กรงรักมายาหัวใจ
ความรักที่เย็นฉ่ำดุจละอองเกล็ดหิมะ หัวใจที่รุ่มร้อนดังเพลิงเพราะรัก

ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก

ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: สิ่งที่ได้รู้และเรื่องประหลาดใจ ตอน 19

แม้จะไม่ถูกใจนักกับความรู้สึกว่าหล่อนเป็นเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรง หูที่แนบชิดกับอกกว้างสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจเป็นจังหวะ ทว่าเจ้าสิ่งที่กำลังดิ้นตุบตับด้านใน ราวจะล่องลอยไปหาใครบางคน ถึงกระนั้นก็ยังคงทำตามคำขอร้อง เมื่อเขาบอกให้ยืนเฉยๆ โดยการปล่อยแขนสองข้างทิ้งแนบลำตัวไม่คิดจะกอดตอบ ทำตัวแข็งประดุจดังท่อนไม้ อาการแบบนี้บิดามักเปรยให้ได้ยินเมื่อนานมาแล้วว่าหล่อนเป็นเด็กดื้อเงียบ หากไม่พอใจอะไรแล้วจะใช้วิธีหุบปาก ทำตัวนิ่งสงบ ไม่ยอมเสวนาด้วยเพื่อต่อต้าน แทนที่จะโวยวายดีดดิ้น กระทืบเท้ากรีดร้องจะเอาให้ได้อย่างใจต้องการ


ฝ่ายชายหนุ่มขณะกำลังกอดหญิงสาว เขากำลังระลึกถึงผู้หญิงอีกคน สถานที่แห่งนี้คือความทรงจำ ร่างสูงหลับตาลง ราวจะได้ยินเสียงหัวเราะแว่วดัง ใช่แล้ว เขาจำได้ดีขณะถูกโอบอุ้มอยู่ในวงแขนเรียวเล็ก ท่านพูดคุยและยิ้มเบิกบานกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ไว้เคราพองาม ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาที่เขาได้ถอดแบบมาราวพิมพ์เดียวกันกำลังถักทอความรักเต็มเปี่ยม ยามทอดมองมายังหญิงสาวและเด็กชายตัวน้อย


ปารีสขบกรามแน่น สูดหายใจลึก ถึงใครหลายคนจะคิดว่าบิดาและมารดาของเขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวตกกระแทกพื้น สำหรับเขาแล้วไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดสัญชาตญาณบางอย่างเตือนก้องอยู่ในสมอง ยังจำแววตาของผู้ใหญ่หลายคนยามมองมายังเด็กชายที่ยืนน้ำตาไหลอยู่หน้าหลุมศพ เอาแต่ประกาศว่าพวกท่านถูกฆ่าตายโดยใครบางคน ผู้คนเหล่านั้นล้วนเวทนาทว่ากลับเหยียดยิ้มเห็นเป็นเรื่องตลก


ร่างสูงคลายแขนออกเพราะรู้สึกตัวเผลอออกแรงกอดรัดปาริสา ทว่าเขาต้องรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของหล่อน ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านยืนตัวเกร็งแข็ง แถมหุบปากสนิทไม่มีแม้แต่เสียงประท้วงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เรียกว่าเงียบผิดสังเกต จึงรีบใช้สองมือจับไหล่กลมมลของหญิงคนรักดันออกจากอกกว้าง แล้วมองอย่างสำรวจ


“ทำไมมองพี่แบบนั้น” เขาถามเมื่อเห็นหล่อนเอาแต่เม้มปากแน่น แต่ใช้สายตาเหมือนมีอะไรอยากพูด อยากจะถาม แต่ไม่ยอมปริปาก “เป็นอะไรไป”

หล่อนยังคงเงียบ


“พี่ทำอะไรให้น้องริสาไม่พอใจหรือไง” ปารีสกระตุกยิ้มเมื่อเห็นอาการไม่เปลี่ยนไปจากเดิม “ยายเด็กดื้อ ไม่พูดแล้วพี่จะรู้ไหม ว่าสีหน้าแบบนี้กำลังโกรธหรือหงุดหงิดอะไร”

เขากระตุกยิ้ม


“หรือเพราะพี่มัวแต่ชักช้า เอาแต่ยืนกอดท่าเดียว น้องริสาเลยพาลหงุดหงิด” ปาริสาถลึงตาใส่เขา


นับว่าหล่อนยังมีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่บ้าง ชายหนุ่มคิด ก่อนจะผละถอยออกมาเล็กน้อย ขณะสายตาคมกริบยังคงจับจ้องหล่อนไม่วางตา หันมาจัดการกับตัวเอง ปารีสถอดเสื้อตัวหนาด้านนอก โยนทิ้งไว้บนกองฟางแถวนั้น



“น้องริสา ไม่ร้อนหรือไงครับ” เขาชวนคุยระหว่างกำลังปลดผ้าผันคอสีน้ำเงินเข้มขอตัวเองตามลงไปสมทบ เหลือไว้เพียงสเวตเตอร์แขนยาวสีเทาด้านใน “เขตที่เราอยู่ถึงจะอากาศค่อยข้างเย็นสบาย แต่ก็ไม่หนาว หิมะก็ไม่ตก คงไม่ทำให้แฟนของพี่ถึงกับหนาวจนเหน็บกินยืนตัวแข็งแบบนี้แน่”


ร่างสูงขยับเข้าไปหา สองมือกว้างจับประคองใบหน้าหญิงสาว ก่อนจะโน้มตัวลงประทับจุมพิตบนเรียวปากที่เม้มสนิท และยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น หล่อนไม่ยอมให้ความร่วมมือ ถึงแม้เขาจะรุกเร้าแค่ไหน จนเขาต้องยอมถอยออกมายืนตัวตรงหรี่ตามอง พลางคิดว่าคนตรงหน้ากำลังมีบางอย่างอยู่ในใจ เขายักไหลกว้างทำเป็นไม่สนใจอารมณ์ของหญิงสาว ขยับเข้าหา เริ่มลงมือปลดกระดุมเม็ดใหญ่ด้านหน้าเนื้อหนาตัวยาวคอบัวที่เรียงแถวอยู่ไม่เกินสาม นอกจากสีแดงแล้วปารีสต้องบันทึกไว้ในความจำว่าหล่อนคงต้องชอบสีชมพูด้วย ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองทันเห็นแววตาไหวหวั่น ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบปรับสีหน้าไม่เยเสกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น


“เพื่อความยุติธรรม” เขาบอกหล่อนยิ้มๆ “เมื่อน้องริสาไม่พูดอะไร ก็แสดงว่ายังคงยินยอมพร้อมใจ”
ปาริสาปล่อยให้คนตัวสูงปลดเสื้อ ไม่สะทกสะท้านหรือขัดขืน


“อยากจะพูดอะไรตอนนี้ยังมีเวลานะครับ” เขาบอกระหว่างกำลังคลายผ้าพันคอของหล่อน “ถ้าพี่ปิดปากริสาอีกครั้งเมื่อไหร่ หมดสิทธิ์ที่จะพูด หรือถามอะไรอีก”


ผ้าพันคอหลุดไปจากลำคอเพรียวสวย เจ้าหล่อนก็ยังไม่ยอมพูดกับเขา เวลาปาริสาทำตัวดื้อเงียบก็น่ารักไปอีกแบบ จนเขาแทบอยากจะจับมาพาดตักฟาดบั้นท้ายงอนงามสักป๊าบสองป๊าบ แน่นอนต้องเป็นตอนหล่อนไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเขาอาจจะลองทำอย่างที่นึกสนุก ร่างสูงไม่อยากเสียความตั้งใจรีบถอดสเวตเตอร์เหลือติดกายท่อนบนเพียงชิ้นเดียว


ปารีสจุดรอยยิ้ม เมื่อหญิงสาวไม่กล้ามองมาทางเขา จากเคยจ้องถลึงตาหันไปมองด้านอื่นแทน และก่อนจะขยับตัว ปาริสารีบถอยหลังไม่เกินสามก้าว ร่างสูงเลิกคิ้วสูงกับการแสดงท่าทางเชิดหน้ายิ้มนิดๆ ของหล่อน แล้วลงมือจับชายเสื้อตัวเองดึงขึ้นเหนือศีรษะปลดออกจากตัวโดยเขาไม่ต้องลงมือให้เปลืองแรง


“อย่าลืมนะคะ ว่าเราต้องยุติธรรม” ในที่สุดปาริสาก็ยอมอ้าปากพูดจนได้


ร่างสูงยกมือขึ้นเสยผมตัวเองขณะมองคนตรงหน้า เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าภายใต้สเวตเตอร์สีขาวลายกระต่ายสีชมพูตัวหลวม จะมีสเวตเตอร์อีกตัวซ้อนทับอยู่ ที่สำคัญยังเป็นสีแดงสีโปรดของหล่อน ปาริสาทำให้สมองเขาไม่ทำงาน ปกติตนจะไม่พลาดได้ง่าย เพราะเป็นคนช่างสังเกตเป็นนิสัย กลิ่นกายหอมกรุ่นของสาวคนรักทำให้อารมณ์และความคิดของเขาเตลิดไปไกล


“ตอนนี้เราเสมอตัวกันแล้ว พี่ถอดสามชิ้น ริสาก็ปลดสามเท่ากันพอดี”


“ไหนๆ ก็ยอมเปิดปากพูดแล้ว” ปารีสพูดขึ้นพลางลูบปลายคาง ก่อนจะถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จะบอกพี่สักนิดได้ไหม ว่าด้านล่างริสาสวมกี่ชิ้น”


“เรื่องอะไรจะบอก” หล่อนตอบลอยหน้าลอยตา มุมปากชายหนุ่มยกยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นเราค่อยๆ มาเฉลยคำตอบของอีกฝ่ายกันดีไหมครับ” ร่างสูงปลดเข็มขัด แล้วโยนทิ้งกับพื้น ก่อนจะพยักพเยิดหน้าบุ้ยใบ้ให้คนตรงหน้ายืนห่างไม่ไกลเปิดเผยคำตอบของตัวเองบ้าง


“เข็มขัดเส้นนั้นไม่นับรวมได้ไหม” ปาริสาพูดขึ้นมองเขาตาปริบๆ แอบมีแวววิงวอน ร่างสูงส่ายหน้าหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ ถามตัวเองว่าควรจะยินยอมเพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเมื่อฝ่ายสาวออกปากขอร้องหรือไม่


“ให้ตายเถอะปาริสา ทำไมพี่ต้องใจอ่อนกับเธออยู่เรื่อย”

ปาริสากลั้นยิ้ม ก่อนจะรีบเบือนหน้าแดงระเรื่อไปอีกทาง เมื่อเขาลงมือปลดกระดุมกางเกงตัวเองแล้วรูดซิบ ร่างบางเริ่มใจเต้นแรง รู้สึกพวงแก้มร้อนผ่าว ทั้งที่อากาศรอบด้านเย็นกำลังดี ไม่หนาว และร้อนเกินไป จนถึงบัดนี้ก็ยังทำใจมองเรือนร่างของเขาแบบตรงๆ เต็มตาไม่ได้เสียที พลางคิดไม่น่าพาตัวเองเดินไปตกหลุมเล่นเกมแก้ผ้าเอาหน้ารอดกับเขาเลย รู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออกมือไม้สั่นไปหมด รู้อย่างนี้สู้หลับหูหลับตายืนเฉยๆ ให้เขาจัดการเอาเองเสียแต่แรกก็ดีหรอก หญิงสาวเพิ่งได้คิด

“จะไม่หันมาดูคำตอบของพี่หน่อยเหรอ” เสียงของเขาลอยมากระทบประสาทที่กำลังเกร็งเครียด

ตาบ้า!

.........



แสงสีเหลืองนวลทอดผ่านทะลุช่องว่างใต้หลังคา ทำให้ต้องหรี่ตาแคบลงก่อนจะเต็มใจยอมปิดเปลือกตาลงอีกครั้งเพื่อหลบความเจิดจ้าของแดดยามเช้า ฟังเสียงนกร้องประสานเรียกหาคู่อยู่บนคาคบไม้แว่วเข้ามาให้ได้ยิน ฝางข้าวสาลีหอมกรุ่นหอบกลิ่นอายดินโชยบางเบา เสียงฝีเท้าฝูงสัตว์บางชนิดรู้สึกได้จากการนอนตะแคงแนบหูไว้กับพื้น


ถึงใต้ร่างจะมีแค่กองฟาง แทนจะเป็นเบาะหนาผ้าห่มชั้นดี ทว่าหญิงสาวกลับพบว่าตัวเองรู้สึกชอบมากกว่าเสียอีก เพราะตลอดค่ำคืนอันยาวนานได้หลับพิงไออุ่นจากอกกว้าง รู้สึกปลอดภัยเมื่อเขาโอบกอดคอยปกป้อง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึง ก่อนจะเหยียดแขนบิดตัวอย่างเกียจคร้าน พลิกตัวนอนหงาย แล้วหมุนตัวตะแคงอีกด้าน เพขนตางอนยาวกระพริบถี่ แล้วเบิกโพลงมองสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า



บ๊อก! บ๊อก! มันส่งเสียงทักทายราวจะกล่าวอรุณสวัสดิ์ ไม่มีร่างของปารีสนอนอยู่ข้างกาย กลายเป็นลูกสุนัขแสนซุกซน กำลังกัดแทะเศษฟางข้าวสาลีเล่นแล้วสะบัดหัวไปมา หญิงสาวสังเกตมีโบว์สีชมพูผูกติดกับปลอกคอที่มีกระดิ่งเล็กๆ เสียงกรุงกริ่งดังเป็นจังหวะยามเจ้าตัวกลมป้อมขนปุยขยับ



“อย่าบอกนะคะว่าพี่ปารีสโดนสาปเป็นลูกสุนัขแล้ว”


หล่อนพูดขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์บางอย่าง แม้จะแน่ใจกับตัวเองว่าสิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น ปาริสาผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้ามันมากอดไว้ในอ้อมอก มือเรียวสัมผัสขนนุ่มสีขาวดุจปุยเมฆอย่างนึกถูกใจ แล้วยกชูขึ้นจ้องตากลมใสราวลูกแก้ว


“ชื่ออะไรหรือจ๊ะ” หล่อนชวนคุยถึงแม้รู้ดีว่ามันคงไม่ตอบ “ปารีสเหรอ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะสังเกตเห็นป้ายขนาดเล็กห้อยอยู่ตรงปลอกคอ จึงจับพลิกมาอ่านดู RISA ป้ายบอกไว้อย่างนั้น



“ริซ่า” ปาริสาย่นจมูก ก่อนจะเงยหน้าหันไปฟ้อง “ดูลูกชายของคุณแม่สิคะ ชื่อมีตั้งเยอะ ทำไมต้องต้องให้มันชื่อริซ่าด้วย”


ภาพวาดสีน้ำมันตรงเสาไม้เหมือนจะแย้มยิ้ม ปาริสารีบขยี้ตา จึงเห็นว่าหญิงสาวแสนสวยในภาพยังคงจ้องกลับมาด้วยแววตาดุปนหวาน


“ต่อไปหนูสัญญาค่ะ ว่าจะไม่งอนเวลาปารีสคิดถึงคุณแม่” หญิงสาวพูดเอาใจภาพถ่าย


พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนนั้นหลายชั่วโมง ท่ามกลางความสับสนและอึดอัดของตัวเอง เมื่อถูกปารีสเร่งรัดให้หล่อนหันไปมองเขายืนแก้ผ้าหน้าตาเฉย



“หลับตาแบบนั้นแล้วจะเห็นพี่ไหม” หล่อนหันไปมองเขาขณะยังคงปิดเปลือกตาแน่น สุดท้ายยังคงทำใจกล้าหน้าด้านไม่พอ ได้ยินแบบนั้นก็นึกฉุน พร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะยังคงลอยมากวนอารมณ์ไม่หยุด “พี่รอจนจะแห้งเหี่ยวเหมือนกองฟางแถวนี้แล้ว”


เหี่ยวไปเลยจะได้สิ้นฤทธิ์...หล่อนคิดก่อนจะถาม


“พี่ไม่อายผี อายสาง อายเทวดาหรือไง”


“กับริสาพี่ยังไม่อายเลย”ยิ่งผีไม่เคยเห็น สางเป็นไงไม่รู้จัก” เขาตอบ “ส่วนเทวดาท่านคงไม่อยากเป็นตากุ้งยิง ชอบลงมามองหนุ่มสาวเขาจะพลอดรักกันหรอก”


“พี่อยากให้ริสามองพี่แก้ผ้าจริงๆ เหรอคะ” ปาริสาทำสีหน้าลำบากใจ “แต่ริสาไม่อยากมอง พี่ไม่อาย แต่ริสาอาย”



“พี่จะนับหนึ่งถึงสาม” ปารีสทำเสียงเข้ม “ถ้าริสาไม่ยอมลืมตาขึ้นมามอง พี่จะเดินเข้าไปกอดริสาแทน จะได้ไม่ต้องมอง เปลี่ยนเป็นสัมผัสแทนดีไหมครับ”


“คน...” ปาริสากลืนคำว่า ‘บ้า’ ลงกระเพาะไปเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าชายคนรักอยู่ในสภาพปกติ แถมไม่รู้เขาหยิบเสื้อตัวเองขึ้นมาสวมตอนไหน คิ้วเรียงบางโค้งสวยขมวดมองอย่างแปลกใจ ได้แต่ยืนมองร่างสูงหมุนตัวหันไปจัดการปลดเชือกที่มัดฟางแล้วนำมาปูกับพื้นไม้แผ่นเรียบแถวนั้น พลางหันมายิ้มแล้วถาม


“ทำสีหน้าแบบนั้น กำลังนึกเสียดายล่ะสิ ที่ไม่ได้เห็นพี่ตอนไม่มีเสื้อผ้าติดตัว”


“สีหน้าสงสัยต่างหาก” ปาริสารีบบอก



“ริสาสงสัยเรื่องอะไร”


“สงสัยว่าทำไมพี่ถึงเปลี่ยนใจ” หล่อนถามขณะชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งบนกองฟาง ใช้มือตบที่ว่างข้างตัว



“มานั่งนี่สิ แล้วจะบอก”


ร่างบางค่อยๆ เดินเข้าไปหา แล้วย่อตัวลงนั่งด้านข้าง ก่อนจะหวีดร้องเสียงเบา เมื่อเขาคว้าหล่อนลงไปนอนเหยียดยาวบนกองฟาง ปาริสานอนหนุนชายหนุ่มขณะเขาโอบกระชับ


“ดูนั่นสิ” เขาชี้ให้หล่อนดูบางอย่าง ปาริสาเหลียวมองไปยังทิศที่ปลายนิ้วของเขาชี้บอกตำแหน่ง ตรงเสากลางเกือบท้ายห้อง สูงขึ้นไปมีภาพวาดสีน้ำมันแขวนอยู่ ผู้หญิงผมยาวเส้นผมดำขลับ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ใบหน้าคมหวานครึ่งยิ้มครึ่งบึ่ง แต่ที่เห็นชัดคือแววตาฉายแววคมดุ


สวย คม หวาน ยิ่งพิศยิ่งงาม น่าหลงใหลและค้นหา คือสิ่งที่ปาริสาคิดขณะมองภาพวาดนั้น ภาพสีน้ำมันใส่กรอบอย่างดี แม้กาลเวลาจะทำให้ดูหมองลงบ้างทว่ายังคงสีสันลายเส้นมองเห็นได้ชัดเจน



“ใครคะ” หล่อนออกปากถาม


“แม่พี่เอง”


ร่างบางหันกลับไปมองหน้าชายคนรัก เห็นเขาเองก็กำลังจ้องภาพนั้นไม่ละสายตาไปไหน ผู้หญิงที่หล่อนสัมผัสได้ว่าปารีสกำลังโหยหาที่แท้ก็คือมารดา ปาริสารู้สึกกระดากเก้อเขิน ที่แสดงอารมณ์แบบนั้นออกมา โดยไม่คิดหาเหตุผลเสียก่อน


“ตอนนี้ริสารู้แล้ว ว่าพี่ปารีสหน้าตาเหมือนใคร” หญิงสาวหันไปบอก



“หน้าตาพี่ไปทางคุณแม่” ปารีสบอกขณะกระชับวงแขนโอบหญิงสาวเข้ามาหา ปาริสาจากนอนหนุนแขนจึงเปลี่ยนมาซบอกกว้างของชายคนรักแทน “แต่ดวงตาพี่ถอดแบบมาจากพ่อ” ชายหนุ่มบอก

“ท่านเป็นผู้หญิงที่ดูสวยและสง่า น่าเกรงใจ” หญิงสาวบอก ชายหนุ่มหัวเราะ



“ก็เพราะอย่างนี้ไง พี่ถึงเปลี่ยนใจ รีบคว้าผ้ามาใส่แทบไม่ทัน ตอนบังเอิญเงยหน้าขึ้นไปมอง” เขาบอก ปาริสาคลี่ยิ้มเมื่อรู้ความจริง ก่อนจะออกปากถาม



“ท่าทางพี่จะเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณแม่นะคะ”



“ไม่ใช่พี่คนเดียว ทุกคนในบ้าน ล้วนต้องฟังท่าน แม้แต่กับพ่อยังต้องเกรงใจ ไม่เคยกล้าขัดใจ”



“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิคะ”



ปารีสเลิกคิ้วสูงหลุบตามองหน้าสาวคนรักที่กำลังหนุนอก เงยหน้าขึ้นมายิ้ม กระพริบตาปริบๆ เขาอยากจะพลิกหล่อนลงไปนอนบนกองฟาง แล้วประทับรอยจุมพิตเสียตอนนั้น หากไม่มีภาพวาดของมารดาแขวนเหมือนยันต์กันลูกชายตัวเองทำมิดีมิร้ายกับลูกสาวคนอื่น



“ดียังไงครับ” เขาถามเสียงแหบเบา



“ต่อหน้าคุณแม่ พี่ต้องสัญญากับท่านว่า ต่อไปพี่ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง จะไม่หว่านล้อมให้ริสาใจอ่อน ห้ามทำอะไรเกินกว่าการจับมือหรือกอด”



“ริสา” เขาเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน



“ยังไม่ทันไรจะพยายามทำให้ริสาใจอ่อนแล้วหรือคะ” หล่อนหันมาถามยิ้มๆ ปารีสถอนหายใจ ก่อนจะต่อรอง



“ขอเพิ่มอีกสักข้อได้ไหม”



“อะไรคะ”



“นอกจากจับมือ กอดแล้ว ขอพี่สามารถจูบคนรักได้ โอเคไหมครับ” ปาริสาเงียบไปอึดใจ หล่อนกำลังพยายามรอบคอบให้มากขึ้น จะได้ไม่เผลอรับปากอะไรง่ายๆ แบบคราวก่อนอีก



“แค่จูบนะคะ มือไม้พี่ต้องอยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ”



“ริสาไม่รู้หรือครับว่ามันฝืนกฎธรรมชาติ” ปารีสบอก หญิงสาวตวัดตาค้อน ก่อนถาม


“ผิดยังไงคะ”



“ก็...มันอธิบายลำบาก” ร่างสูงทำท่าเหมือนจนปัญญาอธิบาย ก่อนจะหันไปมองรูปถ่ายของมารดาแล้วพูดขึ้นเสียงจริงจัง “คุณแม่ช่วยปิดตาสักสามนาทีนะครับ”



“พี่ว่า คงต้องสาธิต น้องริสาจะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นไงครับ” ปารีสเอามือเชยปลายคางหญิงคนรัก “เห็นไหม ว่ามันต้องใช้มือ”



ร่างสูงโน้มลงไปจุมพิตเรียวปากบางทว่าอวบอิ่มของหญิงคนรัก มือกว้างประคองใบหน้าหญิงสาว ก่อนจะเลื่อนไปยังด้านหลังศีรษะ กดประทับหนักขึ้นตามแรงปรารถนา ก่อนที่มือเขาจะค่อยไล่ลงไปตามแผ่นหลังบอบบาง ทว่ายังไปไม่ถึงไหนปาริสาก็คว้าหมับ ดิ้นขลุกขลัก เบี่ยงหลบจุมพิตเร้าร้อน

“เข้าใจแล้วค่ะ ตอนนี้ริสาเข้าใจดีแล้ว” หล่อนรีบบอก ปารีสยิ้มกริ่ม



“ขอบคุณครับที่เข้าใจพี่”



“เพราะฉะนั้น ริสาอนุญาตให้จูบได้ ให้ใช้มือได้ แค่คอขึ้นมาเท่านั้น ไม่ใช่คอลงไป พี่ปารีสเข้าใจใช่ไหมคะ หรือต้องให้ริสาสาธิตให้ดู เผื่อพี่ปารีสจะเข้าใจง่ายขึ้น” หญิงสาวย้อนอย่างนึกสนุก แต่คนตัวสูงกลับยอมเล่นด้วย




“เอาสิครับ สาธิต พี่รออยู่”



“คนผีทะเล เจ้าเล่ห์นัก” หล่อนบ่นอุบ ก่อนจะย้ำให้ชัดเจน “เอาเป็นว่าต่อหน้าคุณแม่พี่รับปากแล้วนะคะ ถึงยังไงริสาก็เป็นผู้หญิงไทย ที่ผ่านมาริสาจะไม่พูดถึง แต่ริสาต้องการให้ทุกอย่างต่อจากนี้ เป็นไปตามขั้นตอน และถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้นพี่ห้ามล่วงเกินริสา จนกว่าเราจะได้แต่งงานกัน รับปากสิคะ ต่อหน้าคุณแม่” ปาริสารีบฉวยโอกาสเร่งรัด “แม่พี่ก็เป็นหญิงไทย ริสาเชื่อว่าพี่เข้าใจวัฒนธรรมไทยได้ดีเชียวล่ะ”



“ครับตกลง ครับตกลง” ปารีสรีบบอกก่อนหญิงคนรักจะร่ายยาวกว่านี้



“แล้วถ้าเกิดพี่ลืมตัว ไม่ทำตามที่รับปากละคะ”




“ขอให้พี่กลายเป็นลูกหมาเลย พอใจยังครับ”
ปาริสาพยักหน้ายิ้ม ปารีสยื่นมือไปบีบปลายจมูกด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะนอนอ้าแขนกว้างรอหญิงคนรักเข้ามาหา ปาริสาขยับเข้าไปหาอย่างเต็มใจ ด้วยความมั่นใจในตัวชายคนรัก



“รูปทำไมถึงมาแขวนไว้ในที่แบบนี้คะ” ปารีสยิ้มเมื่อหญิงสาวเข้าใจถาม คงไม่มีใครเอารูปตัวเองมาแขวนไว้อย่างโดดเดี่ยวในห้องเก็บเสบียงแบบนี้



“รูปนี้พ่อพี่เป็นคนวาดแล้วเอามาแขวนไว้เอง” เขาบอกให้หายสงสัย“ตอนที่ของในนี้มีคนแอบมาขโมยบ่อย”



“อะไรนะคะ” ปาริสากลั้วหัวเราะ


“พ่อก็แค่นึกสนุกอยากแกล้งแม่พี่เท่านั้นเอง” ร่างสูงอธิบาย “เลยเอามาใช้เป็นยันต์กันขโมยเสียเลย แถมบอกว่าโจรหน้าไหนเข้ามาไม่เปลี่ยนใจก็ให้รู้ไป”



“ริสารู้เพิ่มมาอีกอย่างแล้วค่ะ”


“อะไรครับ”


“ว่าที่แท้นิสัยชอบแกล้งริสาพี่ปารีสได้มาจากใคร” ร่างสูงหัวเราะชอบใจ ก่อนจะบอก


“สงสัยจะจริง”


“พี่ปารีส จะไม่แนะนำริสา ให้รู้จักคุณแม่หน่อยหรือคะ” หล่อนถามขึ้น


“ริสาอยากรู้อะไรล่ะ”


“ท่านชื่ออะไรคะ”


“อันติกา แม่พี่ชื่อ อันติกา” ปารีสตอบหญิงสาว “หม่อมราชวงศ์อันติกา เสลาภิรมย์”

.......
โปรดติดตามตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ จะได้มีแรงขยันปั่น อิ อิ




มุกมาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2556, 12:04:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2556, 13:10:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1667





<< กรงรักมายาหัวใจ 15-18 ลงยาวรวดเดียวเนื้อหา 4 ตอนจ้ะ ^^   
มุกมาดา 3 เม.ย. 2556, 12:25:30 น.
ขอบคุณ คุณลิลลี่มากค่ะ สำหรับกำลังใจ


ปล.สำหรับตอนใหม่นี้ถ้าใครกดอ่านก่อนแก้ไขล่าสุด รบกวนอ่านอีกรอบนะคะ ผู้เขียน copy วาง ตกไปประมาณครึ่งหน้า ^^


มุกมาดา 3 เม.ย. 2556, 12:54:20 น.
ขออภัยค่ะ ตั้งแต่ผุ้อ่านก่อนหน้า 20 กว่า คน รบกวนอ่านใหม่อีกครั้งนะคะ เอามาวางตกไป ไม่ใช่ครึ่งหน้า แต่ 1 หน้าเต็มๆ มาลงเพิ่มตอนช่วงเริ่มแรกของตอนนี้เลยค่ะ...ตาลายลาก copy ไม่ครบ ^^


pseudolife 23 ก.ค. 2556, 08:51:14 น.
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานมากเลย
เดี๋ยวมาตามอ่านย้อนหลังนะจ๊ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account