เล่ห์รักเล่ห์เสน่หา
เล่ห์เหลี่ยมมีไว้ใช้กับคนรอบกาย
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
Tags: พฤกษ์ หทัยภัทร บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 12
ตอนที่ 12
พฤกษ์มองร่างบางในอ้อมแขนที่พริ้มตาหลับใหลไม่ได้สติและปล่อยให้เขาพาขึ้นลิฟต์ไปจนถึงห้องพักโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ นึกอยากประณามนายวิภาตด้วยถ้อยคำแสบสัน สมกับพฤติกรรมแสนต่ำช้าที่เขาปฏิบัติต่อน้องสาวแท้ ๆ แต่พอนึกได้ว่านายวิภาตคงไม่มีตามองสิ่งใดนอกจากหนทางมุ่งสู่อบายมุข พฤกษ์จึงได้แต่เก็บความขุ่นมัวนั้นเอาไว้ในใจ
เขาพาหทัยภัทรผ่านประตูไปได้อย่างทุลักทุเล เพราะแม้ร่างของเธอจะไม่ได้หนักอึ้งจนสร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่เขา ทว่าการต้องอุ้มใครบางคนเอาไว้พร้อม ๆ กับพยายามเปิดประตูห้องถึง 2 ชั้น ก็ทำเอาพฤกษ์ถึงกับพ่นลมหายใจออกทางปากในตอนที่วางร่างของหญิงสาวลงบนเตียง
แม้จะเคยรู้มาบ้างว่าฤทธิ์ของยานอนหลับ จะไม่ได้ทำให้คนที่รับประทานเข้าไป ต้องผจญกับความเจ็บปวดใด ๆ หากแต่เขาก็ไม่ปรารถนาจะทิ้งเธอเอาไว้เพียงลำพัง ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าหทัยภัทรจะลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่
ร่างสูงสาวเท้าไปเปิดม่านรับแสงสว่างจากภายนอกแทนการเปิดไฟ เวลานั้นแม้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้ว หากแต่ยังทิ้งแสงสีส้มฉาบเวิ้งฟ้าเอาไว้และประกายของมันก็กำลังอาบไล้ใบหน้าเรียวที่ตะแคงไปหาจนดูละมุนละไมน่ามอง
.......
โทรศัพท์มือถือที่สั่นครืด ๆ อยู่บนโต๊ะพร้อมโชว์ชื่อของดิษฐ์บนหน้าจอ ทำให้พฤกษ์ซึ่งกำลังใช้ความคิดว่าควรทำอย่างไรกับหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่ในตอนนี้ดีถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ยามนี้เพื่อนรักยังอยู่ที่ไซด์งานเพราะต้องคอยดูแลการก่อสร้างแทนเขา ทว่าการโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาในเวลาหัวค่ำเช่นนี้ ก็ชวนให้สงสัยยิ่งนักว่าจะเกี่ยวกับงานหรือเป็นเรื่องส่วนตัว
“มีอะไร”
แม้จะตระหนักว่าหทัยภัทรคงไม่ตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวใด ๆ ในเวลานี้ แต่พฤกษ์ก็ไม่ปรารถนาจะให้เสียงพูดคุยของเขารบกวนเธอ ฉะนั้นระดับความดังของเสียงที่ใช้จึงลดลงมาจากปกติกว่าครึ่ง และแน่นอนว่าปลายสายจับความผิดปกตินี้ได้
“ไม่สะดวกคุยเหรอ งั้นวางสายก่อนก็ได้นะ”
“เฮ้ย...คุยได้ มีอะไรว่ามา”
พฤกษ์ว่าพลางรีบสาวเท้าออกจากห้องนอนไป เหตุเพราะตั้งแต่เข้ามาจัดการเรื่องนายวิภาตแล้วส่งเพื่อนให้ไปคุมงานก่อสร้างที่ต่างจังหวัด ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ติดต่อเขากลับมาโดยตรงเลยแม้สักครั้ง นอกจากฝากข่าวผ่านมาทางชานน
“นายอยู่ที่ไหนน่ะดิษย์”
“ยังอยู่ไซด์งาน”
คำบอกของเพื่อนทำให้พฤกษ์ยกข้อมือขึ้นดูเวลา พลันความรู้สึกผิดก็แล่นวูบขึ้นมา เพราะในขณะที่ตนเองปล่อยให้เรื่องส่วนตัวคุกคามจนทำงานไม่ได้และแล่นกลับคอนโดมาตั้งแต่ 17 นาฬิกา ทว่าเพื่อนยังทำงานไม่ได้หยุดจนถึงเวลานี้
“แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันพลาดว่ะ”
“หืม...อะไรนะ พลาดเรื่องอะไร”
พฤกษ์เอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ เพราะน้ำเสียงรู้สึกผิดของเพื่อนที่ดังมาตามสาย ไม่ชวนให้ไว้วางใจเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่อยากเดาว่าเป็นเรื่องใดและผิดพลาดร้ายแรงแค่ไหน
“ก็ตอนที่ฉันจะมา นายบอกว่าให้คนงานแยกของสเป็กต่ำออกแล้วใช่ไหม”
“ใช่ แยกออกและเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว”
พฤกษ์ตอบด้วยความมั่นใจ ก่อนความรู้สึกที่มีจะค่อย ๆ หดหาย เมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนที่เป็นไปในทางปฏิเสธและทำเอาเขาเริ่มเป็นกังวล
“เปล่าเลย มันยังไม่หมด แล้วฉันก็พลาดตรงที่ไม่ได้ดูให้ดี”
“เดี๋ยว...ไอ้ของที่ว่ามันคืออะไร แล้วนายใช้มันทำอะไรไปบ้าง”
คิ้วหนาของพฤกษ์เริ่มขมวดเข้าหากันขณะฟังเพื่อนเล่าให้ฟังว่าวันนี้ได้รับแจ้งจากหัวหน้าคนงานเกี่ยวกับขนาดของเหล็กเส้นที่เล็กกว่าปกติ และเพราะคิดว่าเป็นเพียงส่วนที่ใช้สำหรับพื้นคอนกรีตของลานด้านหลังคลังสินค้าไม่เกี่ยวกับตัวอาคารที่ต้องรับน้ำหนักมากกว่าเขาจึงไม่เฉลียวใจ จนกระทั่งได้เปิดดูแผนงานสำหรับวันพรุ่งนี้แล้วได้เห็นรอยต่อของงาน ทำเอายิ้มไม่ออก
“พฤกษ์...งานฐานรากที่เป็นส่วนลานด้านหลังเฉพาะที่ทำวันนี้ เราปล่อยไปเลยได้ไหม ถ้าต้องรื้อ ฉันว่ามันจะยุ่ง ที่สำคัญมันจะกลายเป็นเสียเวลาไปอีกตั้ง 2 วันโดยไม่ได้อะไรเลย 2 วันนี่ถ้าเทปูนมันก็ถอดแบบออกได้แล้วนะ”
“นายปรึกษาฉันหรือว่านายแค่จะบอกให้รับรู้”
พอหยั่งจากน้ำเสียงของเพื่อนที่อยากปล่อยงานไปแบบเลยตามเลย ความไม่พอใจของพฤกษ์ก็แล่นขึ้นมาวูบหนึ่ง เขามั่นใจว่ามีจุดยืนในเรื่องความซื่อสัตย์มาเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นคำถามนี้ของเพื่อนจึงดูจะเป็นที่ขัดอกขัดใจของเขาเสียยิ่งนัก ต่อให้ฝ่ายนั้นจะเอ่ยออกมาด้วยความหวังดีต่อทุกคนก็ตาม
“เฮ้ย...ปรึกษาสิ ก็เพราะว่าปรึกษาไง ป่านนี้เลยยังไม่ปล่อยคนงานกลับแคมป์”
“อะไรนะ? นายไม่มีนาฬิกาเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว”
“โหย...ใจเย็น ๆ เจ้านาย ก็เพราะต้องการคำตอบให้แน่ชัดนี่แหละ ถึงให้อยู่รอเผื่อพรุ่งนี้จะได้รู้ว่าต้องทำอะไร”
บริษัทของพฤกษ์มีชื่อเสียงขึ้นมาได้เพราะผลงานคุณภาพ ทุกรายละเอียดในงานจะเป็นไปตามข้อตกลงและตรงไปตรงมาตรวจสอบได้ ต่อให้ผู้ว่าจ้างจะไม่ชำนาญในเรื่องการตรวจรับงาน หากแต่เขาก็ไม่เคยใช้ช่องว่างนี้ฉกฉวยโอกาสด้วยการลดต้นทุนผ่านวัสดุคุณภาพต่ำ ฉะนั้นคำถามที่ได้ยินมาจากปากของเพื่อน ทำให้เขานึกฉุนอยู่ไม่น้อย
“นายไม่น่าจะมาถามคำถามนี้กับฉันเลยนะดิษย์ รีบปล่อยคนงานกลับไปพักแล้วพรุ่งนี้ให้มารื้องานเดิม”
“โธ่...ก็มันคืบหน้าไปได้ไม่เท่าไหร่เอง อยู่ในโครงสร้างมองก็ไม่เห็น ที่สำคัญคานมันก็เต็มอยู่แล้วเรื่องรับน้ำหนักไม่เป็นปัญหาเลย”
“ไม่เอา นายหยุดพูดเถอะ ถ้าอยู่ใกล้ฉันจะชกปากนาย”
แล้วเสียงหัวเราะลงลูกคออย่างชอบใจของดิษย์ก็ดังมาให้ได้ยิน ทว่าในขณะที่ฝ่ายนั้นชอบอกชอบใจ พฤกษ์กลับเริ่มเครียด จะมั่นใจได้อย่างไรว่าดิษย์จะโทร.กลับมาปรึกษาเขาอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอวัสดุผิดสเป็ก
“นี่...เรื่องใหญ่ขนาดนี้นายมามัวหัวเราะได้ไง เอางี้...พรุ่งนี้ฉันจะไปแต่เช้าก็แล้วกัน”
พฤกษ์ตัดสินใจเลือกในที่สุด ช่วงเวลาที่ตรวจพบว่ามีวัสดุคุณภาพต่ำปะปนอยู่ในงาน เป็นสิ่งที่สุ่มเสี่ยงต่อการตรวจพบของผู้ว่าจ้าง เขาไม่ปรารถนาจะให้ฝ่ายนั้นรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยงานส่วนนั้นให้เลยตามเลย หรือแม้แต่อยู่ในขั้นตอนการรื้องานและทุบทิ้งก็ตาม
“มาทำไม ไม่ต้องมาหรอก จัดการเรื่องของนายวิภาตให้เสร็จเถอะ ทางนี้ฉันดูแลเอง รับปากว่าจะไม่ปล่อยให้ของไม่ดีลอดหูลอดตาไปได้”
“จัดการเสร็จแล้ว”
ท่าทีดีอกดีใจของนายวิภาตที่มีเมื่อเปิดซองจดหมายสีขาวแล้วดึงเช็คออกมาเชยชมยังติดตาเขา พฤกษ์เผลอกัดกรามตัวเองแน่นด้วยความผิดหวัง เพราะอยากจะเห็นท่าทีสำนึกผิดและกลับตัวกลับใจของอดีตลูกน้อง มากกว่าท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือในเงินทองและมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ซึ่งพฤกษ์ก็เชื่อว่าฝ่ายนั้นคงเอาไปลงในบ่อนอีกเหมือนเคย
“ไวดีนี่”
“อืม...”
พฤกษ์รับคำเสียงต่ำในลำคอเพียงแค่นั้น ไม่ได้สาธยายว่าจัดการกับอดีตลูกน้องไปอย่างไรบ้าง ที่สำคัญนึกไปถึงเจ้าของใบหน้าเรียวด้วยความรู้สึกสะท้อนในอก เธอยังคงนอนหลับและไม่รับรู้โลกภายนอก ต่อให้จะถูกพี่ชายจับยัดใส่รถหรือถูกเขาหอบหิ้วขึ้นมาถึงบนนี้
“ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้ฉันจะไปแต่เช้า นายให้คนงานเริ่มลงมือรื้อได้เลย ไม่ต้องรอฉัน”
“จุ๊...เสียหน้าชะมัด จะมาก็แล้วแต่นายเถอะ เอาเป็นว่าฉันรับรู้ตามนี้นะ”
ดิษย์ยอมตกลงตามที่ผู้เป็นเพื่อนว่ามาพลางส่งเสียงไม่ค่อยชอบใจนักที่ตนเองชะล่าใจจนทำงานพลาดให้ต้องเสียเวลามาแก้ ที่สำคัญคือกล่อมเพื่อนไม่สำเร็จแถมถูกขู่ชกปากเข้าให้อีก แต่เขาก็ไม่ได้ซีเรียสมากนักเพราะมั่นใจเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์แล้วว่าต้องได้รื้องาน ที่เหลืออีก 20 แค่รอปาฏิหาริย์มาเปลี่ยนใจพฤกษ์เท่านั้น ซึ่งสุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่จริง
เสียงปลายสายที่เงียบไปแล้ว ทำให้พฤกษ์ลดโทรศัพท์ในมือลง ก่อนจะยืนมองไปยังประตูห้องที่กำลังถูกไขและดังกุกกักมาให้ได้ยิน
“เพิ่งกลับมา?”
พฤกษ์เอ่ยถามเมื่อเห็นลูกน้องคนสนิทโผล่หน้าเข้ามาพร้อมถุงหิ้วในมือ
“ครับ คุณพฤกษ์ได้ทานอะไรหรือยังครับ ผมซื้อข้าวเข้ามาให้”
‘ข้าว’ ที่ลูกน้องพูดถึงคืออาหารแช่แข็งหลากเมนูในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งต้องนำไปผ่านความร้อนจากเตาไมโครเวฟเสียก่อนจึงจะสามารถบริโภคได้
“ขอบใจ”
พฤกษ์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หากแต่พยักหน้าแล้วเลือกจะเอ่ยคำขอบคุณที่อีกฝ่ายยังนึกถึงเขาโดยไม่ได้เอ่ยปากร้องขอเลยสักนิด
“นายล่ะ ทานมาหรือยัง”
“ผมเรียบร้อยมาจากข้างนอกแล้วครับ คุณพฤกษ์จะทานเลยไหมครับ จะได้อุ่นให้”
“เอาไว้ก่อนเถอะ ฉันยังไม่หิว”
แล้วคนเป็นลูกน้องก็สาวเท้าเข้าไปยังมุมที่ถูกจัดเป็นครัว เพื่อเก็บอาหารแช่แข็งใส่ตู้เย็น ทว่าขณะกำลังสาละวนอยู่กับการจัดเรียง คำพูดของเจ้านายที่ดังมาให้ได้ยินแถมเจ้าตัวยังเดินตามมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกล ก็ทำให้ชานนถึงกับชะงัก
“พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปที่ไซด์งาน”
“ครับ จะออกเดินทางสักกี่โมงครับ”
คนเป็นลูกน้องรับคำสั้น ๆ แบบปราศจากข้อกังขา เพราะปกติก็ต้องคอยตามติดผู้เป็นนายเสมอ ๆ อยู่แล้ว คำบอกเล่าของพฤกษ์จึงดูเหมือนจะเป็นคำสั่งเสียมากกว่าเป็นการแจ้งข่าวธรรมดา
“เช้าตรู่ราว ๆ ตี 5 แต่บอกให้รู้แค่นั้นแหละ นายไม่ต้องไป”
เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ชานนนึกแปลกใจจนต้องหันขวับไปมองหน้าคนพูด สิ่งที่ได้ยินเหลือเชื่อจนเขาต้องเอ่ยถาม
“แปลว่าคุณพฤกษ์จะไปเองคนเดียวเหรอครับ”
พฤกษ์ไม่ตอบด้วยรู้ดีว่าไปไซด์งานหนนี้ เขามีความจำเป็นที่ต้องหอบหิ้วเอาหทัยภัทรไปด้วย แต่เหตุเพราะจู่ ๆ ก็ได้ตัวหญิงสาวมาอยู่ที่นี่ด้วยกันอีกหน จึงดูเป็นการลำบากใจหากจะเปิดปากเล่าให้อีกฝ่ายฟัง ที่สำคัญสภาพของเธอตอนนี้ก็เอนเอียงไปทางน่าสงสารและเห็นใจมากกว่าจะน่ามอง ซึ่งเขาควรได้เห็นและรับรู้เพียงผู้เดียวก็พอ
“อืม นายดิษย์เพิ่งโทร.มาบอกว่าเหล็กเส้นยังมีปัญหาอยู่ ฉันจะไปดูให้เห็นกับตาว่าทำไมยังมีหลงมาอีก”
พฤกษ์มั่นใจว่าเขากับชานนได้ช่วยกันเช็ครายการสั่งซื้อที่นายวิภาตทำไปโดยพละการจนหมดแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเวลาล่วงเลยมาป่านนี้ วัสดุที่คุณภาพด้อยกว่ายังคงมีปะปนมาอีก
“แล้วจะไปกี่วันครับ”
“ก็จัดการเรื่องนายวิภาตเสร็จแล้วนี่ ฉันก็จะไปอยู่ที่ไซด์งานตามเดิมน่ะสิ”
“หมายความว่าคุณพฤกษ์จะให้คุณดิษย์กลับมาเหรอครับ”
“ใช่ แต่ยังไม่ได้บอก ค่อยไปตกลงกันที่โน่น”
“ครับ”
คำขานรับเพียงสั้น ๆ ของชานน ไม่เพียงแต่บอกว่าเขารับรู้ในเรื่องที่เจ้านายกำลังเอ่ย หากแต่ยังรู้ไปถึงหน้าที่ในการจัดทำหนังสือมอบหมายงานเพื่อให้ดิษย์รับทราบว่าพฤกษ์มีงานอะไรค้างอยู่บ้าง จะได้สานต่อและรับผิดชอบไปตามช่วงเวลาที่ปรากฏชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นที่เคยทำมาทุกครั้ง
ทางด้านของพฤกษ์ การได้เห็นลูกน้องก้ม ๆ เงย ๆ หยิบของใส่ตู้เย็นอยู่หลายรอบ ทำให้พออุ่นใจได้ว่าในนั้นคงมีอะไรให้รับประทานมากกว่า 1 อย่างแน่นอน เผื่อใครบางคนลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหิว แม้จะนึกตำหนิตนเองที่พอออกจากบริษัทเขาก็ขับรถไหลเรื่อยไปตามสภาพจราจรจอแจและนึกลุ้นแต่ว่านายวิภาตจะทำได้ตามที่พูดไว้หรือเปล่าจนลืมใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ก่อนจะลงท้ายด้วยการเถียงตนเองอยู่ในใจ...ก็เขาคาดไม่ถึงนี่นาว่าหทัยภัทรจะปรากฏตัวอีกครั้งในสภาพแบบนี้
หลังจากได้เช็คที่มีวงเงิน 2 ล้านบาทมาจากพฤกษ์ ต่อให้ฝ่ายนั้นจะโยนมันลงบนเบาะแบบขัดสายตาคนมอง ทว่านายวิภาตก็ไม่คิดจะใส่ใจ ด้วยยอดเงินที่ปรากฏสามารถกลบความไม่พอใจหรือแม้แต่เกียรติยศศักดิ์ศรีเอาไว้ได้อย่างมิดเม้น เขารีบตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าอันมีสาขาของธนาคารต่าง ๆ เปิดให้บริการอยู่เพื่อนำเช็คฉบับนั้นไปขึ้นเงิน ก่อนจะปลุกความกล้าให้แก่ตนเอง เมื่อรู้ว่าต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมารดา
“อ้าววิน กลับมาจากต่างจังหวัดแล้วเหรอ”
ในทันทีที่เขาลงจากรถภายหลังขับรถเข้าไปจอดยังโรงเก็บ เสียงของคุณอมราก็ดังขึ้น และในขณะที่คนเป็นลูกชายยังไม่มีคำตอบให้กับคำถามแรก ความสงสัยที่เริ่มก่อตัวก็ทำให้คนเป็นแม่ต้องเอ่ยถามออกมาอีก
“แล้วทำไมขับรถน้องมา”
แม้จะรู้ดีว่ายิ้มของตนเองจะดูหดหู่ซีดเซียวเพียงใด หากแต่พอเห็นสีหน้าที่เป็นสุขของคนเป็นแม่ เขาก็พยายามปั้นแต่งให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เอ...จะตอบคำถามไหนก่อนดีเนี่ย”
“ก็ตอบแม่ทีละคำถามสิ”
พอลูกชายเย้ามา คุณอมราก็เปิดยิ้ม ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเมื่อเห็นร่างสูงของลูกชายกำลังสาวเท้ามาใกล้จนเกือบถึงตัว
“ต่างจังหวัดที่ต้องไปดูงานก่อสร้างก็ไป ๆ มา ๆ ครับ ส่วนเรื่องรถยายหลิว แม่คงไม่รู้ล่ะสิว่ามันต้องไปดูงานที่เชียงใหม่กับเจ้านาย”
“อะไรนะ ไปดูงานเหรอ แล้วทำไมน้องไม่เห็นบอกอะไรแม่สักคำ”
“ก็นี่แหละคือสาเหตุที่ผมต้องกลับมา ยายหลิวมันไม่กล้าบอกแม่หรอก กลัวแม่เป็นห่วง กลัวจะไม่ได้ไป ที่สำคัญถ้าเห็นแม่ทำท่าอาลัยอาวรณ์ มันก็จะใจอ่อน ถึงจะไปก็ไปแบบไม่สนุก”
“โธ่เอ๋ย...ลูกหนอลูก”
คุณอมรารำพึงออกมา นางรู้ว่าแม้ทุกวันนี้ตนเองจะขี้โรคและต้องจ่ายค่าหยูกยาเพื่อรักษาตัวเองอยู่เป็นประจำ แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำตัวถ่วงความเจริญในหน้าที่การงานของลูก ๆ
“พอดีเจ้านายของยายหลิวอยากปรับปรุงโรงแรม เค้าก็เลยจะไปแอบดูของชาวบ้าน แต่แม่ไม่ต้องกลัวหรอก มันยังต้องไปอีกหลายที่ โรงแรมทั่วเมืองไทยสวย ๆ มีเยอะแยะ”
“แม่จะโทร.หาน้อง”
คุณอมราพูดขึ้นเมื่อนึกถึงไปการเดินทางของลูกสาว เพราะแม้ฝ่ายนั้นจะตั้งใจไม่บอกกล่าวให้รู้ แต่ในเมื่อได้รู้แล้วจะไม่ให้พูดอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
“อ๊ะ...แม่อย่า...แม่ไม่ต้องโทร.”
นายวิภาตร้องห้ามแถมโบกไม้โบกมือสำทับ ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนท่าทีลนลานของตนด้วยการยกเอาเหตุและผลมาอ้าง
“ทำไมล่ะ”
“ก็ตอนนี้ยายหลิวกำลังอยู่บนเครื่องบินน่ะสิ เวลาอยู่บนเครื่องบิน ผู้โดยสารต้องปิดมือถือ”
สีหน้าจริงจังของคนเป็นลูกชาย ทำให้คุณอมรายอมหลงเชื่อแต่โดยดี นางไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นอีก หากแต่เป็นกังวลเรื่องการเดินทางกลางค่ำกลางคืนของลูกสาวมากกว่า ที่สำคัญคือไปต่างถิ่นแถมไปกับเจ้านายซึ่งเป็นผู้ชาย
“ถ้างั้นดึก ๆ ค่อยโทร.ก็ได้”
“แหม...แม่ มันดึกแล้วก็ควรเข้านอนพักผ่อน ยายหลิวน่ะโตแล้วไม่ต้องห่วงมันให้มากหรอก”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง น้องเป็นผู้หญิงนะ”
“ไม่ต้องห่วงมันหรอกครับ แม่ก็รู้ว่ายายนี่แสบหายห่วง แม่คอยดูแลตัวเองดีกว่า เนี่ย...ยายหลิวมันก็กำชับนักกำชับหนาว่าให้ผมคอยดูแลแม่ให้ดี เข้าบ้านเถอะครับ”
“หิวไหม”
“มากเลยล่ะแม่ ตอนเที่ยงก็ยุ่งจนได้กินอะไรไปนิดเดียว”
“อย่าทำงานเยอะจนไม่กินข้าวกินปลาสิ ไม่งั้นจะมีแรงทำต่อได้ยังไง งานน่ะทำแล้วก็ควรพักบ้าง อย่าหักโหมเกินไปเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ก็...มันยุ่งจริง ๆ นี่แม่ คนนั้นก็จะเอาอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างนั้น เหนื่อย...หัวหมุน”
นายวิภาตว่าพลางนึกเลยไปถึงบรรดาเจ้าหนี้ ที่แต่ละคนก็เรียกร้องจะเอาจากเขาจนต้องวิ่งหาเงินหัวหมุนเพราะหันไปทางไหนก็มีแต่หนี้
“เหนื่อยนักก็พักก่อนสิลูก หลัง ๆ มาแม่เห็นวินทำงานเยอะจนไม่ค่อยมีเวลาพักเลย บริษัทเค้ามีวันหยุดให้ไม่ใช่เหรอ ใช้มันบ้างสิ”
“ก็...ตั้งใจจะพักร้อนหลายหนแล้ว แต่งานมันก็เยอะเหลือเกิน จะทิ้งไว้ให้คนอื่นทำก็กระไรอยู่น่ะแม่”
“ลูกแม่ขยันและตั้งใจทำงานแบบนี้ เจ้านายคงรักมากสินะ ดีเหมือนกัน...เรามีกินกันทุกวันนี้ก็เพราะเงินเดือนที่เค้าให้ งั้นก็ถือว่าทำงานให้เยอะตอบแทนบุญคุณบริษัท”
“ครับ”
นายวิภาตรับคำด้วยความสะท้อนใจที่เผลอก่อตัวขึ้นมาวูบหนึ่ง จริงอยู่ที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยทำงานดีมากจนได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย ทว่าชีวิตก็กลับพลิกผัน เขาตอบแทนความไว้วางใจด้วยการยักยอกทรัพย์สินบริษัท คำว่าเนรคุณคงยังน้อยไป
“งั้นก็ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วลงมากินข้าวกันดีกว่า แม่จะอุ่นกับข้าวให้นะ”
คนเป็นแม่เอ่ยบอกพลางรุนหลังกว้างของลูกชายให้ขึ้นบันไดไปยังชั้นบน นายวิภาตเองแม้จะกระอักกระอ่วนใจในคำพูดของคนเป็นแม่ แต่เขาก็เดินออกนอกเส้นทางมาไกลจนเกินจะกู่กลับแล้ว ดังนั้นจะทำอย่างไรได้ล่ะนอกจากปล่อยเลยตามเลย
พฤกษ์มองร่างบางในอ้อมแขนที่พริ้มตาหลับใหลไม่ได้สติและปล่อยให้เขาพาขึ้นลิฟต์ไปจนถึงห้องพักโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ นึกอยากประณามนายวิภาตด้วยถ้อยคำแสบสัน สมกับพฤติกรรมแสนต่ำช้าที่เขาปฏิบัติต่อน้องสาวแท้ ๆ แต่พอนึกได้ว่านายวิภาตคงไม่มีตามองสิ่งใดนอกจากหนทางมุ่งสู่อบายมุข พฤกษ์จึงได้แต่เก็บความขุ่นมัวนั้นเอาไว้ในใจ
เขาพาหทัยภัทรผ่านประตูไปได้อย่างทุลักทุเล เพราะแม้ร่างของเธอจะไม่ได้หนักอึ้งจนสร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่เขา ทว่าการต้องอุ้มใครบางคนเอาไว้พร้อม ๆ กับพยายามเปิดประตูห้องถึง 2 ชั้น ก็ทำเอาพฤกษ์ถึงกับพ่นลมหายใจออกทางปากในตอนที่วางร่างของหญิงสาวลงบนเตียง
แม้จะเคยรู้มาบ้างว่าฤทธิ์ของยานอนหลับ จะไม่ได้ทำให้คนที่รับประทานเข้าไป ต้องผจญกับความเจ็บปวดใด ๆ หากแต่เขาก็ไม่ปรารถนาจะทิ้งเธอเอาไว้เพียงลำพัง ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าหทัยภัทรจะลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่
ร่างสูงสาวเท้าไปเปิดม่านรับแสงสว่างจากภายนอกแทนการเปิดไฟ เวลานั้นแม้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้ว หากแต่ยังทิ้งแสงสีส้มฉาบเวิ้งฟ้าเอาไว้และประกายของมันก็กำลังอาบไล้ใบหน้าเรียวที่ตะแคงไปหาจนดูละมุนละไมน่ามอง
.......
โทรศัพท์มือถือที่สั่นครืด ๆ อยู่บนโต๊ะพร้อมโชว์ชื่อของดิษฐ์บนหน้าจอ ทำให้พฤกษ์ซึ่งกำลังใช้ความคิดว่าควรทำอย่างไรกับหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่ในตอนนี้ดีถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ยามนี้เพื่อนรักยังอยู่ที่ไซด์งานเพราะต้องคอยดูแลการก่อสร้างแทนเขา ทว่าการโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาในเวลาหัวค่ำเช่นนี้ ก็ชวนให้สงสัยยิ่งนักว่าจะเกี่ยวกับงานหรือเป็นเรื่องส่วนตัว
“มีอะไร”
แม้จะตระหนักว่าหทัยภัทรคงไม่ตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวใด ๆ ในเวลานี้ แต่พฤกษ์ก็ไม่ปรารถนาจะให้เสียงพูดคุยของเขารบกวนเธอ ฉะนั้นระดับความดังของเสียงที่ใช้จึงลดลงมาจากปกติกว่าครึ่ง และแน่นอนว่าปลายสายจับความผิดปกตินี้ได้
“ไม่สะดวกคุยเหรอ งั้นวางสายก่อนก็ได้นะ”
“เฮ้ย...คุยได้ มีอะไรว่ามา”
พฤกษ์ว่าพลางรีบสาวเท้าออกจากห้องนอนไป เหตุเพราะตั้งแต่เข้ามาจัดการเรื่องนายวิภาตแล้วส่งเพื่อนให้ไปคุมงานก่อสร้างที่ต่างจังหวัด ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ติดต่อเขากลับมาโดยตรงเลยแม้สักครั้ง นอกจากฝากข่าวผ่านมาทางชานน
“นายอยู่ที่ไหนน่ะดิษย์”
“ยังอยู่ไซด์งาน”
คำบอกของเพื่อนทำให้พฤกษ์ยกข้อมือขึ้นดูเวลา พลันความรู้สึกผิดก็แล่นวูบขึ้นมา เพราะในขณะที่ตนเองปล่อยให้เรื่องส่วนตัวคุกคามจนทำงานไม่ได้และแล่นกลับคอนโดมาตั้งแต่ 17 นาฬิกา ทว่าเพื่อนยังทำงานไม่ได้หยุดจนถึงเวลานี้
“แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันพลาดว่ะ”
“หืม...อะไรนะ พลาดเรื่องอะไร”
พฤกษ์เอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ เพราะน้ำเสียงรู้สึกผิดของเพื่อนที่ดังมาตามสาย ไม่ชวนให้ไว้วางใจเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่อยากเดาว่าเป็นเรื่องใดและผิดพลาดร้ายแรงแค่ไหน
“ก็ตอนที่ฉันจะมา นายบอกว่าให้คนงานแยกของสเป็กต่ำออกแล้วใช่ไหม”
“ใช่ แยกออกและเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว”
พฤกษ์ตอบด้วยความมั่นใจ ก่อนความรู้สึกที่มีจะค่อย ๆ หดหาย เมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนที่เป็นไปในทางปฏิเสธและทำเอาเขาเริ่มเป็นกังวล
“เปล่าเลย มันยังไม่หมด แล้วฉันก็พลาดตรงที่ไม่ได้ดูให้ดี”
“เดี๋ยว...ไอ้ของที่ว่ามันคืออะไร แล้วนายใช้มันทำอะไรไปบ้าง”
คิ้วหนาของพฤกษ์เริ่มขมวดเข้าหากันขณะฟังเพื่อนเล่าให้ฟังว่าวันนี้ได้รับแจ้งจากหัวหน้าคนงานเกี่ยวกับขนาดของเหล็กเส้นที่เล็กกว่าปกติ และเพราะคิดว่าเป็นเพียงส่วนที่ใช้สำหรับพื้นคอนกรีตของลานด้านหลังคลังสินค้าไม่เกี่ยวกับตัวอาคารที่ต้องรับน้ำหนักมากกว่าเขาจึงไม่เฉลียวใจ จนกระทั่งได้เปิดดูแผนงานสำหรับวันพรุ่งนี้แล้วได้เห็นรอยต่อของงาน ทำเอายิ้มไม่ออก
“พฤกษ์...งานฐานรากที่เป็นส่วนลานด้านหลังเฉพาะที่ทำวันนี้ เราปล่อยไปเลยได้ไหม ถ้าต้องรื้อ ฉันว่ามันจะยุ่ง ที่สำคัญมันจะกลายเป็นเสียเวลาไปอีกตั้ง 2 วันโดยไม่ได้อะไรเลย 2 วันนี่ถ้าเทปูนมันก็ถอดแบบออกได้แล้วนะ”
“นายปรึกษาฉันหรือว่านายแค่จะบอกให้รับรู้”
พอหยั่งจากน้ำเสียงของเพื่อนที่อยากปล่อยงานไปแบบเลยตามเลย ความไม่พอใจของพฤกษ์ก็แล่นขึ้นมาวูบหนึ่ง เขามั่นใจว่ามีจุดยืนในเรื่องความซื่อสัตย์มาเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นคำถามนี้ของเพื่อนจึงดูจะเป็นที่ขัดอกขัดใจของเขาเสียยิ่งนัก ต่อให้ฝ่ายนั้นจะเอ่ยออกมาด้วยความหวังดีต่อทุกคนก็ตาม
“เฮ้ย...ปรึกษาสิ ก็เพราะว่าปรึกษาไง ป่านนี้เลยยังไม่ปล่อยคนงานกลับแคมป์”
“อะไรนะ? นายไม่มีนาฬิกาเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว”
“โหย...ใจเย็น ๆ เจ้านาย ก็เพราะต้องการคำตอบให้แน่ชัดนี่แหละ ถึงให้อยู่รอเผื่อพรุ่งนี้จะได้รู้ว่าต้องทำอะไร”
บริษัทของพฤกษ์มีชื่อเสียงขึ้นมาได้เพราะผลงานคุณภาพ ทุกรายละเอียดในงานจะเป็นไปตามข้อตกลงและตรงไปตรงมาตรวจสอบได้ ต่อให้ผู้ว่าจ้างจะไม่ชำนาญในเรื่องการตรวจรับงาน หากแต่เขาก็ไม่เคยใช้ช่องว่างนี้ฉกฉวยโอกาสด้วยการลดต้นทุนผ่านวัสดุคุณภาพต่ำ ฉะนั้นคำถามที่ได้ยินมาจากปากของเพื่อน ทำให้เขานึกฉุนอยู่ไม่น้อย
“นายไม่น่าจะมาถามคำถามนี้กับฉันเลยนะดิษย์ รีบปล่อยคนงานกลับไปพักแล้วพรุ่งนี้ให้มารื้องานเดิม”
“โธ่...ก็มันคืบหน้าไปได้ไม่เท่าไหร่เอง อยู่ในโครงสร้างมองก็ไม่เห็น ที่สำคัญคานมันก็เต็มอยู่แล้วเรื่องรับน้ำหนักไม่เป็นปัญหาเลย”
“ไม่เอา นายหยุดพูดเถอะ ถ้าอยู่ใกล้ฉันจะชกปากนาย”
แล้วเสียงหัวเราะลงลูกคออย่างชอบใจของดิษย์ก็ดังมาให้ได้ยิน ทว่าในขณะที่ฝ่ายนั้นชอบอกชอบใจ พฤกษ์กลับเริ่มเครียด จะมั่นใจได้อย่างไรว่าดิษย์จะโทร.กลับมาปรึกษาเขาอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอวัสดุผิดสเป็ก
“นี่...เรื่องใหญ่ขนาดนี้นายมามัวหัวเราะได้ไง เอางี้...พรุ่งนี้ฉันจะไปแต่เช้าก็แล้วกัน”
พฤกษ์ตัดสินใจเลือกในที่สุด ช่วงเวลาที่ตรวจพบว่ามีวัสดุคุณภาพต่ำปะปนอยู่ในงาน เป็นสิ่งที่สุ่มเสี่ยงต่อการตรวจพบของผู้ว่าจ้าง เขาไม่ปรารถนาจะให้ฝ่ายนั้นรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยงานส่วนนั้นให้เลยตามเลย หรือแม้แต่อยู่ในขั้นตอนการรื้องานและทุบทิ้งก็ตาม
“มาทำไม ไม่ต้องมาหรอก จัดการเรื่องของนายวิภาตให้เสร็จเถอะ ทางนี้ฉันดูแลเอง รับปากว่าจะไม่ปล่อยให้ของไม่ดีลอดหูลอดตาไปได้”
“จัดการเสร็จแล้ว”
ท่าทีดีอกดีใจของนายวิภาตที่มีเมื่อเปิดซองจดหมายสีขาวแล้วดึงเช็คออกมาเชยชมยังติดตาเขา พฤกษ์เผลอกัดกรามตัวเองแน่นด้วยความผิดหวัง เพราะอยากจะเห็นท่าทีสำนึกผิดและกลับตัวกลับใจของอดีตลูกน้อง มากกว่าท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือในเงินทองและมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ซึ่งพฤกษ์ก็เชื่อว่าฝ่ายนั้นคงเอาไปลงในบ่อนอีกเหมือนเคย
“ไวดีนี่”
“อืม...”
พฤกษ์รับคำเสียงต่ำในลำคอเพียงแค่นั้น ไม่ได้สาธยายว่าจัดการกับอดีตลูกน้องไปอย่างไรบ้าง ที่สำคัญนึกไปถึงเจ้าของใบหน้าเรียวด้วยความรู้สึกสะท้อนในอก เธอยังคงนอนหลับและไม่รับรู้โลกภายนอก ต่อให้จะถูกพี่ชายจับยัดใส่รถหรือถูกเขาหอบหิ้วขึ้นมาถึงบนนี้
“ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้ฉันจะไปแต่เช้า นายให้คนงานเริ่มลงมือรื้อได้เลย ไม่ต้องรอฉัน”
“จุ๊...เสียหน้าชะมัด จะมาก็แล้วแต่นายเถอะ เอาเป็นว่าฉันรับรู้ตามนี้นะ”
ดิษย์ยอมตกลงตามที่ผู้เป็นเพื่อนว่ามาพลางส่งเสียงไม่ค่อยชอบใจนักที่ตนเองชะล่าใจจนทำงานพลาดให้ต้องเสียเวลามาแก้ ที่สำคัญคือกล่อมเพื่อนไม่สำเร็จแถมถูกขู่ชกปากเข้าให้อีก แต่เขาก็ไม่ได้ซีเรียสมากนักเพราะมั่นใจเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์แล้วว่าต้องได้รื้องาน ที่เหลืออีก 20 แค่รอปาฏิหาริย์มาเปลี่ยนใจพฤกษ์เท่านั้น ซึ่งสุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่จริง
เสียงปลายสายที่เงียบไปแล้ว ทำให้พฤกษ์ลดโทรศัพท์ในมือลง ก่อนจะยืนมองไปยังประตูห้องที่กำลังถูกไขและดังกุกกักมาให้ได้ยิน
“เพิ่งกลับมา?”
พฤกษ์เอ่ยถามเมื่อเห็นลูกน้องคนสนิทโผล่หน้าเข้ามาพร้อมถุงหิ้วในมือ
“ครับ คุณพฤกษ์ได้ทานอะไรหรือยังครับ ผมซื้อข้าวเข้ามาให้”
‘ข้าว’ ที่ลูกน้องพูดถึงคืออาหารแช่แข็งหลากเมนูในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งต้องนำไปผ่านความร้อนจากเตาไมโครเวฟเสียก่อนจึงจะสามารถบริโภคได้
“ขอบใจ”
พฤกษ์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หากแต่พยักหน้าแล้วเลือกจะเอ่ยคำขอบคุณที่อีกฝ่ายยังนึกถึงเขาโดยไม่ได้เอ่ยปากร้องขอเลยสักนิด
“นายล่ะ ทานมาหรือยัง”
“ผมเรียบร้อยมาจากข้างนอกแล้วครับ คุณพฤกษ์จะทานเลยไหมครับ จะได้อุ่นให้”
“เอาไว้ก่อนเถอะ ฉันยังไม่หิว”
แล้วคนเป็นลูกน้องก็สาวเท้าเข้าไปยังมุมที่ถูกจัดเป็นครัว เพื่อเก็บอาหารแช่แข็งใส่ตู้เย็น ทว่าขณะกำลังสาละวนอยู่กับการจัดเรียง คำพูดของเจ้านายที่ดังมาให้ได้ยินแถมเจ้าตัวยังเดินตามมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกล ก็ทำให้ชานนถึงกับชะงัก
“พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปที่ไซด์งาน”
“ครับ จะออกเดินทางสักกี่โมงครับ”
คนเป็นลูกน้องรับคำสั้น ๆ แบบปราศจากข้อกังขา เพราะปกติก็ต้องคอยตามติดผู้เป็นนายเสมอ ๆ อยู่แล้ว คำบอกเล่าของพฤกษ์จึงดูเหมือนจะเป็นคำสั่งเสียมากกว่าเป็นการแจ้งข่าวธรรมดา
“เช้าตรู่ราว ๆ ตี 5 แต่บอกให้รู้แค่นั้นแหละ นายไม่ต้องไป”
เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ชานนนึกแปลกใจจนต้องหันขวับไปมองหน้าคนพูด สิ่งที่ได้ยินเหลือเชื่อจนเขาต้องเอ่ยถาม
“แปลว่าคุณพฤกษ์จะไปเองคนเดียวเหรอครับ”
พฤกษ์ไม่ตอบด้วยรู้ดีว่าไปไซด์งานหนนี้ เขามีความจำเป็นที่ต้องหอบหิ้วเอาหทัยภัทรไปด้วย แต่เหตุเพราะจู่ ๆ ก็ได้ตัวหญิงสาวมาอยู่ที่นี่ด้วยกันอีกหน จึงดูเป็นการลำบากใจหากจะเปิดปากเล่าให้อีกฝ่ายฟัง ที่สำคัญสภาพของเธอตอนนี้ก็เอนเอียงไปทางน่าสงสารและเห็นใจมากกว่าจะน่ามอง ซึ่งเขาควรได้เห็นและรับรู้เพียงผู้เดียวก็พอ
“อืม นายดิษย์เพิ่งโทร.มาบอกว่าเหล็กเส้นยังมีปัญหาอยู่ ฉันจะไปดูให้เห็นกับตาว่าทำไมยังมีหลงมาอีก”
พฤกษ์มั่นใจว่าเขากับชานนได้ช่วยกันเช็ครายการสั่งซื้อที่นายวิภาตทำไปโดยพละการจนหมดแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเวลาล่วงเลยมาป่านนี้ วัสดุที่คุณภาพด้อยกว่ายังคงมีปะปนมาอีก
“แล้วจะไปกี่วันครับ”
“ก็จัดการเรื่องนายวิภาตเสร็จแล้วนี่ ฉันก็จะไปอยู่ที่ไซด์งานตามเดิมน่ะสิ”
“หมายความว่าคุณพฤกษ์จะให้คุณดิษย์กลับมาเหรอครับ”
“ใช่ แต่ยังไม่ได้บอก ค่อยไปตกลงกันที่โน่น”
“ครับ”
คำขานรับเพียงสั้น ๆ ของชานน ไม่เพียงแต่บอกว่าเขารับรู้ในเรื่องที่เจ้านายกำลังเอ่ย หากแต่ยังรู้ไปถึงหน้าที่ในการจัดทำหนังสือมอบหมายงานเพื่อให้ดิษย์รับทราบว่าพฤกษ์มีงานอะไรค้างอยู่บ้าง จะได้สานต่อและรับผิดชอบไปตามช่วงเวลาที่ปรากฏชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นที่เคยทำมาทุกครั้ง
ทางด้านของพฤกษ์ การได้เห็นลูกน้องก้ม ๆ เงย ๆ หยิบของใส่ตู้เย็นอยู่หลายรอบ ทำให้พออุ่นใจได้ว่าในนั้นคงมีอะไรให้รับประทานมากกว่า 1 อย่างแน่นอน เผื่อใครบางคนลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหิว แม้จะนึกตำหนิตนเองที่พอออกจากบริษัทเขาก็ขับรถไหลเรื่อยไปตามสภาพจราจรจอแจและนึกลุ้นแต่ว่านายวิภาตจะทำได้ตามที่พูดไว้หรือเปล่าจนลืมใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ก่อนจะลงท้ายด้วยการเถียงตนเองอยู่ในใจ...ก็เขาคาดไม่ถึงนี่นาว่าหทัยภัทรจะปรากฏตัวอีกครั้งในสภาพแบบนี้
หลังจากได้เช็คที่มีวงเงิน 2 ล้านบาทมาจากพฤกษ์ ต่อให้ฝ่ายนั้นจะโยนมันลงบนเบาะแบบขัดสายตาคนมอง ทว่านายวิภาตก็ไม่คิดจะใส่ใจ ด้วยยอดเงินที่ปรากฏสามารถกลบความไม่พอใจหรือแม้แต่เกียรติยศศักดิ์ศรีเอาไว้ได้อย่างมิดเม้น เขารีบตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าอันมีสาขาของธนาคารต่าง ๆ เปิดให้บริการอยู่เพื่อนำเช็คฉบับนั้นไปขึ้นเงิน ก่อนจะปลุกความกล้าให้แก่ตนเอง เมื่อรู้ว่าต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมารดา
“อ้าววิน กลับมาจากต่างจังหวัดแล้วเหรอ”
ในทันทีที่เขาลงจากรถภายหลังขับรถเข้าไปจอดยังโรงเก็บ เสียงของคุณอมราก็ดังขึ้น และในขณะที่คนเป็นลูกชายยังไม่มีคำตอบให้กับคำถามแรก ความสงสัยที่เริ่มก่อตัวก็ทำให้คนเป็นแม่ต้องเอ่ยถามออกมาอีก
“แล้วทำไมขับรถน้องมา”
แม้จะรู้ดีว่ายิ้มของตนเองจะดูหดหู่ซีดเซียวเพียงใด หากแต่พอเห็นสีหน้าที่เป็นสุขของคนเป็นแม่ เขาก็พยายามปั้นแต่งให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เอ...จะตอบคำถามไหนก่อนดีเนี่ย”
“ก็ตอบแม่ทีละคำถามสิ”
พอลูกชายเย้ามา คุณอมราก็เปิดยิ้ม ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเมื่อเห็นร่างสูงของลูกชายกำลังสาวเท้ามาใกล้จนเกือบถึงตัว
“ต่างจังหวัดที่ต้องไปดูงานก่อสร้างก็ไป ๆ มา ๆ ครับ ส่วนเรื่องรถยายหลิว แม่คงไม่รู้ล่ะสิว่ามันต้องไปดูงานที่เชียงใหม่กับเจ้านาย”
“อะไรนะ ไปดูงานเหรอ แล้วทำไมน้องไม่เห็นบอกอะไรแม่สักคำ”
“ก็นี่แหละคือสาเหตุที่ผมต้องกลับมา ยายหลิวมันไม่กล้าบอกแม่หรอก กลัวแม่เป็นห่วง กลัวจะไม่ได้ไป ที่สำคัญถ้าเห็นแม่ทำท่าอาลัยอาวรณ์ มันก็จะใจอ่อน ถึงจะไปก็ไปแบบไม่สนุก”
“โธ่เอ๋ย...ลูกหนอลูก”
คุณอมรารำพึงออกมา นางรู้ว่าแม้ทุกวันนี้ตนเองจะขี้โรคและต้องจ่ายค่าหยูกยาเพื่อรักษาตัวเองอยู่เป็นประจำ แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำตัวถ่วงความเจริญในหน้าที่การงานของลูก ๆ
“พอดีเจ้านายของยายหลิวอยากปรับปรุงโรงแรม เค้าก็เลยจะไปแอบดูของชาวบ้าน แต่แม่ไม่ต้องกลัวหรอก มันยังต้องไปอีกหลายที่ โรงแรมทั่วเมืองไทยสวย ๆ มีเยอะแยะ”
“แม่จะโทร.หาน้อง”
คุณอมราพูดขึ้นเมื่อนึกถึงไปการเดินทางของลูกสาว เพราะแม้ฝ่ายนั้นจะตั้งใจไม่บอกกล่าวให้รู้ แต่ในเมื่อได้รู้แล้วจะไม่ให้พูดอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
“อ๊ะ...แม่อย่า...แม่ไม่ต้องโทร.”
นายวิภาตร้องห้ามแถมโบกไม้โบกมือสำทับ ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนท่าทีลนลานของตนด้วยการยกเอาเหตุและผลมาอ้าง
“ทำไมล่ะ”
“ก็ตอนนี้ยายหลิวกำลังอยู่บนเครื่องบินน่ะสิ เวลาอยู่บนเครื่องบิน ผู้โดยสารต้องปิดมือถือ”
สีหน้าจริงจังของคนเป็นลูกชาย ทำให้คุณอมรายอมหลงเชื่อแต่โดยดี นางไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นอีก หากแต่เป็นกังวลเรื่องการเดินทางกลางค่ำกลางคืนของลูกสาวมากกว่า ที่สำคัญคือไปต่างถิ่นแถมไปกับเจ้านายซึ่งเป็นผู้ชาย
“ถ้างั้นดึก ๆ ค่อยโทร.ก็ได้”
“แหม...แม่ มันดึกแล้วก็ควรเข้านอนพักผ่อน ยายหลิวน่ะโตแล้วไม่ต้องห่วงมันให้มากหรอก”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง น้องเป็นผู้หญิงนะ”
“ไม่ต้องห่วงมันหรอกครับ แม่ก็รู้ว่ายายนี่แสบหายห่วง แม่คอยดูแลตัวเองดีกว่า เนี่ย...ยายหลิวมันก็กำชับนักกำชับหนาว่าให้ผมคอยดูแลแม่ให้ดี เข้าบ้านเถอะครับ”
“หิวไหม”
“มากเลยล่ะแม่ ตอนเที่ยงก็ยุ่งจนได้กินอะไรไปนิดเดียว”
“อย่าทำงานเยอะจนไม่กินข้าวกินปลาสิ ไม่งั้นจะมีแรงทำต่อได้ยังไง งานน่ะทำแล้วก็ควรพักบ้าง อย่าหักโหมเกินไปเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ก็...มันยุ่งจริง ๆ นี่แม่ คนนั้นก็จะเอาอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างนั้น เหนื่อย...หัวหมุน”
นายวิภาตว่าพลางนึกเลยไปถึงบรรดาเจ้าหนี้ ที่แต่ละคนก็เรียกร้องจะเอาจากเขาจนต้องวิ่งหาเงินหัวหมุนเพราะหันไปทางไหนก็มีแต่หนี้
“เหนื่อยนักก็พักก่อนสิลูก หลัง ๆ มาแม่เห็นวินทำงานเยอะจนไม่ค่อยมีเวลาพักเลย บริษัทเค้ามีวันหยุดให้ไม่ใช่เหรอ ใช้มันบ้างสิ”
“ก็...ตั้งใจจะพักร้อนหลายหนแล้ว แต่งานมันก็เยอะเหลือเกิน จะทิ้งไว้ให้คนอื่นทำก็กระไรอยู่น่ะแม่”
“ลูกแม่ขยันและตั้งใจทำงานแบบนี้ เจ้านายคงรักมากสินะ ดีเหมือนกัน...เรามีกินกันทุกวันนี้ก็เพราะเงินเดือนที่เค้าให้ งั้นก็ถือว่าทำงานให้เยอะตอบแทนบุญคุณบริษัท”
“ครับ”
นายวิภาตรับคำด้วยความสะท้อนใจที่เผลอก่อตัวขึ้นมาวูบหนึ่ง จริงอยู่ที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยทำงานดีมากจนได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย ทว่าชีวิตก็กลับพลิกผัน เขาตอบแทนความไว้วางใจด้วยการยักยอกทรัพย์สินบริษัท คำว่าเนรคุณคงยังน้อยไป
“งั้นก็ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วลงมากินข้าวกันดีกว่า แม่จะอุ่นกับข้าวให้นะ”
คนเป็นแม่เอ่ยบอกพลางรุนหลังกว้างของลูกชายให้ขึ้นบันไดไปยังชั้นบน นายวิภาตเองแม้จะกระอักกระอ่วนใจในคำพูดของคนเป็นแม่ แต่เขาก็เดินออกนอกเส้นทางมาไกลจนเกินจะกู่กลับแล้ว ดังนั้นจะทำอย่างไรได้ล่ะนอกจากปล่อยเลยตามเลย
บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2556, 22:16:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2556, 22:16:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 2037
<< ตอนที่ 11 | ตอนที่ 13 >> |
Pat 10 มี.ค. 2556, 22:39:52 น.
ไม่สงสารน้อง สงสารแม่บ้างเลยนะวิภาต
ไม่สงสารน้อง สงสารแม่บ้างเลยนะวิภาต
phugan 11 มี.ค. 2556, 07:21:45 น.
มอมยาน้อง...แถมยังหลอกแม่ตัวเองอีก...ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ...
มอมยาน้อง...แถมยังหลอกแม่ตัวเองอีก...ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ...
ผักหวาน 11 มี.ค. 2556, 10:21:54 น.
เอาเข้าไป พี่ชายที่แสนดี
เอาเข้าไป พี่ชายที่แสนดี
supayalak 11 มี.ค. 2556, 11:43:01 น.
ดีนะเนี่ยที่เป็นคุณพฤกษ์ ถ้าเห็นคนอื่นที่ไม่ดีละก้อออออ
ดีนะเนี่ยที่เป็นคุณพฤกษ์ ถ้าเห็นคนอื่นที่ไม่ดีละก้อออออ