ฤๅพรหมอธิษฐาน[จบแล้ว]
จารจำ ความหลัง ฝังจิต จารจิต ความรัก ที่มาดหมาย จารจด ความผูกพัน มิเสื่อมคลาย ใจสลาย จำพราก รักนิรันดร์
Tags: โรแมนติก พีเรียด

ตอน: บทที่ ๒

คุณเคสิยาห์ : ขอบคุณสำหรับการทักท้วงค่า /\
หมูอ้วน : ดีใจที่ชอบค่ะ
Zephyr : ฮ่าา รู้สึกคนเขียนจะชอบให้พระเอกเลี้่ยงต้อยอยู่เรื่องเลยอ่ะค่ะ ><

ผิดพลาดตรงไหน ขออภัยล่วงหน้านะคะ T^T

--------------------------------------------------


วันเสาร์ เดือน ๘ จุลศักราช ๑๑๖๓ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๔๔ ในแผ่นดินปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พลอยรุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างเด็กคนหนึ่ง...ได้ย้อนเวลามาอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นดังคำอธิษฐาน ในเวลานั้นได้มีการย้ายราชธานีจากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามาแล้ว ๑๙ ปี พระนครจากที่เคยรกร้างเริ่มคึกคักมากขึ้น มีผู้คนต่างชาติต่างภาษาเมื่อครั้งหนีจากกรุงเก่ามายังสมัยกรุงธนบุรีจนมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งหลักปักฐานอยู่เป็นจำนวนมาก

เท่าที่พลอยรุ้งจำได้...เดิมทีบริเวณพระบรมมหาราชวังเป็นที่อยู่ของชาวจีน รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯให้ย้ายชาวจีนไปอยู่ที่คลองวัดสามปลื้มหรือคลองวัดสามเพ็งซึ่งเรียกกันว่าสำเพ็งในปัจจุบันนี้ จากนั้นจึงได้มีการสร้างพระราชวังหลวงโดยเริ่มดำเนินการในวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๒๕ และเสร็จสมบูรณ์หลังจากนั้นสามปี

สองวันผันผ่านนับจากวันที่พลอยรุ้งได้สติ หญิงสาวเอาแต่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่พูดคุยกับใคร จนบ่าวไพร่ในเรือนต่างนึกว่าเธอผีเข้าหรือไม่ก็สติวิปลาสไปเสียแล้ว นางพุด...บ่าวรับใช้คนสนิทของคุณผู้หญิงในเรือนหลังนี้ ด้วยความที่อยู่รับใช้มานานถึงกับเสนอความเห็นว่าน่าจะนิมนต์พระมาพรมน้ำมนต์ให้กับเธอ ทว่า...คุณผู้หญิงกลับเอ็ดตะโรเข้าใส่ แถมโมโหเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่โต

พลอยรุ้งใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน หลังจากแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่พานพบมิใช่ความฝัน และเธอคงต้องอยู่ในร่างเด็กสาวคนนี้ไปอีกสักระยะ...จะนานแค่ไหน พลอยรุ้งก็คาดเดาไม่ได้ อาจจะหนึ่งเดือนหรือสองเดือนตามที่เธอได้อธิษฐานไว้ หรืออาจจะนานกว่านั้นก็สุดรู้ ดังนั้นตอนนี้การเอาแต่นอนอยู่ในห้องมืดทึบเช่นนี้ไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลยสักนิด...วันรุ่งขึ้น เธอจึงลุกจากเตียง และเริ่มซักถามนางพุดซึ่งคอยดูแลใกล้ชิดไม่ยอมห่างในเรื่องที่สงสัย

แม้นางพุดจะมองเธอด้วยสายตาตื่นตระหนก หากด้วยความเป็นคนช่างเล่า และคิดว่าคุณหนูของนางเพิ่งฟื้นจากไข้ อาจจะยังจำอะไรไม่ได้มากนัก...ถ้อยคำมากมายจึงพรั่งพรูออกมาจากปากอย่างไม่ต้องเค้นถามให้มากความ

ในวันนั้นพลอยรุ้งก็ได้รู้ว่าเรือนหลังนี้เป็นของพระยาสุรศักดิ์เสนาผู้รับราชการในกรมวัง ภรรยาเอกของท่านคือท่านผู้หญิงลำดวน มีธิดาคือคุณหนูพลอย อายุแปดขวบ ส่วนภรรยารองของท่านชื่อเพ็ญ อาศัยอยู่เรือนหลังเล็กกับธิดาที่ชื่อคุณหนูทับทิมซึ่งอายุไล่เลี่ยกับเธอ อ่อนกว่าเพียงสองเดือนเท่านั้น

คนเล่าหยุดครู่หนึ่งเพื่อคายน้ำหมากลงในกระโถนใบเล็กที่วางไว้ข้างตัวเสมอ นางพุดสูดลมหายใจ ดึงผ้ามาซับตรงมุมปากสองข้าง ก่อนเล่าต่ออย่างลืมตัวว่าไม่เป็นเพียงบ่าว ไม่ควรนินทานาย

นางพุดบอกกับเธอว่าเรือนใหญ่กับเรือนเล็กไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร...เมียหลวง กับเมียน้อย ไม่ว่ายุคสมัยไหนคงไม่มีทางญาติดีกันได้หรอก

พลอยรุ้งนั่งนิ่ง กะพริบตาจ้องหน้านางพุด รอคอยให้อีกฝ่ายเล่าต่อ ทว่า...คนตรงหน้ากลับนั่งนิ่งเงียบ แถมยังเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียอย่างนั้น

“หิวหรือยังเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะเรียกนางอ่อนยกสำรับมาให้”

ตะวันเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ขับไล่ราตรีมืดสลัวให้หมดไป ถึงกระนั้นในหัวใจของพลอยรุ้งก็ยังทึมเทาอยู่นั่นเอง

“ท่านผู้หญิง...” พูดออกไปแล้วก็พลันนึกได้ว่าเธอคือแม่พลอย ลูกสาวของสตรีผู้นั้น จึงเปลี่ยนคำพูดไปว่า “...คุณแม่ไปไหนแต่เช้าคะ”

คำพูดที่ดูแปร่งหูทำให้นางพุดยิ้มจืดเจื่อนในหน้า ปลอบใจตัวเองว่าคุณหนูเพิ่งจะฟื้น จึงได้พูดอะไรผิดแผกไปจากปกติ รออีกสักสองสามวันนางคงจะได้คุณหนูคนเดิมกลับมา

“ไปวัดเจ้าค่ะ”

พลอยรุ้งพยักหน้ารับรู้ ก่อนซักไซ้ไล่เลียงนางพุดต่อไปว่า

“เล่าเรื่องเรือนใหญ่ เรือนเล็กต่อซิ พี่พุด”

“ไม่ควรเจ้าค่ะ”

“ไม่ควรยังไง แค่เล่า...จะเป็นไรไป!”

นางพุดได้แต่ขมวดคิ้ว แล้วยิ้มแหยๆอวดฟันดำขลับ

“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ” พลอยรุ้งเห็นท่าว่าตอนนี้คงซักไม่ได้ จึงนิ่งเสีย ส่วนนางพุดนั้นเอ่ยต่อไปว่า “คุณหนูคงหิวแล้ว บ่าวไปเรียกนางอ่อนให้ยกสำรับมาให้ก่อนนะเจ้าคะ”

จากนั้นก็คลานเข่าจากไป ไม่นานนักสตรีร่างบางอายุอานามคงประมาณสิบแปดสิบเก้าก็คลานเข่าพร้อมกับยกสำรับมาวางบนโต๊ะข้างเตียง สำรับนั้นประกอบด้วยข้าวสวยและผักสดในจานกระเบื้อง น้ำพริกในถ้วยเล็ก วางเคียงข้างกับปลาทอด พลอยรุ้งรู้อยู่แล้วว่าสมัยนี้ไม่มีใครใช้ช้อนในการรับประทานอาหาร หญิงสาวจึงไม่ได้ตกใจอะไรนัก เพียงแต่...กังวลว่าการ ‘เปิบ’ นั้นควรทำเช่นไร

ร่างเล็กก้าวลงจากเตียง ทรุดกายลงนั่งบนพื้น แต่แทนที่จะพับเพียบกลับนั่งขัดสมาธิจนนางพุดยกมือทาบอก

“ตายแล้ว คุณหนูเจ้าคะ นั่งอย่างนี้ไม่งามเลยเจ้าค่ะ”

เธอก้มลงมองตัวเองแล้วไหวไหล่ ความที่ไม่ค่อยได้ทานอะไรมานาน ทำให้กระเพาะร้องโครกครากจนไม่อยากถกเถียงหรือทำดื้อด้านกับคำว่าไม่งามนั้น พลอยรุ้งรีบเปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งพับเพียบ พร้อมกับจุ่มนิ้วลงในขันน้ำที่นางพุดเตรียมให้สำหรับล้างมือ แล้วเช็ดมือกับผ้าสีขาวผืนเล็กที่นางพุดยื่นให้ ก่อนจะหยิบปลาทอดชิ้นเล็กใส่ปาก เคี้ยวกรุบกรับเสียงดัง ผลก็คือนางพุดบอกว่าไม่งามเป็นคำรบสอง หากหญิงสาวหาได้สนใจไม่ เธอค่อยๆหยิบกระเจี๊ยบเขียวจิ้มลงในน้ำพริกถ้วยนั้น แล้วนำมาใส่ปาก...น้ำพริกที่ว่ารสชาติไม่จัดจ้านเอาเสียเลย แต่ก็เหมาะสมดีแล้วสำหรับให้เด็กรับประทาน

พลอยรุ้งรับประทานแต่กับไม่ได้แตะข้าวสวยเลยแม้สักคำ จนนางพุดต้องคะยั้นคะยอ

“รับประทานแต่กับไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูพลอย”

หญิงสาวในร่างเด็กแปดขวบหันไปมองหน้าบ่าวของตน แล้วยักไหล่ ก่อนจะใช้มือทั้งห้าหยิบข้าวก้อนหนึ่งใส่ปาก ผลคือข้าวก้อนนั้นร่วงหล่นบนจานไปเสียเกือบครึ่ง นางพุดที่ลอบสังเกตไม่คลาดสายตาถึงกับอุทาน

“คุณพระ!”

...คุณหนูพลอยของนางหลับไปเสียนานจนใช้มือไม่ถนัดแล้วหรือไร!

พลอยรุ้งพอจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของนางพุดอยู่บ้าง จึงพูดออกไปว่า

“ฉัน...เอ่อ พลอยหลับไปนานจนใช้มือทานไม่ค่อยถนัดน่ะ พี่พุด” เจ้าตัวทานต่อไป พร้อมกับถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า

“ปกติ พลอยทานอาหารในห้องทุกวันหรือคะ”

“เจ้าค่ะ คุณหนูจำไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ”

“ก็พลอยเพิ่งฟื้นนี่นา”

นางพุดระบายลมหายใจยาว ก่อนเริ่มเล่าต่อไปว่า

“คุณหนูไม่ค่อยชอบออกไปไหนมาไหนหรอกเจ้าค่ะ ร่างกายก็อ่อนแอ เจ็บออดๆแอดๆมาแต่ไหนแต่ไร หนักสุดก็คราวนี้แหละเจ้าค่ะที่จับไข้หาสาเหตุไม่ได้ร่วมสิบกว่าวัน บ่าวคิดว่าคง...” เจ้าตัวหยุดพูดเพียงแค่นั้น ก่อนเอ่ยต่อว่า “...คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเหลือเกินเจ้าค่ะ ในที่สุดคุณหนูของบ่าวก็หายไข้เสียที”

พลอยรุ้งเคี้ยวข้าวไปพลาง คิดไปพลาง เด็กคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนเก็บตัว และขี้อาย ยิ่งมีปานแดงที่เห็นชัดเจนอยู่ที่แก้มซ้ายด้วยแล้ว อาจกลัวว่าจะถูกคนอื่นล้อ จึงหาทางออกด้วยการหลบลี้หนีหน้าผู้คนเสีย หนำซ้ำร่างกายยังอ่อนแอ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งบ่าวไพร่คงประคบประหงมจนเกินพอดีเลยกระมัง

ใช้เวลาอีกพักใหญ่ คนตัวเล็กก็อิ่มแปล้ นั่งท้าวมือไว้ข้างหลังแล้วลูบท้องด้วยท่าทางที่ทำให้ผู้เป็นแม่ซึ่งเพิ่งกลับมาจากวัดต้องยกมือทาบอกพลางขมวดคิ้ว ด้วยท่าทางอันแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ใช่วิสัยของแม่พลอยลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอเลยแม้แต่น้อย

“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง แม่พลอย”

นางอ่อนเข้ามายกสำรับไปเก็บ ส่วนเธอเข้าไปนั่งพับเพียบตรงหน้าท่านผู้หญิงซึ่งทรุดกายลงนั่งบนเตียง

“ดีขึ้นแล้วค่ะ...เจ้าค่ะ” เจ้าตัวพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะใช้คำพูดแบบคนสมัยก่อน อย่างน้อยๆในระกว่างนี้เธอจะได้ไม่ต้องถูกมองว่าเป็นคนเสียสติ

“หวังว่าเจ้าจะไม่จับไข้อีกนะ...” เอ่ยพลางแตะหลังมือกับหน้าผาก เมื่อพบว่าไม่มีไข้แล้วจึงพยักหน้าอย่างพอใจ ตอนนั้นเองที่พลอยรุ้งนึกอยากออกไปเดินสำรวจรอบอาณาเขตบ้านเรือนไทยหลังนี้ ด้วยอยากให้สมองปลอดโปร่งจะได้คิดหาทางกลับบ้านได้

ชั่วขณะหนึ่งพลอยรุ้งนึกถึงวิธีกลับบ้าน...หากจะกลับไปได้ เธออาจต้องได้รับอุบัติเหตุเหมือนก่อนจากมา ทว่า...การจะกระโดดให้รถชน คงไม่มีทางเป็นไปได้ ด้วยที่นี่สัญจรกันทางน้ำ ผู้คนมีวิถีชีวิตผูกพันกับน้ำไม่เหมือนสมัยของเธอที่มีแต่ถนนซอยเล็กซอยน้อยมากมาย ดังนั้น ถ้ารถชนไม่ได้ ก็คงต้องให้เรือชนกระมัง

แม้รู้ว่าความคิดนั้นไร้สาระ...หากก็ใช่ว่าจะเป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวจึงตัดสินใจจะหาคลองสักคลอง กระโดดลงไปลอยคออยู่ในนั้นแล้วรอให้เรือมาชน หรือไม่เธอก็จะว่ายชนเรือลำนั้นเอง

คิดได้ดังนั้น พลอยรุ้งจึงวางมือลงบนต้นขาของท่านผู้หญิงลำดวน บีบนวดอย่างเอาใจ ก่อนเอ่ยออดอ้อนว่า

“คุณแม่เจ้าขา ลูกอยากออกไปเดินเล่นบ้างเจ้าค่ะ...คลองที่ไหลผ่านบ้านเราเงียบสงบดีไหมเจ้าคะ”

“เงียบมาก แม่พลอย ท่าน้ำบ้านเราไม่ค่อยมีเรือผ่านไปมาหรอก”

เช่นนั้น...การรอให้เรือมาชนคงเป็นไปได้ยาก หญิงสาวหน้าสลดลงเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะออดอ้อนอีกว่า

“คุณแม่เจ้าขา ถ้าลูกอยากไปเที่ยวตลาด คุณแม่จะอนุญาตไหมเจ้าคะ”

ผู้เป็นแม่เลิกคิ้ว ก่อนมุมปากจะยกขึ้นเล็กน้อย

“เป็นครั้งแรกที่เจ้าขออนุญาตแม่ออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง”

คนเป็นลูกไม่ได้ว่ากระไร ทำเพียงยิ้มกว้าง แล้วมองคนตรงหน้าด้วยประกายตาแห่งความหวัง

“เอาไว้ให้เจ้าหายดีก่อนไม่ดีกว่ารึ”

“ลูกหายดีแล้วเจ้าค่ะ”

คนเป็นแม่ ไม่ว่าจะใจแข็งปานใดก็อดใจอ่อนกับลูกน้อยไม่ได้ ท่านผู้หญิงลำดวนระบายลมหายใจยาว ใจหนึ่งนึกดีใจที่แม่พลอยอยากออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง หากอีกใจหนึ่งกลับเป็นกังวลนัก ด้วยหลังจากฟื้นไข้ ลูกสาวของเธอก็ดูแปลกไปอย่างน่าประหลาด

“เช่นนั้น แม่จะบอกให้พี่บวรของเจ้าพาไปเที่ยวก็แล้วกัน”

“พี่บวร?”

“ก็คนที่เคยพาเจ้าไปเที่ยวแถวคลองวัดสามปลื้มเมื่อตอนเจ้าอายุห้าหกขวบอย่างไรเล่า เจ้าจำไม่ได้แล้วรึ...เห็นชมไม่ขาดปากว่าไปเที่ยวกับพี่เขาสนุกนัก”

วันนั้นพลอยรุ้งซักถามนางพุดจนได้ความว่า...พี่บวรคือขุนบวรฤทธิเดช เป็นลูกชายของพระยาพิทักษ์บริรักษ์ซึ่งสนิทกับเจ้าคุณพ่อของเธอ เมื่อรับรู้แล้ว...ความสนใจของเธอในตัวพี่บวรก็จบสิ้นลงเพียงเท่านั้น ด้วยหญิงสาวกังวลกับเรื่องของตัวเองมากกว่า

พลอยรุ้งไม่แน่ใจว่าวิธีกลับบ้านที่ตนเองคิดจะทำให้เธอลืมตาตื่นในร่างของตัวเองได้หรือไม่ แล้วแม่พลอยจะเป็นอย่างไรต่อไป...บางทีเด็กคนนี้อาจต้องจากครอบครัวไปตลอดกาลก็เป็นได้ หรือถ้าโชคดี วิญญาณแม่พลอยอาจได้กลับเข้าร่างเดิม และมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างยืนยาวก็เป็นได้

อย่างไร...ก็ต้องลองดูกันสักตั้งล่ะน่า

หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้พบเจอกับขุนบวรฤทธิเดชทุกลมหายใจเข้าออก คิดว่าคงต้องรออีกหลายวัน ทว่า...รุ่งเช้าวันถัดมา เธอก็ได้พบกับเขา




เช้าวันนั้นพลอยรุ้งกำลังเดินเล่นรอบเรือนไทยหลังใหญ่ ชื่นชมพรรณไม้นานาพันธ์ที่รายล้อมโดยรอบและมอบความเย็นชื่นให้กับผู้อาศัย ไม่เหมือนกับบ้านของชาวกรุงเทพในสมัยนี้ที่มีแต่ป่าคอนกรีต นับแต่ฟื้นขึ้นมาหญิงสาวได้พบหน้าพระยาสุรศักดิ์เสนาเพียงสองครั้ง แต่ก็เพียงชั่วขณะเท่านั้น ดูท่าแล้วท่านเจ้าคุณคงมีงานยุ่งมาก ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ดังนั้นเธอกับท่านจึงยังไม่ได้พูดคุยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะเสียที

พลอยรุ้งเดินทอดน่องคิดถึงเรื่องราวอันแปลกประหลาดของตนเองจนกระทั่งลืมเลือนความเศร้าเสียใจจากการถูกทรยศหักหลังของคนรักไปเสียสิ้น มานึกได้อีกทีก็ตอนนี้ น้ำตาของเด็กสาวรื้นขึ้นมาและเอ่อคลอจนเต็มเบ้า ยังดีที่นางพุดเอาแต่เดินตามหลังจึงไม่ทันได้เห็น

สายลมพัดโชยมาระลอกใหม่ทำให้หัวใจที่ร้อนรุ่มกึ่งเศร้าสร้อยค่อยบรรเทาเบาบางลง หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาวด้วยท่วงท่าราวกับมีเรื่องหนักอกหนักใจเป็นนักหนา สองเท้าเล็กพาเธอมาหยุดยืนตรงทางเดินปูอิฐที่ทอดสู่เรือนไทยหลังเล็กซึ่งยามนี้มีบ่าวไพร่ก้มหน้าก้มตาทำงาน รดน้ำ พรวนดินอยู่ทางด้านหน้าเรือน

บนระเบียงใกล้กับบันไดลงเรือน พลอยรุ้งเห็นเด็กสาวคนหนึ่งไว้ผมจุก แต่งกายไม่ต่างจากเธอกำลังเกาะระเบียงคุยเล่นกับเจ้านกที่อยู่ในกรงซึ่งแขวนอยู่ใกล้ๆ พลองรุ้งเพ่งมองอยู่นานจึงหันไปถามนางพุดซึ่งเดินตามหลังมาติดๆเพราะอยากแน่ใจ

“คนที่กำลังคุยกับนกนั่น...” ยังถามไม่จบประโยค คนช่างพูดก็ตอบขึ้นมาทันควัน

“คุณหนูทับทิมเจ้าค่ะ”

หญิงสาวทำเสียงรับรู้ในลำคอ เพ่งมองเด็กสาวผู้นั้นอยู่ครู่ จึงเบือนสายตาไปทางอื่น กระทั่งเห็นชายผู้หนึ่งนุ่งผ้าม่วง[1] สวมเสื้อคอกลมผ่ากลาง ไว้ผมทรงมหาดไทยเดินตรงมาจากท่าน้ำมาตามทางเดินอิฐ มุ่งหน้าสู่เรือนหลังใหญ่ โดยมีบ่าววัยฉกรรจ์สองนายถือข้าวของเต็มสองมือเดินตามมาติดๆ


ครานี้...ยังไม่ทันที่พลอยรุ้งจะเอ่ยถามใดๆ คนที่เดินตามหลังมาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจจนเธอถึงกับสะดุ้ง


“ขุนบวรเจ้าค่ะ คุณหนู! ขุนบวรมาแล้วเจ้าค่ะ!”

นางพุดทำท่าดีอกดีใจราวกับเป็นคนเฝ้ารอให้ได้พบหน้าอย่างไรอย่างนั้น...ทั้งที่เธอเองต่างหากที่เฝ้าคอย แต่ก็ยังสงวนท่าที หยั่งเชิงดูก่อน

พลอยรุ้งยกมือกอดอก ลอบพิจารณาชายหนุ่มผิวขาว ตัวสูงผอม ท่าทางผึ่งผายผู้นั้นอย่างสนอกสนใจ ต่อเมื่อเขาเข้ามาใกล้จนสายตาของเธอสามารถมองเห็นได้ชัดเจน หัวใจของคนมองก็กระตุกวูบ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกตะลึง

เป็นได้อย่างไร!

เป็นไปได้หรือที่ขุนบวรฤทธิเดชผู้นี้จะมีหน้าตาอันคล้ายคลึงกับคนรักของเธอราวกับพิมพ์เดียว!

ร่างเล็กรีบหลับตาสั่นศีรษะ บอกตัวเองว่าเธอคงตาฝาด เพราะคิดถึงเขามากจึงสร้างมโนภาพขึ้นมาเองตามอำเภอใจ ทว่า...เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หัวใจของเธอก็ยิ่งกระตุกแรง ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างเพราะผู้ชายคนนั้นมานั่งยองๆตรงหน้า แล้วมองเธอด้วยแววตายินดียิ่งนัก

“แม่พลอย เจ้าหายดีแล้วรึ”

พลอยรุ้งได้แต่แต่กะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าขาวๆดูสะอาดสะอ้านนั้นอย่างุนงง ภาพของเขาซ้อนทับกับภาพของก้องภพจนแทบกลายเป็นภาพเดียวกันด้วยซ้ำไป!

นี่มันอะไรกัน!

หรือขุนบวรฤทธิเดชก็คือก้องภพในชาติก่อน...อย่างนั้นหรือ!

คำถามของเธอค้างอยู่ในหัวใจเช่นนั้น เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของใครคนหนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาจากเรือนหลังเล็กพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“พี่บวรเจ้าคะ”

“ว่าอย่างไรทับทิม...โตขึ้นมากเลยนะเจ้า”

ขุนบวรเอ่ยชมพลางวางมือลงบนศีรษะทุบสวย แล้วโยกเบาๆอย่างนึกเอ็นดู จากนั้นจึงทำแบบเดียวกันกับเธอ พลอยรุ้งไม่ได้สะบัดหนี แต่ก็ไม่ได้ยิ้มตอบรับเฉกเช่นทับทิมผู้ซึ่งตอนนี้กำลังเรียกร้องความสนใจด้วยการเข้าไปโอบกอดแขนล่ำสันของเขา แล้วออดอ้อนอย่างน่ารัก

“วันนี้พี่บวรจะพาทับทิมไปเที่ยวใช่ไหมเจ้าคะ”

“เจ้าอยากไปเที่ยวรึ”

“อยากเจ้าค่ะ พี่บวรพาทับทิมไปเที่ยวหน่อยนะเจ้าคะ อีกหน่อยทับทิมต้องเข้าไปอยู่ในวัง คงไม่มีโอกาสได้เที่ยวอีกแล้ว” ขุนบวรฤทธิเดชเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของเด็กสาวก็อดสงสารไม่ได้ ชายหนุ่มบีบจมูกเล็กของเธอเบาๆ

“ได้ไปเล่าไปเรียน ไม่ดีรึ”

“น่าเบื่อจะตายเจ้าค่ะ!”

ชายหนุ่มหัวเราะ แล้วหันมามองเด็กสาวอีกคนที่มักทำตัวเงียบขรึมอยู่เป็นนิจ วันนี้พลอยก็ยังเป็นพลอยคนเดิมนับแต่วันแรกที่เขาได้รู้จักเมื่อสามปีก่อน เด็กสาวคนนี้เป็นคนเลียบขรึม ซึมเซา พูดน้อย ไม่ค่อยชอบพบปะผู้คน โดยเฉพาะคนแปลกหน้า ขนาดเขาเองซึ่งเคยพบหน้าค่าตากันมามากกว่าสามครั้ง เด็กคนนี้ยังทำตัวห่างเหินได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

“แม่พลอยล่ะ จะเข้าวังพร้อมกับทับทิมหรือเปล่า”

คนถูกถามยังไม่ทันตอบ เสียงของท่านผู้หญิงลำดวนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“อ้าว พ่อบวร!”

คนถามยกผ้าเช็ดหน้าซับหมากก่อนเดินตรงมาหา

“เชิญขึ้นเรือน ดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเถิด”

แล้วทั้งหมดก็พากันขึ้นไปบนเรือนใหญ่ ยกเว้นทับทิมที่วิ่งกลับไปเรือนหลังเล็ก พลอยรุ้งมองตาม เริ่มเห็นรางๆแล้วว่าเรือนใหญ่กับเรือนเล็กไม่ค่อยถูกกันอย่างที่นางพุดว่าไว้จริงๆ

ร่างเล็กเดินตามร่างสูงขึ้นบันได แล้วทรุดกายลงนั่งเคียงข้างผู้เป็นแม่ ตอนแรกว่าจะนั่งขัดสมาธิ หากยังนึกได้จึงรีบเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งพับเพียบเรียบร้อยในทันที

“คุณแม่ให้กระผมนำผ้าไหมจากเมืองจีนมาฝากขอรับ”

บ่าวของขุนบวรฤทธิเดชรีบคลานเข่าเข้ามายื่นถุงผ้าสองถุงให้กับผู้เป็นนายก่อนรีบหลบฉากออกไป

“ฝากขอบใจท่านผู้หญิงท่านด้วยนะ พ่อบวร...ไว้วันหลังฉันจะให้แม่พลอยเอาของไปฝากตอบแทนบ้าง”

จากนั้นทั้งสองก็ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและคุยสัพเพเหระอยู่ครู่ ก่อนจะวกมาเรื่องเธอ

“กระผมว่าจะมาเยี่ยมหลายครั้งแล้วขอรับ แต่ติดราชการอยู่หลายวันทีเดียว เพิ่งจะว่างเอาตอนนี้เองขอรับ”

“ขอบใจพ่อบวรมากที่เป็นห่วงแม่พลอยของฉัน” ท่านผู้หญิงลำดวนเอ่ยพร้อมกับลูบศีรษะของเธออย่างแสนรัก “นี่ก็ไม่รู้ว่าจะป่วยออดๆแอดๆอีกเมื่อไหร่ ฉันล่ะห่วงนัก”

แล้วท่านผู้หญิงก็เท้าความไปไกลว่าลูกสาวของของท่านเจ็บมากี่ครั้ง ป่วยมากี่รอบ เป็นการปรับทุกข์เพื่อให้คลายความกังวล จากนั้นจึงเริ่มเกริ่นเรื่องที่เธออยากไปเที่ยว

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปนัก ฉันเองก็ไม่ไว้ใจใครเท่าพ่อบวรหรอก”

คำนั้นทำให้คนฟังยิ้มปลื้ม ชายหนุ่มเหลือบมองคนตัวเล็กที่ก้มหน้ามองพื้นครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า

“เอาไว้ให้หายดีกว่านี้ก่อนไม่ดีกว่าหรือขอรับ”

“พลอยหายแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวชิงตอบก่อนที่จะถูกห้ามไม่ให้ไป ขุนบวรฤทธิเดชถึงกับเลิกคิ้วอย่างแปลกใจนัก เพราะปกติแล้วแม่พลอยของเขานั้นไม่ใช่คนพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำและเต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้ เด็กสาวที่แสนขี้อายผู้นี้มักพูดเสียงเบา ดังอยู่แต่ในลำคออยู่เป็นนิจ...แล้วเหตุไฉนจึงเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาถึงเพียงนี้เล่า

“จริงๆนะเจ้าคะ พลอยแข็งแรงดีแล้วเจ้าค่ะ”

คำยืนยันเช่นนั้นทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองหันมาสบตากัน แล้วก็หัวเราะเบาๆในลำคอ

หลังผ่านพ้นเรื่องร้ายก็ดูเหมือนจะมีเรื่องดีเข้ามาทันตาเห็น

เด็กสาวที่ชอบเก็บตัวไม่พบปะใคร ยามนี้กลับกลายเป็นเด็กที่พูดจาฉะฉาน กล้าพูด กล้าสบตา และไม่กลัวคนแปลกหน้าอีกต่อไป

“ถ้าเช่นนั้น ไปกันตอนนี้เลยดีไหม พี่จะได้กลับมาส่งเจ้าก่อนเที่ยง เพราะตอนบ่ายพี่ติดราชการ”

“ดีเจ้าค่ะ ไปกันเลยนะเจ้าคะ”

พลอยรุ้งยิ้มกว้าง แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี แม้ว่าใบหน้าของขุนบวรฤทธิเดชจะเหมือนกับคนที่ฝากบาดแผลไว้ในหัวใจของเธอก็ตาม ทว่า...อย่างไรแล้วเขาก็ไม่ใช่ก้องภพ ไม่จำเป็นที่เธอจะทำปั้นปึ่งโกรธเคืองแต่อย่างใด สิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้คือหาทางกลับบ้านให้ได้

ป่านนี้ทั้งคุณยายมุก น้าเพชร และแม่นิ่มคงเป็นห่วงเธอจะแย่แล้ว

พลอยรุ้งได้แต่หวังอยู่ลึกๆว่าเธอในสมัยปัจจุบันจะยังคงมีชีวิตอยู่ มิได้หมดลมหายใจไปแต่อย่างใด



ก่อนออกจากบ้าน ขุนบวรฤทธิเดชไม่ได้แวะไปหาคุณเพ็ญที่เรือนเล็ก ดูท่าคุณเพ็ญเองก็ไม่ได้อยากต้อนรับอะไรนักจึงเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน มีแต่ทัมทิมที่ออกมาโบกมือเหยงๆ เมื่อชายหนุ่มตะโกนบอกว่าวันหลังจะมารับไปเที่ยว เด็กสาวก็หน้าม่อย รีบผลุบหายเข้าไปในเรือนทันควัน

ท่าน้ำหลังบ้านของพระยาสุรศักดิ์เสนาค่อนข้างสงบ เรือที่ผ่านคูคลองเล็กๆแห่งนั้นนานครั้งถึงจะผ่านมาสักลำ สายน้ำไหลเอื่อยตามแรงลมที่พัดแผ่วเบา หอบกลิ่นธรรมชาติโชยมาแตะจมูก ซึ่งเป็นกลิ่นสดชื่นที่เธอคงหาไม่ได้แม้แต่ในซอกหลืบของกรุงเทพมหานคร

หญิงสาวมองเรือลำเล็กที่ขุนบวรฤทธิเดชก้าวลงไปนั่งพร้อมกับยื่นมือออกมาให้เธอจับอย่างลังเลเล็กน้อย ตั้งแต่เกิดมาพลอยรุ้งเคยนั่งเรือแจวแบบนี้เสียเมื่อไหร่ มันดูโคลงเคลงจะล่มแหล่มิล่มแหล่จนเธอชักหวั่นเสียแล้ว

“ลงมาซิ แม่พลอย”

เมื่อได้ยินเสียงเร่งเร้า เจ้าตัวก็รีบตัดความกลัวในหัวใจออกไป วางมือเย็นเยียบลงบนมือใหญ่ สัมผัสนั้นอบอุ่นยิ่งนักจนหญิงสาวไพล่นึกไปถึงคนรักของตนอีกครา น้ำตาพลันรื้นขึ้นมาจนกะพริบถี่เร็ว รีบเบือนหน้าซ่อนรอยน้ำตา ก่อนจะก้าวลงเรือ ทรุดกายลงนั่งทางด้านหน้าของชายหนุ่ม จากนั้นนางพุดจึงก้าวขึ้นมานั่งเป็นคนสุดท้าย โดยนั่งอยู่หน้าสุด

เรือเบนออกจากท่าบ่ายหัวไปทางตะวันตก สักระยะหนึ่งถึงทางแยกซ้าย ขวา ฝีพายพายให้หัวเรือหันไปทางซ้าย ออกสู่คูคลองสายยาวที่กว้างกว่าคลองที่ไหลผ่านหน้าบ้านของเธอ หญิงสาวมองสองข้างทางเห็นบ้านเรือนไทยและแพเรียงรายกันไปเป็นแถว ดูแปลกตาและทำให้เธอจำไม่ได้เลยว่าที่นี่เป็นคลองสายใด กระทั่งขุนบวรฤทธิเดชไขความกระจ่างแก่เธอ

“เจ้ารู้หรือไม่ ที่นี่เรียกว่าคลองคูเมืองเก่า[2]” เด็กสาวพยักหน้ารับรู้ ก่อนซักถามต่อไปว่า

“พี่บวรจะพาพลอยไปที่ไหนเจ้าคะ”

“ตลาดอย่างไรเล่า”

“ตลาดที่ใดเจ้าคะ”

“ตลาดตรงคลองโอ่งอ่าง[3]น่ะเจ้า”

พลันที่ได้ยินชื่อตลาดแห่งนั้น พลอยรุ้งก็นึกย้อนไปถึงหนังสือหลายเล่มที่ได้อ่านว่าเคยเห็นชื่อคลองโอ่งอ่างผ่านตาหรือไม่ เพียงครู่เดียวเธอก็คลับคล้ายคลับคลาว่า...คลองโอ่งอ่างแห่งนี้เป็นตลาดค้าขายเครื่องดินเผาของชาวมอญและชาวจีน หากจะตรงตามที่เธอจำได้หรือไม่ คงต้องรอดูด้วยตาตัวเองเสียแล้ว

เมื่อมาถึง พลอยรุ้งก็พบว่าความจำของเธอนั้นดีเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อเห็นแพริมน้ำวางเครื่องปั้นดินเผาติดกันหลายร้าน โดยมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แต่งกายแบบจีน นุ่งกางเกงแพร ไว้หางเปียนั่งเรียกลูกค้ากันไม่ขาดปาก คลองแห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยเรือแจว บางคนเมื่อพบคนรู้จักก็จอดคุยกันกลางน้ำอยู่ครู่ ก่อนจะแจวผ่านกันไป

พลอยรุ้งหันมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ...ใครจะนึกว่าวันหนึ่งเธอจะได้มาเห็นวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดและผูกพันกับสายน้ำของขาวสยามด้วยดวงตาของตัวเอง มิใช่แค่มโนภาพเอาตามใจชอบแบบที่เคยทำอยู่เป็นประจำ

ทว่า...ในความโชคดี พลอยรุ้งต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่างมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติมิตรสหาย หน้าที่การงาน หรือแม้แต่ชีวิต

“แวะแพนี้หน่อยนะเจ้า พี่จะเลือกถ้วยไปฝากคุณแม่พี่สักหน่อย”

เสียงนั้นฉุดดึงให้เธอตื่นจากภวังค์ หญิงสาวรีบพยักหน้ารับอย่างไม่ขัดข้อง เพียงอึดใจฝีพายก็นำเรือเข้าเทียบ ส่งให้ผู้เป็นนายทั้งสามขึ้นไปบนแพ ส่วนตัวเองปักหลักนั่งเฝ้าเรืออยู่เช่นนั้น

พลอยรุ้งเดินตามคนนำเที่ยวขึ้นไปยังแพของชายหนุ่มชาวจีนผู้หนึ่งซึ่งยิ้มต้อนรับลูกค้าอย่างยินดี พร้อมกับอวดสรรพคุณสินค้าตนเองเป็นการใหญ่ หญิงสาวทำทีเป็นสนใจ หากแท้จริงแล้วกำลังกวาดตามองว่าจะหาโอกาสกระโดดลงไปในน้ำได้อย่างไร

คนที่เธอต้องเบี่ยงเบนความสนใจเป็นคนแรกเห็นจะเป็นนางพุด...ผู้เป็นทั้งบ่าวและพี่เลี้ยงที่ไม่เคยปล่อยให้เธอคลาดสายตาเลยแม้สักวินาที ร่างเล็กเอามือไพล่หลัง ครุ่นคิดด้วยท่วงท่าเหมือนผู้ใหญ่ ต่อเมื่อนางพุดหันมาเห็นจึงเอ่ยถาม

“ทำอันใดอยู่เจ้าคะ ไม่สนุกหรือเจ้าคะ”

“เปล่าจ้ะ พี่พุด” ว่าพลางก้าวเข้าไปชะโงกหน้ามองถ้วยและโอ่งดินเผาที่วางเรียบรายบนพื้น แล้วเปรยว่า

“พี่พุดว่าอันไหนสวยสุด”

นางพุดรีบกวาดตามอง หยุดสนใจแม่พลอยอยู่ครู่ ขณะที่ขุนบวรฤทธิเดชเองก็มัวแต่คุยกับเจ้าของร้านจึงไม่ได้สนใจว่าเด็กสาวที่มาด้วยกำลังเดินไปที่ริมแพ ฉวยโอกาสยามที่ใครต่อใครสนใจในเรื่องอื่น หันไปมองเรือแจวมากมายในลำคลอง บัดนี้มีเรือแจวลำหนึ่งกำลังพุ่งผ่านมาด้วยความเร็วที่...น่าพอใจ ในเสี้ยววินาทีกลั้นใจกระโดดตูมลงไปในน้ำ

ร่างเล็กจมดิ่งก่อนทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือน้ำ...คิดว่าศีรษะของตัวเองคงชนเข้ากับหัวเรือ กลางเรือ หรือตรงไหนสักแห่งของเรือ แต่เปล่าเลย เรือลำนั้นหยุดได้ทัน มันหยุดแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง!
พลอยรุ้งยกมือตบหน้าผากตนเอง ก่อนจะดำดิ่งลงไปในน้ำใหม่ ด้วยตั้งใจจะเปลี่ยนวิธีกลับบ้านเป็นการกลั้นใจในน้ำ โดยหวังว่าในยามที่อยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย วิญญาณของเธออาจหลุดจากร่างนี้แล้วกลับเข้าสู่ร่างเดิมก็เป็นได้

แต่ว่ากลั้นใจไปไม่ถึงห้าวินาทีเลยด้วยซ้ำ เมื่อมีมือมือหนึ่งกระชากตัวเธอขึ้นเหนือน้ำ แล้วเขย่าตัวเธออย่างแรงจนศีรษะของเธอสั่นคลอน ตอนนั้นพลอยรุ้งยังปิดตาไว้อยู่ รู้สึกว่าตัวเองสิ้นหวังเสียแล้วกลับการกลับร่างของตนเอง...บางทีอาจต้องรอให้พ้นสองเดือนไปก่อนตามคำอธิษฐาน บางทีตอนนั้นเธออาจจะได้กลับบ้านโดยไม่ต้องพยายามก็เป็นได้

โอย...ปวดหัว! ใครกันที่จับเธอเขย่าแรงแบบนี้เนี่ย!

ขุนบวรฤทธิเดชหรือไร!

พร้อมกับคำพร่ำบ่นในใจ หญิงสาวค่อยๆเปิดเปลือกตา ขณะที่คนช่วยเธอไว้กำลังร้องเรียกอย่างห่วงใย

“หนู หนู”

ภาพในคลองจักษุทำให้เธอเห็นเขาไม่ชัดเท่าไหร่หากก็พอบอกได้ว่าใบหน้าของเขานั้นดูคมเข้มแบบชายไทยแท้

เขาแบกเธอขึ้นไปบนแพ วางเธอนอนราบลงบนพื้น แล้วจับตัวเธอเขย่าอีกครั้ง คราวนี้พลอยรุ้งนิ่วหน้า ยกมือเช็ดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้า ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร นางพุดก็รีบเข้ามาประคอง ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายเสียให้ได้

“คุณหนู! คุณหนูพลอยของบ่าว! เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ!”

ร่างท้วมโอบประคองเธอแนบอก แล้วลูบศีรษะอย่างปลอบขวัญ

“ขัวญเอ๊ย ขวัญมา คุณหนูของบ่าว...ไม่เป็นไรแล้วนะเจ้าคะ”

พลอยรุ้งกะพริบตาถี่เร็วอีกครั้ง ภาพตรงหน้าจึงชัดเจนขึ้น ยามนี้คนที่อยู่ในคลองจักษุคือขุนบวรฤทธิเดชผู้คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วทอดสายตามองมาอย่างเป็นกังวล

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้า”

“ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”

หญิงสาวกวาดตามองหาคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนขัดขวาง ‘แผนการ’ ของเธอ แต่อย่างไรแล้วเธอก็ควรเอ่ยปากขอบคุณอย่างไม่ให้เสียมารยาท

ดวงตากลมโตตวัดมามองอีกข้าง จึงเห็นชายคนนั้นยืนเด่นเป็นสง่าจนเธอต้องแหงนมองคอตั้งบ่าเลยทีเดียว รูปร่างของเขาสูงใหญ่สมชายชาตรี การแต่งกายบอกชัดว่าคงเป็นขุนนาง และท่าทางการยืนอันสง่า ผ่าเผยก็บอกชัดว่าเขาคงเป็นลูกคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน

ร่างเล็กผละออกห่างจากอ้อมกอดของนางพุด แล้วยกมือพนม จรดปลายนิ้วกับหน้าผาก แล้วก้มศีรษะงดงาม

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

นางพุดเองก็หันมาละล่ำละลักขอบคุณเช่นเดียวกันทั้งที่ยังสะอื้นไห้ไม่หยุด กระทั่งชายคนนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง วางมือลงบนไหล่ของนางแล้วบีบเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ นางจึงเงยหน้าขึ้น แล้วดวงตาของนางก็เบิกกว้าง

“ขุนเทพ!”

“เจ้ารีบพานายของเจ้ากลับบ้านเถิด เปียกปอนไปหมดแล้ว...”

ประโยคท้ายหันมามองเธอ แล้วถือวิสาสะวางมือลงบนผมที่มวยไว้บนศีรษะ จับโยกเล็กน้อย ก่อนสั่งสอนว่า

“ทีหน้าทีหลังอย่ากระโดดลงน้ำแบบนี้อีกนะเจ้า อันตรายรู้ไหม”

“เจ้าค่ะ” เธอตอบรับไปตามมารยาท มองสบดวงตาคู่คมอยู่นานกระทั่งเขาเอ่ยประโยคถัดมา เธอก็แทบสะบัดหน้าพรืดด้วยความไม่พอใจ

“ไม่ได้พบกันหลายปี เจ้าโตขึ้นมากนัก หนูพลอย”

หนูพลอย! เฮอะ! อายุคงห่างจากเธอไม่เท่าไหร่ดันมาเรียกเธอว่า...หนู! ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน!

พลอยรุ้งเบือนสายตาไปมองนางพุด แล้วเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“คุณหนูจำไม่ได้หรือเจ้าคะ...ขุนเทพไกรศรที่อยู่ข้างบ้านเราอย่างไรเล่าเจ้าคะ...ตอนคุณหนูสามขวบ คุณหนูชอบให้ขุนเทพอุ้มอยู่บ่อยๆ”

หญิงสาวเบิกตากว้าง แม้แม่พลอยในตอนสามขวบจะไม่ใช่ตัวเธอ ทว่า...มันก็ทำให้เธอรู้สึกกระดากอายอย่างไรไม่ทราบได้

“มิเป็นไรดอก นางพุด ตอนนั้นนายของเจ้ายังเล็กมาก คงยังจำอะไรไม่ค่อยได้...ข้าเองก็ไปราชการที่พิษณุโลกเสียหลายปี กลับมาอีกที คุณหนูของเจ้าโตจนแทบจำไม่ได้เสียแล้ว”

พลอยรุ้งหันมาสบตาคมกล้าของขุนเทพไกรศร อุปาทานหรือไรไม่ทราบได้เมื่อรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว อีกทั้งคงจะแดงระเรื่อจนเรียกรอยเอ็นดูจากแววตาดุดันคู่นั้นได้

“กลับเถอะ พี่พุด” พูดรัวเร็ว รีบลุกขึ้นยืน แล้วก้าวลงไปนั่งในเรือเป็นคนแรก

ขุนบวรฤทธิเดชผงกศีรษะให้กับคนที่ช่วยชีวิตเธอเป็นเชิงลา ก่อนจะก้าวลงเรือตามมา

ฝีพายบ่ายหัวเรือออกจากแพลำนั้น เสื้อผ้าเธอเปียกชุ่มจนตัวสั่น ขุนบวรฤทธิเดชใจดีเอ่ยถามว่า

“หนาวไหมเจ้า”

ถ้าตอบว่าหนาว แล้วเขาจะกอดเธอหรืออย่างไร...เพียงแค่คิดเจ้าตัวก็ส่ายหน้าดิกแล้ว พลอยรุ้งเลือกกอดตัวเองยังจะดีเสียกว่า!

ร่างเล็กเหลียวไปมองคนข้างหลัง แล้วตอบชัดถ้อยชัดคำว่า

“ทนได้เจ้าค่ะ”

จังหวะที่กำลังจะตวัดสายตากลับมา เธอเห็นขุนเทพไกรศรยืนเอามือไพล่หลังทอดสายตาจับจ้องมา...จะจ้องด้วยเหตุผลกลใด พลอยรุ้งไม่รู้หรอก...รู้แค่ว่ายามเมื่อหันกลับมามองคูคลองเบื้องหน้า แผ่นหลังของเธอก็ร้อนวูบวาบอย่างไม่มีเหตุผล...

บางที...เธอคงจับไข้อีกคราเสียแล้วกระมัง!


[1] ผ้าม่วง = ผ้าที่มีเนื้อเป็นแพรไหมละเอียด คนจีนเรียกว่าหม่อง มีหลายสี เช่น สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน สมัยก่อนเป็นผ้าที่ขุนนางสวมเวลาเข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ใช้สวมไปทำงานในกระทรวงและสวมไปในพิธีต่าง ๆ ผ้าม่วงนี้จะมีสีหนึ่งที่ใช้เฉพาะพระเจ้าอยู่หัวคือสีแดง เช่น ผ้าทรงโจงสีแดงจะใช้เฉพาะพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น สามัญชนธรรมดาไม่สามารถใช้ได้ ระยะต่อมาผ้าม่วงหมายถึงผ้าที่นุ่งเป็นโจงกับเสื้อราชประแตน ทอในไทยก็มากเช่นผ้าหางกระรอกที่ทอในหลายจังหวัด และไม่จำเป็นต้องเป็นสีพื้นแล้ว ส่วนความหมายตามพจนานุกรม ผ้าม่วงคือ ผ้าไหมสำหรับผู้ชายนุ่ง มีสีม่วงครามหรือม่วงชาดเป็นต้น


[2] สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดฯ ให้ย้ายราชธานีมาตั้งที่ฝั่งบางกอกหรือฝั่งตะวันออก พระองค์ก็ทรงให้ขุดคูเมืองเพิ่ม เพื่อขยายราชธานีออกไป ดังนั้นคลองคูเมืองที่ขุดตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าตากสินในสมัยกรุงธนบุรีจึงมิได้ถูกนำมาใช้งานป้องกันข้าศึกอีก จึงได้แปรเปลี่ยนมาเป็นเส้นทางสัญจรของชาวบ้านไป ปัจจุบันคลองคูเมืองเก่า หรือคลองคูเมืองเดิม พากันเรียกว่า ‘คลองหลอด’

[3] คลองบางลำพูกับคลองโอ่งอ่างความจริงแล้วเป็นคลองเดียวกัน คือ เป็นคลองคูพระนครทางด้านนะวันออก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯ ให้เกณฑ์เขมรจำนวนหนึ่งหมื่นคน ทำการขุด โดยขุดทะลุแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบางลำพู มาออกแม่น้ำเจ้าพระยาข้างวัดตีนเลน หรือวัดเชิงเลน(ปัจจุบัน คือ วัดบพิตรพิมุข) ยาว 45 เส้น 13 วา กว้าง 10 วา ลึก 5 ศอก พระราชทานนามว่า "คลองรอบกรุง"





ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ
ศศิภา




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มี.ค. 2556, 00:09:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มี.ค. 2556, 21:23:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2134





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓.๑ >>
หมีสีชมพู 17 มี.ค. 2556, 04:59:24 น.
ชอบเรื่องนี้ค่ะ ลงเรื่องนี้ต่อเลยนะคะ


หมูอ้วน 17 มี.ค. 2556, 06:01:12 น.
หนูพลอย ชาติที่แล้วแน่ ๆ เลย ฮิ..


Pat 17 มี.ค. 2556, 10:27:40 น.
พระเอกออกแล้ว


เคสิยาห์ 17 มี.ค. 2556, 12:25:19 น.
ผู้เขียนทำการบ้านได้ดีนะเจ้าคะ ข้อมูลถูกต้อง อิชั้นก็นึกว่า ขุนเทพ(วรากร) จาก ทวิภพมาเป็นพระเอกให้เสียอีกเจ้าค่ะ


Zephyr 17 มี.ค. 2556, 13:01:36 น.
พี่ขุนเทพ พระเอกช่ายม้าาาาาาาาาา
นายบวรนั่น จองเวรกันมาแต่ชาติปางก่อนเลยเหรอ
ทับทิมจะมีอะไรมั้ยนะ
อายุห่างกันเท่าไรคะ น่าจะ 12 ป่ะนะ
เดาว่า 8 ขวบ กะ 20 มากไปป่ะ


Auuuu 17 มี.ค. 2556, 21:25:10 น.
สนุกและได้ความรู้ด้วยยยยย :)))


คิมหันตุ์ 18 มี.ค. 2556, 00:27:06 น.
ขุนเทพ อิอิ


icewinter 21 มี.ค. 2556, 21:35:12 น.
พระเอกออกแล้ว


แพม 12 เม.ย. 2556, 09:40:24 น.
พระเอกรึ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account