ปาริชาตซ่อนรัก
Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ กันอยู่ในห้องพักเล่นเนิ่นนานจนพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ สุรเสกข์ก็ขับรถไปส่งชิติพัทธ์กลับบ้าน ท่ามกลางการปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมรับประทานอาหารเย็น ซึ่งแม้คุณมยุรินจะพยายามหว่านล้อมแค่ไหนเขาก็ยังยืนหยัดที่จะกลับบ้านตามเดิม
ในทันทีที่รถยนต์ของสุรเสกข์จอดเทียบฟุตบาทหน้าเต็นท์รถอันเป็นสถานประกอบการของผู้เป็นบิดา ชิติพัทธ์ก็แอบบ่นออกมาเบา ๆ
“รถก็อยู่ พ่อนะพ่อ”
รถเก๋งยุโรปคันใหญ่ที่เคยเห็นผู้เป็นพ่อใช้มาจนชินตาจอดสงบอยู่ในโรงจอดซึ่งถูกกันไว้สำหรับเจ้าของ อันเป็นหลักฐานยืนยันว่าเสี่ยพิพัฒน์ไม่ได้ออกไปไหน
“เอาน่า ยังไงก็มาถึงแล้วโดยสวัสดิภาพ ไม่มีอะไรให้ติดใจแล้ว”
สุรเสกข์ปลอบใจเพื่อนก่อนจะขยับไปเปิดกระโปรงท้ายรถอันมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของชิติพัทธ์นอนสงบอยู่
“นายอย่าเพิ่งกลับนะเสกข์”
ชิติพัทธ์รีบเอ่ยบอกภายหลังกวักมือเรียกพนักงานในร้านออกมายกกระเป๋าเดินทางของเขาออกจากท้ายรถ ก่อนจะชี้แจงเหตุผลตามมาอีก
“ไปหาพ่อฉันก่อน เผื่อวันหน้าเจอกันข้างนอกจะได้รู้จัก รึเผื่อนายนึกอยากได้รถเอาไปแต่งโชว์สักคัน”
การได้รู้ว่าสุรเสกข์นั้นเป็นทายาทธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์ประดับยนต์ของแท้จากนอก และยังคงไปได้สวยในสภาพการแข่งขันทางธุรกิจปัจจุบัน ทำให้ชิติพัทธ์กำลังนึกโปรเจคบางอย่างของตนได้ ซึ่งหากผู้เป็นพ่อเห็นด้วยเขาก็อาจจะได้ลงมือทำในเวลาอีกไม่นาน
“นายจะทำไม่ใช่เหรอ”
“มันแค่คิด ยังไม่รู้เลยว่าพ่อจะว่าไง”
แม้จะมีความเป็นจีนอยู่ในสายเลือดไม่น้อย แต่เพราะไม่อยากทำตัวแปลกแยกจากเพื่อนเมื่อครั้งเรียนระดับอนุบาล ฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะเรียกเสี่ยพงษ์พัฒน์ว่า ‘พ่อ’ แทนคำว่า ‘เตี่ย’ เช่นลูกคนจีนทั่วไปใช้กัน
“มันก็ไปกันได้ดีกับธุรกิจนายนั่นแหละ เสริมกัน พ่อนายจะว่าไงนอกจากเห็นด้วย”
“มันก็ไม่แน่นะ ขานั้นชอบคิดอะไรไม่เข้ากันบ่อย ๆ แต่นายน่ะชัวร์กว่าเพราะทุกวันนี้ก็ทำอยู่แล้วส่วนหนึ่งไม่ใช่เหรอ รึเราจะรับเป็นนายหน้าพาลูกค้าไปให้นายดี”
ชิติพัทธ์ว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำตกลงดังมาจากปากเพื่อน
“เอาสิ จะบอกพ่อคิดราคาพิเศษให้”
“อืม ดีนะ...เพราะอย่างน้อยลูกค้าก็มั่นใจว่าได้ของแท้”
“ใช่”
สุรเสกข์ย้ำความมั่นใจให้กับคำพูดของเพื่อน เพราะตัวเขาเองก็คลุกคลีอยู่กับการสั่งซื้อและนำเข้าอุปกรณ์ประดับยนต์กับอะไหล่รถมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งตอนที่ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ ก็ยังเคยถือใบสั่งซื้อเดินทางดั้นด้นไปยื่นที่บริษัทผู้จัดจำหน่ายด้วยตัวเองเลย
“ลูกค้ากระเป๋าหนา นายก็โขกราคาเอาตามชอบใจ”
สุรเสกข์ว่าก่อนจะเปิดยิ้มกว้าง ทว่านัยน์ตาที่เป็นประกายอย่างมีความหวังของชิติพัทธ์ ก็ส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าบางทีทายาทเต๊นท์รถยนต์ยักษ์ใหญ่คนนี้อาจจะเอาจริง
สองหนุ่มพากันลัดเลาะไปหลังร้านก่อนจะเดินเข้าสู่ตัวบ้านที่อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าวก็ได้พบกับเสี่ยพงษ์พัฒน์ซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“อ้าว เฮ้ย...”
ทางฝ่ายคนเป็นพ่อรีบจบการสนทนาในทันทีที่เหลือบมาเห็นลูกชายเดินโผล่หน้าเข้ามาทางประตูหน้าบ้านแล้วทักออกมาเสียดัง
“ไปหลงอยู่ที่ไหนเสียตั้งนาน พ่อไปรออยู่ที่สนามบินเพิ่งกลับมายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง”
คำพูดของบิดาทำให้อารมณ์ขุ่นมัวที่ชิติพัทธ์เก็บไว้เริ่มคลี่คลาย คำพูดที่เตรียมไว้เพื่อมาต่อว่ากำลังจะถูกกลืนหายไป
“จริงอ่ะ พ่อไม่ได้โกหกผมนะ”
“ก็จริงสิวะ ท้าเอามือไปจุ่มหม้อน้ำรถยนต์เลย รับรองมือพอง”
เสี่ยพงษ์พัฒน์ว่าพลางหัวเราะเสียงดัง ทำเอาชิติพัทธ์ถึงกับส่ายหน้าให้กับคำท้านั้น เพราะถึงจะบ้าระห่ำมุทะลุปานใด เขาก็ไม่มีทางทำ
“บ้า ใครจะไปทำ เอ่อ...พ่อ นี่เพื่อนผมนายเสกข์ไง ที่เคยเล่าให้ฟัง วันนี้ช่วยสงเคราะห์มาส่งให้”
“สวัสดีครับ”
พอได้ยินชิติพัทธ์เอ่ยปากแนะนำให้รู้จักกับพ่อของเขา สุรเสกข์ก็รีบยกมือขึ้นไหว้ จริง ๆ แล้วสุรเสกข์นั้นเคยได้เห็นหน้าค่าตาของเสี่ยพงษ์พัฒน์มาแล้วด้วยอยู่ในแวดวงยานยนต์ด้วยกันมานาน เพียงแต่ไม่เคยพบเจอกันในระยะประชิดเช่นหนนี้เท่านั้นเอง
“สวัสดี ขอบใจมากนะที่ช่วยพาหมอนี่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“จริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้กลับเองหรอก รอบแรกให้เด็กไปรับ พอเห็นว่าไม่มามันก็กลับ แล้วพอกลับไปอีกที คราวนี้คอยเงกเลย ไม่เจอกัน”
“เครื่องดีเลย์ไปชั่วโมงหนึ่งครับ สภาพอากาศมันไม่ค่อยดี สงสัยคงสวนทางกัน”
ข่าวภูเขาไฟปะทุและพ่นฝุ่นควันขึ้นไปบนท้องฟ้าจำนวนมาก ทำให้วิสัยทัศน์ไม่ดีเป็นอุปสรรคแก่เครื่องบินโดยสาร ตารางเวลาในการบินจึงล่าช้าติดขัดไม่ตรงเวลาเหมือนเคย
“ยังไงก็ขอบใจมากที่ช่วยเป็นธุระพามาส่ง ยังไงก็อย่าเพิ่งกลับนะ เดี๋ยวออกไปกินข้าวเย็นข้างนอกด้วยกัน”
“เห็นทีคงไม่รบกวนครับ แม่รอทานข้าวอยู่”
“ไม่ได้หลานชาย ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไปกินด้วยกันก่อน จากนี้ไปก็ได้กินกับแม่กับพ่อไปทุกวันอยู่แล้ว อย่าปฏิเสธเลย”
“เอ่อ...”
ท่าทีไม่ยอมรับฟังคำปฏิเสธใด ๆ จากเขา ทำให้สุรเสกข์ได้แต่อ้ำอึ้ง
“น่า...มื้อนี้ไปด้วยกันก่อน ถือว่าฉันขอบคุณที่มาส่ง”
“แต่ก่อนออกมาแม่ก็บอกอยู่ว่าจะรอกินข้าวด้วยกัน นายก็เห็น”
เมื่อถูกคะยั้นคะยอ ภาพของคุณมยุรินผู้เป็นแม่ที่ยิ้มแย้มด้วยความสุขและดีอกดีใจเพราะได้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับคืนมาอยู่ด้วยกัน ก็ทำให้สุรเสกข์อดไม่ได้ที่จะหันไปกระซิบบอกเพื่อนเบา ๆ
“มื้อเย็นนี้มันควรเป็นมื้อแรกที่ได้อยู่กับครอบครัว ผมขอเป็นโอกาสหน้าดีกว่าครับ”
ท้ายประโยค สุรเสกข์หันไปหาเสี่ยพงษ์พัฒน์ ซึ่งฝ่ายนั้นก็จำต้องพยักหน้ารับ ด้วยสังเกตเห็นความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย
“ได้ ๆ แต่คราวหน้าก็ห้ามปฏิเสธนะ”
“ด้วยความยินดีครับ รับรองไม่ปฏิเสธแน่ ๆ เห็นทีคงต้องขอตัวก่อนครับ”
“อ้าว ไม่อยู่กินน้ำกินท่าก่อน กำลังจะไปเอามาให้”
ชิติพัทธ์ท้วงขึ้นในทันทีที่เห็นสุรเสกข์กำลังทำท่าว่าจะลากลับ เพราะตัวเขาเองกำลังจะไปหาน้ำเย็นมารับรองแขก เหมือนเช่นที่ได้รับต้อนรับขับสู้เป็นอันดีมาแล้ว
“ไม่เป็นไร ยังไม่หิว จะกลับละนะ เอาไว้ค่อยเจอกัน”
“เออ ๆ ขอบใจมากนะ”
“ฮื่อ...สวัสดีครับ”
สุรเสกข์พยักหน้ารับให้กับคำขอบอกขอบใจของเพื่อน ก่อนจะหันไปยกมือขึ้นไหว้เสี่ยพงษ์พัฒน์เพื่อขอตัวกลับ โดยปฏิเสธจะให้เจ้าบ้านเดินออกไปส่งจนถึงรถตามที่ฝ่ายนั้นตั้งใจ
ทว่าขณะที่กำลังจะบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง รถเก๋งมินิคูเปอร์สีแดงแปร๋นก็ปราดเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทด้านหน้าของรถเขา เหตุเพราะสีสันอันสะดุดตาของมัน ทำให้สุรเสกข์ใคร่อยากจะเห็นหน้าเจ้าของเป็นยิ่งนัก ดังนั้นแทนที่จะเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าแล้วนำยานพาหนะคันนั้นเคลื่อนตัวออกไป เขากลับยังคงรีรออยู่ ซึ่งภาพของขาเรียวยาวขาวผุดผาดที่ตวัดลงไปแตะพื้นก็ทำให้เขาไม่นึกเสียแรงที่หยุดรอ ก่อนลมหายใจที่มีจะสะดุดไปทันทีที่ได้เห็นใบหน้าเจ้าของทรวดทรงสะโอดสะองในชุดกางเกงยีนส์สั้นจู๋กับเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อบาง
กระทั่งรอจนเป้าสายตานั้นหายลับเข้าไปในเต็นท์รถที่เขาเพิ่งกลับออกมา สุรเสกข์จึงไม่รีรอที่จะเลื่อนกระจกรถอีกฝั่งลงแล้วกวักมือเรียกพนักงานหนุ่มที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ไม่ไกลเข้ามาคลายความสงสัยในทันที
“น้องรู้จักผู้หญิงคนนั้นไหม เธอชื่ออะไร”
“อ๋อ...เธอชื่อคุณลูกตาลครับ”
พนักงานขายวัยไม่น่าจะเกิน 25 ปีเอ่ยบอกมาพร้อมสายตางง ๆ ซึ่งหากเป็นปกติเขาคงไม่คิดจะถามต่อ แต่นี่ถือว่าเพิ่งเดินออกมาจากในบ้านเพราะเป็นคนรู้จักกับเจ้าของ สุรเสกข์จึงตีหน้าเฉยแล้วถามต่อในสิ่งที่อยากรู้อีก เพราะแม้จะทำให้ความรู้สึกมันแย่ลง แต่เขาก็ไม่คิดจะหลอกตัวเองด้วยคำว่าไม่รู้อีกต่อไป
“แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ รู้หรือเปล่า”
“เธอก็ไป ๆ มา ๆ ครับ บางทีก็ค้างบางทีก็ไม่ค้าง อย่างวันนี้จอดรถข้างนอกคงไม่ค้างครับ”
“ค้างเหรอ”
“เอ่อ...ครับ เธอเป็นเด็กของเสี่ย”
แม้จะเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ประโยคแรกที่ได้รู้จากปากของคู่สนทนา หากแต่พอถึงวินาทีนี้ สุรเสกข์ก็ต้องยอมรับว่าใจทั้งใจของเขากำลังหล่นวูบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าความค้างคาทั้งหลายภายในใจกำลังจะมลายหายไป ไม่น่าเชื่อว่าการกำลังชั่งใจที่จะไปพบเจอตามที่ชิติพัทธ์แนะนำมา จะกลายเป็นเปล่าประโยชน์
“ไม่มีอะไรแล้ว ขอบใจมากนะ”
สุรเสกข์เอ่ยบอกพร้อมกับกดสวิตซ์ปิดกระจกในทันที ราวกับเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยินน้ำเสียงสะท้านของตนเอง ก่อนจะนำยานพาหนะนั้นทะยานออกจากที่จอดด้วยความรู้สึกประหนึ่งกำลังถูกราดด้วยน้ำเย็นจัดจนชาไปทั้งร่าง เพิ่งประจักษ์ชัดในตอนนี้เองว่าการไม่ได้เป็นอะไรกันรวมไปถึงไม่มีสิ่งใดให้เกี่ยวข้องกันเหมือนเช่นปากว่า ค้านกับความจริงความในใจเขาอย่างสิ้นเชิง
เสียงเคาะประตูกระจกที่ดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยซึ่งทำหน้าที่พามันเข้าจอดในโรงเก็บเรียบร้อยแล้วต้องไหวตัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเปิดประตูรถลงไป
“เห็นขับรถเข้ามาจอดตั้งนาน ทำไมไม่ดับเครื่องและไม่ลงจากรถ”
คุณมยุรินที่เดินดูต้นหมากรากไม้อยู่หน้าบ้านและเดินตัดสนามหญ้ามาในทันทีที่เห็นลูกชายนำรถเข้าไปจอด ทว่าหลังจากยืนคอยอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นกลับทำประหนึ่งมองไม่เห็น
“คิดอะไรอยู่หรือเปล่า”
“เปล่าครับ แค่รอเวลาเพราะรถมันไม่ค่อยได้ใช้งาน เอาออกไปวิ่งแล้วกลับมาเลยติดเครื่องไว้รอให้มันดาวน์ก่อนค่อยดับ แม่มีอะไรครับ”
“เปล่า แม่เดินดูต้นไม้อยู่ เห็นเสกข์ขับรถเข้ามาแล้วไม่ยอมลงจากรถสักที ก็เลยมาดู”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเห็นรถพ่อจอดอยู่ กลับมาแล้วเหรอครับ”
“กลับมาก่อนหน้านี้เอง บอกว่าจะกลับมากินข้าวพร้อมเสกข์ มาถึงก็ถามหา”
คนเป็นลูกชายเปิดยิ้มให้กับสิ่งที่ได้ยินจากปากมารดา ก่อนจะปรับสีหน้าให้ดีขึ้นพลางโยนเรื่องราวที่กระทบจิตใจจนมัวหม่นนั้นทิ้งไปชั่วขณะ
“นี่ไง แล้วแม่ก็มาบ่นว่าพ่อทอดทิ้ง”
“ก็แค่วันนี้วันเดียวแหละที่กลับบ้านไว อยากจะรู้ก็คอยดูต่อไปเถอะ”
คุณมยุรินว่าพลางท้าลูกชายที่ขณะนี้สามารถรับรู้พฤติกรรมของพ่อได้ด้วยสายตาตนเองแล้ว เขาจะได้รู้ว่าที่ผ่านมา นางไม่ได้พูดผิดจากความเป็นจริงเลย
“จะไปทำงานวันไหน”
“พรุ่งนี้เลย”
“อะไรนะ ไม่พักก่อนรึ”
พอได้ยินลูกชายเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าเขาพร้อมจะไปนั่งทำงานที่บริษัทได้ในวันรุ่งขึ้น คุณมยุรินก็ท้วงออกมาด้วยความเป็นห่วง เพราะสิ่งที่สุรเสกข์ควรจะทำมากที่สุดน่าจะเป็นการปรับร่างกายให้เข้ากับอุณหภูมิและเวลาที่แตกต่างกันมากกว่า อย่างน้อยก็น่าจะสัก 3 – 5 วัน
“ทำงานของตัวเอง ทำบ้างพักบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ ผมไม่อยากอยู่ว่าง ๆ”
สุรเสกข์คิดว่าเขาตัดสินใจถูกแล้วที่จะไปเริ่มต้นทำงานในวันรุ่งขึ้น เพราะขืนปล่อยให้ตัวเองนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้าน สมองของเขาก็คงไม่วายจะวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของหญิงสาวคนนั้น
“จ๊ะ พ่อคนขยัน”
คุณมยุรินว่าพลางยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกของลูกชาย ก่อนจะยอมให้แขนล่ำสันแข็งแรงนั้นโอบเอาร่างของนางไปแนบข้างกายแล้วลดเสียงลง
“แม่ไม่ได้อยากรู้เหรอครับว่าพ่อเป็นยังไงบ้างยามอยู่ที่บริษัท”
“ช่างเขาเถอะ ตอนนี้มีเสกข์อยู่ด้วยกันอีกคน แม่ก็ไม่เหงาแล้ว อย่าเที่ยวเตร่แล้วทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวบ่อย ๆ ก็แล้วกัน”
สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะ เพราะนั่นเหมือนเป็นคำประกาศิตของผู้เป็นแม่ มากกว่าจะอ้อนให้เขาเห็นใจ แต่ไหนแต่ไรมา ถึงเขาจะเป็นผู้ชายอกสามศอก แต่คุณมยุรินก็ไม่ชอบใจนักที่เขาออกไปดื่มกินนอกบ้านแล้วกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ซึ่งเหตุผลที่ผู้บังเกิดเกล้าหยิบยกขึ้นมาก็ยาวเหยียดไม่รู้กี่ข้อ ที่สำคัญคือเขาเองก็เถียงไม่ออก
“เพื่อนถึงบ้านเรียบร้อยดี”
“ครับ”
“โวยวายไหม”
“ไม่ครับ บ้านนั้นให้คนไปรับตั้ง 2 รอบ รอบแรกพอเลยเวลาเขาก็กลับ ส่วนรอบหลังพ่อเขาไปเองก็คงสวนกับเราพอดีเลยไม่ได้เจอกัน ที่สำคัญรออยู่นาน นายชิตก็เลยไม่กล้าแม้แต่จะบ่น”
“แม่ก็นึกว่าทอดทิ้งกันไม่ยอมไปรับเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเห็นใจ”
“ไม่หรอกครับ นี่ยังรั้งตัวผมไว้จะพาไปกินข้าวอีก แต่บอกว่าแม่รออยู่ ก็เลยปลีกตัวมาได้ ทีแรกจะไม่ยอมท่าเดียว”
“ก็ถ้าไม่กลับมาแม่ก็จะโทร.ตามตัวเหมือนกันแหละ”
“ไม่หรอกครับ รับปากว่าจะมาก็ต้องมา ผมเพิ่งเคยเห็นตัวจริงเสี่ยพงษ์พัฒน์แบบใกล้ชิด”
“แล้วเป็นไง”
“ดูเป็นคนมีเสน่ห์ดีนะครับ อัธยาศัยดี หมอนั่นก็คงได้พ่อมาเพราะกับสาว ๆ นี่ลื่นยังกะปลาไหล”
คุณมยุรินหัวเราะให้กับคำพูดที่สุรเสกข์เอ่ยถึงเพื่อนซึ่งเพิ่งจากกันเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้า ก่อนจะกระเซ้าเขาทีเล่นทีจริง
“แม่นึกว่าจะเห็นเสกข์หนีบเอาแหม่มสาว ๆ สวย ๆกลับมาด้วยเสียแล้ว”
“แม่อยากได้เหรอครับ แล้วทำไมไม่บอก”
คนเป็นลูกชายแสร้งทำเสียงแปลกใจระคนเสียดายพลางฝืนตัวเองให้เปิดยิ้มกว้าง ซ่อนความร้าวรานเล็ก ๆ ที่แอบก่อตัวขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่หรอกน่ะ กลัวจะพูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนข่าวที่ได้ยินมาบ่อย ๆ ดูอย่างนักกีฬาที่ฟลุ๊คได้เมียเป็นนางงามต่างชาตินั่นปะไร อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิกเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ภาษากับวัฒนธรรมมันต่างกัน ไม่ต้องอะไรมากหรอกลูกเอ๋ย ลำพังคนไทยด้วยกันเองบางครั้งยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”
ท้ายเสียงคุณมยุรินผู้เป็นแม่ก็ถอนหายใจแถมมาให้อีกเฮือก ทำเอาคนเป็นลูกชายหัวเราะ ก่อนจะแย็บออกมาเมื่อนึกถึงข่าวที่ผู้เป็นแม่บอกต่อแล้วมีคนนำไปวิพากษ์วิจารณ์หลายแง่มุม
“นั่นมันเป็นเคสแม่ผัวลูกสะใภ้ไม่ใช่เหรอครับ”
“แหม...นั่นนักข่าวใส่ไข่กันไปเองหรอก ใครจะร้ายขนาดนั้น”
“ก็ไม่แน่นะครับ เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใคร”
“ใครจะยังไงก็ช่างเถอะ แต่แม่ใจดี ถึงเสกข์จะเป็นลูกคนเดียว แต่ถ้าลูกรักใครแม่ก็พร้อมจะรักด้วยทั้งนั้นแหละ”
คำพูดของมารดาทำให้ใจคนฟังที่กำลังถูกเจ้าของระงับความเจ็บแปลบเอาไว้วูบไหว แม่จะรักลงไปได้ยังไงในเมื่อสาวคนนั้น...ทำกับเขาแบบไม่น่ารักเลย พอนึกมาถึงตรงนี้ สุรเสกข์ก็สะบัดศีรษะพลางย้ำกับตัวเองชัด ๆ ว่าที่ผ่านมาเขาคิดไปเองคนเดียว เธอคนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยสักหน่อย
“ว่าแต่ มีแฟนหรือยังเราน่ะ”
“ฮะ...แม่ว่าอะไรนะครับ”
“ถามแค่นี้ทำไมต้องตกใจ แม่ถามว่ามีแฟนหรือยัง”
คุณมยุรินหัวเราะเมื่อลูกชายทำท่าตกอกตกใจกับคำถามของนาง ก่อนจะย้ำคำถามเดิมอีกหนพลางเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าคมของคนผิวขาวจัดข้างกายด้วยไม่อยากจะเชื่อในคำตอบที่มีมาให้ได้ยิน
“เพิ่งอกหักเองครับ”
“อกหักแล้วทำไมยังยิ้มออกล่ะ”
“ก็ตอนนี้หายแล้วนี่ครับ เราขึ้นบ้านกันเถอะ พ่อชะโงกหน้าออกมาตามดูแล้ว คงอิจฉาแม่”
พอเห็นด้วยหางตาว่าคุณสุพลกำลังเยี่ยมหน้าเมียงมองอยู่ที่หน้าต่าง สุรเสกข์ก็เอ่ยปากชวนคุณมยุรินให้ขึ้นบนบ้าน ใช่ว่าเขาจะไยดีในท่าทีของผู้เป็นพ่อเสียมากมาย หากแต่ไม่อยากให้คุณมยุรินคุ้ยแคะแผลสดที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาของเขาต่างหาก
หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ กันอยู่ในห้องพักเล่นเนิ่นนานจนพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ สุรเสกข์ก็ขับรถไปส่งชิติพัทธ์กลับบ้าน ท่ามกลางการปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมรับประทานอาหารเย็น ซึ่งแม้คุณมยุรินจะพยายามหว่านล้อมแค่ไหนเขาก็ยังยืนหยัดที่จะกลับบ้านตามเดิม
ในทันทีที่รถยนต์ของสุรเสกข์จอดเทียบฟุตบาทหน้าเต็นท์รถอันเป็นสถานประกอบการของผู้เป็นบิดา ชิติพัทธ์ก็แอบบ่นออกมาเบา ๆ
“รถก็อยู่ พ่อนะพ่อ”
รถเก๋งยุโรปคันใหญ่ที่เคยเห็นผู้เป็นพ่อใช้มาจนชินตาจอดสงบอยู่ในโรงจอดซึ่งถูกกันไว้สำหรับเจ้าของ อันเป็นหลักฐานยืนยันว่าเสี่ยพิพัฒน์ไม่ได้ออกไปไหน
“เอาน่า ยังไงก็มาถึงแล้วโดยสวัสดิภาพ ไม่มีอะไรให้ติดใจแล้ว”
สุรเสกข์ปลอบใจเพื่อนก่อนจะขยับไปเปิดกระโปรงท้ายรถอันมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของชิติพัทธ์นอนสงบอยู่
“นายอย่าเพิ่งกลับนะเสกข์”
ชิติพัทธ์รีบเอ่ยบอกภายหลังกวักมือเรียกพนักงานในร้านออกมายกกระเป๋าเดินทางของเขาออกจากท้ายรถ ก่อนจะชี้แจงเหตุผลตามมาอีก
“ไปหาพ่อฉันก่อน เผื่อวันหน้าเจอกันข้างนอกจะได้รู้จัก รึเผื่อนายนึกอยากได้รถเอาไปแต่งโชว์สักคัน”
การได้รู้ว่าสุรเสกข์นั้นเป็นทายาทธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์ประดับยนต์ของแท้จากนอก และยังคงไปได้สวยในสภาพการแข่งขันทางธุรกิจปัจจุบัน ทำให้ชิติพัทธ์กำลังนึกโปรเจคบางอย่างของตนได้ ซึ่งหากผู้เป็นพ่อเห็นด้วยเขาก็อาจจะได้ลงมือทำในเวลาอีกไม่นาน
“นายจะทำไม่ใช่เหรอ”
“มันแค่คิด ยังไม่รู้เลยว่าพ่อจะว่าไง”
แม้จะมีความเป็นจีนอยู่ในสายเลือดไม่น้อย แต่เพราะไม่อยากทำตัวแปลกแยกจากเพื่อนเมื่อครั้งเรียนระดับอนุบาล ฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะเรียกเสี่ยพงษ์พัฒน์ว่า ‘พ่อ’ แทนคำว่า ‘เตี่ย’ เช่นลูกคนจีนทั่วไปใช้กัน
“มันก็ไปกันได้ดีกับธุรกิจนายนั่นแหละ เสริมกัน พ่อนายจะว่าไงนอกจากเห็นด้วย”
“มันก็ไม่แน่นะ ขานั้นชอบคิดอะไรไม่เข้ากันบ่อย ๆ แต่นายน่ะชัวร์กว่าเพราะทุกวันนี้ก็ทำอยู่แล้วส่วนหนึ่งไม่ใช่เหรอ รึเราจะรับเป็นนายหน้าพาลูกค้าไปให้นายดี”
ชิติพัทธ์ว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำตกลงดังมาจากปากเพื่อน
“เอาสิ จะบอกพ่อคิดราคาพิเศษให้”
“อืม ดีนะ...เพราะอย่างน้อยลูกค้าก็มั่นใจว่าได้ของแท้”
“ใช่”
สุรเสกข์ย้ำความมั่นใจให้กับคำพูดของเพื่อน เพราะตัวเขาเองก็คลุกคลีอยู่กับการสั่งซื้อและนำเข้าอุปกรณ์ประดับยนต์กับอะไหล่รถมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งตอนที่ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ ก็ยังเคยถือใบสั่งซื้อเดินทางดั้นด้นไปยื่นที่บริษัทผู้จัดจำหน่ายด้วยตัวเองเลย
“ลูกค้ากระเป๋าหนา นายก็โขกราคาเอาตามชอบใจ”
สุรเสกข์ว่าก่อนจะเปิดยิ้มกว้าง ทว่านัยน์ตาที่เป็นประกายอย่างมีความหวังของชิติพัทธ์ ก็ส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าบางทีทายาทเต๊นท์รถยนต์ยักษ์ใหญ่คนนี้อาจจะเอาจริง
สองหนุ่มพากันลัดเลาะไปหลังร้านก่อนจะเดินเข้าสู่ตัวบ้านที่อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าวก็ได้พบกับเสี่ยพงษ์พัฒน์ซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“อ้าว เฮ้ย...”
ทางฝ่ายคนเป็นพ่อรีบจบการสนทนาในทันทีที่เหลือบมาเห็นลูกชายเดินโผล่หน้าเข้ามาทางประตูหน้าบ้านแล้วทักออกมาเสียดัง
“ไปหลงอยู่ที่ไหนเสียตั้งนาน พ่อไปรออยู่ที่สนามบินเพิ่งกลับมายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง”
คำพูดของบิดาทำให้อารมณ์ขุ่นมัวที่ชิติพัทธ์เก็บไว้เริ่มคลี่คลาย คำพูดที่เตรียมไว้เพื่อมาต่อว่ากำลังจะถูกกลืนหายไป
“จริงอ่ะ พ่อไม่ได้โกหกผมนะ”
“ก็จริงสิวะ ท้าเอามือไปจุ่มหม้อน้ำรถยนต์เลย รับรองมือพอง”
เสี่ยพงษ์พัฒน์ว่าพลางหัวเราะเสียงดัง ทำเอาชิติพัทธ์ถึงกับส่ายหน้าให้กับคำท้านั้น เพราะถึงจะบ้าระห่ำมุทะลุปานใด เขาก็ไม่มีทางทำ
“บ้า ใครจะไปทำ เอ่อ...พ่อ นี่เพื่อนผมนายเสกข์ไง ที่เคยเล่าให้ฟัง วันนี้ช่วยสงเคราะห์มาส่งให้”
“สวัสดีครับ”
พอได้ยินชิติพัทธ์เอ่ยปากแนะนำให้รู้จักกับพ่อของเขา สุรเสกข์ก็รีบยกมือขึ้นไหว้ จริง ๆ แล้วสุรเสกข์นั้นเคยได้เห็นหน้าค่าตาของเสี่ยพงษ์พัฒน์มาแล้วด้วยอยู่ในแวดวงยานยนต์ด้วยกันมานาน เพียงแต่ไม่เคยพบเจอกันในระยะประชิดเช่นหนนี้เท่านั้นเอง
“สวัสดี ขอบใจมากนะที่ช่วยพาหมอนี่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“จริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้กลับเองหรอก รอบแรกให้เด็กไปรับ พอเห็นว่าไม่มามันก็กลับ แล้วพอกลับไปอีกที คราวนี้คอยเงกเลย ไม่เจอกัน”
“เครื่องดีเลย์ไปชั่วโมงหนึ่งครับ สภาพอากาศมันไม่ค่อยดี สงสัยคงสวนทางกัน”
ข่าวภูเขาไฟปะทุและพ่นฝุ่นควันขึ้นไปบนท้องฟ้าจำนวนมาก ทำให้วิสัยทัศน์ไม่ดีเป็นอุปสรรคแก่เครื่องบินโดยสาร ตารางเวลาในการบินจึงล่าช้าติดขัดไม่ตรงเวลาเหมือนเคย
“ยังไงก็ขอบใจมากที่ช่วยเป็นธุระพามาส่ง ยังไงก็อย่าเพิ่งกลับนะ เดี๋ยวออกไปกินข้าวเย็นข้างนอกด้วยกัน”
“เห็นทีคงไม่รบกวนครับ แม่รอทานข้าวอยู่”
“ไม่ได้หลานชาย ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไปกินด้วยกันก่อน จากนี้ไปก็ได้กินกับแม่กับพ่อไปทุกวันอยู่แล้ว อย่าปฏิเสธเลย”
“เอ่อ...”
ท่าทีไม่ยอมรับฟังคำปฏิเสธใด ๆ จากเขา ทำให้สุรเสกข์ได้แต่อ้ำอึ้ง
“น่า...มื้อนี้ไปด้วยกันก่อน ถือว่าฉันขอบคุณที่มาส่ง”
“แต่ก่อนออกมาแม่ก็บอกอยู่ว่าจะรอกินข้าวด้วยกัน นายก็เห็น”
เมื่อถูกคะยั้นคะยอ ภาพของคุณมยุรินผู้เป็นแม่ที่ยิ้มแย้มด้วยความสุขและดีอกดีใจเพราะได้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับคืนมาอยู่ด้วยกัน ก็ทำให้สุรเสกข์อดไม่ได้ที่จะหันไปกระซิบบอกเพื่อนเบา ๆ
“มื้อเย็นนี้มันควรเป็นมื้อแรกที่ได้อยู่กับครอบครัว ผมขอเป็นโอกาสหน้าดีกว่าครับ”
ท้ายประโยค สุรเสกข์หันไปหาเสี่ยพงษ์พัฒน์ ซึ่งฝ่ายนั้นก็จำต้องพยักหน้ารับ ด้วยสังเกตเห็นความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย
“ได้ ๆ แต่คราวหน้าก็ห้ามปฏิเสธนะ”
“ด้วยความยินดีครับ รับรองไม่ปฏิเสธแน่ ๆ เห็นทีคงต้องขอตัวก่อนครับ”
“อ้าว ไม่อยู่กินน้ำกินท่าก่อน กำลังจะไปเอามาให้”
ชิติพัทธ์ท้วงขึ้นในทันทีที่เห็นสุรเสกข์กำลังทำท่าว่าจะลากลับ เพราะตัวเขาเองกำลังจะไปหาน้ำเย็นมารับรองแขก เหมือนเช่นที่ได้รับต้อนรับขับสู้เป็นอันดีมาแล้ว
“ไม่เป็นไร ยังไม่หิว จะกลับละนะ เอาไว้ค่อยเจอกัน”
“เออ ๆ ขอบใจมากนะ”
“ฮื่อ...สวัสดีครับ”
สุรเสกข์พยักหน้ารับให้กับคำขอบอกขอบใจของเพื่อน ก่อนจะหันไปยกมือขึ้นไหว้เสี่ยพงษ์พัฒน์เพื่อขอตัวกลับ โดยปฏิเสธจะให้เจ้าบ้านเดินออกไปส่งจนถึงรถตามที่ฝ่ายนั้นตั้งใจ
ทว่าขณะที่กำลังจะบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง รถเก๋งมินิคูเปอร์สีแดงแปร๋นก็ปราดเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทด้านหน้าของรถเขา เหตุเพราะสีสันอันสะดุดตาของมัน ทำให้สุรเสกข์ใคร่อยากจะเห็นหน้าเจ้าของเป็นยิ่งนัก ดังนั้นแทนที่จะเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าแล้วนำยานพาหนะคันนั้นเคลื่อนตัวออกไป เขากลับยังคงรีรออยู่ ซึ่งภาพของขาเรียวยาวขาวผุดผาดที่ตวัดลงไปแตะพื้นก็ทำให้เขาไม่นึกเสียแรงที่หยุดรอ ก่อนลมหายใจที่มีจะสะดุดไปทันทีที่ได้เห็นใบหน้าเจ้าของทรวดทรงสะโอดสะองในชุดกางเกงยีนส์สั้นจู๋กับเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อบาง
กระทั่งรอจนเป้าสายตานั้นหายลับเข้าไปในเต็นท์รถที่เขาเพิ่งกลับออกมา สุรเสกข์จึงไม่รีรอที่จะเลื่อนกระจกรถอีกฝั่งลงแล้วกวักมือเรียกพนักงานหนุ่มที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ไม่ไกลเข้ามาคลายความสงสัยในทันที
“น้องรู้จักผู้หญิงคนนั้นไหม เธอชื่ออะไร”
“อ๋อ...เธอชื่อคุณลูกตาลครับ”
พนักงานขายวัยไม่น่าจะเกิน 25 ปีเอ่ยบอกมาพร้อมสายตางง ๆ ซึ่งหากเป็นปกติเขาคงไม่คิดจะถามต่อ แต่นี่ถือว่าเพิ่งเดินออกมาจากในบ้านเพราะเป็นคนรู้จักกับเจ้าของ สุรเสกข์จึงตีหน้าเฉยแล้วถามต่อในสิ่งที่อยากรู้อีก เพราะแม้จะทำให้ความรู้สึกมันแย่ลง แต่เขาก็ไม่คิดจะหลอกตัวเองด้วยคำว่าไม่รู้อีกต่อไป
“แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ รู้หรือเปล่า”
“เธอก็ไป ๆ มา ๆ ครับ บางทีก็ค้างบางทีก็ไม่ค้าง อย่างวันนี้จอดรถข้างนอกคงไม่ค้างครับ”
“ค้างเหรอ”
“เอ่อ...ครับ เธอเป็นเด็กของเสี่ย”
แม้จะเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ประโยคแรกที่ได้รู้จากปากของคู่สนทนา หากแต่พอถึงวินาทีนี้ สุรเสกข์ก็ต้องยอมรับว่าใจทั้งใจของเขากำลังหล่นวูบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าความค้างคาทั้งหลายภายในใจกำลังจะมลายหายไป ไม่น่าเชื่อว่าการกำลังชั่งใจที่จะไปพบเจอตามที่ชิติพัทธ์แนะนำมา จะกลายเป็นเปล่าประโยชน์
“ไม่มีอะไรแล้ว ขอบใจมากนะ”
สุรเสกข์เอ่ยบอกพร้อมกับกดสวิตซ์ปิดกระจกในทันที ราวกับเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยินน้ำเสียงสะท้านของตนเอง ก่อนจะนำยานพาหนะนั้นทะยานออกจากที่จอดด้วยความรู้สึกประหนึ่งกำลังถูกราดด้วยน้ำเย็นจัดจนชาไปทั้งร่าง เพิ่งประจักษ์ชัดในตอนนี้เองว่าการไม่ได้เป็นอะไรกันรวมไปถึงไม่มีสิ่งใดให้เกี่ยวข้องกันเหมือนเช่นปากว่า ค้านกับความจริงความในใจเขาอย่างสิ้นเชิง
เสียงเคาะประตูกระจกที่ดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยซึ่งทำหน้าที่พามันเข้าจอดในโรงเก็บเรียบร้อยแล้วต้องไหวตัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเปิดประตูรถลงไป
“เห็นขับรถเข้ามาจอดตั้งนาน ทำไมไม่ดับเครื่องและไม่ลงจากรถ”
คุณมยุรินที่เดินดูต้นหมากรากไม้อยู่หน้าบ้านและเดินตัดสนามหญ้ามาในทันทีที่เห็นลูกชายนำรถเข้าไปจอด ทว่าหลังจากยืนคอยอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นกลับทำประหนึ่งมองไม่เห็น
“คิดอะไรอยู่หรือเปล่า”
“เปล่าครับ แค่รอเวลาเพราะรถมันไม่ค่อยได้ใช้งาน เอาออกไปวิ่งแล้วกลับมาเลยติดเครื่องไว้รอให้มันดาวน์ก่อนค่อยดับ แม่มีอะไรครับ”
“เปล่า แม่เดินดูต้นไม้อยู่ เห็นเสกข์ขับรถเข้ามาแล้วไม่ยอมลงจากรถสักที ก็เลยมาดู”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเห็นรถพ่อจอดอยู่ กลับมาแล้วเหรอครับ”
“กลับมาก่อนหน้านี้เอง บอกว่าจะกลับมากินข้าวพร้อมเสกข์ มาถึงก็ถามหา”
คนเป็นลูกชายเปิดยิ้มให้กับสิ่งที่ได้ยินจากปากมารดา ก่อนจะปรับสีหน้าให้ดีขึ้นพลางโยนเรื่องราวที่กระทบจิตใจจนมัวหม่นนั้นทิ้งไปชั่วขณะ
“นี่ไง แล้วแม่ก็มาบ่นว่าพ่อทอดทิ้ง”
“ก็แค่วันนี้วันเดียวแหละที่กลับบ้านไว อยากจะรู้ก็คอยดูต่อไปเถอะ”
คุณมยุรินว่าพลางท้าลูกชายที่ขณะนี้สามารถรับรู้พฤติกรรมของพ่อได้ด้วยสายตาตนเองแล้ว เขาจะได้รู้ว่าที่ผ่านมา นางไม่ได้พูดผิดจากความเป็นจริงเลย
“จะไปทำงานวันไหน”
“พรุ่งนี้เลย”
“อะไรนะ ไม่พักก่อนรึ”
พอได้ยินลูกชายเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าเขาพร้อมจะไปนั่งทำงานที่บริษัทได้ในวันรุ่งขึ้น คุณมยุรินก็ท้วงออกมาด้วยความเป็นห่วง เพราะสิ่งที่สุรเสกข์ควรจะทำมากที่สุดน่าจะเป็นการปรับร่างกายให้เข้ากับอุณหภูมิและเวลาที่แตกต่างกันมากกว่า อย่างน้อยก็น่าจะสัก 3 – 5 วัน
“ทำงานของตัวเอง ทำบ้างพักบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ ผมไม่อยากอยู่ว่าง ๆ”
สุรเสกข์คิดว่าเขาตัดสินใจถูกแล้วที่จะไปเริ่มต้นทำงานในวันรุ่งขึ้น เพราะขืนปล่อยให้ตัวเองนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้าน สมองของเขาก็คงไม่วายจะวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของหญิงสาวคนนั้น
“จ๊ะ พ่อคนขยัน”
คุณมยุรินว่าพลางยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกของลูกชาย ก่อนจะยอมให้แขนล่ำสันแข็งแรงนั้นโอบเอาร่างของนางไปแนบข้างกายแล้วลดเสียงลง
“แม่ไม่ได้อยากรู้เหรอครับว่าพ่อเป็นยังไงบ้างยามอยู่ที่บริษัท”
“ช่างเขาเถอะ ตอนนี้มีเสกข์อยู่ด้วยกันอีกคน แม่ก็ไม่เหงาแล้ว อย่าเที่ยวเตร่แล้วทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวบ่อย ๆ ก็แล้วกัน”
สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะ เพราะนั่นเหมือนเป็นคำประกาศิตของผู้เป็นแม่ มากกว่าจะอ้อนให้เขาเห็นใจ แต่ไหนแต่ไรมา ถึงเขาจะเป็นผู้ชายอกสามศอก แต่คุณมยุรินก็ไม่ชอบใจนักที่เขาออกไปดื่มกินนอกบ้านแล้วกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ซึ่งเหตุผลที่ผู้บังเกิดเกล้าหยิบยกขึ้นมาก็ยาวเหยียดไม่รู้กี่ข้อ ที่สำคัญคือเขาเองก็เถียงไม่ออก
“เพื่อนถึงบ้านเรียบร้อยดี”
“ครับ”
“โวยวายไหม”
“ไม่ครับ บ้านนั้นให้คนไปรับตั้ง 2 รอบ รอบแรกพอเลยเวลาเขาก็กลับ ส่วนรอบหลังพ่อเขาไปเองก็คงสวนกับเราพอดีเลยไม่ได้เจอกัน ที่สำคัญรออยู่นาน นายชิตก็เลยไม่กล้าแม้แต่จะบ่น”
“แม่ก็นึกว่าทอดทิ้งกันไม่ยอมไปรับเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเห็นใจ”
“ไม่หรอกครับ นี่ยังรั้งตัวผมไว้จะพาไปกินข้าวอีก แต่บอกว่าแม่รออยู่ ก็เลยปลีกตัวมาได้ ทีแรกจะไม่ยอมท่าเดียว”
“ก็ถ้าไม่กลับมาแม่ก็จะโทร.ตามตัวเหมือนกันแหละ”
“ไม่หรอกครับ รับปากว่าจะมาก็ต้องมา ผมเพิ่งเคยเห็นตัวจริงเสี่ยพงษ์พัฒน์แบบใกล้ชิด”
“แล้วเป็นไง”
“ดูเป็นคนมีเสน่ห์ดีนะครับ อัธยาศัยดี หมอนั่นก็คงได้พ่อมาเพราะกับสาว ๆ นี่ลื่นยังกะปลาไหล”
คุณมยุรินหัวเราะให้กับคำพูดที่สุรเสกข์เอ่ยถึงเพื่อนซึ่งเพิ่งจากกันเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้า ก่อนจะกระเซ้าเขาทีเล่นทีจริง
“แม่นึกว่าจะเห็นเสกข์หนีบเอาแหม่มสาว ๆ สวย ๆกลับมาด้วยเสียแล้ว”
“แม่อยากได้เหรอครับ แล้วทำไมไม่บอก”
คนเป็นลูกชายแสร้งทำเสียงแปลกใจระคนเสียดายพลางฝืนตัวเองให้เปิดยิ้มกว้าง ซ่อนความร้าวรานเล็ก ๆ ที่แอบก่อตัวขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่หรอกน่ะ กลัวจะพูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนข่าวที่ได้ยินมาบ่อย ๆ ดูอย่างนักกีฬาที่ฟลุ๊คได้เมียเป็นนางงามต่างชาตินั่นปะไร อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิกเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ภาษากับวัฒนธรรมมันต่างกัน ไม่ต้องอะไรมากหรอกลูกเอ๋ย ลำพังคนไทยด้วยกันเองบางครั้งยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”
ท้ายเสียงคุณมยุรินผู้เป็นแม่ก็ถอนหายใจแถมมาให้อีกเฮือก ทำเอาคนเป็นลูกชายหัวเราะ ก่อนจะแย็บออกมาเมื่อนึกถึงข่าวที่ผู้เป็นแม่บอกต่อแล้วมีคนนำไปวิพากษ์วิจารณ์หลายแง่มุม
“นั่นมันเป็นเคสแม่ผัวลูกสะใภ้ไม่ใช่เหรอครับ”
“แหม...นั่นนักข่าวใส่ไข่กันไปเองหรอก ใครจะร้ายขนาดนั้น”
“ก็ไม่แน่นะครับ เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใคร”
“ใครจะยังไงก็ช่างเถอะ แต่แม่ใจดี ถึงเสกข์จะเป็นลูกคนเดียว แต่ถ้าลูกรักใครแม่ก็พร้อมจะรักด้วยทั้งนั้นแหละ”
คำพูดของมารดาทำให้ใจคนฟังที่กำลังถูกเจ้าของระงับความเจ็บแปลบเอาไว้วูบไหว แม่จะรักลงไปได้ยังไงในเมื่อสาวคนนั้น...ทำกับเขาแบบไม่น่ารักเลย พอนึกมาถึงตรงนี้ สุรเสกข์ก็สะบัดศีรษะพลางย้ำกับตัวเองชัด ๆ ว่าที่ผ่านมาเขาคิดไปเองคนเดียว เธอคนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยสักหน่อย
“ว่าแต่ มีแฟนหรือยังเราน่ะ”
“ฮะ...แม่ว่าอะไรนะครับ”
“ถามแค่นี้ทำไมต้องตกใจ แม่ถามว่ามีแฟนหรือยัง”
คุณมยุรินหัวเราะเมื่อลูกชายทำท่าตกอกตกใจกับคำถามของนาง ก่อนจะย้ำคำถามเดิมอีกหนพลางเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าคมของคนผิวขาวจัดข้างกายด้วยไม่อยากจะเชื่อในคำตอบที่มีมาให้ได้ยิน
“เพิ่งอกหักเองครับ”
“อกหักแล้วทำไมยังยิ้มออกล่ะ”
“ก็ตอนนี้หายแล้วนี่ครับ เราขึ้นบ้านกันเถอะ พ่อชะโงกหน้าออกมาตามดูแล้ว คงอิจฉาแม่”
พอเห็นด้วยหางตาว่าคุณสุพลกำลังเยี่ยมหน้าเมียงมองอยู่ที่หน้าต่าง สุรเสกข์ก็เอ่ยปากชวนคุณมยุรินให้ขึ้นบนบ้าน ใช่ว่าเขาจะไยดีในท่าทีของผู้เป็นพ่อเสียมากมาย หากแต่ไม่อยากให้คุณมยุรินคุ้ยแคะแผลสดที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาของเขาต่างหาก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มี.ค. 2556, 07:28:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มี.ค. 2556, 07:28:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1750
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |

วนัน 18 มี.ค. 2556, 17:20:41 น.
น่าสนใจคะ
น่าสนใจคะ

ree 26 มี.ค. 2556, 22:19:35 น.
เด็กเสี่ยนี่มันมีความหมายเดียวเลยใช่ไหม
เด็กเสี่ยนี่มันมีความหมายเดียวเลยใช่ไหม