค. 2556, 00:57:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 2321





<< บทที่ 4 : เริ่มต้นฝึกงาน   บทที่ 6 : บางอย่าง >>
Auuuu 7 มี.ค. 2556, 01:30:04 น.
หึงละสินายภู


ใบบัวน่ารัก 7 มี.ค. 2556, 07:19:17 น.
รัก3เศร้า
มือที่3
เจ้านายกะเลขา มันชัวร์แน่ๆ



lovemuay 7 มี.ค. 2556, 10:09:13 น.
อื้ม ท่าทางแฟนพี่ภูจะนอกใจซะหล่ะม้าง


nunoi 7 มี.ค. 2556, 11:07:46 น.
อ้าว ทำไงหล่ะนายภู จะหึงแฟนตัวเอง หรือจะหวงหนูพริม กันหล่ะ


mhengjhy 7 มี.ค. 2556, 13:02:09 น.
นายภู มีแฟนแล้ว อย่าาาาาาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account