ฤๅพรหมอธิษฐาน[จบแล้ว]
จารจำ ความหลัง ฝังจิต จารจิต ความรัก ที่มาดหมาย จารจด ความผูกพัน มิเสื่อมคลาย ใจสลาย จำพราก รักนิรันดร์
Tags: โรแมนติก พีเรียด

ตอน: บทที่ ๑

ขอลงเรื่องนี้ให้อ่านก่อนนะคะ

------------------------------------------------


ท่ามกลางหมอกหนาทึบ พลอยรุ้งรับรู้ได้ว่าตนเองกำลังรอคอย...คอยบางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เป็นการคอยที่แสนเนิ่นนาน...นานจนหัวใจเต้นเร่าแรงขึ้นทุกวินาทีเมื่อเวลาแห่งการรอคอยใกล้จะสิ้นสุด ความเป็นจริงแล้วเธอไม่รู้ว่าวินาทีแห่งการรอคอยจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่น่าแปลกนักที่หัวใจของเธอกลับรู้แน่ชัด...ชัดเสียจนตอนนี้เมื่อรูปเงาสีดำขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้า มองไม่ชัดว่าคืออะไร แต่หัวใจของเธอกลับเต้นแรงโลด รัวกระหน่ำราวกลองตี


จากรูปเงาขนาดใหญ่มหึมาเริ่มหดเล็กลงเรื่อยๆ บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปไปมา จนในที่สุดก็ปรากฏเป็นรูปเงาคล้ายคน...ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ อกผาย ไหล่ตั้งตรง ตัวสูง...สูงกว่าเธอน่าจะเกือบสิบห้าเซ็นติเมตรเลยล่ะมัง และแม้จะเห็นเป็นรูปร่างคนแล้วก็ตามหากเธอก็ยังไม่เห็นอยู่นั่นเองว่าคนตรงหน้ามีหน้าตาเช่นไร เพราะหมอกที่โอบล้อมรอบกายนั้นหนาจัดเสียจนถ้าจะมองให้เห็นชัดๆคงต้องยืนใกล้ขนาดมือเอื้อมถึง


แต่ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน แต่หัวใจของเธอกลับบอกเธอว่า...รู้จักเขา รู้จักคนคนนั้นเป็นอย่างดี และเคยคุ้นกันมาแสนนาน...นานเท่าไหร่พลอยงรุ้งไม่รู้ และไม่อยากเดา สิ่งที่เธอปรารถนาที่สุดในตอนนี้คือ โผเข้ากอดคนคนนั้นแล้วซุกซบใบหน้าลงบนอกกว้าง...ทำเหมือนที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว

ชั่ววินาทีนั้นเองที่พลอยรุ้งเพิ่งนึกขึ้นได้...คำว่า ‘นาน’ ผุดขึ้นมาในความคิดของเธอนับเป็นสิบๆครั้ง ราวกับต้องการจะตอกย้ำว่า เธอกับคนคนนั้นพลัดพรากจากกันมานานเพียงใด

...หัวใจของเธอ คิดถึง โหยหา จำได้ แต่ในความทรงจำ...กลับว่างเปล่า...

ความสับสนกระจายไปทั่วร่าง พลอยรุ้งได้แต่ยืนนิ่ง ...อยากจะสาวเท้าเข้าไปหา แต่ขากลับแข็งค้าง อยากจะเอื้อนเอ่ยเรียก หากก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าชื่อว่าอะไร สุดท้ายจึงได้แต่ยืนมองรูปเงาสูงใหญ่เพียงเท่านั้น

กระทั่ง...เสียงห้าวลึกของคนคนนั้นดังขึ้นมา ...แผ่วเบาราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล ทั้งๆที่อยู่ห่างกันเพียงสิบก้าว

“แม่พลอย...”

แม้จะเบาราวเสียงกระซิบสักเพียงใด แต่กลับสะเทือนเลือนลั่นไปทั่งหัวใจของเธอเลยทีเดียว

...แม่พลอย...ชื่อเรียกที่ไม่คุ้นหู และดูเหมือนจะไม่ใช่ชื่อของเธอ แต่หัวใจดวงน้อยกลับเต้นรัวเร็วตอบรับ ราวกับรอคอยคำคำนี้มานาน พลอยรุ้งกำลังจะเอื้อนเอ่ยอะไรสักอย่างออกไป แต่เมฆหมอกรอบกายกลับถูกลมพายุโหมกระหน่ำ รวดเร็วรุนแรงจนเธอยืนไม่ติดพื้น เซซวนไปมา หากแต่สายตายังมองจ้องรูปเงาของใครคนนั้นที่ค่อยๆจางหายจนกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางเมื่อพายุลูกใหญ่ซัดเข้าใส่

ความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่เธอจะหมดสติไปนั้นคือ...ความเจ็บปวดราวมีมือที่มองไม่เห็นกระชากเอาหัวใจของเธอไป!

พลอยรุ้งกรีดร้องสุดเสียง เปิดเปลือกตาขึ้นในทันใด พร้อมกับลมหายใจที่หอบแรงจนตัวโยน หน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ตามมาด้วยลำคอที่แห้งผาก และเหงื่อที่โทรมกาย

ฝัน!

หญิงสาวกำลังนอนบนเตียง ตาทั้งสองจับจ้องเพียงเพดานไม้สักของเรือนไทยแห่งนี้...บังเกิดความเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวแรงในอกอยู่ชั่วขณะ ก่อนเสียงฝีเท้าหนักๆและเสียงเคาะประตูจะตามมา

“คุณหนูคะ คุณหนูพลอยรุ้ง เป็นอะไรไปคะ”


คนที่เพิ่งตื่นจากฝันซึ่งไม่รู้ว่าฝันดีหรือฝันร้ายนั้นใช้หลังมือเช็ดเหงื่อตามใบหน้าและซอกคอก่อนก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ประตู ปลดกลอนด้านล่างและด้านบน แล้วดึงเข้าหาตัว ภาพที่เห็นตรงหน้าคือหญิงร่างผอมวัยสี่สิบปลายๆมองเข้ามาด้วยแววตาตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู”

พลอยรุ้งยิ้มให้พี่เลี้ยงแล้วส่ายหน้าน้อยๆ

“ไม่มีอะไรค่ะแม่นิ่ม พลอยแค่ฝันเท่านั้นเอง”

“ฝันร้ายหรือคะ”

คนถูกถามนิ่งคิดก่อนไหวไหล่ด้วยท่วงท่าที่ทำเป็นประจำจนนางนิ่มเคยชิน ทว่า...สำหรับผู้เป็นยายแล้ว ท่านมักพร่ำบ่นว่าไม่งามทุกครั้งไป

“คงงั้นมั้งคะ” เจ้าตัวตอบแบบส่งๆก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตู เดินไปยังระเบียงที่ติดกับสวนหย่อมด้านหลังเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์

“พลอยไม่น่าง่วงจนเผลอหลับกลางวันเลยค่ะ ฝันอะไรเป็นตุเป็นตะก็ไม่รู้”

หญิงสาวท้าวแขนกับระเบียงแล้วกวาดมองต้นไม้ใบหญ้าอันร่มรื่นภายในอาณาบริเวณบ้านสวนของคุณยาย แล้วหันมาถามคนที่เดินตามมาว่า

“แม่นิ่ม คุณยายกับน้าเพชรไปไหนคะเนี่ย”

“ไปตลาดค่ะ อีกสักครู่คงจะกลับ...คุณพลอยอยากดื่มน้ำเย็นๆหรือชาสักแก้วไหมคะ เดี๋ยวป้าไปเอาให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ พลอยไปเอาเองดีกว่า” พลอยรุ้งรีบปฏิเสธ รีบเดินลงบันไดไปยังห้องครัว เพื่อรินน้ำเย็นใส่แก้วแล้วถือติดมือมาด้วย เดินพลาง จิบพลางจนเกือบจะสะดุดขั้นบันไดล้ม คนที่เดินตามไม่ยอมห่างยกมือทาบอกเกือบจะอุทานด้วยความตกใจแล้ว ยังดีที่คุณหนูของนางใช้มือข้างหนึ่งคว้าราวบันไดได้ทัน

“คุณหนูพลอย! ป้าใจหายหมดเลยค่ะ!”

หญิงสาวหันมามองข้างหลังแล้วโปรยยิ้ม หัวเราะเบาๆในลำคอ

“คราวหลังพลอยจะระวังกว่านี้ค่ะ”

แม้จะได้ยินเช่นนั้น คนที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกก็ยังหน้าซีดใจสั่น...นึกย้อนไปตอนที่พลอยรุ้งอายุสิบขวบ วันนั้นเด็กตัวน้อยก็ก้าวพลาด แต่ไม่โชคดีอย่างวันนี้ ร่างเล็กพลัดตกจากบันได ลอยละลิ่วร่วงลงพื้น ศีรษะแตก แขนหัก อาการสาหัสเพราะเลือดคั่งในสมอง ตอนนั้นคุณมรกต...นายจ้างของนางแทบจะสิ้นสติสมประดีด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย ทว่า...คุณพระคุณเจ้ายังคุ้มครอง พลอยรุ้งพ้นขีดอันตรายในอีกสองวันถัดมา แล้วเติบใหญ่มาจนทุกวันนี้

นับจากวันนั้นทุกย่างก้าวของคุณหนูพลอยรุ้ง นางนิ่มจะตามติด คอยดูแลอย่างไม่ให้คลาดสายตา ยิ่งตอนที่คุณมรกตเสียชีวิตด้วยโรคทะเร็งเมื่อห้าปีก่อน นางก็กลายเป็นที่พึ่งทางใจและคอยมอบความอบอุ่นให้กับหญิงสาวแทนที่มารดาได้เป็นอย่างดี

“อย่าทำหน้าแบบนั้นซิคะ พลอยไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

นางนิ่มมองคนพูดที่กำลังยิ้มแป้นแล้วถอนหายใจเฮือก

...เหตุไฉนนางจึงกริ่งเกรงว่าวันใดวันหนึ่งพลอยรุ้งจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับก็ไม่ทราบได้...มันเป็นลางสังหรณ์ที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจแบบที่ผู้เป็นเจ้าของไม่สามารถอธิบายได้

“แม่นิ่มไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องตามติดพลอยทุกฝีก้าวแบบนี้หรอกค่ะ”

ใบหน้ารูบไข่สว่างไสวด้วยรอยยิ้มสดใส...พลอยรุ้งไม่ใช่คนสวยแบกแรกเห็น ทว่าเมื่อพิศดูนานๆความสวยจะแจ่มชัดจนหนุ่มๆหลงรักได้ไม่ยากนัก

“พลอยจะเข้าไปอ่านหนังสือในห้องนะคะ” เอ่ยจบก็รีบเร่งฝีเท้าจากไป

พอมาถึงห้อง พลอยรุ้งก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวผืนบางปลิวสะบัดเมื่อลมยามบ่ายโชยพัดผ่านเข้ามา ถ้าเป็นในกรุงเทพลมที่ว่าคงร้อนจนแทบจะแผดเผากาย ทว่า...ในบ้านสวนแห่งนี้สายลมมักมอบความเย็นชื่นมาให้เสมอ

หญิงสาวเดินไปหยิบหนังสือเก่าคร่ำซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงแล้วกลับมานั่งบนโต๊ะไม้ เปิดหน้าที่คั่นไว้แล้วเริ่มอ่านอย่างสนอกสนใจ

บ้านหลังนี้...มีห้องหนังสือเล็กอยู่ทางด้านหลัง ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่คุณยายมุกของเธอเก็บสะสมมาตั้งแต่วัยสาว บางเล่มก็ตกทอดมาจากคุณทวดด้วยซ้ำไป...เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ค่อนข้างเก่า บอกเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ดวงตากลมโตกวาดผ่านบรรทัดที่อ่านค้างไว้เมื่อเช้านี้ซึ่งกล่าวถึงสงครามเก้าทัพ พ.ศ.๒๓๒๘ ในตอนนั้นพระเจ้าปดุงแห่งพม่าสั่งเคลื่อนพลออกจากเมาะตะมะ ๕ เส้นทางโดยจัดกระบวนทัพเป็น ๙ ทัพด้วยกัน แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทำให้ไทยชนะในครั้งนั้น

พลอยรุ้งกวาดสายตาอ่านศึกครั้งต่อๆไปอย่างสนอกสนใจ นานๆครั้งจึงหยิบน้ำขึ้นมาจิบสักครั้ง

...ใครๆต่างก็รู้ พลอยรุ้งสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยมาแต่ไหนแต่ไร หนังสือแทบทุกเล่มที่มีอยู่ในห้องหนังสือของคุณยาย เธอก็หยิบมาอ่านจนหมดแล้ว เล่มนี้เป็นเล่มล่าสุด และถึงแม้จะพอรู้เรื่องราวอยู่บ้าง หากเจ้าตัวก็อดตื่นเต้นไปกับแต่ละตัวอักษรไม่ได้

ใช่ว่าแค่เรื่องประวัติศาสตร์เท่านั้น การดำรงชีวิต ผู้คน รวมถึงการแต่งกายในสมัยนั้น เธอก็สนอกสนใจและชื่นชอบเป็นนักหนา...คุณยายมุกถึงกับเอ่ยปากพูดทีเล่นทีจริงในวันหนึ่งว่า

‘อยากไปเกิดในสมัยก่อนหรืออย่างไร เจ้าพลอย’

หญิงสาวได้แต่หัวเราะ ไม่ตอบว่ากระไร ต่อเมื่ออยู่ตามลำพังในห้องนอนและคำถามนั้นผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง พลอยรุ้งพลันตอบตัวเองทันควัน

‘ถ้าไปเกิดได้ก็ดีซิ!’

เป็นคำตอบที่เลื่อนเปื้อนไร้สาระยิ่งนัก ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังอุตริ...ยกมือพนม อธิษฐานขอให้ตัวเองได้ไปรู้ ไปเห็น และไปใช้ชีวิตเมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์...ขอแค่สักเดือนสองเดือนในระหว่างที่ยังหางานทำไม่ได้เช่นนี้ ถือเป็นการฆ่าเวลา และหาประสบการณ์ชีวิตไปในตัว

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว จากที่ตั้งหน้าตั้งตาหางาน จนได้เป็นนักเขียน นักแปลของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง...คำอธิษฐานนั้นก็ยังจะไม่มีทีท่าว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้

ก็แน่ล่ะ...จะเป็นจริงได้อย่างไร สิ่งที่เธออธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว หรือถ้าอยากให้มันเกิด ก็คงต้องรอปาฎิหาริย์เท่านั้น

พลอยรุ้งดึงความคิดของตนเองกลับมาสู่หนังสือตรงหน้า แล้วนั่งอ่านต่อไปจนจบเล่ม

ยามนั้นตะวันเคลื่อนคล้อยลงต่ำแล้ว พร้อมกับเสียงรถของผู้เป็นน้าขับผ่านประตูเข้ามาจอดข้างบ้านเรือนไทย หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืน หยิบหนังสือติดมือมาด้วยกำลังจะเอาไปเก็บในห้องหนังสือ ก็พอดีเสียงเรียกของโทรศัพท์ดังขึ้น

หญิงสาวหันรีหันขวางด้วยจำไม่ได้ว่าเอาโทรศัพท์มือถือของตนเองไปวางไว้ตรงไหน ชั่วครู่ทีเดียวกว่าจะเห็นว่าตัวเองวางมันไว้ตรงหัวเตียง พลอยรุ้งหนีบหนังสือไว้ใต้รักแร้ข้างหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์มากดรับโดยไม่ได้มองหน้าปัดว่าใครโทร.มา

“สวัสดีค่ะ พลอยรุ้งค่ะ” ทันทีที่ได้ยินเสียงอันเคยคุ้น รอยยิ้มดีใจก็กระจ่างบนใบหน้านวล

“พี่ก้อง! มีเวลาว่างโทร.หารุ้งแล้วหรือคะ ยังอยู่บ้านสวนค่ะ กะว่าจะกลับกรุงเทพพรุ่งนี้ พี่ก้องจะกลับพรุ่งนี้เหมือนกันหรือคะ โอเคค่ะ ไว้เจอกันค่ะ”

พี่ก้องที่เธอเรียกคือก้องภพ...แฟนหนุ่มรุ่นพี่ที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาเป็นวิศวกรอนาคตไกล เรียนดี มีหน้าที่การงานที่ดี เธอคบกับเขามาสามปีแล้ว และดูท่าว่าจะคบกันยืดยาวไปอีกหลายปี พลอยรุ้งคาดหวังด้วยซ้ำไปว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นรักแรก รักเดียว และรักสุดท้ายของเธอ เนื่องเพราะตั้งแต่คบกันมาก้องภพไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยนอกใจและทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักครั้ง เธอจึงมักบอกตัวเองว่าโชคดีเป็นนักหนาที่ได้พบเจอผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน ซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียวอย่างเขา

ชั่วขณะหนึ่งพลอยรุ้งนึกถึงผู้เป็นพ่อผู้ซึ่งนอกใจแม่โดยการไปมีอะไรกับเลขาส่วนตัว วันที่แม่รู้ แม่ร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจเพียงใดเธอยังจำได้ติดตาแม้ว่าตอนนั้นเธอเพิ่งจะแปดขวบก็ตาม หนึ่งปีให้หลังพ่อกับแม่ก็หย่าขาดจากกัน พ่อย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่พร้อมกับเลขาสาวคนนั้น และลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น นานๆถึงจะลงมาหาเธอสักครั้ง

พลอยรุ้งชักเลือนๆแล้วว่าเจอหน้าพ่อครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะเป็นสองปีที่แล้ว หรือนานถึงสามปีแล้วก็เป็นได้ หญิงสาวถอนหายใจ สลัดความหม่นเศร้าของตัวเอง แล้วเดินออกจากห้อง เก็บหนังสือเรียบร้อย จึงตรงไปยังห้องครัว เพียงเยี่ยมหน้าผ่านประตู น้าเพชร...สาวโสดวัยสี่สิบก็หันมาส่งเสียงเรียก ขณะที่คุณยายยังคงตั้งหน้าตั้งตาหั่นผักต่อไป

“วันนี้คุณยายกับน้าเพชรจะทำอะไรคะ”

“ต้มจืดตำลึง กับน้ำพริกกะปิจ้า”

น้าเพชรเป็นสาวใหญ่ที่ดูอ่อนวัยกว่าความเป็นจริง ผมสีดำขลับดัดเป็นลอนซอยสั้นระต้นคอดูทันสมัยราวกับสาวรุ่น ทว่า...แปลกนักที่น้าของเธอกลับยังไม่แต่งงาน แถมยังครองตัวเป็นโสดมาจนทุกวันนี้

พลอยรุ้งเองก็เคยถามเรื่องนี้กับน้ามาแล้ว คำตอบที่ได้รับคือ

‘ถ้าหาดีไม่ได้ สู้อยู่เป็นโสดไม่ดีกว่าเรอะ’

ก็จริงอย่างที่น้าเพชรพูด พลอยรุ้งไม่คัดค้าน แถมยังเห็นด้วยเต็มหัวใจ ถึงกระนั้นเธอก็ยังหวังว่าก้องภพจะเป็นหนึ่งในผู้ชายที่แสนดีซึ่งหาได้ยากแล้วในปัจจุบันนี้

เย็นวันนั้น พลอยรุ้งช่วยยายมุก น้าเพชรและแม่นิ่มทำอาหารเหมือนเช่นเคย เสียงหัวเราะที่ประสานกันของทั้งสี่ละม้ายเสียงดนตรีขับกล่อมให้หัวใจของเธอเป็นสุขนัก ทว่า...ความสุขอยู่ได้ไม่นานเมื่อเธอได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทที่ชื่อวศินีหรือจุ๊บแจง

เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถม มาแยกกันก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่เอง พลอยรุ้งเข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ ส่วนวศินีนั้นสอบติดพยาบาล ทั้งสองเรียนคนละมหาวิทยาลัย หากทุกเย็นมักจะนัดพบกันเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านของเธอ หรือที่คอนโดของอีกฝ่ายก็ตาม

พลอยรุ้งมองหน้าปัดโทรศัพท์แล้วกดรับทันใด

“ว่าไงยัยจุ๊บ”

เพื่อนคนอื่นเรียกวิศนีว่าแจง แต่สำหรับพลอยรุ้งแล้ว เธอชินที่จะเรียกเพื่อนสนิทคนนี้ว่าจุ๊บมากกว่า

“วันนี้ไม่ไปเที่ยวกับแฟนรึไงถึงมีเวลาโทรหาฉันได้เนี่ย”

สัพยอกทีเล่นทีจริงเหมือนเคย แต่คราวนี้วศินีไม่เล่นด้วย เธอพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของพลอยรุ้งเหือดหายกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันควัน

“ได้ๆ ฉันจะรีบไป!”

หญิงสาววางสาย แล้วโยนโทรศัพท์ของตัวเองใส่ในกระเป๋าสะพายสีน้ำตาล หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ติดมือมาด้วย จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าออกจากห้อง พร้อมกับตะโกนเรียกแม่นิ่ม

“แม่นิ่มคะ พลอยจะกลับกรุงเทพแล้วค่ะ” ทว่าคนที่ขานรับกลับเป็นน้าเพชร

“แม่นิ่มอาบน้ำอยู่น่ะพลอย ทำไมรีบร้อนกลับล่ะ ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้”

“มีเรื่องด่วนน่ะค่ะ”

เห็นสีหน้าของหลานสาวแล้ว จึงเห็นว่าคงเป็นเรื่องร้อนใจจริงๆ น้าเพชรก็ไม่เซ้าซี้ รีบโบกมือไล่แล้วบอกว่า

“ไปเถอะไป เดี๋ยวน้าบอกแม่นิ่มให้แล้วกัน”

“ขอบคุณค่ะ” พลอยรุ้งยกมือไหว้ผลุบ ก่อนจะหันหลังรีบออกจากบ้าน ตรงไปยังรถบุโรทั่งที่ตกทอดมาจากผู้เป็นแม่ หญิงสาวใช้มาสิบปีโดยไม่มีปัญหา นับว่ามันทนทายาดใช้ได้เลยทีเดียว

หญิงสาวไม่รอช้าปลดล็อคประตู เข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย สตาร์ทรถ แล้วเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าสู่คอนโดริมน้ำของก้องภพตามที่วศินีบอกมาในทันที

‘ฉันขับรถตามแฟนแกมา ไม่รู้ว่าเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆหิ้วผู้หญิงมาด้วย!’

เพราะถ้อยคำนั้นทำให้เธอร้อนอกร้อนใจนัก...ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับก้องภพ

...เป็นเพื่อนร่วมงาน น้องสาว หรือกิ๊ก!

พลอยรุ้งเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลออย่างคับข้องใจ

บางที...ผู้ชายทุกคนบนโลก อาจจะหาดีไม่ได้สักคนก็เป็นได้!

ไม่ว่าจะพ่อของเธอ แฟนเก่าของน้าเพชร แม้แต่คุณปู่ของเธอก็นอกใจคนรักทั้งนั้น ก้องภพเองก็อาจจะไม่แตกต่างกับคนอื่นๆก็เป็นได้

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ยาว กระตุ้นเตือนตัวเองให้มีสติ อย่าเพิ่งใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เอาไว้ไปดูให้เห็นกับตาเสียก่อน หากก้องภพนอกใจเธอจริง ค่อยคร่ำครวญหวนไห้ก็ยังไม่สาย คิดได้ดังนั้น พลอยรุ้งก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น

ใช้เวลานานกว่าที่คิด สองชั่วโมงถัดมา พลอยรุ้งจึงจะมาถึงคอนโดริมน้ำของคนรัก เธอจอดรถไว้ริมทางเดินเท้าตรงข้ามกับคอนโดแห่งนั้น ก่อนจะก้าวลงมาเดินข้ามถนน หยุดยืนตรงหน้าคอนโดพร้อมกับกดโทร.หาเพื่อนรักของตน และพบว่าวศินีถูกพ่อเรียกตัวกลับบ้านด่วน จึงไม่ได้อยู่รอ หญิงสาวจึงต้องขึ้นไปหาก้องภพเพียงลำพัง

พลอยรุ้งใจเต้นแรงเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของคนรัก สองตาของเธอพร่ามัว สมองอึงอลด้วยความคิดอันสับสน เจ้าตัวยืนอยู่นานเท่าใดไม่ทราบได้กว่าจะกล้ายกมือขึ้นมากดสัญญาณหน้าห้อง เฝ้ารอนานแสนนานในความรู้สึกกว่าประตูจะเปิดออก

หญิงสาวทำใจไว้ว่าคนที่ต้องเผชิญหน้าด้วยคงเป็นก้องภพ แต่เปล่าเลย...คนที่เธอเห็นในตอนนี้กลับกลายเป็นสาวร่างระหงที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวคลุมเรือนร่างไว้เท่านั้น

ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ...ภาพที่เธอเห็นก็อธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว

น้ำตาที่เอ่อคลอพลันหยาดหยดตกต้องแก้มเย็นชืด หัวใจที่เต้นรัวแรงพลันถูกบีบรัดจากมือที่มองไม่เห็นจนเจ็บปวด

แบบนี้นี่เอง...ความเจ็บปวดของแม่

เธอได้รู้แล้วว่า...การถูกทรยศหักหลังมันเจ็บปวดเจียนตายเฉกนี้เอง!

พลอยรุ้งอยากจะเดินหนีภาพบาดตานั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่า...ขาของเธอกลับก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนร้องไห้อย่างน่าเวทนาต่อหน้าหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักเช่นนั้นเอง

“ใครมาน่ะ”

เสียงทุ้มนุ่มนั้นเธอจำได้ขึ้นใจ พลอยรุ้งกัดริมฝีปากจนห้อเลือกขณะเบือนสายตามามองคนที่มายืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังหญิงสาวคนนั้น

ก้องภพยังคงดูหล่อเหลาเหมือนเคย แววตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเคยทอดมองอย่างอ่อนโยนบัดนี้กลับเบิกกว้างอย่างตกใจ

“น้องพลอย! มาได้ยังไงเนี่ย! ไหนบอกจะกลับวันพรุ่งนี้!”

“ถ้าพลอยกลับพรุ่งนี้ก็คง...ไม่ได้เห็นความจริงกับตา...” เธอพูดเจือสะอื้น ยกมือเช็ดน้ำตาที่รินไหลลงมาไม่ขาดสาย ก่อนจะก้าวเข้าไปตวัดฝ่ามือลงบนเสี้ยวหน้าหล่อๆของชายคนนั้น

“พี่ก้องทรยศพลอยได้ยังไง!”

นั่นคือถ้อยคำสุดท้ายที่เธอตะโกนใส่หน้าเขาก่อนจะรีบร้อนวิ่งจากไป ก้องภพไม่ได้ตามอาจจะเพราะเขามีผ้าเช็ดตัวคลุมเรือนกายเพียงผืนเดียว จึงไม่สะดวกใจที่จะตามมาก็เป็นได้ และนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับพลอยรุ้งเพราะเธอยังไม่อยากพบหน้า พูดคุย หรือฟังคำแก้ตัวขุ่นๆของชายคนนั้นในตอนนี้ สิ่งที่เธอต้องการคือหาที่สงบๆเพื่อปลดปล่อยกายใจอันปวดร้าว

ร่างบอบบางวิ่งออกจากคอนโด พรวดพราดข้ามถนนเพื่อไปยังรถของตนเองโดยไม่ทันได้มองอย่างระวังว่ามีรถขับผ่านมาหรือเปล่า จากความเจ็บปวดเจียนตายในหัวใจ พลอยรุ้งรับรู้ถึงความเจ็บปวดทางกาย รู้สึกเหมือนตัวเองลอยละลิ่วจากพื้น กระแทกเข้ากับกระจกรถคันหนึ่ง ก่อนร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างแรง

เสียงกรีดร้องอย่างตกใจผสานกลับเสียงตะโกนให้โทร.หาตำรวจและรถพยาบาลดังอยู่ข้างหูจนเธอต้องนิ่วหน้า ลมหายใจของเธอติดขัด หากเธอก็ยังพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอดอย่างเต็มความสามารถ

เธอกำลังจะตาย...พลอยรุ้งรู้สึกเช่นนั้น

แม่จ๋า พลอยจะได้ไปอยู่กับแม่แล้วนะจ๊ะ

แม่นิ่ม ยายมุก น้าเพชร...พลอยขอโทษที่ไม่ได้อยู่ตอบแทนบุญคุณ

พ่อคะ...ขอให้พ่อสุขภาพแข็งแรง พลอยคงไม่มีโอกาสได้พบหน้าพ่ออีกแล้ว

สำนึกสุดท้ายในช่วงเวลานั้น คือคำอธิษฐานที่ยังไม่เป็นจริงเพียงสิ่งเดียวในชีวิต และมันคงจะไม่มีวันเป็นจริงไปได้

หญิงสาวหมดกำลังใจที่จะดิ้นรนต่อสู้กับความตาย เธอปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งสู่หุบเหวแห่งความมืดมิดที่กำลังกลืนกินเธอทีละน้อยๆ

สุดท้าย...สติของเธอดับวูบ พร้อมกับลมหายใจอันขาดห้วงในฉับพลัน




พลอยรุ้งคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว แต่เปล่าเลย...ในวินาทีถัดมาหลังจากนั้น ชีวิตที่เหมือนตายไปแล้วได้กลับคืนเมื่ออากาศอัดเข้าไปจนเต็มปอดของเธอยามเธอสูดลมหายใจเข้า หากน่าแปลกนัก ทำไมกายของเธอถึงสั่นสะท้าน และสะบัดร้อนสะบัดหนาวเอย่างมากมายเช่นนี้

คราหนึ่งร้อนวาบดั่งถูกไฟแผดเผา

อีกครากลับเหน็บหนาวราวยืนอยู่กลางสายฝนเย็นยะเยือก

...เธอยังไม่ตาย แต่กำลังจะตายแล้วใช่ไหม...

พลอยรุ้งคร่ำครวญในหัวใจ กึ่งรู้สติ กึ่งเลื่อนลอย ไม่รู้สิ่งใดจริง สิ่งใดปลอม

บางคราเธอแว่วเสียงพูดคุยต่ำๆตรงข้างหู บางคราเป็นเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจ บางคราเป็นเสียงทุ้มนุ่มร้องเรียก กับอีกคราเป็นเสียงกรีดร้องแสบแก้วหู

เสียงของใคร พลอยรุ้งไม่รู้...รู้แค่ว่า ไม่เคยคุ้นเอาเสียเลย

หญิงสาวได้สติรับรู้สิ่งรอบกายอยู่ครู่ ก่อนจะผล็อยหลับไป หลับนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงหวานใสของใครบางคน พลอยรุ้งพยายามลืมตา แต่เปลือกตาหนักอึ้งยิ่งนัก ร่างกายยังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไม่สามารถขยับได้ จึงทำได้เพียงนอนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น

“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแน่แล้ว แม่พลอย” เสียงนุ่มนวลนั้นแทรกซึมความสลัวรางรอบกาย ความมืดพลันจางหาย แสงสว่างเข้ามาแทนที่พร้อมกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือซึ่งวางลงบนหน้าผากของเธอ “ในที่สุด เจ้าก็ยังอยู่กับแม่”

น้ำตาหยดหนึ่งตกต้องลงบนแก้มเย็นชืดราวกับเป็นน้ำสวรรค์ปลุกพลอยรุ้งให้ลืมตาตื่น เรี่ยวแรงที่เคยหดหายเริ่มฟื้นคน จนสามารถขยับศีรษะได้...แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

“น้ำ...หิวน้ำ”

เสียงที่เธอได้ยิน พลอยรุ้งแน่นใจว่าเป็นเสียงของเธอ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เสียงของเธอ...มันแหลมเล็กกว่าปกติ จนผู้เป็นเจ้าของต้องขมวดคิ้ว

...เธอป่วยหนักเสียจนเสียงเปลี่ยนเลยหรือไร...

“นางพุด ส่งขันน้ำมาให้ข้าที”

สิ้นเสียงนั้นเพียงอึดใจ ริมฝีปากแตกระแหงของเธอก็สัมผัสกับขอบเย็นๆของขันน้ำ แล้วน้ำใสเย็นกลิ่นหอมราวดอกมะลิก็รินไหลลงสู่ลำคอ...ชื่นใจนัก

พลอยรุ้งอยากจะดื่มมากว่านั้น แต่เจ้าของเสียงนุ่มนวลคอยชักขันน้ำออกเป็นระยะๆ

“ค่อยๆดื่ม แม่พลอย”

...แม่พลอย...ใครกัน เธองั้นหรือ?...

หญิงสาวขมวดคิ้วเข้ามากัน พลางดื่มน้ำอีกอึกใหญ่ ต่อเมื่อคนทีคอยประคองให้ลุกขึ้นมาดื่มน้ำวางเธอลงตามเดิมจึงพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้หนักอึ้งเหมือนก่อนอีกต่อไป หญิงสาวสามารถกะพริบตาถี่เร็วได้ตามปกติ...ช่วยปรับภาพพร่ามัวให้ชัดเจนขึ้น

สิ่งแรกที่เธอเห็นคือเพดานไม้ด้านบน คลับคล้ายบ้านสวนนัก แต่ไม่ใช่

ยิ่งเมื่อกวาดตามองไปรอบห้อง และได้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตาด้วยแล้ว พลอยรุ้งก็แทบจะกระเถิบหนีเสียให้ได้

“เจ้าเพิ่งหายไข้ อย่าเพิ่งลุกเลย แม่พลอย”

“คุณน้าเป็นใครคะ?”

คนถูกถามมองจ้องเธอแน่วนิ่ง ขณะหญิงสาวร่างท้วมซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นไม่ห่างจากเตียงที่เธอนอนอยู่ถึงกับเอามือทาบอก ทำตาโตราวกับไข่ห่านเลยทีเดียว ตอนนั้นเองที่เธอได้สำรวจเครื่องแต่งกาย...ที่ผิดแผกไปจากที่เธอเคยเห็น

คนที่นั่งวางมือลงบนต้นแขนของเธอในยามนี้เป็นสตรีผิวขาววัยกลางคนนุ่งโจงสีน้ำตาล สวมผ้าแถบสีฟ้า มีสร้อยพระทำจากทองเหลืองอร่ามสวมอยู่บนลำคอ หน้าตาคุณน้าดูใจดี แต่ตอนนี้กลับฉงนฉงายนัก

ส่วนคนที่นั่งอยู่บนพื้นเป็นสตรีวัยสามสิบปลายๆ สวมผ้าแถบสีขาวและนุ่งโจงเช่นเดียวกัน

พลอยรุ้งลำคอแห้งผาก รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างไรไม่ทราบได้...บางทีเธออาจจะกำลังอยู่ในความฝันก็เป็นได้

ทว่า...ถ้าอยู่ในความฝัน แล้วเหตุใดจึงเหมือนจริงได้เพียงนี้เล่า

“ค...คุณน้าเป็นใครคะ แล้วตอนนี้พลอยอยู่ที่ไหน”

ครั้งสุดท้ายที่เธอยังพอจำได้ คือภาพก้องภพที่สวมเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว กับสาวน้อยหน้าแฉล้มคนนั้น ตอนนั้นเธอจำได้ว่าวิ่งออกจาคอนโดด้วยน้ำตานองหน้า กำลังจะข้ามถนนแต่ไม่ทันมองซ้ายขวาจึงถูกรถชนจนกระเด็น เธอคิดว่าต้องตายแน่แล้ว แต่สุดท้ายกลับยังหายใจอยู่

หญิงสาวก้มลงมองตัวเองเป็นอันดับแรก แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพบว่าทั้งแขน ทั้งขาของเธอช่างเล็กแสนเล็กราวกับของเธอ ตัวเธอก็สั้นนัก ไฉนเท้าของเธอจึงหยุดอยู่เพียงกลางเตียงเล่า พลอยรุ้งยกแขนอันอ่อนแรงลูบใบหน้าของตัวเองก่อนเลือนขึ้นไปด้านบนเพื่อพบว่าผมของเธอถูกเกล้าเป็นมวยไว้กลางศีรษะ

ฝัน! เธอฝันเป็นคุเป็นตะอีกแล้วหรือนี่!

“ไม่นะ...” หญิงสาวพร่ำพูดกับตัวเอง ก่อนจะใช้นิ้วข้างขวาหยิกแขนซ้ายเพื่อปลุกตัวเองจากฝัน ทว่า...ความเจ็บปวดทำให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอเผชิญอยู่เป็นความจริง

“คุณท่านเจ้าขา บ่าวว่า...” นางพุดหยุดพูดไปเมื่อเห็นสายตาเกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย

“เจ้าออกไปก่อนไป นางพุด”

บ่าวผู้จงรักภักดีทำตามอย่างไม่อิดออด รีบคลานเข่าออกจากห้องไปแต่โดยดี จากนั้นผู้เป็นนายจึงหันมาจับมือของเธอแล้วเอ่ยปลอบประโลม

“แม่ว่าเจ้านอนสักงีบเถิด”

“แม่? คุณน้าเป็นแม่ของฉันหรือคะ”

“แม่พลอย เจ้าเป็นอะไรไปรึ...หลังจากฟื้นไข้เจ้าก็ทำเหมือนจำอะไรไม่ได้ แถมถ้อยคำของเจ้าก็ช่างแปลกหูนัก” ผู้ที่แทนตัวเองว่าเป็นแม่ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม คิดว่าหายจากไข้คราวนี้ลูกของตนอาจถึงขั้นวิปลาสไปเสียแล้วกระมัง

“โธ่...แม่พลอย เจ้าเพิ่งจะแปดขวบเท่านั้น” พูดเจือเสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน จนต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าที่คาดเอวไว้ออกมาซับ

แปดขวบ! เธอน่ะหรืออายุแปดขวบ!

พลอยรุ้งกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรกับชีวิตดี...หากนี่เป็นความฝัน เธอคงตื่นขึ้นมาในไม่ช้า

แต่ถ้าไม่ใช่...แล้วเกิดปาฎิหาริย์อะไรกัน เหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่ได้...มันเป็นเมืองลับแลหรือที่ไหนกันแน่

พลันที่คิดมาถึงตรงนี้ คำอธิษฐานที่เธอเคยอธิษฐานไว้ก็ผุดขึ้นมาในหัว พลอบรุ้งใจเต้นแรง เมื่อเริ่มเดาได้แล้วว่าบางที...คำอธิษฐานของเธออาจเป็นจริง

หญิงสาวเลียริมฝีปากแตกระแหงของตนเองก่อนร้องขอกระจก สตรีผู้นั้นสูดจมูกฟุตฟิต ก่อนเอื้อมมือคว้ากระจกตั้งโต๊ะที่ล้อมกรอบด้วยไม้ที่สลักลวดลายวิจิตรจากโต๊ะทรงเตี้ยข้างหัวเตียงมายื่นให้ พลอยรุ้งยื่นมืออันสั่นระริกออกไปรับ เอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนค่อยๆตั้งกระจกขึ้น

ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของเธอแทบหยุดเต้น

เด็กผมจุกในกระจกคือใครกัน...คือเธออย่างนั้นหรือ?!

ใบหน้ากลมป้อมซีดเซียวอิดโรย ดวงตาอ่อนแสง ริมฝีปากหลุดลอกเป็นขุยๆ ถึงกระนั้นผมของเธอก็ถูกมวยไว้เป็นอย่างดี แถมมีดอกมะลิรัดโดยรอบส่งกลิ่นหอมจรุงอีกด้วย แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นปานแดงขนาดเท่านิ้งหัวแม่มือตรงแก้มซ้ายใกล้ๆกับกกหูของเธอ

นี่หรือ...แม่พลอย

แม่พลอยที่วิญญาณของเธอเข้ามาอยู่แทนที่ แล้ววิญญาณของเด็กคนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้วเล่า...

มือของเธออ่อนแรงจนไม่อาจจับกระจกไว้ได้ หญิงสาวปล่อยมันร่วงหล่นบนเตียง ขณะที่ผู้เป็นแม่รีบฉวยมันมาถือไว้ วางที่เดิม แล้วลูบศีรษะเธออย่างแสนรัก

“นอนสักตื่นเถิดแม่พลอย...พอตื่นขึ้นมา อะไรๆคงจะดีขึ้น”

ประโยคหลังดูเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าพูดให้เธอฟัง พลอยรุ้งเองไม่ได้คัดค้าน เธอเอนตัวลงนอนแต่ไม่ได้หลับตา ยังคงมองสบดวงตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายแน่วนิ่ง

“พลอย...ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ”

“ว่ามาซิ เจ้าจะถามอะไรแม่รึ”

“ตอนนี้พลอยกำลังอยู่ในแผ่นดินรัชกาลที่เท่าไหร่คะ”

คิ้วเรียวโค้งขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพลันตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นก็ตอบออกไปว่า

“ปีนี้เป็นปีที่ ๑๙ ในแผ่นดินรัชกาลแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์”

...เป็นไปได้หรือ คำอธิษฐานของเธอเป็นจริง! เธอได้มาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนหนึ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจริงๆน่ะหรือ!

พลอยรุ้งปิดเปลือกตา บอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกเช่นไร...ใจหนึ่งตื่นเต้น อีกใจหนึ่งกลับกังวลสารพัด

หญิงสาวทอดถอนใจอย่างคิดไม่ตกว่าชีวิตของตนเองต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร...ลืมตาตื่นอีกครั้งในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หรือต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างเด็กที่ชื่อพลอยคนนี้จวบจนชีวิตจะหาไม่



พรหมบันดาลฤาชะตาฟ้าลิขิต

เปลี่ยนชีวิตดังคำอธิษฐาน

นำเธอย้อนกลับไปในวันวาน

จดจำจารชีวิตใหม่นิจนิรันดร์


############################################


...ไงล่ะอุตริอธิษฐาน เป็นจริงขึ้นมาแล้ว จะทำยังไงต่อไปเนี่ยยย ><


ปล...หนึ่งในหทัย มี e-book แล้วนะคะ
ไปโหลดกันได้ที่นี่ค่า http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=3537

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ

ศศิภา



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มี.ค. 2556, 07:49:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2556, 01:35:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 3361





   บทที่ ๒ >>
เคสิยาห์ 16 มี.ค. 2556, 08:54:56 น.
้้น้า กับ ย่า ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ ย่าคือแม่ของพ่อ พ่อแม่นางเอกหย่ากัน พ่อเอาแม่ของตัวเองมาฝากไ้ว้กับครอบครัวอดีตภรรยา ให้น้องของอดีตภรรยาเลี้ยงดู มันออกจะแปลกไปหน่อยนา หรือน่าจะเป็นยายคะ


ศศิภา 16 มี.ค. 2556, 10:02:45 น.
คุณเคสิยาห์ : แหะๆ คนเขียนเบลอค่าา แก้ไขแล้วเรียบร้อย ขอบคุณนะคะ ^/\^


เคสิยาห์ 16 มี.ค. 2556, 10:23:49 น.
ค่าาาา ทำการบ้านได้ดีนะคะ เรื่องตายักษ์กะตัวเปี๊ยก ในการรบ ข้อมูลและสำนวนการเขียนทำให้เห็นภาพ ทำได้ดีทีเดียว เอ๊ยหลายที ค่ะ


หมูอ้วน 16 มี.ค. 2556, 15:01:24 น.
ชอบค่ะชอบ มาอัพบ่อย ๆ นะค่ะ


Zephyr 16 มี.ค. 2556, 18:59:47 น.
ว้าว แรงบันดาลใจจากน้องเมย์ น้าวี ป่าวคะ ปนกะบ่วงบาป 5555
น่ารักจังค่ะ พระเอกจะเลี้ยงต้อยอีกคนมั้ยคะ เหมือนตายักษ์ อิอิ
รอจนโต เอ หรือกลับอนาคตได้
แต่ดูสภาพเธอแล้วร่างในอนาคตคงเยินใช้ได้ทีเดียว
รอลุ้นต่อค่ะ หุหุ ว่าพระเอกจะเปิดตัวยังไง


icewinter 21 มี.ค. 2556, 14:29:48 น.
รออ่านต่ิไปค่ะ


แพม 12 เม.ย. 2556, 09:30:02 น.
แล้วร่างปัจจุบันล่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account