ปาริชาตซ่อนรัก

Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย

ตอน: ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

การรอคอยที่ดำเนินไปพร้อมความอึดอัดแสนยาวนานในความรู้สึกของคุณมยุริน สิ้นสุดลงทันทีที่ได้เห็นร่างสูงของลูกชายวัย 27 ปี กำลังเดินปะปนกับผู้โดยสารรายอื่นของเที่ยวบินเดียวกันออกมา

เหตุที่นางรู้สึกว่าการรอคอยครั้งนี้เป็นไปด้วยความอึดอัด ก็เนื่องจากต้องฝืนยิ้มร่า ทำตัวปรองดองกับสามีที่หลัง ๆ มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเหมือนไม่ได้อยู่ร่วมบ้านแถมห่างเหินจนแทบไม่รู้จักกัน โดยมีสายตาของเลขาส่วนตัวที่คอยรับใช้และติดสอยห้อยตามร่วม 10 ปีมองมาอยู่เนือง ๆ

“คุณเสกข์เดินมาโน่นแล้วค่ะ”

เสียงนภษรดังขึ้น ขณะเจ้าของได้มาย่อตัวลงบอกใกล้ ๆ หลังจากคอยเดินไปสอบถามเอากับเจ้าหน้าที่ของสนามบิน ด้วยเห็นว่าเลยกำหนดเวลาลงจอดของเที่ยวบินที่ทุกคนกำลังรอคอยร่วมชั่วโมง

“ไหน...”

คุณสุพลเอ่ยถามพลางหันมองไปยังทิศทางเดียวกับภรรยาซึ่งวันนี้ทนนั่งอยู่ข้างกันนานเป็นพิเศษ ก่อนจะพยักหน้าแสดงอาการรับรู้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มวัย 27 ปีซึ่งมีใบหน้าและท่วงท่าละม้ายเขาเสียเป็นส่วนใหญ่กำลังเดินออกมาจริง ๆ

“โน่นค่ะ อ้อ... เห็นเราแล้วค่ะ”

คุณสุพลคลี่ยิ้มพลางยกมือขึ้นโบกให้ลูกชายในทันทีที่เห็นเขาเปิดยิ้มร่าและเตรียมสาวเท้าตรงดิ่งมาหา ส่วนคนเป็นแม่อย่างคุณมยุรินก็อยู่ในภาวะดีใจไม่แพ้กัน ความรู้สึกไหนก็ไม่ท่วมท้นเท่าการได้เห็นสายเลือดที่ฟูมฟักมากับมือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รู้จักเรียนและรู้จักทำงานสมความคาดหวังของผู้ให้กำเนิด

ไม่เพียงแต่คนในครอบครัวและพนักงานในบริษัทเท่านั้นที่นึกนิยมในความเป็นตัวตนของสุรเสกข์ หากแต่ความรู้สึกดังกล่าวยังแผ่ออกไปสู่สายตาคนภายนอกด้วย เพราะช่วงเวลา 2 ปีนับแต่เรียนจบปริญญาตรีจนถึงก่อนที่จะจากเมืองไทยไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่อังกฤษ เขาก็ถูกจับตามองอยู่ไม่น้อยในฐานะนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงทายาทหนึ่งเดียวของวินเนอร์ ออโต้พาร์ท

“สวัสดีครับแม่”

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ ๆ พร้อมกับเจ้าของโน้มตัวลงมาสอดมือสวมกอดนั้น ปลุกความรู้สึกปิติให้เอ่อท้น หากแต่คุณมยุรินก็เลือกที่จะกอดตอบลูกชายเพียงอึดใจแล้วเอ่ยบอกเบา ๆ

“สวัสดีลูก ได้กลับมาอยู่ด้วยกันให้แม่หายคิดถึงสักทีนะ”

“ครับ แต่แหม...แม่ก็ ผมไปแค่ 2 ปี ไม่ได้นานสักหน่อย”

“นานสิ มันนานมากเลยในความรู้สึกแม่”

น้ำเสียงแปร่งหูจากคุณมยุรินทำให้ใบหน้าคมที่โน้มลงมาซบไหล่ต้องเงยขึ้น พลางพุ่งสายตาสีน้ำตาลเข้มตรงมาสบประสานอย่างค้นคว้า ซึ่งท่าทีนั้นของลูกชายก็ทำให้คุณมยุรินเริ่มรู้สึกตัว นางคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้าบอกให้สุรเสกข์หันไปทักทายคนเป็นพ่อบ้าง

“สวัสดีครับพ่อ”

“หวัดดีไอ้ลูกหมา หึ ๆ”

คำทักทายของคุณสุพล ทำให้สุรเสกข์ต้องหัวเราะตามเบา ๆ ก่อนจะทำเช่นเดียวกับที่ทำกับคนเป็นแม่ คือสวมกอดร่างหนาของอีกฝ่าย ที่คราวนี้เขาไม่จำเป็นต้องโน้มตัวลงมาหา เพราะความสูงที่มีต่างกันแค่ไม่ถึง 6 นิ้ว

“เครื่องไฟลท์นี้มัวพาผู้โดยสารแวะเที่ยวที่ไหนมา ทำไมดีเลย์เป็นชั่วโมง”

คุณสุพลเอ่ยถามอย่างหยอกเย้าหลังจากคลายอ้อมแขนออกจากร่างของลูกชายแล้ว ซึ่งคนถูกถามก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า จำได้ว่าเมื่อนาฬิกาบนข้อมือถึงกำหนดเวลาร่อนลงจอด นกเหล็กมหึมาที่พาเขาข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมายังบ้านเกิด ยังลอยลำบนท้องฟ้าอยู่เลย

“พนักงานของวินเนอร์ ออโต้พาร์ท ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ”

เสียงของนภษรดังขึ้นทันทีที่สุรเสกข์หันหน้าไปหา ช่อดอกไม้ที่ถูกประคองอย่างทะนุถนอมถูกส่งต่อให้กับชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็รับเอาไว้ด้วยความเต็มใจ

“ขอบคุณมากครับ ดีใจที่ได้เจอกันครับคุณษร”

“บอสชวนมาด้วยกันค่ะ นี่ดีนะคะที่ไม่ป่าวประกาศบอกใคร ไม่งั้นคงแห่กันมารอรับคุณเสกข์อีกเป็นโขยง”

นภษรที่ปัจจุบันทำงานเป็นเลขานุการให้กับคุณสุพลที่บริษัท วินเนอร์ ออโตพาร์ท จำกัด เอ่ยบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอมั่นใจว่าสิ่งที่พูดไปนั้นไม่ผิดพลาดจากความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะสุรเสกข์ถือเป็นขวัญใจของพนักงานสาว ๆ ทั้งหลายในบริษัทไล่มาตั้งแต่สาวน้อยยันสาวใหญ่และไม่สาวเลยทีเดียว

“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”

“จริง ๆ ค่ะ คุณเสกข์ดูขาวขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยนะคะ”

เธอยืนยันคำพูดของตัวเองอย่างหนักแน่น ก่อนจะกวาดสายตามองสุรเสกข์ที่ทั้งคุณสุพลและคุณมยุรินต่างก็เห็นคล้อยตามกันว่ากลับมาคราวนี้ลูกชายคนเดียวของพวกเขาดูหุ่นหนากำยำกว่าครั้งก่อน ที่สำคัญผิวซึ่งดูขาวสะอาดสะอ้านนั้นก็ยิ่งขาวจัดขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

“เอ่อ... มีของมาด้วยแค่นี้เหรอคะ”

นภษรทำท่านึกขึ้นได้ เมื่อเห็นสุรเสกข์ทำเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วชะเง้อชะแง้มองไปยังผู้โดยสารคนอื่น ๆ ซึ่งทะยอยเข็นกระเป๋าเดินทางออกมา

“นั่นสิ ยังมีข้าวของอะไรติดมาอีกไหม”

พอนภษรเปลี่ยนเรื่องคุย คุณมยุรินที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความอิ่มเอมใจก็เอ่ยขึ้นบ้าง เพราะการได้เขามีเพียงกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมใบย่อมสะพายติดบ่าไว้เพียงใบเดียวในขณะนี้ ก็ทำให้คนเป็นแม่อดที่จะสงสัยไม่ได้

“จริง ๆ ยังจะมีกระเป๋าเดินทางอีกใบครับ แต่พอคิดว่าคงลำบากตอนเปลี่ยนเครื่อง ก็เลยตัดสินใจส่งมาทางเรือ”

“ดีเหมือนกันนะ เพราะไม่งั้นก็ต้องมาเสียเวลารอกระเป๋าและโดนตรวจอีก กลับบ้านไปพักผ่อนกันเถอะ นี่ก็เลทไปตั้งชั่วโมงกว่าแล้ว”

คุณมยุรินบอกก่อนจะหันไปพยักหน้าชวนทั้งลูกชายและสามีที่วันนี้ทนนั่งอยู่ข้าง ๆ กันมานานร่วม 2 ชั่วโมงโดยไม่เกิดเหตุการณ์ปะทะคารมเหมือนเคย

“เฮ้ย...ชิต มีใครมารับหรือเปล่า”

พอเหลือบไปเห็นเพื่อนที่แยกตัวไปรับกระเป๋าเดินทางเมื่อสักครู่ กำลังลากมันแล้วเดินเตร็ดเตร่กวาดสายตามองหาใครบางคนอยู่ สุรเสกข์จึงโบกมือเรียก

“นี่ชิติพัทธ์ครับ เรากิน เรียน เที่ยว เล่นด้วยกันตอนอยู่ที่โน่น”

ชายหนุ่มผิวขาวจัดกว่าสุรเสกข์ที่พอผสมผสานกับใบหน้าที่ประดับด้วยดวงตาเรียวเล็กก็ดูออกในทันทีว่ามีเชื้อสายจีน ถูกสุรเสกข์รั้งร่างให้เข้ามาสมทบ ซึ่งชิติพัทธ์เองพอถูกฝ่ามือเพื่อนตบลงบนแผ่นหลังพร้อมถ้อยคำที่พรั่งพรูออกจากปาก เขาก็รีบยกมือขึ้นไหว้ ทำให้ทั้งคุณสุพลและคุณมยุรินต่างทักทายกลับมาด้วยความยิ้มแย้มและยินดี

“นายกำลังมองหาใครอยู่”

“ก็หาคนมารับน่ะสิ ไม่รู้พ่อส่งใครมา”

“อ้าว ยังไม่เจอใครอีกเหรอ”

“ยัง ที่สำคัญวันก่อนก็บอกแต่ว่าจะให้คนมารับ แล้วก็ไม่ได้คุยกันอีก เครื่องดันมาดีเลย์แบบนี้ คงกลับไปแล้วมั้ง”

ชิติพัทธ์บอก ก่อนจะหักห้ามอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองแล้วหันไปเปิดยิ้มให้กับนภษรที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพราะเห็นเธอมองมาด้วยสายตาที่เป็นมิตร

“งั้นก็ไปด้วยกัน เดี๋ยวไปส่ง”

สุรเสกข์เอื้อเฟื้อตามประสาคนที่หัวหกก้นขวิดอยู่ในต่างแดนด้วยกัน และคาดว่าพวกเขาก็คงจะยังไปมาหาสู่กันไปอีกนานแสนนาน

“เฮ้ย... ไม่รบกวน ถ้าไม่เจอก็กลับแท็กซี่ได้ ไม่เป็นไร แต่ขอหาดูให้ทั่วก่อน ไม่งั้นจะถูกหาว่าชิงนั่งแท็กซี่กลับโดยไม่บอกไม่กล่าว”

“ไปด้วยกันก็ได้นี่ลูก แม่มากับนายพุด ส่วนคุณพ่อกับคุณษรมารถบริษัทกัน”

คุณมยุรินรีบรั้งไว้ ด้วยเห็นว่ารถยนต์คันที่จะรับสุรเสกข์กลับบ้านยังมีที่ว่างเหลือพอให้ชิติพัทธ์ติดไปด้วยได้ ในใจก็นึกอยากตำหนิคนเป็นพ่อของหนุ่มตี๋คนนี้ที่นัดแล้วก็ไม่รับผิดชอบ ปล่อยให้ลูกชายซึ่งเพิ่งกลับจากต่างประเทศเคว้งคว้างอยู่ในสนามบินกว้างใหญ่เพียงลำพัง เพราะความน้อยใจใคร ๆ ก็มีกันได้ไม่จำกัดอายุ

“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมยินดีจะนั่งแท็กซี่กลับ ถ้ามันจะทำให้คนที่มีหน้าที่มารับได้สำนึกผิด”

ชิติพัทธ์ว่าพลางหัวเราะให้กับตลกฝืดเรื่องแรกที่เขาต้องเจอเมื่อเหยียบเท้าลงบนผืนแผ่นดินไทย คุณสุพลมองแล้วยิ้ม ก่อนจะหยอกเย้าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า

“ถ้าเป็นลุง ลุงจะเก็บแรงที่ต้องลำบากลำบนนั่งแท็กซี่ไว้ไปด่าคน ๆ นั้นดีกว่า”

“พ่อก็ เดี๋ยวหมอนี่มันก็ด่าจริง”

สุรเสกข์ว่าพลางตบมือลงบนไหล่เพื่อนอีก 2 ที ก่อนจะรวบรัดทำตามในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าสมควรที่สุดในเวลานี้

“นายไม่ต้องพูดแล้ว กลับด้วยกันดีกว่า รับรองว่าจะส่งให้ถึงหน้าประตูบ้านเลย ไปกันเถอะ”

ในที่สุด สุรเสกข์ก็ได้ตัวของเพื่อนรักที่จับมือกันรอนแรมใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกลับไปด้วย จริงอยู่ที่ทางด้านชิติพัทธ์ไม่ได้แสดงท่าทีเคร่งเครียดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการไม่มีใครมารอรับที่สนามบิน แต่สุรเสกข์ก็รู้ว่าเพื่อนของเขากำลังใช้บุคลิกเริงร่าและไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้าง ปิดบังความผิดหวังลึก ๆ ในใจเอาไว้

ไม่มีใครรู้เลยว่าในขณะที่คุณสุพลและนภษรแยกย้ายไปขึ้นรถเพื่อกลับบริษัท พร้อม ๆ กับที่สุรเสกข์ ชิติพัทธ์และคุณมยุรินได้เดินทางออกจากสนามบินเพื่อกลับบ้านด้วยรถยนต์ที่มีคนขับรถรออยู่ รถเก๋งยุโรปคันใหญ่ซึ่งมีชายวัยใกล้ 60 กับหญิงสาววัย 24 ปี นั่งมาด้วยกันก็แล่นเข้าไปจอดยังลานกว้างด้านนอกของสนามบินแห่งนั้นพอดี



บ้านตึกหลังใหญ่สองชั้นซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่เกือบ 200 ตารางวากลางกรุง บ่งบอกถึงฐานะเจ้าของได้เป็นอย่างดี ชิติพัทธ์ยอมรับว่าชีวิตความเป็นอยู่ของสุรเสกข์เป็นระบบระเบียบกว่าเขา ก็แน่ล่ะ เด็กที่โตมาโดยมีแค่พ่อแถมเจ้าสำราญ เลี้ยงลูกแบบบุฟเฟ่ต์อย่างเขาจะเอาที่ไหนมาสู้เด็กที่โตมาในครอบครัวอบอุ่นเป็นปึกแผ่นมีทั้งพ่อและแม่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างสุรเสกข์ คิดได้แบบนี้ ชิติพัทธ์ก็ยักไหล่ ก่อนจะขยับขาลงจากรถเมื่อมันจอดสนิทลงหน้าบันได

“มา ลงมาก่อน เย็น ๆ จะไปส่ง”

“อ้าว ไหนว่า...”

ชิติพัทธ์ท้วง เพราะตั้งใจจะไปเฉ่งคนที่ทำหน้าที่บกพร่องสักหน่อย ขืนรอให้เย็นย่ำ อารมณ์เขาก็คงเย็นจนด่าใครไม่ออกเสียแล้ว

“ลงมาก่อนเถอะ อากาศข้างนอกมันยังร้อนอยู่ รอให้แดดร่มลมตกก่อนค่อยว่ากัน จะโทร.ไปบอกทางบ้านของนายก่อนไหม”

“ไม่โทร. หายไปเฉย ๆ แบบนี้ก็ดี จะได้รู้สึกกันซะบ้าง”

จากที่เฝ้าเก็บงำความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ลึก ๆ ชิติพัทธ์ก็กลับพลาดท่าแอบแง้มมันออกมาให้สุรเสกข์ได้หัวเราะเยาะจนได้

“เฮ้ย... คิดมากน่า คงติดธุระกันมากกว่า หรือไม่ก็คงคิดว่านายเปลี่ยนใจไม่กลับมาวันนี้ เครื่องมันดีเลย์นี่นะ ทำไงได้ล่ะ”

“นายจะพูดยังไงก็ได้ มันดูดีทั้งนั้นแหละ แต่รอให้ถึงบ้านก่อนเถอะ...”

“เรื่องเล็กน่า พ่อนายคงไม่คิดว่านายจะหลงทางหรอก ป่ะ... เข้าบ้านดีกว่า”

สภาพอากาศที่แตกต่างจากลอนดอนลิบลับ ทำให้สุรเสกข์ทั้งคอแห้งและเหนียวตัว เดิมทีก็ตั้งใจเอาไว้ว่าหากกลับถึงบ้านจะอาบน้ำแล้วสวมแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น นอนแผ่บนเตียงในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้จนเย็นฉ่ำ แต่ทว่าการต้องหอบหิ้วเอาลูกนกตกรังอย่างชิติพัทธ์กลับมาด้วย ก็ไม่อาจทำตามที่คิดไว้แต่แรกได้

มะลิ แม่บ้านวัย 40 เศษ โผล่หน้าออกมาจากครัวแล้วยกมือไหว้ทักทายด้วยความดีใจ ก่อนจะยกเครื่องดื่มเย็น ๆ ออกมาเสิร์ฟจนครบจำนวน หลังจากแอบกวาดสายตามองแล้วเห็นว่าสุรเสกข์หนีบเอาใครกลับมาด้วยอีกคน

“บ้านนายเงียบสงบแบบนี้ไงล่ะ นายถึงไม่ค่อยชอบเสียงอึกทึกคึกโครม”

ชิติพัทธ์ว่าขณะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้าน สนามหญ้าสีเขียวขจีดั่งปูพรมจากผนังบ้านยาวไปจนจรดรั้วอัลลอยด์สีขาวมีทั้งแปลงไม้ดอกไม้ใบปลูกประดับดูงามตา ที่สำคัญช่วยกั้นตัวบ้านให้ไกลจากสภาพจอแจบนท้องถนน เสียงจากการจราจรจึงไม่มารบกวนโสตประสาทของคนในบ้านมากนัก

“พูดแบบนี้แปลว่าบ้านนายไม่สงบงั้นสิ”

“ก็เป็นเต๊นท์รถนี่นา วัน ๆ มีแต่คนเข้าออก”

เสี่ยพงษ์พัฒน์หรือที่ใคร ๆ เรียกกันว่าเสี่ยหนูซึ่งเป็นบิดาของชิติพัทธ์ประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์ยุโรปมือสอง อันมีสนนราคาเริ่มต้นที่ไม่ต่ำกว่าคันละ 1 ล้านบาทและเน้นกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนาเท่านั้น

“ชิตพักผ่อนตามสบายก่อนนะ ทานข้าวเย็นด้วยกันแล้วค่อยกลับ”

“เอ่อ... ขอบคุณมากครับคุณแม่ แต่เห็นทีจะอยู่ถึงเวลามื้อค่ำไม่ได้เพราะถ้าเกิดมีคนไปแจ้งความมันจะยุ่งครับ”

“ก็โทร.ไปบอกเสียก่อนสิ โทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะตรงมุมนั้น”

คุณมยุรินเปิดยิ้มให้กับคำพูดของชิติพัทธ์ ก่อนจะหันไปสั่งความแก่แม่บ้านที่กลับออกมายกกระเป๋าเดินทางของสุรเสกข์ขึ้นไปเก็บบนห้องนอนของเขา แล้วเดินตามกันไป ปล่อยให้สองหนุ่มนั่งพักผ่อนตามอัธยาศัย

“บ้านนายนี่อยู่สบายดีนะ เสียอย่างเดียวเงียบเกินไปหน่อย”

“ก็อยู่กันไม่กี่คน ยิ่งตอนกลางวันแม่อยู่กับแม่บ้านและคนสวน พ่อก็ไปอยู่ที่บริษัท มันเลยยิ่งดูเงียบ ๆ”

ไม่ใช่แค่ชิติพัทธ์เท่านั้นที่รู้สึกถึงความเงียบของบ้าน หากแต่สุรเสกข์เองที่คุ้ยเคยกับบรรยากาศเช่นนี้มาชั่วชีวิต ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเช่นเดียวกัน การกลับมาหนนี้แม้จะเห็นรอยยิ้มและสีหน้าแววตาอิ่มเอมของแม่ หากแต่เขาก็ยังมองเห็นเงาของความอาดูรที่แฝงเร้นอยู่

“แบบนี้มันก็สมกับเป็นบ้านดี”

ชิติพัทธ์ว่าพลางนึกเปรียบเทียบกับบ้านของตนเองที่ค่อนข้างวุ่นวายเพราะไม่ได้ตั้งอยู่แยกต่างหากจากสถานประกอบการของครอบครัว และบ่อยครั้งที่ต้องสั่งพนักงานว่าเจ้าของร้านไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่ก็นอนพักผ่อนอยู่ในบ้าน แม้จะชินกับสภาพนั้นมาเนิ่นนาน แต่ชิติพัทธ์ก็ยังคิดเอาไว้ว่าหนนี้ จะจัดการให้เป็นระบบระเบียบเสียที

“บางทีมันก็เหมือนจะเหงาเกินไป แม่ก็บ่น ๆ อยู่เหมือนกัน”

“นายก็รีบหาคู่แล้วออกลูกออกหลานสิ”

ชิติพัทธ์ว่าแล้วหัวเราะ เพราะตีความคำว่า ‘เหงา’ ไปคนละทางกับที่สุรเสกข์ต้องการจะสื่อออกมา เขาจึงทำเพียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกลายเป็นสะอึก เมื่อเพื่อนที่นับว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันมากได้เอ่ยถึงใครบางคนที่ทำให้เขารู้สึกอิหลักอิเหลื่อในใจออกมา

“บอกสาวสวยคนนั้นหรือยังว่าพี่กลับมาแล้ว”

ความเงียบที่มีกลับมาทำให้ชิติพัทธ์รับรู้ถึงความคิดของสุรเสกข์ การได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มเวลาเอ่ยปากถึงหญิงสาวคนหนึ่งมีเพียงช่วงปีแรกของการไปเรียนต่ออังกฤษเท่านั้น เพราะหลัง ๆ มานี้ ชิติพัทธ์ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอ่ยถามเสียเองและคำตอบที่ได้กลับมาคือท่าทีเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายของคนถูกถามเท่านั้น

“กลับมาแล้วก็หาเวลาไปเยี่ยมเค้าบ้างสิ ยังไม่ได้ตัดขาดจากกันไม่ใช่เหรอ”

“ทำไมต้องไปหา ฉันกับเค้ายังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

คิ้วหน้าขมวดมุ่นผสานกับน้ำเสียงที่ขุ่นมัวของเจ้าของ ทำให้ชิติพัทธ์ที่หันหน้ามองออกไปนอกกระจกต้องแอบยักไหล่แถมเบะปากด้วยความหมั่นไส้

“จะมามัวปากแข็งให้คนอื่นหัวเราะเยาะอยู่ทำไมกัน ที่สำคัญอย่าเผลอไปพูดให้เจ้าตัวได้ยินเข้าล่ะ ไม่งั้นจะไม่ได้เป็นอะไรกันไปจนตลอดชาติจริง ๆ”

“นี่... ที่ฉันพูด ๆ มาอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ได้เป็นอะไรกันเนี่ย นายไม่เข้าใจใช่ไหมชิต”

พอคนที่ยืนอยู่ด้านหลังส่งเสียงเข้มมาให้ได้ยิน แถมยังยืนยันคำตอบเดิม ชิติพัทธ์ที่ยังอยู่ในอาการหมั่นไส้จึงหันหน้าไปหา ก่อนจะเอ่ยออกมาช้า ๆ แล้วสบสายตาเพื่อนด้วยหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดของเขาอย่างจริง ๆ จัง ๆ

“นายก็ไม่ควรปล่อยให้มันค้างคาอยู่ในความรู้สึกนะเสกข์ คนเคยคุยกันแล้วจู่ ๆ จะต่างคนต่างเงียบหาย ฉันว่ามันไม่ดีหรอก”

“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง”

“นายต้องไปคุยกันให้รู้เรื่องว่าจะเอายังไง คิดดูสิว่าถ้านายอยู่ในภาวะแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นายกล้าไหมที่จะเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นโดยที่ไม่รู้สึกผิด”

“ฉันคงไม่ปุบปับปิ้งใครในตอนนี้หรอก”

“มันก็ไม่แน่ ของแบบนี้มีใครกล้ารับประกันบ้าง บางทีพรุ่งนี้ตอนนายขับรถออกจากบ้าน นายอาจจะเจอดีเข้าก็ได้”

“ตลกเกินไปหน่อยแล้วล่ะ”

“เฮ้ย มันมีโอกาสเป็นไปได้น่ะ นี่... อย่าพาออกนอกเรื่อง เชื่อฉันสักครั้งเถอะ ถึงฉันจะอยู่ไม่นิ่งแถมเรียนไม่เก่งแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นี่ขอให้เชื่อมือ”

“เอาไว้จะลองคิดดู”

สุรเสกข์ตั้งท่าจะตัดบท แต่ปรมาจารย์เรื่องความรักอย่างชิติพัทธ์กลับยกมือขึ้นโบก ด้วยไม่มั่นใจว่าหากแยกย้ายกันในวันนี้แล้ว อีกกี่วันเขาจึงจะมีโอกาสมาเจอะเจอกับสุรเสกข์อีก ฉะนั้นจึงอยากใช้ช่วงเวลานี้ให้ให้คุ้มค่าที่สุด

“เฮ้ย... ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เคลียร์กันให้เข้าใจ ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นเค้าก็คงอยากทำแบบนี้เหมือนกัน”

“ขนาดอยู่คนละทวีปยังไม่พูด แล้วไปอยู่ต่อหน้าจะกล้าพูดเหรอ”

สุรเสกข์บ่นงึมงำ ยอมรับว่าตนเคยติดต่อกับหญิงสาวคนหนึ่งจริง หากแต่พอย่างเข้าช่วงปีที่ 2 ฝ่ายนั้นกลับเงียบหายไม่ยอมส่งข่าว ปล่อยให้คนที่เคยรับรู้เรื่องราวของกันและกันได้แต่คอยเก้อ จนสุดท้ายคำว่า ‘อยู่ไกล ใครก็ลืม’ ได้ทำให้มิตรภาพนั้นถูกปล่อยทิ้งร้างไป ซึ่งก็น่าเสียดายจนคนมองอย่างชิติพัทธ์ทนดูไม่ได้

“นายต้องพูดอะไรบ้างนะเสกข์ เอาให้เคลียร์ ฟังทางนั้นเค้าพูดด้วยเพราะคนเรามีเหตุผลร้อยแปดที่ทำให้ต้องขาดการติดต่อ นายเองก็ไม่ได้ติดต่อเค้ากลับมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

สุรเสกข์ฟังเพื่อนพูดจบแล้วก็เดินเลยไปยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่าง สีหน้ายิ้มแย้มที่มีมาจนแทบตลอดบ่ายบัดนี้มีเค้ายุ่งยากใจปรากฏให้เห็นจาง ๆ ใช่... เขายอมรับว่าไม่ได้ใช้ความพยายามในการยื้อความสัมพันธ์นั้นเอาไว้มากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะพอขาดการติดต่อจากหญิงสาว ตัวเขาก็ปล่อยเลยตามเลยเหมือนไม่เห็นคุณค่าของช่วงเวลาที่รู้จักกันเลยแม้แต่น้อย

“ทำตามที่ฉันว่าเถอะ แบบแมน ๆ จะรักหรือจะเลิก”

“พูดตรง ๆ นะชิต ฉันยอมรับว่าบางทีก็รู้สึกเหมือนถูกทิ้ง แต่พอคิดดูอีกที ฉันกับเค้าก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ สักหน่อย แค่เจอกัน ถูกใจแล้วก็คุยกันอยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้น แล้วตอนนี้มันก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว การไปเจอหน้ากันแล้วถามแบบนั้นกับเขา นายมั่นใจได้ไงว่าเค้าจะไม่หัวเราะเยาะฉัน”

“อ๋อ... ที่ทำยึก ๆ ยัก ๆ อยู่ทุกวันนี้เพราะกลัวเสียหน้างั้นสิ”

เงียบ... ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธจากสุรเสกข์ ซึ่งชิติพัทธ์ก็พยายามจะเข้าใจท่าทีเงียบเฉยของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ที่สำคัญคือพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นฝ่ายเปิดปากหัวเราะเยาะเพื่อนเสียเอง
“มันเป็นเรื่องลำบากใจมากสำหรับนายว่างั้นเถอะ”

“ใช่ ฉันไม่ใช่นักรักอย่างนายนี่ พอใจหรือยัง ”

เพราะรู้สึกไม่ต่างกับการถูกต้อนให้จนมุม สุรเสกข์ที่ขัดใจกับความมากประสบการณ์ของเพื่อนจึงประชดเข้าให้ ยังผลให้ชิติพัทธ์เปิดปากหัวเราะเสียงกังวาน พลางยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

“เรื่องแบบนี้ คนหัวใจแห้งแล้งอย่างนายย่อมไม่มีวันเข้าใจ”

“งั้นก็เก็บความพยายามของนายเอาไว้ใช้กับสาว ๆ เถอะ ฉันขออยู่ไปแบบนี้ดีกว่า”

“ตามใจนาย แต่ฉันชอบความชัดเจนว่ะ ไม่ชอบแบบคลุมเครือ กระดำกระด่าง”

“มันก็เรื่องของนาย”

แล้วเจ้าของบ้านก็เป็นฝ่ายยักไหล่บ้าง ไม่ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่ถูกสะกิดให้คิด หากแต่ทุก ๆ ครั้งก็มักได้บทสรุปที่ไม่ต่างกันคือ... ปล่อยให้ทุกอย่างคลี่คลายด้วยตัวของมันเอง



บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มี.ค. 2556, 20:41:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มี.ค. 2556, 23:39:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1981





   ตอนที่ 2 >>
wane 7 มี.ค. 2556, 23:47:37 น.
แอบงงตรงสนามบินนิดหน่อยค่ะ เวลาที่เครื่องลงเราต้องรอรับกระเป๋าก่อน แล้วเดินผ่านเจ้าหน้าที่ที่เค้าสุ่มตรวจกระเป๋า พอเดินออกมาข้างนอกแล้ว ไม่น่าจะเดินย้อนกลับเข้าไปเอากระเป๋าได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าจริงๆ แล้วมันสามารถย้อนกลับเข้าไปอีกรอบได้คะ


บุษบาฮาวาย 8 มี.ค. 2556, 23:46:01 น.
ขอบคุณมากค่ะคุณหวาน ดีใจจังที่มีคนช่วยดูช่วยติช่วยท้วงติง ขอบคุณจริง ๆ นะคะ น้ำไปสอบถามผู้รู้มาและได้ทำการแก้ไขจุดบกพร่องแล้วค่ะ


ree 26 มี.ค. 2556, 22:09:10 น.
กระเป๋าก็ส่งเรือมาแล้วไม่ใช่เหรอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account