เจ้าบ่าวค้างสต็อก by สลิลา

Tags: เจ้าบ่าว ,สต็อก ,โรแมนติก

ตอน: บทที่ 19

วาณีรู้ได้โดยที่เขาไม่ต้องพูดออกมาว่าคิดหรือรู้สึกเช่นไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในความรู้สึกของหล่อนเช่นกัน...ผู้ชายดีๆ อย่างเขา ไม่มีวันก้าวข้ามกำแพงหนามารักผู้หญิงอย่างหล่อนได้

ความจริง แค่เขาเลิกอคติ มอบความเอ็นดูให้ ให้เกียรติกันบ้าง เพียงเท่านั้นหล่อนก็ดีใจและซาบซึ้งเหลือเกินแล้ว เรื่องจะให้เขาคิดอะไรไปไกลกว่านั้นหล่อนไม่เคยกล้า แม้ในใจตนเองจะบังอาจคิดไปก่อนหน้าแล้ว

เขาทำให้หล่อนอบอุ่นหัวใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน บางครั้งเขาเหมือนคุณพ่อจอมดุ ชอบบงการ บ้าอำนาจ แต่หลายต่อหลายครั้งก็เหมือนพี่ชายใจดี เข้าอกเข้าใจและตามใจ พี่ชายที่ทำให้หัวใจหล่อนเต้นโครมครามยามชิดใกล้ ใจโหวงไหวยามไม่ได้เห็นหน้า

หล่อนเผลอยกมือขึ้นไล้ริมฝีปากที่เมื่อครู่นี้เขาได้ฝากรอยอุ่นหวามเอาไว้...และอาจเป็นเพียงครั้งเดียวที่หล่อนจะได้รับมัน...คำขอโทษของเขาเมื่อครู่นี้ นอกจากมีความหมายว่า เขามิอาจรักหล่อนได้ มันยังมีความหมายว่า ขอให้หล่อนลืมเรื่องที่เกิดขึ้น และอยู่ห่างๆ กันเหมือนเดิม...

หญิงสาวปล่อยน้ำตาให้ไหลช้าๆ ขณะขับรถกอล์ฟตรงไปยังโรงอาหาร...หัวใจปวดหนึบไปหมด ไม่ได้โกรธ ไม่ได้น้อยใจเขา แต่น้อยใจในโชคชะตาของตัวเองเหลือคณา...และจนป่านนี้ หล่อนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมตนเองถึงเลือกเดินบนเส้นทางนี้ เส้นทางที่แม่เคยเลือกเดิน และหล่อนก็เห็นแล้วว่ามันทุกข์ทรมานสาหัสสากรรจ์แค่ไหน

วาณีสลัดศีรษะเมื่อรู้สึกว่าเริ่มจะปวดหัวขึ้นมาอีก บวกกับหลายคนเริ่มหันมามองหล่อนด้วยท่าทีสงสัยที่เห็นมาทานข้าวคนเดียวพร้อมยังมีท่าทางแปลกๆ จึงหันมาสนใจอาหารตรงหน้า แต่ทานไปได้สองสามคำ ก็ตื้อ ไม่อาจฝืนทานต่อได้ จึงลุกจากโต๊ะ โดยตั้งใจว่าจะไปขลุกอยู่ที่สตูดิโอที่นวินเพิ่งบันดาลให้เมื่อครู่นี้

ดูเอาเถอะ เขาทำเพื่อหล่อนขนาดนี้ ดีกับหล่อนถึงเพียงนี้ จะไม่ให้หล่อนรักเขาได้เช่นไร!

แต่ระหว่างเดินไปขึ้นรถนั้นเอง หญิงสาวก็นึกได้ว่า ตัวเองลืมเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นประมูลของวันพรุ่งนี้ให้รัฐภูมิ จึงต้องกลับเข้าไปในออฟฟิศใหม่ พร้อมกับภาวนาว่าขออย่าให้นวินออกจากห้องทำงานในตอนนี้เลย หล่อนยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเขา

และครั้งหนึ่งของการจัดเตรียมเอกสาร หญิงสาวพบว่าเอกสารบางอย่างหายไป หาเท่าไรก็ไม่เจอ จึงถือวิสาสะไปค้นที่โต๊ะของรัฐภูมิ แต่ในจำนวนแฟ้มทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะ กลับไม่มีสิ่งที่หล่อนต้องการ

“ว้า ที่คุณรัฐก็ไม่มีด้วยเหรอเนี่ย...” พึมพำเสร็จก็หันไปทางฝ่ายบัญชีที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ “พี่ดวงคะ น้ำเพชรขอใบเสนอราคาขาเตียงใบล่าสุดหน่อยได้มั้ยคะ ของน้ำเพชรไม่รู้หายไปไหน”

“มาหาเอาเองเลยค่ะ” เจ้าหล่อนชี้มือส่งๆ ไปทางตู้เอกสารด้านหลังโต๊ะตน วาณีขอบคุณ และทำท่าจะก้าวไปทางนั้น แต่จังหวะนั้นเอง หล่อนก็เห็นว่าลิ้นชักต่ำสุดของโต๊ะนวินไม่ได้ล็อกเหมือนสองชั้นข้างบน มันเลื่อนเปิดอยู่เล็กน้อย จึงตัดสินใจนั่งลงและลองค้นตรงนั้นดูก่อน

ครู่ต่อมา หญิงสาวก็ต้องแปลกใจเมื่อปรากฏว่ามีซิมโทรศัพท์ซิมหนึ่งหล่นออกมาจากแฟ้ม แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หยิบมันใส่ไว้ในลิ้นชักตามเดิม แล้วก็ค้นหาเอกสารต่อไป ครู่ต่อมา หล่อนก็พบกระดาษใบหนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ในแฟ้มเหมือนใบอื่น จึงหยิบขึ้นมาดู เพื่อจะพบกับความแปลกใจที่มากกว่าเมื่อครู่

“เอ๊ะ?” ...

จังหวะนั้น นวินก็พรวดพราดออกมาจากห้องทำงานของเขา มีโทรศัพท์มือถือแนบหู สีหน้าตื่นเต้น

“ผมจะไปเดี๋ยวนี้ พี่มาตร...บอกเด็กของพี่ให้รอผมก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรนะ!”

“คุณอา จะไปไหนคะ” วาณีลุกขึ้นร้องถามเขาด้วยความสงสัย ลืมความรู้สึกเขินอายและเจ็บปวดชั่วครู่

“คนของพี่มาตรเจอคนที่น่าสงสัยว่าน่าจะเป็นคนร้ายแล้ว เขาอยากให้ฉันไปดู ไปฟังเสียงว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า”

“หนูไปด้วยค่ะ” ไม่พูดเปล่าหล่อนวิ่งไปหยิบกระเป๋าและโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาด้วย

“ไม่ต้อง รอฟังข่าวที่นี่แหละ” นวินปฏิเสธแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“คุณอาอย่าลืมว่า วันนั้นหนูก็ได้ยินเสียงเขาเหมือนกันนะคะ จะได้ช่วยกันฟังไงคะว่าใช่เสียงเดียวกันหรือเปล่า”

นวินทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้า



ชายหนุ่มจอดรถไว้ปากซอยตามคำบอกของลูกน้องสมมาตร จากนั้นจึงเดินเข้าไปตามถนนแคบๆ โรยด้วยกรวดหยาบๆ สองข้างถนนคือบ้านเรือนที่สร้างติดกันหนาแน่น ผู้คนพลุกพล่าน

สีหน้าแววตาของเขาเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความหมายมาดว่าจะได้เจอคนร้ายตัวจริงเสียที

‘ทำไมคุณมาตรถึงคิดว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยล่ะคะ’ ระหว่างนั่งรถมา หญิงสาวถามเขาด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้าคนร้าย นอกจากเสียงกับลายมือเมื่อครั้งนั้นแล้ว คนร้ายก็ไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้อีก

‘จำไอ้คนเป็นอัมพาตที่ลูกน้องพี่มาตรไปสืบสวนตามที่อยู่ในบัตรประชาชนได้มั้ย...วันนี้เขาเจอมันเดินอยู่ที่ที่เราจะไป’

‘คะ? หมายความว่าเขาแกล้งทำเป็นอัมพาตเหรอคะ’ หล่อนร้องอย่างไม่อยากเชื่อ

‘ใช่ มันต้มตำรวจเสียเปื่อย’

‘ดูลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ นะคะ...แล้วคนในที่คิดว่าจะเป็นหนอนในไส้ล่ะคะ คุณอาสงสัยใครหรือเปล่า’

เขายิ้มมุมปากขำๆ ก่อนบอกว่า ‘หนอนบ่อนไส้ ไม่ใช่หนอนในไส้...อยู่ในไส้ขนาดนั้น ไส้ก็เน่ากันพอดี’ จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า ‘ฉันไม่รู้จะสงสัยใครดี แต่ฉันบอกพี่มาตรแล้ว พรุ่งนี้เขาจะส่งคนมาคอยจับตาดูทุกคนในโรงงาน แต่มาในนามของพนักงานใหม่’

‘แสดงว่าที่หนูเห็นว่ามีคนผลักไม้ หนูอาจจะไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ยคะ’ หล่อนร้องถามอย่างตื่นเต้น

‘ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น’

‘เออ...แล้วผลการตรวจรอยนิ้วมือในจดหมายฉบับนั้นล่ะคะ ไม่ตรงกับรอยนิ้วมือของใครเลยหรือ’ หล่อนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถาม เพราะไม่ได้ยินนวินบอกเล่าผลการตรวจให้ฟังเสียที

นวินส่ายหน้าอีก ‘นอกจากรอยนิ้วมือของฉันแล้ว ก็ไม่มีรอยนิ้วมือของคนอื่นอีก มันคงสวมถุงมือเหมือนตอนที่เจาะท่อน้ำมันเบรกนั่นแหละ’

เดินตามถนนนั้นมาสักพัก ก็ถึงทางแยก นวินทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งก็เลี้ยวขวา ไม่กี่ก้าวหลังจากนั้นก็เจอลูกน้องของสมมาตรในชุดนอกเครื่องแบบยืนอยู่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง

“เป็นไงบ้างจ่าใส” นวินเอ่ยถามอย่างคุ้นเคย “มันอยู่ไหน”

“ในบ้านครับ” นายตำรวจวัยเลยกลางคนพยักพเยิดไปที่บ้านหลังซอมซ่อใกล้ๆนั้น “ผู้หมวดโสเฝ้าอยู่”

“แล้วคุยอะไรกับมันไปบ้างหรือยัง”

“คุยกับมันก็เหมือนคุยกับสากกะเบือครับ ถามอะไรมันก็ไม่พูดซักคำ”

“ผมจะลองถามมันเอง...” นวินเอ่ยคล้ายคำราม จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้าน วาณีก้าวตาม ชายหนุ่มหันมาห้ามไว้

“เธออย่าเข้าไปเลย สภาพข้างในนั้นอาจไม่น่าดูเท่าไร”

วาณีส่ายหน้าอย่างดื้อดึง “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะได้ช่วยคุณอาฟังเสียงเขาด้วยไงคะ”

นวินที่รู้ฤทธิ์ความดื้อของหล่อนดี จึงต้องพยักหน้ายอมอีกครั้ง ส่วนนายตำรวจคนนั้น เขากวาดตามองไปรอบๆบริเวณอีกครั้งเพื่อตรวจตราหาสิ่งผิดปกติ ครั้นแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต จึงเดินตามทั้งคู่เข้าไปด้วย



ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ กลางบ้าน ชายหนุ่มร่างสันทัด ผิวขาวเหลือง ในชุดแต่งกายมอซอคนหนึ่งถูกจับมัดไว้กับเก้าอี้ไม้ที่จะพังแหล่มิพังแหล่ ใบหน้าของเขาบวมปูดโดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้มนั้นบวมขึ้นมาจนแทบจะปิดตาเลยทีเดียว ถึงกระนั้น ความเฉยชา ไม่ยินดียินร้ายจนดูชวนโมโหในแววตาเรียวเล็กก็ยังฉายชัด

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของนวินกับวาณี เขาก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองทั้งคู่สลับไปมา จากนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายทบทวนความทรงจำ จากนั้นก็กลับมาไม่ยินดียินร้ายจนดูกวนประสาทดังเดิม

“มันพยายามหนีแล้วก็ทำร้ายพวกผมครับ พวกผมเลยต้องป้องกันตัวแล้วก็มัดมันไว้อย่างที่เห็น” หมวดโสรัตน์หันมาอธิบายกับนวิน นวินผงกศีรษะเชิงรับทราบแล้วหันไปมองมันตรงๆ

“ไง น้องชาย หลอกเอาเงินคนอื่นด้วยวิธีโกหกว่าตัวเองเป็นอัมพาตมานานแค่ไหนแล้ว” เขาเอ่ยถามขึ้นก่อน แล้วก็รอฟังเสียงของมันด้วยอาการเกร็ง ไม่ต่างจากวาณี

แต่ปรากฏว่า ชายผู้นั้นไม่ตอบ และเอาแต่มองนวินนิ่ง...ท้าทาย

“เฮ้ย พี่ เขาถามก็ตอบดิ” หมวดโสรัตน์ร้องสั่งพลางตบหัวเขาเบาๆ เป็นเชิงเตือน แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม

“สงสัยจะไม่ได้กินข้าว เลยไม่มีแรง อ้าว จ่า หาอะไรให้มันกินหน่อย” ผู้หมวดหนุ่มหันไปสั่งลูกน้องของตนบ้าง จ่าวัยเลยกลางคนรับคำ จากนั้นจึงหยิบปืนสั้นจากซองเหน็บออกมา เล็งไปที่ปากของ ‘หนุ่มใบ้’ แล้วขึ้นนกเสียงดังกริ๊ก ด้วยหวังจะขู่มากกว่าทำจริง

วาณีเบิกตากว้างด้วยความตกใจและหวาดกลัวแทน แต่พอหันไปทางเจ้าตัว ก็ต้องแปลกใจที่เขาไม่มีท่าทีกลัวหรือสะทกสะท้านอันใด

“จิตของเขาปกติหรือเปล่าคะ คุณตำรวจ ฉันรู้สึกเหมือนเขามีปัญหาทางด้านจิตใจนะคะ...” หล่อนโพล่งถามผู้หมวดหนุ่มอย่างใจคิด ด้วยยังติดใจประเด็นที่เคยคุยกับนวินเมื่อวันก่อนอยู่

ซึ่งพอหล่อนถามแบบนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็เงยหน้ามามองหล่อนอย่างพิจารณามากขึ้น มอง...มอง...แล้วก็แสยะยิ้ม แต่คนจิตแข็งอย่างวาณีไม่กลัว หล่อนจ้องตอบเขาอย่างพินิจ แล้วก็คิดอะไรออก หล่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วจัดการถ่ายภาพเขาไว้ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว

“เฮ้ย!” เขายอมเปล่งเสียงออกมาครั้งแรกให้ทุกคนได้ยิน “ถ่ายกูทำไม”

นวินกับวาณีหันสบตากันเพื่อถามกันอยู่ในทีว่าใช่เสียงที่ได้ยินจากโทรศัพท์หรือเปล่า

“ก็ฉันอยากได้ยินเสียงแกนี่ แล้วก็อยากจะถ่ายหน้าคนโรคจิตไว้วิเคราะห์ด้วย คิดได้ยังไง หลอกคนอื่นว่าเป็นอัมพาตน่ะ คนธรรมดาคิดไม่ได้นะ”

พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็เงียบและกลับไปทำหน้านิ่ง หุบปากสนิทเหมือนเดิม ก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะถามนวินว่า

“ใช่เสียงเดียวกันหรือเปล่าครับ คุณวิน”

นวินทำท่าคิดครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ครับ เสียงในโทรศัพท์จะทุ้มกว่านี้แล้วก็ไม่ได้แหบแบบนี้ด้วย”

นายตำรวจพยักหน้า แล้วหันไปทางคนบนเก้าอี้ “แต่ยังไง แกก็มีความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นอยู่นะ ถึงแม้จะไม่มีเจ้าทุกข์รายงาน ก็ต้องโดนปรับอยู่ดี”

จากนั้นตำรวจทั้งสองก็ยอมแก้เชือกที่มัดตัวมัดมือชายหนุ่มออก และทันทีที่เป็นอิสระ ในช่วงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มผู้นั้นก็ถลันตัวลุกขึ้นแล้วโผเข้าชนวาณีเต็มแรง คงหวังจะใช้ผู้หญิงเป็นตัวถ่วงผู้ชายทั้งสามคน เพื่อให้ตนมีเวลาหนีเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ร่างแบบบางกระเด็นไปไกลก่อนล้มลงก้นจ้ำเบ้า จากนั้นเขาก็หันไปใช้ไหล่กระแทกไหล่จ่าใส แล้วรีบวิ่งตึงๆ จากไป หมวดโสรัตน์วิ่งตามทันที พอตั้งตัวได้จ่าใสก็วิ่งตามไปอีกคน ส่วนนวินตามไปดูวาณีด้วยความเป็นห่วง

“เธอเป็นยังไงบ้าง” ถามแล้วเขาก็ทำท่าจะช่วยประคอง

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวตอบพลางฝืนตัวเองยืนขึ้นโดยไม่พึ่งแรงจากมือใหญ่อบอุ่นนั้น จนนวินต้องดุ

“เจ็บจนจะลุกไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะทำหยิ่ง” ด้วยความหมั่นไส้ จากที่ตั้งใจว่าจะประคอง เขาเลยแกล้งดึงร่างหล่อนให้ลุกขึ้นแรงๆ จนร่างนั้นปลิวหวือติดมือมา จากนั้นก็รีบปล่อยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของหล่อนเอนมาปะทะอกเขา จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมนิ่มสลวย ถอยห่างหล่อนก้าวหนึ่งด้วยใบหน้าค่อนข้างเรียบเฉยให้วาณีเม้มปากแน่น...

ทั้งที่บอกตัวเองว่าจะเข้าใจ จะไม่น้อยใจ แต่เมื่อเจอท่าทีแบบนี้ต่อหน้าต่อตา หล่อนก็อดน้อยใจไม่ได้จริงๆ

“ถ้าไม่เป็นอะไรแล้วก็ไปกันเถอะ ไม่รู้ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง” พูดจบเขาก็เดินนำออกไปก่อน วาณีขยับตัวตามทันที หล่อนเดินเขยกเล็กน้อยด้วยเจ็บบริเวณสะโพกที่กระแทกกับพื้นห้อง

เมื่อออกมาจากตัวบ้าน ทั้งคู่เหลียวหาทั้งตำรวจทั้งคนร้าย แต่ไม่พบใครสักคน ขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของนวินก็ดังขึ้นด้วยเบอร์ที่ไม่คุ้น
และทันทีที่เขากดรับ เสียงหัวเราะต่ำลึกบ่งบอกความขบขันแกมสะใจก็ดังขึ้น

“หึหึ ไง...ไม่เล่นวิ่งไล่จับหน่อยเหรอ คุณนวิน”

ได้ยินคำถาม นวินก็เหลียวซ้ายแลขวา ดวงตาลุกวาวด้วยความหวังผสมกับความโกรธ “แน่จริงก็ออกมาสิ อย่าเอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดอง ไอ้คนขี้ขลาด!”

วาณีหันมองเขาขวับเมื่อได้ยินคำพูดนั้น หล่อนวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจ จึงช่วยเขามองไปรอบๆ ตาแทบไม่กะพริบ

“ฮะฮะฮะ เล่นกับคนอย่างคุณ มันต้องแบบนึ้ถึงจะสนุก เอาให้คุณดิ้นพล่านกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทรมานเหมือนใครเอาไฟลงไปสุมในอกนั่นแหละดี!” กระแทกเสียงในตอนท้ายแล้วก็ตัดสายไป

นวินกำโทรศัพท์แน่น ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน ดวงตาวาวโรจน์กวาดมองไปรอบๆนั้นอีกครั้ง

“มันจงใจเล่นสงครามประสาทกับฉันจริงๆ ด้วย...”

“เขาว่ายังไงบ้างคะ”

“มันรู้ความเคลื่อนไหวของเราทุกอย่าง...ไอ้คนเมื่อกี้ ถ้าไม่ใช่ตัวมันเองก็ต้องเป็นคนของมันอย่างแน่นอน”

“ขอให้ตำรวจสองคนนั้นจับเขาได้ทีเถอะ” วาณีพึมพำอธิษฐาน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่คำอธิษฐานของหล่อนไร้ความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเพียงไม่นานหลังจากนั้น นายตำรวจทั้งสองนายก็เดินตรงมาหาทั้งคู่ด้วยท่าทางหัวเสีย แววตาผิดหวัง

“มันเจนเส้นทางกว่าเรา เราหามันไม่เจอครับ”



นวินขับรถออกจากปากซอยด้วยอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิด ขมับเต้นแรงตุบๆ เส้นประสาททุกส่วนบิดเขม็งเกลียวจนเหมือนจะขาดในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้า ที่สุด เขาก็ต้องจอดรถข้างทางเพื่อสงบสติอารมณ์

วาณีมองเขาอย่างเห็นใจ หากไม่เอ่ยอะไร เดาเอาว่าเขาคงอยากอยู่เงียบๆ ใช้ความคิดไปคนเดียวมากกว่า แต่สักพักหล่อนก็เปิดประตูก้าวลงไป นวินมองตาม ก็เห็นว่าหล่อนเดินเข้าไปยังร้านขายของชำริมฟุตบาท จึงเดาว่า หล่อนคงไปหาน้ำกิน เพราะจำได้ว่า ระยะทางไปกลับระหว่างต้นซอยกับบ้านหลังนั้นเรียกเหงื่อบนปลายจมูกเล็กๆ ของหล่อนได้

หนุ่มใหญ่ดึงสายตากลับ เพื่อใช้ความคิดอย่างหนัก

เขากำลังทบทวนหาเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้น ว่ามันน่าจะมาจากสาเหตุใดกันแน่ เขาเคยไปทำร้ายทำลายใครกันแน่ ใครคนนั้นจึงตามมากลั่นแกล้งเอาคืนแบบนี้ แล้วเป็นความแค้นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว?

แต่ขอดความทรงจำจนหมดเกลี้ยงแล้ว ก็คิดไม่ออกเสียที

ในเรื่องของธุรกิจ ครอบครัวเขาทำโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์มาตลอด หากจะมีศัตรูก็น่าจะเป็นคนในสายงานเดียวกัน แต่เขาก็มั่นใจว่าตนไม่เคยไปขัดขาใคร ทุกอย่างเป็นไปตามกลเกมของธุรกิจ เขาเองก็ประมูลงานได้บ้างพลาดบ้างไม่ต่างจากคนอื่น ส่วนเรื่องส่วนตัว มีแต่เขาที่ต้องผิดหวังกับความรักทุกๆ ครั้ง

ความคิดของชายหนุ่มชะงักไปเมื่อประตูเปิดออก แล้ววาณีก็กลับเข้ามา พร้อมด้วยน้ำเปล่ายื่นให้โดยไม่พูดอะไร

นวินมองผ่านกระจกแว่นใสไร้เลนส์ไปสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เต็มไปด้วยรอยปลอบประโลมนิ่งอยู่ครู่ ก็เอื้อมมือไปรับมา แม้ตอนนี้จะไม่ได้รู้สึกอยากดื่มน้ำแม้แต่นิดก็ตาม

“ขอบใจมาก” หลังจากดื่มไปสองสามอึก เขาก็หันมาทางเธอ วาณียิ้มน้อยๆ ยังคงไม่เอ่ยอะไร ด้วยเกรงว่าเขายังไม่พร้อมจะฟังหรือพูดอะไรทั้งสิ้น

“เธอคิดว่ายังไง” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นคล้ายต้องการคนปรึกษา

“หนูชักเห็นด้วยแล้วค่ะ ว่าเขาตั้งใจเล่นสงครามประสาทกับคุณอาจริงๆ” วาณีตอบด้วยท่าทีครุ่นคิด “แต่ในเมื่อเราตามหาตัวเขาไม่เจอ...มันก็น่าจะมีวิธีการล่อเขาออกมา แทนที่จะรอให้เขาแกล้งเราฝ่ายเดียวนะคะ”

“ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกัน...ว่าแต่ ตอนนี้เธอไม่ห่วง ไม่กลัวฉันจะมีอันตรายแล้วหรือ” ถ้อยคำและแววตาเชิงตัดพ้อนั่น ทำให้ใจวาณีเต้นแรง เผลอกระเถิบร่างห่างเขาโดยไม่รู้ตัว ด้วยกลัวเขาจะได้ยินเสียงหัวใจตน

“เพื่อนคุณอา คงไม่ปล่อยให้คุณอาเป็นอะไรหรอกค่ะ”

“แสดงว่าเธอจะปล่อยให้ฉันเป็นอะไร งั้นสิ” เขาว่าพลางหันมามองหล่อนด้วยแววตาแบบเดิม วาณีรีบดึงสายตากลับ คนอะไรหนอ จะให้ตัดใจจากตัวเองแท้ๆ แต่กลับมาทำตาหวานเชื่อมชวนหวั่นไหวให้แบบนี้ ไม่สงสารหล่อนบ้างหรือยังไงนะ!

“ก็ไม่ปล่อยเหมือนกันแหละค่ะ เดี๋ยวไม่มีคนขับรถไปส่งฟังผลประกาศรางวัล” หล่อนตอบไม่เต็มเสียงนัก นวินหัวเราะเบาๆ มองเสี้ยวหน้าสวยด้วยความเอ็นดูที่ก่อตัวขึ้นในใจทบทวี ยากจะห้าม ยากจะห้ามจริงๆ

“แล้วคุณอาคิดหรือยังคะว่าจะล่อเขาออกมาด้วยวิธีไหน” คำพูดของหล่อน ทำให้นวินต้องกะพริบตาถี่ๆ เรียกตัวเองมากลับมายังเรื่องตรงหน้า

“คิดเอาไว้แล้ว แต่เดี๋ยวจะปรึกษากับพี่มาตรอีกที...งานนี้ต้องวางแผนให้รัดกุมที่สุด...เออ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดชดเชย เธออยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า” ตอนท้ายเขาถามอย่างใจดี เมื่อนึกได้ว่าตั้งแต่หล่อนมาเมืองไทย ยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย นึกๆ แล้วก็ยิ่งสงสารที่ที่ผ่านมา เขาทำเหมือนกักขังหล่อนเอาไว้

“ไปได้เหรอคะ” วาณีถามหน้าตาตื่น แววตาเปี่ยมหวัง

“ไปได้สิ แต่มีข้อแม้ว่าฉันต้องไปด้วย”

วาณีหลุบตาต่ำลง...อยากเที่ยวนั้นอยากแน่นอน แต่มีเขาไปด้วยจะดีจริงๆ นะหรือ ตอนนี้หล่อนไม่ต้องการใกล้ชิดเขามากไปกว่านี้ ไม่ต้องการให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดมากไปกว่านี้

“เอ่อ...”

“เดี๋ยวค่อยคิดก็แล้วกัน ตอนนี้กลับบ้านเราก่อนดีกว่า” หลุดคำว่าบ้านเราไปแล้ว ในอกของนวินก็อุ่นวาบอีกหน ขณะที่วาณีก็อึ้งไปเล็กน้อยเหมือนกัน แต่หล่อนเลือกที่จะหันมองออกนอกกระจกรถ และไม่หันมาสบตาเขาอีกเลย



คุยกันค่ะ

คุณPat...ตาแก่แกคงกลัวจะโชว์อ่อนต่อหน้าสาวน่ะค่ะ เลยแบบว่าทำเป็นเข้มแข็ง 5555
คุณPatisa...นั่นแน่ะ เขินอาวินใช่มั้ยค้า
คุณPampam...อิอิ เดี๋ยวอีกนิดก็ได้ทราบค่ะว่าใช่หรือไม่ใช่
อ้อม...ให้ตาแก่แกมีโอกาสบ้างเต๊อะ 55555555
คุณNB...คิดว่าเพราะอะไรคะ อิอิ
คุณลิลลี่...ขอบอกว่าตอนนี้คนเขียนกำลังเขียนถึงฉากดังว่าแล้ว แอบฟินอยู่คนเดียวเลยอ่ะ 5555555 จะพยายามอัพให้เร็ว จะได้ฟินฉากนั้นด้วยกัน อิอิ
คุณSukhumvit66...อีกไม่กี่บทก็เฉลยแล้วค่ะ ใจเย็นนิ้ดน้า ตัวเอง
คุณgoldensun...ค่ะ ต้องตามต่ออีกนิดเนาะ





วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มี.ค. 2556, 08:54:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2556, 08:54:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2005





<< บทที่ 17   บทที่ 20 >>
ตุ๊งแช่ 11 มี.ค. 2556, 10:17:03 น.
อย่าบอกว่ารัฐภูมิ เป็นคนร้ายน๊า


Pat 11 มี.ค. 2556, 12:27:13 น.
รัฐภูมิน่าสงสัยจริงๆแฮะ ท่าจะให้เดาน่าจะเป็นเรื่องผู้หญิงของนวิน


goldensun 11 มี.ค. 2556, 12:35:42 น.
เห็นด้วยกับวาณี นวินทำเหมือนกล้าๆ กลัวๆ จะทำให้วาณีสับสนตาม
คนร้ายใกล้ตัวแน่เลย จะเป็นใครกัน


Sukhumvit66 11 มี.ค. 2556, 14:49:41 น.
รัฐภูมิ อีกเสียง น่าสงสัยม๋ากกกก


pattisa 11 มี.ค. 2556, 17:41:22 น.
แหมมม อาวินทำเล่นตัว 55 ส่วนคนร้ายเป็นใครกันดูจิตๆ


konhin 11 มี.ค. 2556, 21:54:38 น.
รักไม่มีพรหมแดนจริงๆ ยกเว้นสิ่งที่เราขีดกีดกันต่างฝ่ายเท่านั้นแหล่ะ


Pampam 12 มี.ค. 2556, 01:25:27 น.
อร๊ายยยยย อยากรู้ว่าใครเป็นคนร้่ยรัฐภูมิตกเป็นผู้ต้องสงสัย
อาวินถ้าเล่นตัวมากจะยุให้วาณีเรียกลุงซะเลย อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะ


ประทับใจ 13 มี.ค. 2556, 20:30:27 น.
ได้รับหนังสือแล้วน้าาา


ลิลลี่ 13 มี.ค. 2556, 23:25:42 น.
คนแก่ก็เอาซักอย่างเถอะ จะตัดใจ จะรุกจะเดินหน้า ก็เอาให้ชัดเจนด้วยค่ะ สงสารเด็กมันค่ะ55555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account