กรงรักมายาหัวใจ
ความรักที่เย็นฉ่ำดุจละอองเกล็ดหิมะ หัวใจที่รุ่มร้อนดังเพลิงเพราะรัก

ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก

ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: กรงรักมายาหัวใจ 15-18 ลงยาวรวดเดียวเนื้อหา 4 ตอนจ้ะ ^^

หายหน้าหายหัวไปนานเพิ่งโผล่...บอกตรงๆ ว่าลืมรหัสผ่าน --' เพิ่งเจอที่เคยจดไว้ ปกติให้คอมพิวเตอร์ตัวเองจำอัตโนมัติตลอด แต่หายไปตอนเอาเครื่องไปล้างลงโปรแกรมใหม่



..........................................



“ทำไมริสาต้องลงจากรถด้วย”



หล่อนถามหลังจากที่ปารีสนำรถมาจอดยังลานกว้างแห่งหนึ่ง เพราะมัวแต่ก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์กับข้อความเขมิกา



‘กลับถึงบ้านเรียบร้อยดีนะ เห็นเธอหลับมาตลอดทางไม่สบายหรือเปล่า’



แล้วจะตอบอย่างไร…


หญิงสาวกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไม่ได้สังเกตอะไรมาก ไกลออกไปเห็นมีอาคารสีขาวชั้นเดียวอยู่ไกลลิบ เรียกว่าถ้าตะโกนอะไรออกไปคงไม่มีใครหน้าไหนได้ยินเสียงแม้แต่คำเดียว...แล้วทำไมต้องกลัว?


ปาริสาเริ่มสำนึกได้ว่า ไร้เหตุผลสิ้นดีกับการต้องกลายเป็นคนชอบตื่นตระหนกง่ายแบบนี้ ค่อยๆ กระมิดกระเมี้ยนเชิญตัวเองออกจากรถโดยมีเขาเปิดประตูยืนรออยู่แล้ว หลังจากเห็นสายตาคนตัวสูงยืนจ้องทำเป็นดุเหมือนทีเล่นทีจริง แถมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า



“จะลงมาดีๆ หรือให้อุ้ม”


“ริสามีขา ลงเองได้ค่ะ”


“นึกว่าอยากจะให้พี่อุ้มเสียอีก เลยทำเหมือนไม่อยากจะลง” เขาจุดรอยยิ้มบนริมฝีปาก ทันทีเมื่อได้รับสายตาหวานคมมองตวัดค้อน เขาติดเป็นนิสัยแล้วที่มักชอบแหย่หล่อนเล่นเสมอ


“เรามาทำอะไรกันตรงแถวที่...” ร่างบางมองไปข้างหน้าก่อนจะหันมาหาเขา “ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น”


“ริสาอยากจะปีนต้นไม้หรือครับ” เขาหัวเราะ


“คนบ้า แกล้งริสาอีกแล้วนะ ริสาไม่ใช่ลิงสักหน่อย” หล่อนย่นจมูกก่อนออกปาก “ถามเพราะสงสัยต่างหาก แต่คงไม่ได้คำตอบอีกเหมือนเดิม เพราะตลอดทางถามอะไรก็ไม่เคยคิดจะตอบ”


“ก็อย่ามัวแต่มองไปแต่ข้างหน้าสิครับ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปอีกทาง “บางครั้งการมองย้อนกลับไปข้างหลังบ้าง มันอาจจะมีคำตอบให้กับเรา”


หญิงสาวชอบฟังถ้อยคำเชิงปรัชญา และมักถูกใจเมื่อได้ยินเสมอ ทว่าเก็บอาการปลื้มเอาไว้ ไม่ให้คนตัวสูงเหลิงได้ ก่อนจะหันไปมองตามคำแนะนำ เห็นชัดเจนเต็มสองตาเยื้องท้ายรถยนต์ออกไปไม่ไกลมากนักมีคำตอบรอท่าเด่นตระหง่านอยู่บนลานกว้างที่ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวของหล่อน


เครื่องบินลำสีขาวขนาดเล็กแบบเช่าเหมาลำส่วนตัว มีตราของบริษัทเอกชนอยู่ด้านข้าง และห่างออกมาด้านหน้าของยานพาหนะที่ใช้บินบนฟ้าได้ เป็นชายวัยกลางคนอยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาวคงเป็นกัปตันผ่านประสบการณ์ชั่วโมงบินมาสูง ปาริสาพานคิดไปถึงบิดาอีกครั้งจำได้ว่าสมัยยังเล็ก วันเด็กทีไรบิดาไม่พาไปดูรถแข่งก็ไปสนามบินดูทหารขับเครื่องบินไอพ่นกันให้หนวกหู ทว่าเด็กหญิงมักจะแสดงท่าทีว่าชื่นชอบอย่างออกหน้าออกตา



ทว่าตอนนี้เขาไม่ใช่พ่อของหล่อนสักหน่อย ที่จะต้องมาคอยเอาอกเอาใจ ‘พี่ปารีสนะพี่ปารีสที่ให้พาไปเที่ยวมีออกจะเยอะ ทำไมต้องมาทำอะไรแบบทำนองราวกับเป็นเด็กน้อยด้วย’ หล่อนตัดพ้อเขาอยู่ในใจ คิดไปเองตามประสาเป็นตุเป็นตะ ก่อนจะหันไปมองเขากระพริบตาปริบๆ สองสามที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ที่ยืนอยู่ตรงนี้ คือนางสาวปาริสานะคะ ไม่ใช่เด็กหญิงปาริสา” แล้วพยักพเยิดหน้าบุ้ยใบ้ไปอีกทาง “ที่จะให้มาดูคนขับเครื่องบินเล่น”


หล่อนแปลกใจกับเสียงระเบิดหัวเราะของคนร่างสูง ก่อนที่เขาจะยื่นมือมาหยิกแก้ม...อีกแล้ว



“น่ารักจริง ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้” เขาหยุดหยิกแก้มเบาๆ อย่างนึกเอ็นดูแกมหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเอาสองมืออุ่นจัดประคองใบหน้านวลกระจ่างอมชมพูเลือดฝาด จ้องหล่อนด้วยแววตาเป็นประกายแล้วย้ำอย่างชัดเจน


“พี่รู้จ้ะว่าริสาไม่ใช่เด็กหญิง เป็นนางสาวแล้ว” เขาก้มลงกระซิบเบาๆ ให้หล่อนได้ยิน “ก็พี่ยืนยันมาด้วยตัวเองแล้ว ไม่กล้าเถียงหรอกจ้ะ”


โอ๊ย!


“นี่แน่ะ” ปาริสาเป็นฝ่ายหยิกแก้มเขาบ้าง เพียงแต่จัดเต็มไม่ได้เบามือเท่านั้น “ชอบพูดจาแกล้งริสาดีนัก สมควรโดนเสียบ้าง”



“ดุเหมือนกันนะเรา” เขาบอก ก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่าง กำลังจะอ้าปากพูดแต่ก็เปลี่ยนใจ ฉวยจับมือของหญิงสาวไว้แทน “ไปกันเถอะ เราต้องใช้เวลาเดินทางอีก อย่ามัวเล่นกันอยู่เลย จะเสียเวลา”


ปาริสาถูกดึงมายังทางขึ้นเครื่องบิน


“เดี๋ยวนะคะ” ร่างบางหยุดตัวเองไว้แค่ตรงนั้น “หมายความว่าเราจะนั่งเครื่องบินลำนี้ไปด้วยเหรอคะ”


“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนถาม “เราไปนั่งเครื่องบินเล่นกัน ดีไหม เปลี่ยนบรรยากาศ”


“ริสาว่าเราแค่นั่งรถเล่นก็พอ ทำไมต้องเช่าเครื่องบินให้สิ้นเปลืองด้วย”


“เปล่า พี่ไม่ได้เช่า” ร่างสูงตอบทันควัน



“หมายความว่าเขาให้นั่งฟรีเหรอคะ” ปารีสคลี่ยิ้ม


“ครับ”


“ทำไมคะ เนื่องในโอกาสพิเศษอะไร” ร่างสูงหัวเราะกลั้วในลำคอ พลางส่ายหน้าขืนมัวแต่ยืนถามตอบกับแม่สาวน้อยร้อยคำถาม มีหวังเขาไปไม่ทันนัดหมายเป็นแน่


“อยากรู้ ขึ้นไปนั่งบนนั้นให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะตอบ” เขารีบตัดบท ก่อนจะรีบประคองรุนแผ่นหลังร่างบางให้รีบสาวเท้าก้าวขึ้นไปด้วยกัน



ด้านบนปาริสาหมุนมองไปรอบจนคอแทบเคล็ด เบาะนั่งอย่างดีตัวใหญ่ปรับนอนได้สบาย ในความคิดของหญิงสาวแล้วน่าจะเป็นเครื่องบินส่วนตัว มากกว่าจะเป็นแบบเชิงพาณิชย์เช่าเหมาลำ เพราะมีเก้าอี้โดยสารแค่สองเท่านั้นนั่งคู่ติดกัน มองปารีสเอี้ยวตัวไปด้านข้าง ทำเป็นช่องสำหรับเก็บของ เขาหยิบแก้วไวน์มาวางแล้วรินน้ำสีแดงจัดลงไปหลังจากเปิดขวด ก่อนจะจับยื่นมายังหล่อน ร่างบางกลืนน้ำลายลงคอขณะจ้องรอยยิ้มของเขา


มาดเจ้าชายชัดๆ เพียงแค่เปลี่ยนมานั่งเครื่องบินเล็กลำสีขาวแทนที่จะเป็นม้าเท่านั้น ปาริสานึกเปรียบไปในทำนองนี้ เพราะคิดมาตลอดตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ราวกับมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ขณะเหมือนหล่อนกำลังจะหมดลมหายใจไปกับกองหิมะ และดูตอนนี้สิเขาดูเป็นนักธุรกิจใหญ่ มากกว่าแค่หนุ่มนักศึกษาคนหนึ่ง


“รับไปสิครับ” เขาคะยั้นคะยอ “จิบสักนิดแก้หนาวได้”


“ค่ะ” หล่อนรับมาถือไว้ แล้วชวนคุย “ถ้าให้เช่าเหมาลำบินเที่ยวเล่นแบบนี้คงแพงน่าดู เขาคิดวันเท่าไหร่คะ”


ร่างบางหันไปมองรอฟังคำตอบ ปารีสยื่นแก้วในมือของเขามาหา หล่อนเข้าใจความต้องการได้ทันที รีบเอาแก้วของตัวเองไปชนกระทบเบาๆ ร่างสูงยกขึ้นจิบ ปาริสาจึงดื่มของตัวเองบ้าง


“ไม่รู้สิครับ” เขาตอบเสียงเนิบ “ไม่เคยให้ใครเช่า”


หญิงสาวตาโต รีบกลืนน้ำรสชาติหวานอมเปรี้ยวฝาดนิดๆ ลงคอ ถามอย่างประหลาดใจ


“ให้นั่งฟรีตลอด มีด้วยเหรอคะบริการแบบนี้”


“ไม่มีหรอก แต่มันเป็นเครื่องบินของบริษัท” เขาหันมาตอบเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนขยายความ “ไว้ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทนั่ง เวลาต้องเดินทางติดต่อธุรกิจ”


ปาริสาพยักหน้ายิ้มอย่างเข้าใจ


“พี่รู้จักกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในบริษัทนั้นใช่ไหม”


“ก็รู้จักทุกคน” เขาตอบก่อนจะฉวยขวดไวน์มารินเติมให้หล่อน “ทำไมเหรอครับ”


“อ๋อ” ร่างบางลากเสียงยาว “อย่างนี้นี่เอง ที่แท้พี่ก็ใช้เส้นสายนิดหน่อย เลยได้นั่งฟรี” ปาริสาหันไปมองเห็นแววประหลาดในดวงตาคู่นั้นพร้อมรอยยิ้ม เขายักไหล่ก่อนจะตอบ


“ก็ทำนองนั้น”



มันคนละทำนองกันต่างหาก...ปาริสาเพิ่งเข้าใจ เมื่อผ่านไปเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง เครื่องบินส่วนบุคคลลงจอดบริเวณลานกว้างอีกแห่งใกล้กับท่าเรือใหญ่ โดยมีรถยุโรปคันหรูมารอรับ ท่าทีของคนขับรถตลอดจนคนมารอต้อนรับบริเวณซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดรับและส่งสินค้าอุปโภคบริโภคจากนานาประเทศที่หลั่งไหลมารวมกัน ต่างโค้งตัวให้ก่อนจะยื่นมือมาจับ


เรือลำใหญ่นับสิบจอดลอยเทียบท่าขนถ่ายสินค้า ไกลออกไปเหนือน่านน้ำกลางมหาสมุทรยังมีอีกเป็นระยะ เพื่อรอเวลาจอดเข้าเทียบยังชายฝั่ง สมแล้วที่แคนาดาจัดอยู่ในกลุ่ม G8 ติดสิบอันดับแรกของกลุ่มประเทศผู้ผลิต ทั้งทางด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมด้านต่างๆ มากมาย ไทยเองก็มีการส่งสินค้ามาลงยังท่าเรือแห่งนี้เช่นกัน เพราะเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าจากเอเชียผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก


ตลอดทางก่อนจะมาถึงท่าเรือ หล่อนนั่งเงียบกับความคิดของตัวเอง ขณะหูสองข้างฟังหนุ่มผมสีทองอายุคงมากกว่าปารีสหลายปี ทว่ากลับทำท่าพินอบพิเทาให้ความยำเกรงกับคนอ่อนวัย กำลังรายงานผลประกอบการโดยมีปารีสคอยพลิกเอกสารในแฟ้มดูทีละหน้า หญิงสาวเข้าใจว่าเขาต้องเป็นชายหนุ่มมีฐานะคนหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเป็นถึงผู้บริหารธุรกิจใหญ่


ร่างบางพยายามทบทวนชื่อบริษัทตรงปกแฟ้มใต้ตราสัญลักษณ์แบบเดียวตรงข้างลำเครื่องบินโดยสารที่นำพาตนจากภูมิภาคออนตาริโอมาไกลถึงภูมิภาพฝั่งแอตแลนติก หล่อนควรจะปลาบปลื้มและดีใจกับความโชคดีของตัวเอง ทว่ากลับมีความรู้สึกอีกอย่าง...กลัวจับใจ



ปาริสามักจะยืนห่างออกไปเหมือนเป็นคนนอก ส่วนปารีสเองนั้นไม่ได้ทักท้วงเพราะเข้าใจดีถึงความอึดอัดของหญิงสาว ทว่าเขาไม่เคยปล่อยให้หล่อนอยู่พ้นในระยะสายตา ทุกครั้งที่เขาหันไปมอง ต้องมีปาริสาอยู่ตรงนั้น...ยืนอยู่ตรงที่เดิมเสมอ


ร่างบางมองเขาเดินกลับมาหาหลังแยกจากกลุ่มชายสามหญิงสอง คงเป็นพนักงานระดับหัวหน้า ดูเหมือนเขาจะไม่สังเกต หรือเห็นแต่ทำแกล้งไม่รับรู้ต่ออารมณ์เงียบงันของปาริสา ทว่าสัมผัสจากฝ่ามือกว้างที่ยื่นมาลูบศีรษะ ทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น


“รอพี่อยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวจะไปเอารถอีกคันมาวนรับ” เขาพูด


หญิงสาวทำเพียงพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวมองตามแผ่นหลังกว้าง แต่ละช่วงก้าวของเขาเหมือนจะเริ่มห่างออกไปทุกที ก่อนจะหายลับไปกับมุมซอกตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้ารอลงเรือ หล่อนอธิบายความรู้สึกอึดอัดบางอย่างของตัวเองไม่ถูกเช่นกัน ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพื่อสิ่งนั้นจะบางเบาลงบ้าง




“เป็นอะไรไป เห็นนั่งเงียบมาตลอดทางไม่พูดไม่จา” ปารีสตัดสินใจถาม รู้สึกผิดคาดเพราะเขาคิดว่าหากได้อยู่กันตามลำพังเมื่อไหร่ หล่อนต้องยิงคำถามเป็นชุด


“เปล่าค่ะ” หล่อนตอบแบบประหยัดถ้อยคำเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง


“จะไม่ถามอะไรพี่สักหน่อยเหรอ”


ปาริสาเบือนหน้าไปมอง หลังจากนั่งคอแข็งมานานตั้งแต่รถยุโรปสปอร์ตคันหรูมุ่งหน้าจากท่าเรือออกเดินทางอีกครั้ง แม้สงสัยว่าเขาต้องการมุ่งหน้าไปแห่งไหน แต่หล่อนขี้เกียจจะพูดด้วย ร่างบางเม้มปากแน่น กลัวจะเผลอหลุดคำพูดอยากจะโวยวายใส่เขานัก


‘ทีอย่างนี้อยากจะตอบ ก่อนนั้นทำอมพะนำ ไม่ยอมอธิบาย’ หลังจากต่อว่าเขาด้วยสายตาจนสะใจ ก็หันมานั่งคอแข็งจมูกเชิดรั้นเหมือนเดิม


“เลิกงอนเถอะ”


ไม่ได้งอน...แค่น้อยใจ ปาริสาทำตัวเป็นคนใบ้ เก็บคำโต้ตอบไว้ในใจ จะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร เมื่อเขาเห็นว่าความเข้าใจผิดของหล่อนเป็นเรื่องน่าสนุก


“แล้วเลิกตำหนิพี่อยู่ในใจได้แล้ว หันหน้ามาคุยกันดีกว่า” เขาตอบอย่างรู้ทัน


“ขับรถอยู่ก็มองถนนไปสิ จะหันหน้ามาคุยทำไม”


หญิงสาวตอบแบบตีรวน ขณะรู้ดีว่าตนกำลังทำตัวเป็นเด็กๆ ถึงตอนนี้หล่อนจะตกอับไม่มีทรัพย์สมบัติมากมาย ทว่าก็เคยเป็นคุณหนู จึงติดนิสัยแบบนี้อยู่บ้าง มักชอบให้คนอื่นตามง้อพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ พลางบอกควรปรับปรุงด้านนี้เสียใหม่ เพราะหล่อนไม่ใช่คุณหนูปาริสาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว


เขาหัวเราะเบาๆ ไม่ได้หงุดหงิดหรือขุ่นเคืองกับคำตอบ


“ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีแฮะ” ร่างบางขมวดคิ้วเรียวบางหันไปจ้องคนตัวโตที่ยังไม่ยอมหยุดยิ้มกริ่ม มีอะไรให้ชอบใจนักหนาเชียว


“พี่ชอบให้ริสาอารมณ์เสีย หงุดหงิดแบบนี้หรือไงคะ” หล่อนตัดสินใจถาม เมื่อได้ปริปากทำลายความตั้งใจตัวเองว่าจะหุบปากเงียบไม่พูดกับเขาสักพักใหญ่ จึงต้องร่ายยาวต่อ “เลยแกล้งแหย่หลอกให้ริสาเข้าใจอะไรผิดๆ แต่ริสาไม่เห็นจะรู้สึกดีด้วยเลย ไม่อยากเป็นตัวตลกในสายตาของใคร”


“ริสาน่ารักเสมอในสายตาพี่ ไม่รู้สึกดีหรือไงที่ทำให้คนอย่างพี่หัวเราะได้ เมื่อก่อนพี่ไม่ใช่คนยิ้มง่าย หรือหัวเราะบ่อยหรอกนะ”


ความรู้สึกดี เมื่อได้ฟังอะไรที่ถูกใจเป็นแบบนี้นี่เอง ปาริสาบอกตัวเอง

“แล้วทำไมพี่ต้องรู้สึกดีด้วย” หล่อนอยากรู้


“ก็เป็นการบอกให้รู้ว่าตัวพี่มีอิทธิพลกับริสามากกว่าจะสนใจสิ่งอื่น เพราะในชีวิตได้แต่พบเจอคนที่ต้องการ รวมทั้งพยายามผลักไสไล่ส่ง เพียงเพราะ เงิน อำนาจ วาสนา ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ หรือชื่อเสียง ถ้าอยากมีชีวิตรอดด้วยความรักก็ต้องใช้เงินซื้อ คนพวกนั้นต่างหากคือตัวตลกสำหรับพี่ เพราะบางทีความโลภที่ชอบฉกฉวยของจากคนอื่น อาจจะเป็นอันตรายกับเราได้สักวัน ดังนั้นไม่ควรกำจัดศัตรูไปให้ไกลหูไกลตา แต่จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว แล้วเลี้ยงดูให้ดี ทำเพียงแค่เฝ้ามอง จนกว่า...” เขาหยุดพูดแค่นั้น


หญิงสาวจ้องชายหนุ่มตาแทบไม่กระพริบ ได้แต่นั่งฟังเงียบ แปลกนักแม้แต่ลมหายใจของหล่อนก็ยังรู้สึกสะดุดขาดเป็นช่วงๆ กับน้ำเสียงกร้าวอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หลุบเปลือกตามองสองแขนแข็งแรงของเขาเกร็งจากการกำพวงมาลัยแน่น รวมทั้งสัมผัสได้ถึงแววตาเหมือนมีความคับแค้นใจอะไรบางอย่าง หล่อนไม่อาจทราบได้ว่าเวลาของอดีตที่ผ่านมาเขาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง แต่ที่แน่ใจได้อย่างหนึ่งคือ ไม่เคยรู้สึกว่าปารีสเป็นผู้ชายที่หน้ากลัวได้เท่ากับวันนี้



ยังมีอีกหลายอย่างที่หล่อนยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวตนของผู้ชายคนนี้...เขาเป็นใคร?






ร่างสูงมองทะลุกระจกผ่านม่านหมอกหนา ทุกอย่างเบื้องหน้าดูพล่ามัว ทว่าแสงไฟดวงเล็กวับวาวยังคงเล็ดลอดให้ได้เห็น เพียงแค่เคลื่อนรถยนต์ออกไปอีกไม่ไกลเท่านั้นก็จะถึงจุดหมาย ทว่าชายหนุ่มตัดสินใจเหยียบเบรกจอดรถตรงถนนสองข้างทางห้อมล้อมด้วยต้นสนสูงตระหง่าน สองมือแข็งแรงกำพวงมาลัยแน่น


นานจนไม่อยากจะนับวันเวลา กับการกลับมายังบ้านเกิดอีกครั้ง ผืนแผ่นดินของพ่อผู้ให้กำเนิด ทุกอย่างของเขาเริ่มต้นที่นี่ ขณะความรู้สึกบางอย่างแทรกซึมผ่านเข้ามา หดหู่ โดดเดี่ยวและเศร้าใจ เมื่อคิดได้ว่ามันคือจุดสิ้นสุดในชีวิตเช่นกัน ร่างสูงถอนสายตาจากภาพเลือนรางแต่คุ้นชิน เขาหลับตาลงมโนภาพยังสามารถสัมผัสและจดจำทุกอย่าง



ปารีสลืมตาขึ้นประกายความเศร้ายังคงหลงเหลือให้เจ้าตัวเห็น ขณะเหลือบขึ้นมองกระจกรถ ก่อนจะเบือนหน้ามายังหญิงสาว เสียงลมหายใจทอดยาวสม่ำเสมอบ่งบอกได้ว่าหล่อนยังคงหลับสนิท เขาไม่อยากรบกวนช่วงเวลาแบบนี้ ถึงอย่างไรคงไม่เสียเวลามากมาย หากจะจอดรถหยุดพัก อย่างน้อยปาริสาก็ได้หลับยาวโดยไม่มีใครมาขัดจังหวะ ร่างสูงจึงถือโอกาสทิ้งตัวเอนหลังพิงพนักเบาะนั่ง สองแขนประสานไขว้กอดอก ก่อนจะหลับเปลือกตาลงไปพร้อมกับความคิด



อีกไม่นานหล่อนจะได้รู้จักกับใครบางคน พวกเขาเองก็คงรอคอยการกลับมาของเขาอยู่เสมอ และคงเข้าใจความรู้สึกของเขามากกว่าใคร ว่าเหตุใดตนถึงไม่อยากจะกลับมา



“ตอนนี้เราอยู่กันที่ไหน”


ปาริสาถามแก้เขิน หลังจากงัวเงียรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาหันไปปะทะกับดวงตาคมกริบ หล่อนไม่สามารถทราบได้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ทว่าประกายแรงกล้าฉายชัดนั้นกำลังคิดอะไรอยู่


บ้าจริง...เขานั่งมองแบบนี้อยู่นานแค่ไหน หล่อนรู้สึกกังวล มันคงไม่น่าดูนักหรอก กับคนนอนหลับสนิทชนิดต้องเขย่าถึงจะตื่น หญิงสาวรีบยกมือขึ้นลูบมุมปากพลางโล่งใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้นอนน้ำลายยืด


“เดินทางไกลแบบนี้ ริสาคงเหนื่อยมาก แถมต้องมานั่งหลับในรถแบบนี้คงไม่สบายเท่าไหร่” เขาพูดขึ้น “ข้างหน้าอีกไม่ไกลเราก็จะไปถึงแล้ว คราวนี้จะได้นอนหลับสบายบนเตียงนุ่มๆ


ร่างบางพยายามมองฝ่าความมืดออกไปนอกกระจกรถ หล่อนไม่สามารถบอกได้ว่า ‘ข้างหน้า’ ทีเขาพูดถึงคืออะไร นอกจากเงาดำวูบไหวของปลายกิ่งไม้ยาม กับควันหมอกสีเทาขุ่นจางลอยเอื่อยผ่านแสงไฟหน้ารถยนต์


“ข้างหน้ามีโรงแรมให้พักเหรอคะ” หล่อนคาดเดา ก่อนจะหันขวับไปบอก คนที่กำลังขยับเคลื่อนรถตรงไปตามเส้นทางนั้น “ริสาไม่ง่วงแล้ว ไม่ต้องแวะพักก็ได้”

ปาริสาพยายามเบิกตากว้าง ทำหน้าสดใสเข้าไว้เพื่อเป็นยืนยัน เขาหันมายิ้มนิดหนึ่งแล้วพูดขึ้น


“แต่พี่อยากพัก และอยากนอนจะแย่แล้ว”


“นอนในรถก็ได้” หล่อนรีบเสนอทางออก


“ไม่ได้หรอก มันคับแคบจะนอนท่าไหนก็ไม่ถนัด” ร่างบางจ้องคนท่ามากเหมือนจะตำหนิ บอกเสียงจริงจัง


“ก็ไหนเคยตกลงกันแล้วไง”


“ตกลงเรื่องอะไรครับ” เขาถามน้ำเสียงยังคงราบเรียบปกติ ทำเป็นไม่สนใจน้ำเสียงร้อนรนของหญิงสาว



“เราสองคนจะไม่มีอะไรเกินเลยกันอีก จนกว่าจะได้แต่งงานกัน”


ร่างสูงพยักพเยิดหน้ารับทราบคำเฉลย เขาหันมามองหน้าหล่อนแล้วหัวเราะ


“ริสาจริงจังนะ ไม่ได้พูดตลกให้ฟัง ทำไมต้องหัวเราะ” หล่อนย่นจมูกตวัดค้อน ก่อนจะย้ำทิ้งท้าย “ยังไงก็ต้องรักษาสัญญา”


“สัญญาข้อไหนครับ” คนตัวสูงทำมึน



“บอกอยู่เมื่อกี้หยกๆ” หล่อนหันมาบอก “ว่าริสาจะ...”


“อ๋อ เราสองคนจะไม่มีการทดสอบภาคปฏิบัติกันรอบสอง” เขาเลือกใช้คำเสียดิบดี แต่จบท้ายได้ไม่ถูกใจคนฟังนัก “แต่อย่าลืมนะครับริสาผิดสัญญากับพี่ก่อน”



“ผิดสัญญาเรื่องอะไร”


“โถ คนดี อย่าทำแกล้งเป็นลืมสิครับ” เขาหันมาบอกสีหน้าเจ้าเล่ห์



คิ้วเรียวบ้างขมวด สมองกำลังขบคิดว่าหล่อนเผลอไปพูดสัญญาอะไรไว้ เพราะหลังเหตุการณ์ในคืนพายุหิมะผ่านพ้นไปจนกระทั่งถึงตอนนี้ มีทั้งข้อตกลง ขอร้อง วิงวอนเชิงบังคับเสียเยอะไปหมด แล้วจะมามัวคิดให้เสียเวลาอยู่ทำไมกัน



“ผิดสัญญาเรื่องอะไร” หล่อนตัดสินใจถาม


“ก็สัญญานั้นจะเป็นโมฆะ หากริสามายั่วยวนให้พี่อดใจไม่ไหว” เขาเฉลย


หญิงสาวเม้มปากแน่น...เพราะนึกได้ว่าหลังจากเสร็จสิ้นมืออาหารชวนอึดอัดนั่งเกร็งมาตลอดของโรงแรมที่พัก ในช่วงการเดินทางไปแค้มป์ลานสกี หล่อนถึงกับต้องลากเขาไปยังมุมลับตา ปล่อยให้ทวีปและเขมิกาเดินนำล่วงหน้าไปก่อนโดยทั้งคู่ไม่ได้หันมามอง


ยอมรับว่าเคยออกปากไปจริงหลังจากขอร้องเขาจริงจังแกมบ่นอีกรอบ เรื่องเขาชอบแกล้งทำเป็นลืมสิ่งที่เคยข้อร้องไว้ แถมพยายามเอาอกเอาใจหล่อนอย่างออกนอกหน้า


‘ก็ได้ พี่จะไม่ทำให้น้องริสาต้องอึดอัด จะทำตามคำขอร้องครับผม’ เขาโค้งศีรษะลงล้อเลียน ‘แต่ต้องแลกกับสัญญากับพี่สักข้อ’


‘สัญญาอะไรคะ’


‘สัญญาว่าห้ามมายั่วยวนให้พี่อดใจไม่ไหว ไม่อย่างนั้น...’ เขาเว้นจังหวะหยุดพูดไปเสียเฉยๆ เหมือนตั้งใจรอให้หล่อนสนใจ จนต้องออกปากถามเสียเอง

‘ทำไมคะ”


‘จะไม่รับประกันความปลอดภัยของน้องริสา’ ข้อตกลงประหลาด คือสิ่งเดียวที่หล่อนคิดตอนนั้น เพราะมั่นใจตนไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบหว่านหรือบริหารเสน่ห์ยั่วกิเลศผู้ชายคนไหนแน่นอน

‘ก็ได้เป็นอันตกลงตามนี้’ เขาเลิกคิ้วสูงมองหล่อน


‘ทำไมตัดสินใจตอบตกลงง่ายจัง จะไม่คิดให้ดีเสียก่อนหรือไง’ เขาเตือน


‘ทำไมต้องคิด เพราะริสามั่นใจว่าไม่มีทางจะไปยั่วยวนให้พี่ตบะแตกแน่นอน รับประกันได้’ หล่อนพูดติดตลก อย่างไม่ใส่ใจมากนัก


‘แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ’ เขายื่นมือมาบีบปลายจมูก หัวเราะในลำคอ “คนสวยของพี่’

คนซวยเสียมากกว่า เจ้าเล่ห์นัก...หล่อนมองคนตัวสูงด้วยแววตากล่าวโทษ


เขายังคงทำหน้าที่เป็นสารถี นำหล่อนไปยัง ‘ข้างหน้า’ ต่อให้เป็นระดับหรูแค่ไหนโรงแรมแห่งนั้นคงไม่ต่างจากโรงเชือดสำหรับปาริสา หล่อนเริ่มไม่พอใจ


“ริสาไปยั่วพี่ตอนไหนกัน เผลอหลับสนิทมาตลอด เพิ่งตื่น ก็เห็นกันอยู่”


“ก็นั่นไง” เขาพยักหน้ายอมรับ “ให้ตายเถอะ ไม่เคยเห็นใครนอนแล้วดูเร้าใจขนาดนี้ รู้ไหมว่าพี่ต้องใช้ความอดทนขนาดไหน ที่จะไม่ปลุกให้เราตื่น”


“คนทะลึ่ง” หล่อนพูดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกแก้มสองข้างร้อนวูบวาบ ไม่อยากยอมรับว่าร่างกายมีปฏิกิริยากับคำพูดชวนให้ใจสั่นหวิวแบบแปลกๆ


“ผู้ชายเขาคิดกันแค่เรื่องแบบนี้หรือไง เวลาอยู่กับผู้หญิง”

ปาริสาถาม แค่ต้องการหาเสียงอะไรสักอย่าง มากลบกลืนจังหวะการเต้นของหัวใจ ราวกับกลัวเขาจะได้ยิน แม้ร่างกายจะปฏิเสธการใกล้ชิดเกินเลย ทว่าหัวใจกลับโหยหาอ้อมกอดเขาเสมอ..หล่อนรู้ดี เพียงแต่อยากจะสัมผัสความรักมากกว่าความใคร่ ทว่าสองสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะแยกออกจากกันได้ง่าย
ปารีสก็เป็นเพียงผู้ชายปกติทั่วไปย่อมฝืนธรรมชาติของตัวเองไม่พ้น ทว่าเขาจะให้น้ำหนักสิ่งไหนมากกว่ากัน



“จะเอาความจริง หรือเรื่องโกหกล่ะ” เขาถาม

“แล้วแต่จะสะดวกตอบค่ะ” ร่างบางทำเสียงเหมือนจะประชด เพราะทำใจได้แล้ว ถ้าพ่อเจ้าพระคุณไม่อยากจะพูด ต่อให้เอาเหล็กมางัดก็ยากจะง้างปากให้ตอบได้ ดูเหมือนเขาจะสัมผัสอารมณ์หล่อนได้จึงหันมามอง

อะไรกันรอยยิ้มประหลาดแบบนั้น

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเข้าไปตอบกันข้างในแล้วล่ะ ในรถมันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ลงจากรถกันเถอะ” และก่อนร่างสูงจะขยับตัว ได้หันมาถามหล่อนว่า


“น้องริสาชอบนอนห้องแบบไหนครับ ห้องใหญ่ หรือห้องแบบธรรมดา รู้สึกว่าที่นี่จะมีห้องเตียงคู่ด้วยนะ สำหรับแขกที่มาพักกันหลายคน หรือจะเลือกแบบเตียงเดี่ยวก็ได้นะ ที่นี่เตียงกว้างมากนอนได้สองคนสบาย”


อะไรกันทำไมเขาต้องพูดไปยิ้มไปด้วยแบบนั้น แถมยังจะมาเสนอหน้าใกล้ๆ หัวเราะชอบใจอีกต่างหาก หล่อนไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอะไรมากมาย ทว่าสีหน้าคงดูกระอักกระอวนพิกล จนเขาเห็นว่ามันน่าขัน

คนบ้า!
หากก้าวขาลงจากรถ ไม่ต้องให้ใครมาไขข้อข้องใจ ก็พอจะเอาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และท่าทางของปารีสเป็นอะไรที่เดายากว่าเขาตั้งใจจะทำมันจริงๆ หรือแค่แกล้งขู่ไปอย่างนั้น เพราะสนุกกับการแหย่หล่อนเล่นเหมือนอย่างที่เคยชองทำเสมอเมื่อมีโอกาส



ปาริสาเดินตามร่างสูงทิ้งระยะห่างอย่างตั้งใจ จนเขาต้องเหลียวหลังมามองยืนกอดอกรอจ้องเขม็ง แม้อยู่เพียงแค่แสงสลัวหล่อนยังเห็นประกายระยิบในดวงตาคมกริบและรอยอมยิ้มยั่วแหย่ เล่นเอาแทบเดินสะดุดขาตัวเอง เลิกมองเขารักษาระดับสายตาไว้แค่ปลายคางขึ้นแนวเคราเห็นรำไร หญิงสาวนึกประชด เพราะมัวแต่วุ่นวายกับแผนการพาสาวเดินทางรอนแรมมาไกลขนาดนี้อยู่กระมัง ถึงไม่มีเวลาแม้กระทั่งโกนหนวด แต่กลายเป็นว่าหล่อนนึกชอบมันมากกว่าใบหน้าสะอาดสะอ้านผิวเนียนเกลี้ยงจนหน้าอิจฉานั้นมากกว่าเสียอีก

“ขาก็ไม่ได้สั้นนี่นา ทำไมเดินช้า” เขาถามเมื่อหล่อนเดินมาหยุดตรงหน้า

“อย่างน้อยขาก็ยาวสู้พี่ไม่ได้หรอก”

“อะไรนะ” เขาถามเมื่อหล่อนบ่นอุบเบาๆ จนเขาแทบไม่ได้ยิน

“ทำไมเหรอคะ คงคาดหวังให้ริสาเดินลิ่วๆ ตัวปลิวไปนอนรอท่าอยู่บนเตียงล่ะสิ” เขายิ้มกว้าง หล่อนย่นจมูก โดนพูดกระแทกใส่หน้าขนาดนี้ยังจะมาทำหน้าถูกใจอีก...ปาริสาหมั่นไส้ขึ้นมากะทันหัน

“เป็นความคิดที่ดี” เขายกมือขึ้นลูบปลายคาง คงรู้สึกรำคาญเคราตัวเองอยู่บ้าง “ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะนอนเตียงแบบไหน” เขาวกกลับมาคำถามเดิมที่หล่อนได้แต่นิ่งเงียบมาตั้งแต่ในรถไม่คิดจะตอบ


“เรื่องสถานที่ไม่สำคัญหรอก อยู่ที่จิตใจมากกว่า” คนตรงหน้าตอบเสียงหวานยิ้มนิดๆ แค่ปากเท่านั้น เพราะแววตาหล่อนเหมือนแมวดุที่พร้อมจะกางกรงเล็บขวนเขาได้หากไหวตัวทำอะไรไม่เข้าท่า


ปารีสจึงยื่นเงียบ สองแขนกอดอกตัวเองกระชับไว้ เพื่อไม่ให้เผลอคว้าหญิงสาวมากอด เพราะหมั่นเขี้ยวกับความน่าเอ็นดู เจ้าหล่อนยังไม่รู้ตัวอีกว่าโดนเขาแกล้งอำมาตั้งแต่ต้น ร่างสูงจึงได้แต่กลั้นยิ้ม ฟังหล่อนเจรจา



“ต่อให้เป็นเตียงที่ลอยลงมาจากวิมาน มันก็ไม่ต่างจากกระทะทองแดงหรอก หรือพี่อยากจะลงนรก มันบาปนะถ้าผู้หญิงไม่เต็มใจด้วย”


“พี่จะพาริสาขึ้นสวรรค์ จะลงไปนรกกันทำไม”

“คนบ้า!” หล่อนตีแขนเขา “พูดจาทะลึ่งดีนัก” แต่ตัวเองต้องสะบัดมือไปมาเพราะดันเจ็บแทน

“เจ็บมากไหม”

“ยังมีหน้ามาถามอีก” หล่อนส่งตวัดปลายห่างตาค้อน มองรอยแดงจางๆ บนฝ่ามือ พลางบ่นอุบ

“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเลือดเนื้อถึงแข็งอย่างกับท่อนไม้ เพราะพี่ชอบใจร้ายกับริสา”

“ไอ้ที่ตีไปมันกล้ามแขนต่างหาก ไม่ใช่ท่อนไม้” เขาบอก “ถ้าพี่เป็นท่อนไม้ไปจริง แล้วริสาจะเสียใจ”

“เป็นท่อนไม้ก็ดีกว่าเป็นเสือใจร้ายเสียอีก”

“ว่าพี่ใจร้ายอีกแล้ว” ปารีสโคร่งศีรษะ ก่อนจะพูดให้ฟัง “รู้ตัวไหมว่าริสาเป็นผู้หญิงคนแรกที่พี่ยอมเปิดใจ คุยดีด้วย”

คนฟังถึงกับย่นจมูก


“สามวันดี สี่วันไข้น่ะสิ” หล่อนประชด “ไม่อยากจะนึกวันไหนถ้าพี่นึกใจร้ายขึ้นมา คงถูกพี่จับหักคอจิ้มน้ำพริกไม่เหลือซากเป็นแน่”


ปาริสาก้าวถอยหลังกรูด เมื่อร่างสูงขยับเข้ามาประชิดกะทันหัน ไม่ได้กลัวแค่ระวังตัวนิดหน่อยเท่านั้น เพราะไม่รู้เขาต้องการอะไร ทว่าหล่อนจะหนีไปไหนได้อีกเมื่อถูกเขาต้อนจนแผ่นหลังชนกับต้นไม้ หล่อนถูกกั้นทางหนีเมื่อตกอยู่ภายใต้วงแขน ร่างบางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา


“พี่จะทำอะไร”


หล่อนถามขณะสัมผัสได้ว่าดวงตาคมกริบถักทอประกายแรงปรารถนาบางอย่าง จนปาริสารู้สึกเหมือนขาสองข้างไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยืน ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ทว่าสิ่งเดียวกันนั้นกำลังเผ่าไหม้หล่อนจนหลอมละลาย หญิงสาวอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก จนต้องเผยอปากสูดอากาศเข้าปอด ร่างบางแลบปลายลิ้นสีชมพูออกมาช่วยให้อาการรู้สึกลำคอและเรียวปากบางที่รู้สึกแห้งฝืดแม้กระทั่งยังกลืนน้ำลายไม่ลงนั้นดีขึ้น กำลังจะทำอีกรอบทว่าถึงกับชะงักรีบเก็บลิ้นตัวเอง เมื่อพบว่าคนตรงหน้ากำลังมองมาตาปรอย


“ริสาทำแบบนั้นกับพี่อีกแล้วนะ” เขาพูดขึ้น


“ริสาทะ...ทำอะไร” หล่อนถามตะกุกตะกัก จิตใจไม่อยู่กับตัว เพราะใบหน้าคมคายใกล้หล่อนมากจนสามารถสัมผัสลมหายใจของอีกฝ่ายได้ถนัดถนี่

“ก็ที่ทำเมื่อกี้ไง” เขาบอก ส่วนปาริสารู้และเข้าใจดีถึงความนัยที่คนตรงหน้าต้องการสื่อ


“แต่ริสาไม่ได้ตั้งใจจะยั่วยวนพี่สักหน่อย แค่รู้สึกปากแห้ง ใครๆ เขาก็ทำกัน” พยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ ให้ตรงข้ามกับหัวใจที่กำลังเต้นรัว


“ใครจะทำก็ช่างเขา” ร่างบางผะงักเล็กน้อยเมื่อเขาลดมือมืออีกข้างมาจับประคองแก้ม โดยอีกมือก็ยังทำหน้าที่กั้นไม่ให้หล่อนสามารถเบี่ยงใบหน้าหลบได้ “แต่ริสาห้ามทำแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายคนไหนเด็ดขาด โดยเฉพาะกับพี่”




ปาริสาทำเพียงแค่เผยอปากยังไม่ทันจะถามว่าเพราะอะไรด้วยซ้ำ หล่อนหมดสิทธิ์ได้พูดโดยปริยายเมื่อริมฝีปากเย็นจัดของคนตัวสูงโน้มลงมาประกบ เขาจุมพิตหล่อนหนักหน่วงเรียกร้องมากกว่าครั้งไหนๆ เหมือนคนเดินทางรอนแรมในทะเลทรายแห้งแล้งขาดน้ำมานาน พอได้เจอแอ่งน้ำจึงรีบตักตวงดื่มกินเหมือนไม่รู้จักพอ สองมือที่จับประคองใบหน้าเปลี่ยนมาตวัดร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด เมื่อเขาแน่ใจได้แล้วว่าปาริสาไม่ขัดขืนหรือดิ้นรน กลับพอใจเมื่อคนในวงแขนจูบตอบเขาได้อย่างน่ารักแบบไม่ประสีประสา แต่ไม่เป็นไรสำหรับเขาแล้วยังมีเวลามากแบบไม่จำกัดชั่วโมงเรียนเพื่อสอนบทเรียนรักให้กับลูกศิษย์คนนี้ แค่เขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์

บ้าจริง...หญิงสาวนึกดุตัวเอง สมองบอกตลอดเวลาว่าอย่าใกล้ชิดกับเขามากเกินงาม ขณะหัวใจเฝ้าแต่โหยหาอ้อมกอดแสนอบอุ่นเช่นนี้เสมอ บัดนี้สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือร่างกายกลับทรยศหักหลังกันได้ลงคอ ยิ่งถูกกอดแน่นมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกายกลับเบียดเข้าหามากขึ้นพร้อมจะละลายหลอมรวมเป็นร่างเดียวกับเขา


หยุดแค่นี้เถอะ..พอก่อน ปาริสาห้ามตัวเองว่าควรผลักถอยออกมา ร่างกายเหมือนจะหมดแรง เขาจูบหล่อนราวกับจะพรากลมหายใจเฮือกสุดท้าย อึดอัดเหมือนจะขาดใจทว่าเป็นความทรมานที่รู้สึกดีอย่างประหลาด


แย่แล้ว...ถึงเวลาหรือยังปาริสา หล่อนบอกตัวเอง ตอนนี้ไม่ใช่แค่จูบอย่างเดียว มือไม้ของเขาก็เริ่มอยู่ไม่สุข หญิงสาวรู้สึกได้ว่าชายเสื้อด้านหลังถูกร้นขึ้นสูง ฝ่ามือร้อนจัดลูบไล่แผ่นหลังเอนลง เพราะถูกกดประทับรอยจุมพิตหนักหน่วงมากขึ้น และมากขึ้น ดูเหมือนอารมณ์ของเขาก็ไม่ต่างจากหล่อนมากนัก ยังกู่ไม่กลับ


ปึก! ตะขอเสื้อชั้นในด้านหลังดีดตัวหลุดออกจากกัน เมื่อมือซุกซนปลดออกโดยไม่ทันได้รับอนุญาตด้วยซ้ำ ก็จะใช้อะไรพูดในเมื่อคนทำไม่ยอมถอนริมฝีปากจากหล่อน ปาริสาละล้าละลังควรทำอย่างไร มือปลาหมึกเริ่มคืบคลานเปลี่ยนทิศ อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะเข้าสู่เขตอันตรายห้ามผ่าน

ไหลตามน้ำหรือว่ายหนีขึ้นฝั่งเอาตัวรอดหล่อนกำลังตัดสินใจ





หญิงสาวเพิ่งจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนคราวนี้ ความรู้สึกซาบซ่านเพราะแรงคลื่นสิเน่หาขณะมีสติครบถ้วน ว่ามันช่างแตกต่างเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่นในครั้งก่อน หากตอนนั้นคือความฝัน ปัจจุบันก็คือความจริงสินะ ได้สัมผัสแนบกายฝากร่างกำลังหลอมละลายคล้ายถูกดูดกลืนวิญญาณอยู่ภายใต้อ้อมกอดของชายคนรัก



มือกว้างแข็งแรงผ่านการจับอุปกรณ์กีฬามานานสากหยาบกระด้างเล็กน้อย ราวกับปลายไม้วิเศษของพ่อมดกำลังร่ายมนต์สะกดให้หล่อนไม่สามารถขัดขืน ดิ้นรนหรือปฏิเสธ เขาได้ก้าวข้ามไปยังพื้นที่เขตอันตรายและกำลังสำรวจอย่างแผ่วเบาสลับหนักหน่วง สิ่งที่เพิ่งถูกปลดพันธนาการดูเหมือนจะยินดีสนองรับกับการสัมผัส หล่อนกำลังสำลักความสุขซาบซ่าน ทำได้แต่เพียงปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งสู่ก้นลำธารของอารมณ์เหนือการควบคุม

“พะ...พี่ ปารีส”

ร่างบางหลุดเสียงแหบเบา เมื่อเรียวปากบางได้รับอิสระ ทว่าหล่อนต้องสะดุดคำพูดตัวเอง เมื่อเขาฝังใบหน้าลงตรงซอกคอขาวนวลและกำลังพรมจูบลากไล้ไปตามผิวเนียน ก่อนจะขบเม้มใบหูเบาๆ อย่างหยอกเอิน หญิงสาวคอย่น ร้นถอยหนีเพราะแนวเคราปลายคางที่เคยนึกชอบก่อนนั้น กำลังสร้างความปั่นป่วนวาบหวิวเกินจะทน

“อยู่เฉยๆ สิครับ อย่าขยับ”

เขาบอกหล่อน แต่มือไม้ของเขากลับไม่อยู่เฉยยังคงทำหน้าที่อย่างชำนิชำนาญ หล่อนอยากบอกไปแบบนั้นเหมือนกัน ว่าให้อยู่เฉยๆ หยุดกระทำแบบนั้น เพราะหล่อนไม่สามารถดึงสติตัวเองกลับมาได้ ทว่าเหมือนมีอะไรมาเย็บปากไว้จนพูดไม่ออก ปล่อยให้เขาตักตวงสำรวจอย่างใจเย็น


“เห็นไหม ว่าคอสวยๆ แบบนี้ ไม่หักจิ้มน้ำพริกให้เสียดายหรอก เปลี่ยนมาทำอย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือไง”

ปารีสประทับรอยจูบตรงลำคอเพรียวเนียนผุดผ่องอีกครั้ง เขาตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ อยากจะประทับตราจองเป็นเจ้าของไปแทบทุกตารางนิ้วบนตัวหล่อน ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจทำไมถึงเกิดความรู้สึกนี้... กลัว

เขากลัวอะไรกันแน่? อารมณ์บางอย่างแทรกผ่านเข้ามา ไม่เคยนึกปรารถนาและต้องการผู้หญิงคนไหนจนถอนตัวและหัวใจไม่ขึ้น รู้สึกหึงหวงฉับพลัน ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนที่บังเอิญผ่านมาแล้วฉกเด็ดดอกไม้งามนี้หลุดไปจากมือ


“อุ้ย!”
หญิงสาวอุทาน ร่างสูงถึงรู้ตัวว่าเขาเผลอหนักมือ แต่กลับรู้สึกพอใจกับรอยแดงตรงคอขาว เหมือนตนได้ประทับตราเป็นเครื่องหมาย ‘ผู้หญิงคนนี้มีเจ้าของแล้ว’



“ริสา” เขากระซิบเสียงหวาน “ยอมพี่สักครั้งได้ไหม แค่ครั้งนี้”


ชายหนุ่มรู้ดีว่าเห็นแก่ตัวขนาดไหน ที่สำคัญรู้ดีด้วยซ้ำว่าค่ำคืนท่ามกลางความหนาวติดลบหลายองศาก่อนนั้นเขามีความสุขและอบอุ่นหัวใจขนาดไหน เพราะไม่ได้ดื่มจนเมาขาดสติ ทุกอย่างยังคงชัดเจนจนเขาอยากจะสัมผัสมันอีกครั้ง ‘ความสุข’


‘พี่รักริสามากเหลือเกิน’ เขาตะโกนก้องอยู่ในอก ยากจะหักห้ามใจตัวเองเต็มกลืน เขาไม่เคยคิดจะยกเอาอุบายข้อตกลงแบบนั้นมาใช้กับหล่อน นึกอยากแกล้งสนุกเท่านั้น เพียงแต่ขอแค่ครั้งนี้เท่านั้น ครั้งสุดท้าย จนกว่าเวลาที่ถูกต้องจะมาถึงปารีสบอกตัวเอง

“ริสา” เขาได้แต่เรียก เมื่อหล่อนเอาแต่เงียบไม่ยอมตอบ

หากทว่าเมื่อหญิงคนรักกระชับวงแขนกอดเขาแน่นขึ้นเป็นความนัยบอกให้รู้ ร่างสูงจุดรอยยิ้ม เพราะรู้มานานแล้ว แม้ปาริสาจะแสดงออกแบบไม่ประสีประสา ทว่าตัวเหมือนเจ้าตัวคงจะไม่รู้ว่าหล่อนคือเชื้อเพลิงอย่างดี เพียงแค่เขาจุดไฟเท่านั้น


“เราไปกันเถอะ” ปารีสฉวยมือหญิงสาว

“ไปไหนคะ”


“ตรงนี้เลยเหรอ ไม่ดีมั่ง บนพื้นมีแต่ปลายหญ้าแหลม มีหินกรวดทราย” เขาพยักพเยิดหน้าให้หล่อนมองรอบตัว “พี่ไม่อยากให้อะไรบังอาจมาสัมผัสโดนตัวน้องริสาได้ ยกเว้นพี่คนเดียวเท่านั้น”


“ริสา ยังไม่ได้รับปาก ตกลงยินยอม นะคะ” หล่อนบอก


“แต่พี่ก็ไม่ได้ยินริสาตอบปฏิเสธนี่ครับ”


“ก็เพราะรู้ว่า ผู้ชายอย่างพี่ หากต้องการอะไรแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ปฏิเสธไปก็เหนื่อยเปล่า” ปารีสหัวเราะกลั้วในลำคอ หยิกแก้มหล่อนอย่างเบามือ


“จะไม่ให้แสดงออกว่ารักริสามากขนาดนี้ได้ไง ก็รู้ใจกันขนาดนี้” ปาริสาแกล้งปัดมือเขาออก ตวัดปลายหางตาค้อน ก่อนถามย้ำ


“ผู้ชายแสดงความรักกับผู้หญิงแบบนี้เหรอคะ”



“มันเป็นส่วนหนึ่งของความรัก” เขาตอบ “เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ริสาต้องอยู่กับพี่สักร้อยปีเป็นอย่างน้อย แล้วจะรู้ว่าพี่สามารถทำอะไรเพื่อริสาได้บ้าง”


“แล้วถ้าพี่ไม่รักริสาล่ะคะ” หล่อนถามขณะเขาพาหล่อนเดินไปเรื่อยๆ เขาหันมามอง คิ้วหนาเป็นระเบียบเลิกขึ้นสูงอย่างสงสัย

“ทำไมถึงถามคำถามที่ไม่มีทางเป็นไปได้”

“ก็เผื่อถ้าหากวันหนึ่ง พี่เลิกรัก แล้วหันมาเกลียดริสาแทน”
เขาหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ทว่าก็ยินดีตอบคำถามตามตรง

“พี่ก็ยังสามารถทำแบบนี้ได้ ผู้ชายถึงไม่รัก แต่ก็คงไม่ปฏิเสธความต้องการ ฝืนธรรมชาติตัวเองได้หรอก”


“แสดงว่าเมื่อถึงเวลานั้น กับริสาพี่ก็แค่มีความต้องการ แต่ไม่ใช่ความรัก”

เขาชะงักเท้าหยุดเดิน หันมาประจันหน้าแล้วจ้องด้วยแววตาคมกริบ สีหน้าท่าทางแบบนี้หล่อนเคยเห็นมาแล้ว เวลาพูดอะไรไม่เข้าหูพ่อเจ้าพระคุณ หญิงสาวรู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นสันหลัง กับสีหน้าเคร่งเครียด

“บอกแล้วไงว่าเป็นไปไม่ได้ พี่ไม่มีทางจะเลิกรักริสาได้ง่ายๆ จำไว้ด้วย” เขาหมุนตัวเดินไปข้างหน้า แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากหล่อน ยังคงดึงรั้งท้ายตามติดตัวไปด้วย


“พี่กำลังอารมณ์ไม่ดี” หล่อนพูดขึ้น

“รู้ตัวด้วยเหรอครับ ว่าคำพูดของริสาทำให้พี่อารมณ์เสีย”

“ริสาไม่ได้ตาบอด” หล่อนตอบเขา “ที่จะมองไม่เห็น”
เจ้าตัวกลั้นยิ้ม แปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกดีที่ได้ยั่วอารมณ์ใครบางคนเล่น พลางฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเพื่อเดินเคียงข้างคนร่างสูง


“อารมณ์เสียแบบนี้ พี่คงหมดอารมณ์อย่างอื่นแล้ว” หล่อนพูดขึ้น “เราไม่ต้องไปเปิดห้องให้เปลืองเงินหรอก กลับไปที่รถกันเถอะ”


ร่างสูงหันมายิ้มประหลาด


“ไม่ต้องห่วง พี่สามารถแยกแยะได้ อารมณ์เสีย กับอารมณ์อยากเมคเลิฟกับน้องริสา มันคนละอารมณ์กัน”

“แต่ริสาหมดอารมณ์แล้วค่ะ”
หล่อนตอบไปตามความจริง เพราะช่วงเวลาวาบหวิวใจสั่นพานหมดเรี่ยวแรงได้ผ่านพ้นไปแล้ว และขณะนั้นแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง พอได้มีเวลาหายใจหายคอคล่อง สมองเริ่มมีสำนึกกับตัวเอง ทว่าต้องเม้มปากแน่น กับคำพูดของเขา


“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เถอะ สะกิดนิดสะกิดหน่อย เดี๋ยวน้องริสาก็มีอารมณ์เอง”



ปาริสาคาดเดาเอาว่าข้างหน้าคงเป็นโรงแรมให้นักเดินทางไกลได้แวะพัก และคงระดับไม่ใหญ่มากนัก หรือคงจะเป็นบ้านพักเชิงรีสอร์ท เพราะดูจากสภาพแวดล้อมเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตัวเมืองหลวง และหญิงสาวไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าตอนนี้หล่อนเดินทางมาถึงรัฐมณฑลอะไรของแคนาดา คงต้องรอให้คนต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เดินเยื่องนำหน้าออกไปเล็กน้อยอ้าปากบอกเองโน่นแหละถึงจะทราบได้

ร่างบางชำเลืองมองใบหน้าด้านข้าง ทันสังเกตได้ว่ารอยยิ้มแววล้อเลียนเมื่อครู่เลือนหาย แทนที่ด้วยความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ยืนยันได้จากการกระชับบีบมือหล่อนแน่นกว่าเดิม คิ้วเรียวบางขมวดอย่างนึกสงสัยถึงท่าทีเปลี่ยนไป และแน่นอนอารมณ์ขณะนี้ไม่ใช่อารมณ์อยากจะเมคเลิฟกับหล่อนแน่นอน ร่างบางระบายลมหายใจบอกไม่ถูกว่าควรโล่งใจหรือเสียความรู้สึก หากเขาคิดเปลี่ยนใจ


ทางเดินปูด้วยหินเนื้อเรียบจัดวางทอดยาว สองข้างขนาบด้วยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่คละกันไป พ้นจากแนวเงาไม้ความสว่างเจิดจ้าจากดวงไฟทำให้มองอะไรได้ชัดมากขึ้น ขณะกำลังเดินอยู่บนสะพานโค้งข้ามลำธารเพราะได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยระริน และเงาน้ำสะท้อนกับแสงไฟวูบวาบ เบื้องหน้าเห็นได้ถนัดตาเพราะภายนอกเปิดไฟไว้รอบบริเวณบ้านหลังใหญ่ เห็นหลังคาหลายระดับสไตล์ล็อกเคบิน หล่อนคุ้นตาคล้ายกับเคยเห็นในนิตยสารเมื่อนานมาแล้ว ยังไม่ทันได้เรียบเรียงความทรงจำ ก็ถูกดึงหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปอีกทิศ นึกสงสัยว่าเขาจะลากตัวหล่อนไปไหนกันแน่


“จะไปไหนคะ ดูเหมือนตอนแรกเราจะพักกันที่บ้านหลังนั้น” หล่อนตัดสินใจถาม


“อ๋อ ใช่” เขาตอบ “แต่เกิดนึกเปลี่ยนใจ เพราะมีที่อื่นอยากไปมากกว่า”




‘ที่อื่น’ หากเจอเตียงหรูหราใหญ่โตกว้างขวางชนิดเขาเคยบอกว่านอนสองคนได้สบาย หล่อนจะไม่แปลกใจ และมองเขาตาค้างอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ หากไม่ใช่คนตัวสูงเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันนึกอยากจะมา คือ บ้านหลังเล็กกะทันรัดผนังรอบด้านทำจากไม้เนื้อหยาบ และที่สำคัญมันไม่ได้มีไว้สำหรับคนพักอาศัย เพราะรอบตัวตอนนี้เต็มไปด้วยพืชผักและธัญพืช ร่างบางแน่ใจได้ทีเดียวว่ามีไว้สำหรับเก็บผลผลิตต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในฟาร์มหรือปศุสัตว์


“ทำหน้าแบบนี้ไม่ชอบหรือไง” เขาหันมาถามสองมือล้วงกระเป๋าหลังจากเดินสำรวจทำเลอะไรสักอย่าง “ไหนว่าไม่อยากเปลืองเงิน”


“พี่จะนอนที่นี่” ปาริสาเสียงสูงอย่างแปลกใจ เขาพยักหน้าก่อนจะพูดต่อท้ายให้เสร็จสรรพ


“กับริสา”


“ถ้าพี่เป็นนักศึกษาธรรมดา ที่ยังต้องแบมือของเงินพ่อกับแม่ ริสาคงยอมหรอกค่ะ” หล่อนมีเกี่ยงงอนไม่เต็มใจ “แต่ระดับเจ้าของกิจการ มีเงินทองมากมาย แค่คำพูดริสา ถึงกับยอมพามาในที่แบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือไงคะ”


“ไม่เกินไปหรอก กระท่อมไม้หลังเล็กแทบไม่มีอะไรบนยอดเขาสูง เรายังเคยมาแล้ว” เขายังคงบอกหล่อนเสียงเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านอารมณ์หญิงสาว “กับบ้านไม้หลังนี้ใหญ่กว่าที่นั่นตั้งเยอะ เรามาทบทวนความหลังกันที่นี่ดีกว่า บรรยากาศไม่ต่างกันมาก”


ปาริสาย่นจมูกให้กับคนที่อยากสร้างบรรยากาศแบบแปลกๆ ก่อนที่หล่อนจะพูดอะไรมากไปกว่านั้น ร่างสูงก็เข้ามาสวมกอด เรียวคิ้วบางขมวดเพราะเขาแค่กอดกระชับไว้ในอ้อมแขนเท่านั้น


“อยู่แบบนี้สักพักเถอะ” เขาพูดขึ้น และยังคงพึมพำเสียงเบา “ตอนนี้ เฉพาะแค่ตอนนี้ แค่ยืนอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็พอ”


หญิงสาวรู้สึกราวกับหล่อนเป็นคนอื่นในอ้อมแขนของเขา นึกสงสัยว่าปารีสกำลังโหยหาถึงใคร ปาริสาหน้ามุ่ยรู้สึกไม่พอใจขึ้นมากะทันหัน อารมณ์หึงของผู้หญิงที่แท้ก็เป็นแบบนี้ หล่อนเพิ่งเข้าใจ



มุกมาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มี.ค. 2556, 10:43:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2556, 11:47:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1775





<< ตอนที่ 14 ท่วงทำนองแห่งรัก    สิ่งที่ได้รู้และเรื่องประหลาดใจ ตอน 19 >>
ลิลลี่ 21 มี.ค. 2556, 15:31:25 น.
พี่ปารีสนี่พูดตรงมาก จะเมคลงเมคเลิฟก็ขอกันตรงๆเลย555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account