เจ้าบ่าวค้างสต็อก by สลิลา

Tags: เจ้าบ่าว ,สต็อก ,โรแมนติก

ตอน: บทที่ 23

(สารภาพว่าเมื่อกี้ลงผิดเรื่องด้วยละ ไปคลิกเพิ่มตอนนิยายเรื่องเล่ห์วารีซะงั้น 5555555555555)


ทานข้าวกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นวินกับอุมารังสีออกไปข้างนอกด้วยกัน นัยว่า อุมารังสีไปถูกใจบ้านหลังหนึ่งเข้า แต่ติดว่าราคาแพงไปนิด จึงอยากให้นวินไปช่วยเจรจาต่อรองราคาให้

แต่ก่อนจะก้าวขึ้นรถ อุมารังสีก็ทิ้งคำพูดเอาไว้ให้วาณีต้องขบคิดหนัก

“มาถึงตอนนี้ พี่อยากให้วาณีคิดเรื่องความเหมาะสม...ที่จะอยู่ที่นี่...เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ พ่อของวาณีจะหายเป็นปกติแล้วมารับวาณีไปอยู่ด้วยได้”

“หนูคิดเรื่องการออกไปจากที่นี่ตลอดเวลาค่ะ พี่อุมา แต่ไม่ใช่ตอนนี้ หนูขอทำงานเก็บเงินก่อน ไหนจะเรื่องผู้ชายที่ชื่อนภดลนั่นอีก หนูคิดว่าสถานการณ์มันยังไม่โอ เค แน่ๆ อาวินจึงให้หนูแต่งตัวแบบนี้อยู่ ที่สำคัญ ตราบใดที่คุณอาคิดว่า หนูเป็นเมียน้อย เขาไม่มีทางปล่อยให้หนูออกไปอยู่ข้างนอกหรอกค่ะ เพราะเขากลัวว่าหนูจะไปทำให้ครอบครัวของพ่อเดือดร้อน”

“พี่ถึงบอกให้บอกความจริงกับอาวินซักทีไงจ๊ะ แล้วก็ขอร้องไม่ให้เขาบอกใคร แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

“เราจะแน่ใจได้ยังไงคะว่าเรื่องมันจะไม่บานปลาย อีกอย่างนะคะ หนูอยากให้พ่อเป็นคนพูดเรื่องนี้ด้วยตัวของพ่อเอง หนูก็อยากรู้เหมือนกันว่า เมื่อไรเขาจะกล้า นี่คือสิ่งที่หนูรอคอยกว่าอะไรทั้งหมดค่ะ”

“วาณียังดื้อเหมือนเดิม” อุมารังสีทำสีหน้าเหนื่อยใจ “ยังไงก็ตาม อย่ามัวแต่ดื้อและทำตามใจตัวเอง จนลืมคิดถึงว่าอะไรควรไม่ควรล่ะ”

เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากระโปรงของหล่อนกรีดเสียงดังขึ้น วาณีสะดุ้งน้อยๆ ก่อนล้วงหยิบมันออกมาดู ครั้นเห็นชื่อที่แสดงอยู่หน้าจอ คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันด้วยความประหลาดใจ

“คุณรัฐภูมิ...มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ” ที่ถามอย่างนั้น เพราะเมื่อตอนสายที่เขาโทรฯมาเรื่องงาน หล่อนได้บอกไปแล้วว่า ตอนนี้ไม่สะดวก

“ผมเพิ่งทราบเรื่องคุณกับคุณออม...” น้ำเสียงชายหนุ่มเครียดจัดทีเดียว “คุณเป็นยังไงบ้าง”

“เอ่อ...แล้วคุณทราบ...มากแค่ไหนคะ เอ้อ ฉันหมายถึง คุณออมเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างน่ะค่ะ” หล่อนอดกังวลเรื่องที่เมื่อสามเดือนตัวเองก่อนกลายเป็นคนสูญเสียความทรงจำไม่ได้

“เธอบอกว่า เธอเห็นเพลงที่ผมเขียนให้คุณ ก็เลยโกรธ แล้วก็ทำอะไรเกินกว่าเหตุไปหน่อย”

“แค่นั้นใช่มั้ยคะ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ครับ เอ๊ะ มีอะไรมากกว่านั้นหรือครับ”

“เอ่อ คุณรัฐคะ ฉันกับคุณ เรา...” แล้วหญิงสาวก็เงียบไปด้วยความลังเลว่าควรจะถามเรื่องที่ค้างคาในใจดีหรือเปล่า เรื่องความสัมพันธ์ของหล่อนกับเขาเป็นอย่างไรแน่

“น้ำเสียงคุณไม่สบายใจเลย น้ำเพชร มีอะไรหรือเปล่า...อย่าลืมว่า ผมไม่ใช่คนอื่นสำหรับคุณนะครับ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและอบอุ่นเสียจนวาณีอยากรู้ความจริงเร็วๆ เพียงแต่ หล่อนจะถามอย่างไร เขาถึงจะไม่สงสัยว่าหล่อนจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้ หล่อนจะไม่บอกเขาจนกว่าจะแน่ใจในความสัมพันธ์

“ขอบคุณค่ะ คุณรัฐภูมิ...เอ่อ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ ฉันอยากพบคุณ” ที่สุด หญิงสาวก็คิดว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเจอกันซึ่งหน้า ลอบสังเกตความรู้สึกและท่าทีของเขาด้วยตนเอง...เหนือกว่านั้น นับแต่ได้ยินชื่อเขา หล่อนก็รู้สึกว่ามีเรื่องบางเรื่องที่ต้องคุยกับเขา เพียงแต่นึกไม่ออก ซึ่งก็มีแต่เขาเท่านั้นที่จะบอกหล่อนได้

“น้ำเพชรจะมาหาผมหรือ” มีทั้งความประหลาดใจและความกระตือรือร้นอยู่ในกระแสเสียงนั้น “คุณอาของคุณยอมให้คุณออกนอกบ้านได้แล้วหรือ”

ตอนนั้น ‘คุณอา’ กักขังหน่วงเหนี่ยวหล่อนขนาดไหนกันนะ อยากรู้จริง!

“ค่ะ” วาณีบอกตัวเองว่า นับจากวันนี้ หล่อนจะไม่ทำตามคำสั่งของตาแก่บ้าอำนาจคนนั้นอีกแล้ว หล่อนจะไปในที่ที่หล่อนอยากไป จะทำในสิ่งที่อยากทำ เว้นแต่เรื่องการปลอมตัวเพื่อหนีนภดลเท่านั้น ที่หล่อนจำต้องทำตามความคิดของเขา เพราะเห็นแล้วว่าเป็นคำสั่งที่ทำให้หล่อนปลอดภัย และไม่ได้เกินกว่าเหตุแต่อย่างใด

“ผมอยู่ที่โรงงาน”

วาณีขอให้คนขับรถของนวินวาดแผนที่ให้ เพื่อจะเรียกแท็กซี่ไปเอง แต่ชะรอยคนขับจะได้รับคำสั่งจากเจ้านายเคร่งครัด นอกจากไม่วาดให้แล้ว เขายังอาสาเป็นสารถีให้ด้วย

“มันอยู่นอกเมือง ต้องขึ้นลงทางด่วนหลายรอบ คุณไปไม่ถูกแน่” คนขับผู้ก็รับรู้เรื่องที่หล่อนเคยความจำเสื่อมอธิบายเหตุผลของตน

วาณีถอนหายใจพรืด ดูเอาเถอะ เจ้าตัวไม่อยู่ แต่ก็ยังสามารถวางอำนาจกับหล่อนได้!

“ว่าแต่ คุณจะไปทำไมครับ วันนี้ส่วนของออฟฟิศไม่เปิดนี่ครับ” เขาถามขึ้นอย่างสงสัย

“ฉันนัดคุณรัฐภูมิไว้น่ะ...ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างค้างคืนกับเขาน่ะ”

“ค้างคาหรือเปล่าครับ คุณวาณี” พจน์ตาเหลือก ก่อนจะหัวเราะขำๆ “ค้างคืนน่ะ หมายถึง...การไปนอนค้างด้วยกันครับ” เขาพูดพลางเปิดประตูรถให้

คราวนี้วาณีเป็นคนตาเหลือก ก่อนทำหน้ามุ่ย “ตายแล้ว สงสัยฉันต้องเรียนภาษาไทยอย่างจริงๆ จังๆ แล้วละ”

พจน์ยังไม่ตอบอะไร เขาวิ่งอ้อมไปขึ้นรถ นั่งประจำที่แล้วพารถเคลื่อนออกพ้นรั้วบ้านแล้วนั่นละจึงเอ่ยว่า

“ความจริง คุณคล่องภาษาไทยมากขึ้นแล้วนะครับ เพราะช่วงหลังนี้ คุณวินช่วยสอนให้”

“ว่าไงนะ! ตาแก่ เอ๊ย คุณอาน่ะนะ สอนฉัน”

“ใช่ครับ คุณวินใช้เวลาระหว่างนั่งรถไปโรงงานคอยสอนให้คุณ ท่านให้ผมไปซื้อหนังสือแบบเรียนเขียนอ่านมาให้ แล้วยังเป็นคนสอนคุณท่องก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกด้วยนะ”

“เขาใจดีและใจเย็นถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง วาณีก็รำพึงออกมา

“ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองดูหนังสือตรงช่องเก็บของหลังเบาะตรงหน้าคุณสิครับ” พจน์เอี้ยวตัวมาบอก

มือเรียวทำตามคำสั่งนั้นทันที และสิ่งที่ติดมือหล่อนมาก็คือหนังสืออ่านเขียนอย่างที่คนขับบอก ซึ่งมีร่องรอยของการเปิดใช้งานมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง หญิงสาวค่อยๆ พลิกเปิดหน้าปก แล้วก็พบว่าตรงใบรองปกนั้น มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษและภาษาไทยเขียนด้วยดินสอเคียงกัน ภาษาอังกฤษนั้นเขียนว่า Wanii ส่วนภาษาไทยลายมือโย้เย้เหมือนเด็กเขียนว่า วาณี

“คุณวินให้คุณหัดเขียนภาษาไทย ซึ่งคุณก็เขียนได้เร็วทีเดียว” พจน์เอ่ยขึ้นอีก ขณะที่วาณีเปิดหน้าต่อไปช้าๆ

“ท่านไม่ได้คิดจะขังคุณไว้ในบ้านตลอดไปหรอกนะครับ แต่ท่านอยากแน่ใจว่า เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องออกไปอยู่ข้างนอกจริงๆ คุณต้องเก่งภาษาไทย และเก่งพอที่จะไม่โดนใครเอาเปรียบ...” พจน์เว้นช่วงเพื่อมองหญิงสาวผ่านกระจกมองหลัง แล้วเอ่ยต่อ

“...คุณวินน่ะ ห่วงคุณยิ่งกว่าอะไร ที่ท่านยอมควักเงินซื้อคอมพิวเตอร์ให้คุณ ซื้อเครื่องมือให้คุณใช้ในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ก็เพราะท่านหวังไว้ว่า การประกวดอาจจะต่อยอดเรื่องงานให้คุณได้...”

ขอบตาวาณีร้อนผ่าว มือสั่นจนแทบคอนหนังสือเล่มบางๆ นั้นไม่ไหว ต้องกอดมันเอาไว้แนบอก พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ



เมื่อไปถึงโรงงาน พจน์ก็จอดรถให้เธอตรงหน้าออฟฟิศ แล้วชี้บอกว่า

“คุณรัฐน่าจะรอคุณอยู่ในนั้นนะครับ”

วาณีพยักหน้ารับทราบ แต่ครั้นหล่อนเดินเข้าไปตามที่เขาบอก กลับไม่พบใครที่นั่น แต่ขณะที่กำลังงงอยู่นั่นเอง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“ค่ะ คุณรัฐภูมิ ฉันมาถึงแล้วค่ะ คุณอยู่ไหนคะ”

“นี่คุณเดาไม่ออกจริงๆ เหรอ ว่าผมอยู่ที่ไหน” เขาแสดงอาการงงมาตามสาย ก่อนจะยอมเฉลย “ผมอยู่ที่ห้องของเราไงล่ะครับ”

“ห้องของเรา?” หญิงสาวทวนคำแปลกใจ “หมายถึงห้อง...เอ่อ...ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

วางสายจากเขาแล้ว หล่อนก็รีบเดินออกไปหาพจน์เพื่อถามทันที

“เอ๊ะ คุณรัฐบอกอย่างนั้นเหรอครับ” พจน์ทำหน้างง “ไม่มีนะครับ เอ...หรือจะหมายถึงห้องที่คุณเคยไปขลุกอยู่กับเขา”

“ขลุก?” วาณีทวนคำด้วยไม่รู้ความหมาย

“หมายถึงใช้เวลาด้วยกันน่ะครับ”

“แล้วฉันใช้เวลาทำอะไรเหรอคะ”

ได้รับคำตอบจากพจน์พร้อมกับเขาชี้บอกตำแหน่งห้องนั้นแล้ว วาณีก็ขึ้นรถกอล์ฟและบ่ายหน้าไปทางนั้นทันที โดยพจน์บอกว่าเขาจะรอหล่อนอยู่ที่นี่

สักพักต่อมา วาณีก็มาหยุดยืนหน้าห้องนั้น ซึ่งประตูแง้มอยู่เล็กน้อย ราวกับรอให้หล่อนเปิดอยู่แล้ว และหญิงสาวก็ไม่มีความลังเลสักนิดที่จะก้าวเข้าไปในนั้น เพราะหล่อนต้องการรู้เต็มทีแล้วว่า มีอะไรรอหล่อนอยู่ในนั้นกันแน่

มันเป็นห้องเก็บเฟอร์นิเจอร์ชำรุดเสียหาย ห้องจึงมืดและทึบ อาจเพราะไม่ได้ใช้งานประจำ กลิ่นไม้ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ

จู่ๆ มุมห้องก็สว่างพรึบด้วยโคมไฟขนาดใหญ่ วาณีหันขวับไปมอง ก็พบว่าตรงนั้นมีโต๊ะไม้ยาวตัวหนึ่งวางอยู่ บนพื้นรอบๆ รวมถึงใต้โต๊ะ ระเกะระกะด้วยเศษไม้สั้นยาว เฟอร์นิเจอร์ที่ไม่สมบูรณ์แบบบ้าง รวมทั้งเก้าอี้บางตัวที่ดูเหมือนจะมีการตกแต่งเพิ่มเติมเข้าไป

หญิงสาวดึงสายตากลับขึ้นมาที่โต๊ะ ก็พบว่า นอกจากอุปกรณ์สำหรับทำไม้วางเรียงๆ กันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนักแล้ว มุมหนึ่งยังเป็นที่ตั้งของโคมไฟเจ้าของความสว่างเมื่อครู่นี้อีกด้วย และ...หล่อนก็เห็นช่วงล่างของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ช่วงบนของเขากลืนไปกับความมืดหลังโคมไฟ บวกกับแสงจ้าที่สาดเข้ามาทางหล่อน ก็ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้

“คุณรัฐภูมิ” หญิงสาวลองเรียกชื่อพลางหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองใบหน้าหลังเงามืด

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากชายผู้นั้น ทว่าวาณีรู้สึกว่าเขากำลังมองมาที่หล่อนแน่ๆ แต่ทำไมเขาไม่ยอมพูดนะ?

หรือหล่อนจะเข้าผิดห้อง?

หญิงสาวหันรีหันขวางว่าจะออกไปจากที่นี่หรือจะทำอย่างไรต่อไป คราวนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นคงอ่านอาการของหล่อนออกจึงยอมก้าวออกมาสู่ความสว่าง ในลักษณะมือหนึ่งไขว้หลัง แล้วส่งยิ้มมาให้พร้อมด้วยแววตาอบอุ่น

“ผมดีใจที่คุณมา” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนก้าวมาสวมกอดหล่อนด้วยมือข้างเดียว วาณีตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ครั้นเขาคลายแขนออก หล่อนก็เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสับสนไม่แน่ใจ

“แต่เมื่อวานเราเพิ่งเจอกันนี่นา” หล่อนพูดพลางจับตามองเขาตาไม่กะพริบ

“สำหรับคนรักกัน ห่างแค่ชั่วโมงเดียว มันก็นานเป็นปีแล้วละครับ” เขาว่าพลางมองหล่อนด้วยแววตาเปี่ยมรัก พร้อมกับยื่นช่อลิลลี่สีขาวมาตรงหน้า “สำหรับคุณครับ”

หญิงสาวก้มลงมองดอกไม้ เกิดความลังเลว่าจะรับดีหรือไม่ แต่ที่สุดก็ยอมเอื้อมมือไปรับ

“ขอบคุณค่ะ” เงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ให้ฉันทำไมคะ”

“มันเป็นดอกไม้ที่คุณชอบ น้ำเพชร”

เป็นคำพูดที่สร้างความสับสนให้หล่อนเข้าไปใหญ่ ลิลลี่ไม่ใช่ดอกไม้โปรดของหล่อนสักนิด

“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ แล้วนี่คุณทำอยู่เหรอคะ” อะไรบางอย่างบอกให้หล่อนรีบเปลี่ยนเรื่องและผละห่างเขาเสีย ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอม

“คุณไม่ได้ชอบลิลลี่? หรือคุณไม่ได้รักผมเหมือนที่ผมรักคุณแล้ว?” เขาเอ่ยเสียงตัดพ้อ เมื่อไม่เห็นอาการปลื้มเปรมจากหล่อน

“รักเหรอคะ” วาณีทวนคำ ในใจนั้นรู้สึกว่าคำนี้เป็นคำแปลกแยกสำหรับตนอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมันถูกเอ่ยจากคนตรงหน้า หล่อนมองว่ามันไม่เข้าปากเขาเอาซะเลย

“หือ? คุณถามแบบนี้ ฆ่าผมให้ตายดีกว่า น้ำเพชร” ชายหนุ่มโอดครวญพลางทำสีหน้าผิดหวังและทรมาน

“เอ่อ...” หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ และใช้ความคิดอย่างหนักว่าควรจะบอกเขาเรื่องที่หล่อนจำอะไรไม่ได้หรือเปล่า

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ อย่าบอกนะว่า คุณวินห้ามเรื่องของเราอีกแล้ว” รัฐภูมิรุกถามไม่หยุดยั้ง

“คะ? คุณอาห้ามงั้นหรือคะ” หล่อนทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะเท่าที่จำได้ ดูเหมือน ‘คุณอา’ จะบอกให้หล่อนมาหาเขาด้วยซ้ำไป

“เอ้อ...ก็ไม่เชิงห้ามหรอกครับ เขาก็แค่...จำกัดพื้นที่ จำกัดสิทธิของคุณ โดยเฉพาะเรื่องของผม ส่วนกับผม เขาก็เปรยๆ เรื่องความเหมาะสม” เสียงของรัฐภูมิดูหงอยๆ เศร้าๆ ไป

“งั้นเหรอคะ...บางที คุณอาก็บ้าอำนาจไปอย่างนั้นแหละ อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ เขาก็แค่อยากแสดงอำนาจของเขาเท่านั้น” หญิงสาวตัดบท และส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้เขา ก่อนถามคำถามเดิม “ว่าแต่คุณทำอะไรอยู่เหรอคะ”

รัฐภูมิไม่ตอบ ทว่าจูงมือหล่อนให้ไปที่โต๊ะใหญ่ตัวนั้น แววตาและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจสุดล้น...



บ่ายแก่ๆ วาณีก็กลับเข้าบ้าน ด้วยสีหน้าครุ่นคิดสับสนตลอดเวลา และพอลงจากรถหว้าก็เข้ามาบอกว่า ตอนนี้นวินกับอุมารังสีรอทานของว่างอยู่ที่ริมสระน้ำ

“ถ้าวาณีมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ไม่ได้เจอพี่แน่” อุมารังสีลุกมาจูงมือหล่อนตรงไปนั่งโต๊ะซึ่งนวินนั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาเหลือบมองหล่อนแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ หันไปสนใจกับของว่างตรงหน้าซึ่งเป็นน้ำชารสชาติดีกับคุ้กกี้ข้าวโอ๊ต

“ทำไมล่ะคะ” วาณีถามขึ้นหลังจากทรุดกายลงนั่งเรียบร้อยแล้ว หว้าที่เดินตามมากรากเข้ามาจัดการเรื่องเครื่องดื่มให้

“ก็พี่จะกลับแล้วน่ะสิ รบกวนคุณอาอยู่หลายชั่วโมง เกรงใจน่ะจ้ะ”

“สำหรับอุมา อายินดีเสมอ” เสียงห้าวทุ้มแสนอ่อนโยนของหนุ่มใหญ่ดังขึ้น

อุมารังสีหันไปยิ้มหวานให้เขา

“ขอบคุณค่ะ อาวิน...” จากนั้นจึงหันกลับมาหาวาณี “ว่าแต่วาณีไปที่โรงงานทำไมจ๊ะ วันนี้วันหยุด เห็นว่าส่วนของออฟฟิศไม่เปิดไม่ใช่เหรอ”

วาณีเหลือบมองนวินแป๊บหนึ่งก่อนจึงตอบ “พอดีรัฐเขาซื้ออุปกรณ์ตกแต่งพวกเฟอร์นิเจอร์มาให้อีกน่ะค่ะ เลยเรียกวาณีไปดู...พี่อุมารู้มั้ย สามเดือนก่อนน่ะ วาณีทั้งซ่อม ทั้งตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ไว้เยอะมาก นี่ถ้ารัฐไม่ยืนยัน วาณีไม่เชื่อแน่ๆ”

“ทำไมล่ะ ก็วาณีเรียนด้านนี้มา แถมยังฝีมือดีมากด้วย ไม่น่าเชื่อตรงไหน”

“คือ...พอไปเห็นงาน ก็เลยรู้ว่าเป็นฝีมือตัวเองแน่ๆ แหละค่ะ แต่ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะทำอะไรได้เยอะแยะมากมายขนาดนั้น วาณีรู้สึกว่ามันน่าทึ่งมากเลย”

มาถึงตรงนี้ อุมารังสียิ้มหวาน “ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้อาวินล่ะมังจ๊ะ เพราะอาวินเป็นฝ่ายสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ ทั้งอุปกรณ์”

วาณีหันไปสบตานวินเพื่อจะขอบคุณ แต่เขากลับมีสีหน้าเฉยชา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากสีหน้า

“เธอไปขอบคุณรัฐน่ะ ถูกแล้ว เพราะเขาเป็นคนสนับสนุนเธอตั้งแต่แรก ถึงขนาดขัดคำสั่งฉันเพื่อเธอ ไหนจะสรรหาอุปกรณ์ให้เธอสารพัด ไหนจะต้องทนแอบๆ ซ่อนๆ ไปอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อนหน้าที่ฉันจะรู้อีก”

“ตกลงเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยคะ” วาณีถามคล้ายไม่แน่ใจนัก ครั้นเห็นสายตาสงสัยของทั้งคู่จึงอธิบายต่อ “รัฐบอกหนูอย่างนี้เหมือนกันน่ะค่ะ แต่หนูไม่แน่ใจ”

“รัฐไม่ใช่คนเหลวไหลหรือชอบพูดเพ้อเจ้อ คำพูดของเขาเชื่อถือได้” นวินตอบกลับมาสั้นๆ แล้วก็เลิกสนใจเรื่องนี้ เขาหันไปคุยกับอุมารังสีด้วยเรื่องที่รู้กันเพียงสองคน สร้างความรู้สึกเป็นส่วนเกินให้วาณี แต่ครั้นหล่อนจะขอตัว อุมารังสีก็ขอตัวกลับพอดี จึงอาสาเดินไปส่งที่รถ โดยมีนวินเดินตามไปด้วย

พอรถอุมารังสีแล่นจากไป ก็เหมือนกับว่า หล่อนได้หอบเอาบรรดาตัวอักษร สระ รวมทั้งเสียงของสองหนุ่มสาวไปด้วย เพราะระหว่างเดินกลับ ต่างคนต่างเงียบ ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

ที่สุด วาณีก็อดรนทนไม่ไหว “คุณอาโกรธฉันเรื่องอะไรคะ”

“หือ? โกรธเธอ? เปล่านี่” ตอนตอบเขาก็ยังไม่มองหน้าหล่อน

วาณีสาวเท้าไปยืนดักหน้า กางแขนเรียวๆ ของตนออกเพื่อห้ามเขาไม่ให้เดินต่อ แล้วแหงนเงยขึ้นสบตาเขาตรงๆ

“ชอบทำหน้าบึ้งใส่ มองด้วยหางตา ไม่อยากพูดด้วยนี่นะเหรอคะ ที่ว่าไม่โกรธ”

นวินเมินหน้าไปทางอื่น และเงียบ

“ว่าไงคะ ที่ไม่ตอบเนี่ย เพราะไม่อยากตอบหรือตอบไม่ได้กันแน่”

“แล้วเธอจะมาคาดคั้นฉันให้มันได้อะไรขึ้นมา” คราวนี้เขาลดหน้าลงมาสบตาหล่อนคล้ายหงุดหงิดเต็มประดา

“หนูอึดอัด” หญิงสาวสารภาพตามตรง “หนูเครียด แล้วก็สับสนไปหมด ตกลงคุณอาจะเป็นยังไงกับหนูกันแน่ คุณอาเป็นคนบอกฉันเองว่าได้ช่วยฉันเรื่องนายนภดลอะไรนั่น ไหนจะเรื่องเฟอร์นิเจอร์นั่นอีก ที่สำคัญ พจน์เพิ่งบอกหนูว่า คุณอาใจดีคอยสอนหนังสือให้หนู ให้หนูประกวดออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ซื้อเครื่องมือให้หนู และหนูก็รู้ว่ามันต้องมีเรื่องอื่นๆ อีกแน่ นั่นแสดงว่าเมื่อก่อนเราสนิทกัน และเราก็น่าจะดีต่อกันแล้ว แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ”

นวินมองเมินทางอื่นอีกครั้ง ขบกรามแน่น และยังคงเงียบ อันเป็นกิริยาที่เรียกน้ำอุ่นๆ ให้มาออที่หัวตาของอีกคนได้ ความน้อยใจแล่นริ้วทั่วร่างอย่างยากจะห้าม

“หนูไม่เข้าใจ สามเดือนก่อน คุณอาก็คิดว่าหนูเป็นเมียน้อยเหมือนกับตอนนี้ แล้วทำไมถึงเลือกปฏิบัติล่ะคะ หนูคนนี้กับหนูเมื่อสามเดือนก่อนต่างกันยังไงเหรอคะ?” ตอนท้ายหล่อนกรากเข้าไปจับท่อนแขนแข็งแรงของเขาเขย่าด้วยความอึดอัดคับข้องใจ “คะ ตอบหนูมาสิคะ”

“ก็เพราะก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยรู้ว่าเธอเป็นแฟนกับรัฐภูมิน่ะสิ!” ตอบเสร็จเขาก็ดึงแขนออก แล้วเดินเร็วๆ จากไป วาณีวิ่งตามไปดักหน้าเขาอีกครั้ง

“เดี๋ยวค่ะ หมายความว่ายังไงคะ หนูเป็นแฟนกับรัฐแล้วมันเกี่ยวอะไร”

“หลีกทางให้ฉัน” เสียงเขาดุ หน้าเขาเคร่ง และทำท่าจะเบี่ยงตัวออกไป แต่อีกคนยังคงก้าวตามติด “อย่าทำให้ฉันหมดความอดทนกับเธอ วาณี”

“จะทำอะไรหนูคะ จะบีบคอ จะฆ่าหรือจะทำอะไร” หญิงสาวร้องถามเสียงเครือ “ตกลงเกลียดหนูมากใช่มั้ยคะ ที่พจน์ที่ใครๆ บอกว่าคุณอาทำดีกับหนูก็เรื่องโกหกสินะ หนูไม่น่าหลงดีใจ ไม่น่าปลื้มใจ ไม่น่า...ไม่น่า...เสียน้ำตาให้คุณอาเลย”

“ถูกแล้ว มันควรจะเป็นอย่างนั้น เราเกลียดกัน วาณี ฉันเกลียดผู้หญิงที่เป็นเมียน้อยอย่างเธอมาก และเธอก็ไม่ควรรู้สึกอะไรอย่างอื่นกับฉันนอกจากความเกลียดเหมือนกัน!” นวินเอ่ยเสียงเหินห่างแล้วผละจากไปทันที และวาณีก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตามไปคาดคั้นอะไรอีก น้ำตาตีตื้นขึ้นมาออเต็มดวงตา จนมองเห็นแผ่นหลังกว้างนั้นเพียงลางๆ

“หนูวาณี” เสียงเรียกอ่อนโยนของช้องนางดังขึ้น มืออบอุ่นแตะลงตรงแขนเรียว วาณีรีบกะพริบตาเพื่อไล่หยดน้ำอุ่นๆ นั้นทิ้ง แต่ก็ไม่รอดพ้นจากสายตาผู้สูงวัยไปได้

“คุณวินกำลังสับสนน่ะค่ะ คิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าควรจะทำตัวยังไง ก็เลยพูดอะไรที่...ตรงข้ามกับที่ตัวเองรู้สึก”

“เขาสับสนอะไรนักหนาคะ หนูต่างหากที่สับสน หนูไม่รู้ว่าเรื่องไหนเรื่องจริง เรื่องไหนใครแต่งขึ้น อย่างเรื่องของรัฐเป็นต้น ตกลงหนูกับเขาเป็นแฟนกันเหรอคะ” หญิงสาวเริ่มต้นระบายความอัดอั้น “ตอนนั้น หนูเคยเล่าอะไรให้ป้าหรือใครฟังหรือเปล่าคะ”

“ไม่ค่ะ ป้าไม่เคยได้ยินหนูพูดเรื่องของเขาในทำนองว่าเป็นคนรักเลยนะคะ” ช้องนางกล่าวอย่างมั่นใจ “เว้นแต่ว่าหนูจะไม่อยากให้พวกเรารู้”

“เขาบอกว่า คุณอาสั่งห้ามค่ะ เราก็เลยต้องแอบคบกัน...แต่ปัญหาคือหนูสัมผัสความรักจากเขาไม่ได้เลย หัวใจหนูเองก็เฉยๆ กับเขามาก ผิดกับ...เอ้อ...” หญิงสาวกลืนคำพูดลงไป เพราะนึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด หากแต่ผู้สูงวัยกว่ายิ้มอย่างรู้เท่าทัน

“ผิดกับที่รู้สึกกับคุณวินใช่มั้ยคะ” แล้วต่อประโยคให้ “กับคุณวิน หนูเป็นสุขที่ได้รู้ว่าเขาเอาใจใส่หนู ทำดีกับหนู แต่หนูจะเจ็บปวดที่เขาทำเหมือนโกรธและหมางเมินกับหนู”

วาณีนิ่งไปครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับตรงๆ อย่างไม่อาย “หนูแปลกใจมาก ที่ก่อนจะจำอะไรไม่ได้ เขาก็แสดงออกว่าเกลียดหนูยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือเหมือนกัน แต่ความรู้สึกระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้ทำไมถึงได้ต่างกันขนาดนี้”

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ลองใช้หัวใจและความรู้สึกของตัวเองตามหาความจริงดูล่ะคะ”

“หมายความว่ายังไงคะ”

“เคยได้ยินคำพูดที่ว่า เมื่อคุณไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ก็ให้ลองถามหัวใจตัวเอง แล้วเดินตามมันหรือเปล่าคะ ป้าหมายความว่าอย่างนั้น” พูดจบช้องนางก็บีบมือเรียวๆ นั้นครั้งหนึ่ง ก่อนผละจากมา

(จบบทที่ 23)

ทักท้ายค่ะ

คุณ pat...555555 ขำอีตาคุณพ่อเนอะ แก้ตัวไปได้

คุณ sukhumvit66...เหลืออีกประมาณ 8 ตอนก็จะจบแล้วค่ะ อิอิ

คุณ รักเร่...นี่อาจเป็นมุกของผู้ชราน่ะค่ะ 5555555

คุณลิลลี่...จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้ชายแบบนี้แหละค่ะ ที่น่ากลัว อิอิ (ต๊าย พูดเหมือนประสบการณ์เยอะ จริงๆ คือเห็นมาเยอะน่ะค่ะ อิอิ)

คุณ patisa...แลจะเข้ากันดีกับยายเด็กหัวดื้อนะคะน่ะ

คุณ konhin...เอาใจลุ้นคุณวินดีกว่าค่ะ ว่าแกจะเป็นเหมือนเพื่อนๆ แกมั้ย อิอิ

คุณ Pampam...อีกประมาณแปดบทค่า

คุณ goldensun...มองว่าคงเพราะอายุห่างกันเยอะน่ะค่ะ ๕๕๕๕๕ หรือไม่หมอก็อาจจะแค่หยอกเล่นน่ะค่ะ ฮา

อ้อม...มารอเลย มารอเลย

คุณ minddeer...แบบนี้น่าแกล้งให้เข็ดเนาะ อาวินเนี่ย

คุณNB...อิอิ ค่า จบเดือนนี้แน่นอนค่า




วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มี.ค. 2556, 18:22:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มี.ค. 2556, 18:22:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2334





<< บทที่ 22   บทที่ 30-31 ตอนจบ... >>
minddeer 18 มี.ค. 2556, 18:41:19 น.
จัดหนักให้อาวินไปเลยคะ.... อีตารัฐก็โมเมได้ที่เลย...เฮ้อ


goldensun 18 มี.ค. 2556, 19:01:06 น.
วาพูดกับอาวิน เดี๋ยวฉัน เดี๋ยวหนู สับสนไปหมด
รัฐต้องรู้ว่า วาความจำเสื่อมแน่ เลยฉวยโอกาสหลอกวาเลย
วุ่นดีแท้ สำหรับคนความจำเสื่อม แถมอาวินยังเอาแต่โมโหเพราะน้อยใจว่าโดนหลอกอีก


Pat 18 มี.ค. 2556, 19:20:54 น.
รัฐภูมิ น่ากลัวแฮะ


ลิลลี่ 18 มี.ค. 2556, 19:34:49 น.
เราว่ารัฐรู้แน่ๆ เลยใช้โอกาสนี้โมเม หรือไม่คงอยากพิสูจน์อะไรรึเปล่า เพราะก่อนหน้านี้รัฐก็ดูจะสงสัยในความสัมพันธ์ของตาแก่ที่มีต่อวาณี ..เอ้อ งง เหมือนกันเรื่องหนู เรื่องฉัน ตอนที่ความจำเสื่อมรอบโน้นก็แทนตัวเองว่าหนูตลอด แต่มาตอนนี้แทนฉัน เอ้อ งง (เราจะมองแง่ร้ายไปมั้ย เราว่าอุมาพูดแปลกๆชอบเน้นย้ำเรื่องความเหมาะสมไม่ใช่อุมาหลงรักตาแก่ไปแล้วหรอกนะ)


konhin 18 มี.ค. 2556, 19:48:33 น.
ผู้ชายแบบนี้น่ากลัวว


Sukhumvit66 18 มี.ค. 2556, 20:04:41 น.
รัฐภูมิ แอบจิต บรื้อ!


ตุ๊งแช่ 18 มี.ค. 2556, 20:19:17 น.
อ่านแล้วมัน เว้า แหว่งๆไงไม่รู้ ไม่ค่อยอินอ่ะ หรือเขาคิดไปเองหว่า มันแปร่ง อย่าว่าเขาน๊า


NB 19 มี.ค. 2556, 13:33:44 น.
รัฐจะเปิดเผยตัวตอนไหนน๊าาา ไม่หวานเลยอ่าาา ขอหวานๆอีกน๊าาา


รักเร่ 20 มี.ค. 2556, 01:20:14 น.
นายรัฐน่าจะมีเบื้องหลังแอบแฝงนะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account