สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๒๐ (ลงให้อ่านเป็นตอนสุดท้าย) ฝากติดตามอีก "ครึ่งเ่ล่ม" ที่เหลือในหนังสือค่ะ

หลังจากผ่านขั้นตอนการเซ็นชื่อกำกับในเอกสารไม่กี่ฉบับ ในที่สุดกระดาษสีขาวสองแผ่นก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้าหนุ่มสาวทั้งสองที่นั่งอยู่เคียงข้างกันโดยไม่มีคำพูดใดแม้สักคำ ฝ่ายชายเหลียวมามองคนข้างกายแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือมาหยิบเอกสารทั้งสองแผ่นสอดใส่แฟ้มด้วยตนเอง เขาค้อมศีรษะให้ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย แล้วลุกจากเก้าอี้ หันไปจับข้อศอกหญิงสาวประคองให้เธอลุกขึ้นยืนเช่นกัน

ดวงหน้าที่แหงนขึ้นมามองสบตากับเขาขาวเผือด หน่วยตาเรียวยาววาววับเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา คนมองเสเบือนสายตาไปทางอื่น พึมพำถามแค่ “เดินเองไหวไหม”

แทนคำตอบ มือเย็นเฉียบคู่นั้นกลับคว้าท่อนแขนเขายึดไว้เป็นหลัก เรือนร่างสูงโปร่งแทบจะเอนพิงทิ้งน้ำหนักให้เขาทั้งตัว เป็นอิริยาบถที่บอกให้รู้ว่าเธอแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพยุงตัวให้ยืนตรงอีกเลย

แม้หัวใจจะเจ็บปวดชาร้าวจนแทบไม่เหลือความรู้สึก แต่วินาทีนั้นชายหนุ่มกลับสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่กระตุกวาบขึ้นชั่วแวบ น่าขัน...จากคนที่หวังดีต่อแพรวเพชรที่สุด วันนี้เขากลับกำลังยินดีที่เห็นเธออ่อนแอ!

เมื่อกึ่งโอบกึ่งประคองหญิงสาวกลับมาถึงรถ เขาหันไปทางบุรุษสูงวัยสองท่านที่เดินตามหลังออกมาห่างๆ พยักพเยิดแสดงความขอบคุณผ่านทางสายตา แล้วจึงเปิดประตูรถให้หญิงสาวก้าวเข้าไปนั่ง

หลังติดเครื่องยนต์เรียบร้อย ปล่อยให้เครื่องปรับอากาศทำงานไล่ไอร้อนออกไปจนเหลือเพียงความเย็นฉ่ำ ผู้ที่นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลาก็หันมาทางเขา เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ทำไมพี่นราถึงทำแบบนี้คะ พี่บังคับเพชร...” คนพูดกลืนก้อนสะอื้นลงในอกอย่างยากเย็น “พี่ไม่รักเพชรแล้วหรือคะ พี่นรารังเกียจเพชรใช่ไหมถึงได้ทำอย่างนี้”

นราธิปมองหยดน้ำตาที่ไหลเปื้อนพวงแก้มนวลด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเธอแค่รับผลจากการกระทำของเขาเท่านั้น ส่วนเขานั้นคือผู้ที่ลงมือเฉือนหัวใจตัวเองออกจากอก!

“ที่พี่ทำแบบนี้ก็เพราะรักเพชรต่างหาก พี่อยากให้เพชรได้เลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่เลือกในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสม” เขาดึงเอกสารแผ่นหนึ่งออกจากซองมาวางบนตักหญิงสาว “เก็บไว้ สักวันมันจะมีประโยชน์ ส่วนนี่...” เขาหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งวางซ้อนทับเอกสารใบแรก “พี่ยกให้เพชรทั้งหมด”

“เพชรบอกเหรอว่าเพชรต้องการน่ะ” เสียงกรีดร้องกราดเกรี้ยวดังขึ้นทันที เป็นกิริยาที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อนเลยตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา

“ถ้าต้องรอให้เพชรบอก พี่คงเป็นสามีที่แย่เต็มที” ชายหนุ่มเสียงเศร้าโดยไม่รู้ตัว หารู้ไม่ว่าคำพูดนั้นกลับไปแตะโดนปุ่มโมโหเดือดของคนฟังเข้า

ดวงตาแพรวเพชรวาวจ้า ผวาพรวดเดียวใช้สองมือทุบแขนอีกฝ่ายไม่ยั้ง “พี่พูดแบบนี้ได้ยังไง พี่นราใจร้าย”
เสียงสะอื้นเจือรอยน้ำตายังไม่กรีดหัวใจชายหนุ่มได้เท่ากับคำสุดท้าย เขาเนี่ยนะใจร้าย! ไม่จริงเลยสักนิด เพราะถ้าใจร้ายจริง เขาคงไม่เลือกวิธีประหารตัวเองที่เลือดเย็นแบบนี้หรอก

นราธิปรวบมือน้อยทั้งสองข้างแล้วโอบเธอเข้ามากอดไว้แทน มือหนึ่งลูบศีรษะคนในอ้อมกอดอย่างปลอบโยน ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

แพรวเพชรซุกหน้าร้องไห้อยู่กับอกเขาอีกนาน ไม่มีท่าทีว่าจะสงบง่ายๆ ในที่สุดชายหนุ่มจึงตัดใจดันไหล่เธอออกห่าง หยิบกล่องหนังสีดำบรรจุทิชชูมายื่นส่งให้ “เพชรควรเรียนรู้ที่จะหัดเช็ดน้ำตาให้ตัวเองได้แล้วนะ”

แพรวเพชรกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น จำใจยื่นมือไปดึงกระดาษมาซับน้ำตาบนใบหน้า ไม่มีอาการกระแทกกระทั้นใดๆให้เห็นสักนิด เหมือนว่าเธอควบคุมตัวเองจากอาการเสียศูนย์เมื่อครู่ได้แล้ว

นราธิปยิ้มด้วยความพอใจ เมื่อเธอตั้งสติได้แล้วจึงเอ่ยต่อ “พี่มีเรื่องอยากจะขอร้องเพชร”

“คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้วใช่ไหมคะ”

“ที่พี่จะขอร้องก็คือ ขอให้เพชรปิดเรื่องนี้เป็นความลับก่อน ห้ามบอกใครเด็ดขาด แม้แต่ยายอิงก็ด้วย ขอให้เป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงคะ ในเมื่อทนายที่พี่นราพามาด้วยเซ็นชื่อเป็นพยานในการหย่าไปแล้ว”

“เขาเป็นทนายของบริษัท มีหน้าที่รักษาความลับของลูกความอยู่แล้ว สองคนนั้นจะไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังแน่นอน”

“ถ้าเมื่อกี้เพชรไม่เซ็นชื่อ จะเป็นยังไงคะ” แพรวเพชรเสียงอ่อย

“พี่รู้อยู่แล้วว่าเพชรต้องเซ็น เพชรอยู่ใกล้แม่พี่มากจนมีนิสัยท่านติดมาด้วยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือไม่ชอบเป็นที่สนใจ พี่เตรียมวิธีไว้หลายอย่างเพื่อกล่อมเพชรเซ็นใบหย่าให้ได้ และพี่ดีใจที่ไม่ต้องทำอะไรที่ว่านั่น”

“ทำไมไม่บอกเพชรก่อนคะ ไม่คิดว่าจะง่ายกว่าเหรอ”

“ถ้าบอกก่อน เพชรคงไม่ยอมมาเขตกับพี่ พี่รู้จักเพชรดีถึงตัดสินใจทำแบบนี้ จะโกรธว่าพี่บังคับก็ยอมละ”

แพรวเพชรถอนหายใจ “นี่ยายอิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ออฟฟิศเมื่อวานนี้ให้พี่นราฟังใช่ไหมคะ เมื่อคืนพี่กลับบ้านดึกมาก เพชรรู้นะว่าพี่หลบหน้าเพชร”

“เมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นเหรอ” นราธิปฉงน แม้เมื่อวานจะพบอิงอรุณและตามอีกฝ่ายไปคุยธุระที่ร้านเค้กหวาน แต่น้องสาวไม่เห็นเอ่ยถึงหรือเล่าอะไรให้ฟังสักคำ

“พี่นราไม่ทราบหรือคะว่า...พี่เผ่ามาที่บริษัท”

“เขามาทำไม”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ “ถ้าพี่นราไม่รู้เรื่องนั้น แล้วทำไมพี่ถึงได้พาเพชรมาหย่าล่ะคะ”

“พี่ตั้งใจไว้พักใหญ่แล้วละ สั่งให้ทนายร่างข้อตกลงการหย่าไว้ พอเสร็จเรียบร้อยก็ตัดสินใจมาจัดการเสียให้จบๆไปยังไงล่ะ”

“พี่นรา...” คนฟังห่อไหล่ซุกตัวลงกับเบาะอย่างหมดแรง

“ตกลงว่าผู้ชายคนนั้นมาที่บริษัททำไม” นราธิปมุ่งตรงไปยังประเด็นที่ข้องใจ

“เขา...” แพรวเพชรตะกุกตะกัก “เขา...บอกว่าจะทำทุกอย่างให้...เพชรกลับไปอยู่กับเขา”

“กลับไปอยู่ด้วยกันเฉยๆอย่างเก่าน่ะเหรอ” อดไม่ได้เลยที่น้ำเสียงของเขาจะมีแววเย้ยหยัน

“เขาพูดถึงการแต่งงานด้วยค่ะ” วิธีที่แพรวเพชรรีบอธิบายทำให้นราธิปเสียดลึกในใจเหมือนทุกครั้ง ดูเธอจะห่วงภาพลักษณ์ของหมอนั่น และพร้อมกุลีกุจอปกป้องไม่ให้ใครมองคนรักในแง่ร้ายเลย

“งั้นการที่เราหย่ากันก็น่าจะทำให้เรื่องง่ายขึ้น” เขาสรุปดื้อๆ “แต่...คงจะไม่ใช่ในเร็วๆนี้หรอกนะ ก็อย่างที่พี่บอกนั่นแหละ ขอให้เพชรเก็บเรื่องที่เราหย่ากันไว้ก่อน ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด”

“ทำไมต้องทำอย่างนั้นคะ” แพรวเพชรขมวดคิ้ว

“พี่มีเหตุผลของพี่ และไม่ต้องการอธิบายให้เพชรเข้าใจด้วย” เขาตัดบท ก่อนสำทับซ้ำ “ถึงเราจะหย่ากันแล้ว แต่เพราะใครๆยังไม่รู้เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเพชรจะทำอะไรก็ระมัดระวังตัว อย่าทำให้ตัวเองเสื่อมเสียเกียรติ แล้วก็อย่าให้เทียมสุบรรณต้องแปดเปื้อนเด็ดขาด”

แพรวเพชรกะพริบตาปริบๆมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “พี่นราทำทั้งหมดนี่เพื่ออะไรคะ”

“ขอให้เชื่อเถอะว่าพี่ทำเพื่อเพชรเสมอ” เขานิ่งไปอึดใจแล้วจึงยกมุมปากขึ้นนิดเดียว แต่ดูออกว่ามิใช่ยิ้มพึงใจ มันเหมือนรอยเย้ยหยันมากกว่า ก่อนเค้นประโยคสุดท้ายช้าๆ คล้ายสลักถ้อยคำนั้นลงในหัวใจตนเอง
“เพราะ...บางครั้งการปล่อยให้คนที่เรารักเดินจากไปก็เป็นความรักอย่างนึงเหมือนกัน”
.
.
.
.
.
“คุณเผ่าภาคิน” เพียงก้าวออกจากลิฟต์ชั้นล่างสุดของสำนักงาน เสียงเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงผวามายืนตรงหน้า เผ่าภาคินกวาดตามองชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดผิวสีดำแดงด้วยอาการไม่ไว้ใจ แต่พยายามซ่อนกิริยานั้นไว้เท่าที่ทำได้ แม้เมื่อการุณปราดเข้ามาประกบเพื่ออารักขา เขาก็ยังส่งสายตาไปปรามให้อีกฝ่ายอย่าเพิ่งวู่วาม

“ครับ คุณมีธุระอะไรกับผมไม่ทราบ” เขาถามเสียงไร้อารมณ์

“ผมแสงฟ้า เจ้าของบริษัทไทยแสงฟ้าที่เคยเสนอข้อตกลงธุรกิจมาให้คุณพิจารณา”

ชายหนุ่มผงกศีรษะเป็นเชิงว่าจำได้ เลขาฯโทร.เข้าไปรายงานตั้งแต่บ่ายแล้วว่าผู้ชายคนนี้มาขอพบ เขาปฏิเสธไปโดยไม่หยุดคิด ประชาสัมพันธ์คงให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเชิญตัวแขกที่ไม่ได้นัดหมายและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบลงมายังชั้นล่างสุดของอาคาร ไม่คาด...ว่าแสงฟ้าจะดักคอยอยู่ตรงนี้เกือบสี่ชั่วโมงเข้าไปแล้ว

“ผมอยากให้คุณทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง ผม...ผม...ผมจำเป็นต้องขายบริษัทนี้จริงๆ การที่คุณตอบปฏิเสธทำให้บริษัทที่มาเลย์ถอนข้อเสนอออกไป ผมมืดแปดด้านแล้ว ไม่รู้ว่าจะหันไปพึ่งพาใครจริงๆ” ร่างสันทัดคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ทั้งยังแทบจะกอดขาเพื่อรั้งเขาไว้เลยด้วย

“เท่าที่จำได้ นั่นไม่ใช่ปัญหาของผมนะ” เผ่าภาคินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบขณะสีหน้ามีร่องรอยสมเพชจางๆ ผู้ชายคนนี้ช่างไร้ศักดิ์ศรีเสียจริง ยอมมาอ้อนวอนคนแปลกหน้าด้วยเงินแค่ไม่เท่าไร

“คุณเผ่าภาคิน ลูกสาวผมเรียนไฮสกูลอยู่ที่อเมริกา ผมต้องหาเงินส่งค่าเทอมไปให้ลูก ถ้าคุณไม่ช่วย ผมจบเห่แน่ ลูกผมอาจจะถูกไล่ออกก็ได้ ได้โปรดเถอะ ซื้อบริษัทของผมไปที”

หัวใจคนฟังอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว แวบหนึ่งเขานึกถึงกานติมาทันที “ค่าเทอมลูกสาวคุณเท่าไหร่”

“ผมไม่ต้องการอย่างนั้น ผมอยากขายบริษัท” แสงฟ้าคร่ำครวญ

ชายหนุ่มส่ายหน้า “คุณขอมากกว่าที่ผมจะให้ได้ ขอโทษที ผมมีธุระ” เขาผละจากไปขึ้นประจำที่คนขับของรถโฟร์วีลสีดำซึ่งพนักงานนำมาจอดรอหน้าล็อบบี้ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
.
.
.
.
.
วินเซนต์ ลักกี้ ชาร์ลี โยนแฟ้มบางๆลงบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดนิดๆขณะส่ายหน้าประกาศความผิดหวังชัดแจ้ง กิริยาเช่นนั้นเป็นผลให้ชายฉกรรจ์สวมสูทสีดำสองนายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

“ข้อมูลในแฟ้มละเอียดดี ถือว่าทำได้ดีมาก แต่น่าเสียดายนะ เพราะฉันยังไม่ได้คำตอบในสิ่งที่อยากรู้เลยสักข้อ” ชายหนุ่มเปรยลอยๆด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไร้อารมณ์ แต่คนใกล้ชิดรู้ว่านั่นเป็นการตำหนิ

“พวกนายทำได้ดีที่สุดแค่นี้จริงๆเหรอ” ดวงตาสีน้ำตาลตวัดมองคนตรงข้าม “ฉันต้องการตัวผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่แฟ้มประวัติตั้งแต่เกิดจนโต ของแค่นี้ฉันใช้อินเทอร์เน็ตหาเองก็ได้โว้ย!” ถ้อยคำผรุสวาทภาษาอังกฤษท้ายประโยคกอปรกับสีหน้าแดงก่ำและเส้นเลือดตรงขมับที่เต้นตุบ อธิบายความโกรธเกรี้ยวของชายหนุ่มได้ดีไม่แพ้กัน

“ข้อมูลบางอย่างเราต้องใช้การแฮ็คจากระบบคอมพิวเตอร์ครับบอส ที่ผ่านมา...ทุกครั้งที่ต้องทำงานด้านนี้ เราใช้คนของพาร์กิ้นอินเตอร์ฯ ผมก็เลยเกรงว่า...”

“พวกนายจะทำยังไงก็ตาม ฉันไม่สน แค่เอาตัวผู้หญิงคนนั้นมาให้ฉันก็พอแล้ว อ้อ...ฉันอยากรู้เพิ่มอีกข้อนะ ว่าพาร์กิ้นเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ อย่าให้ฉันต้องทวงคำตอบอีกละ” เพียงจบประโยควินเซนต์ก็หมุนเก้าอี้หันหลัง ทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างผ่านตึกสูงของเมืองแคนเบอร์ราแทนการตัดบท

เสียงประตูงับลงเบาๆจากเบื้องหลังทำให้ชายหนุ่มคลายมือที่กำแน่นออกช้าๆ ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกถึงความคาดหวังบางเบาซึ่งตกหล่นอยู่ในหัวใจ แม้ไม่แน่ใจนักว่าการพบตัวจอมขวัญจะให้ผลลัพธ์ดังที่ต้องการจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อย...นั่นน่าจะคลี่คลายสิ่งที่เขาต้องการรู้ เช่นจอมขวัญมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเผ่าภาคิน และเธอสำคัญต่อผู้ชายไทยคนนั้นมากแค่ไหน เพราะบางทีคำตอบที่ได้อาจทำให้เขามีแต้มต่อในการเจรจาธุรกิจครั้งต่อๆไป!
.
.
.
.
.
แพรวเพชรย่อตัวลงเพื่อให้ลูกสาวโผเข้ามากอดได้สะดวก เธอวาดแขนโอบรอบกายกานติมาจนพอใจ แล้วจึงรุนหลังเด็กหญิงออกเล็กน้อยเพื่อจูบแก้มทักทายเช่นทุกวัน ครั้นยืดตัวขึ้นเพื่อบอกลาคุณครูที่เดินมาส่งลูกสาว จึงเห็นว่าฝ่ายนั้นแต้มยิ้มพลางพยักพเยิดไปยังด้านหลังของเธอ หญิงสาวเหลียวตามไปทันที แล้วหัวใจก็เต้นโลดแรงโดยไม่ทันควบคุม เมื่อเห็นเรือนร่างสูงเจนตาคุ้นหัวใจกำลังตรงเข้ามาหาเธอและลูก

แพรวเพชรตวัดตาเหลียวมองกระจกด้านข้าง สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองจากเงาสะท้อนของประตูกระจกบานที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดด้วยความลืมตัว ปากเม้มนิดๆเพื่อให้สีลิปสติกทั้งริมฝีปากบนและล่างกลมกลืนแนบเนียนเสมอกัน ทันทีที่ชายหนุ่มมายืนตรงหน้า เธอก็แต้มยิ้มไว้รอท่าได้ทันท่วงที

“พี่เผ่า...สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทักทายเสียงเบาตะกุกตะกัก รู้สึกเงอะงะ มือไม้เก้งก้างอย่างบอกไม่ถูก

“สวัสดีจ้ะเพชร สวัสดีครับคุณครู” ผู้มาใหม่ก้มศีรษะทักทายเรียงคน ก่อนจะย่อตัวลงจนเกือบจะคุกเข่าส่งยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อยด้วยความตั้งใจ “สวัสดีครับ หนูกานคนเก่ง”

“จำลุงเผ่าได้ไหมลูก” แพรวเพชรเขย่ามือลูกสาวกระตุ้น

กานติมาพยักหน้า แต่เมื่อเหลียวไปเห็นสายตาดุๆของมารดาก็ชะงัก รีบเปลี่ยนเป็นคำตอบรับ “จำได้ค่ะ สวัสดีค่ะลุงเผ่า” มือกลมป้อมของเด็กหญิงพนมทำความเคารพ ศีรษะเล็กๆผงกผลุบผลับ

ไม่ใช่ลุงเผ่า! หนูต้องเรียกว่าพ่อต่างหาก เผ่าภาคินตะโกนก้องในใจ ทว่ากลับทำได้เพียงเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเด็กหญิง พยายามฝืนกลืนกลั้นความตื้นตันใจลงในอกอย่างยากเย็น

กานติมาถอยกรูดไปหลบหลังมารดาด้วยท่าทีระแวดระวัง และนั่นทำให้ชายหนุ่มระลึกได้ว่า เด็กหญิงถูกอบรมมาอย่างดีไร

“หนูกานเก่งจัง จำลุงได้ด้วย” เขาหักใจที่จะดึงตัวกานติมาเข้ามากอด ฝืนลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง

ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่หนากว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มาดที่สง่างามดูดี กอปรกับหน้าตาหล่อเหลา ยิ้มยาก แลเคร่งขรึม แพรวเพชรจึงไม่แปลกใจเลยที่เพียงเผ่าภาคินส่งยิ้มไปให้คุณครูประจำชั้นของกานติมา พวงแก้มของสาวใหญ่ถึงกับซ่านขึ้นเป็นสีเรื่อกว่าปกติในทันที!

เพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นครูของกานติมาเสหลบตาชายหนุ่มทั้งยังก้มหน้าซ่อนยิ้ม แพรวเพชรก็เกิดอาการจี๊ดๆวาบขึ้นในใจปัจจุบันทันด่วน พร้อมกับนึกอยากจะหันไปแหนบนิ้วลงบนแขนคนหว่านเสน่ห์ข้างกายเข้าให้สักหน หรือไม่ก็คว้าแขนเขามาควงประกาศความเป็นเจ้าของเสียให้รู้กันไป!

ทว่าหญิงสาวก็แค่คิด เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติของชีวิตเธอเลย

“พี่เผ่าผ่านมาแถวนี้หรือคะ” แพรวเพชรรีบถาม หมายจะขัดจังหวะการส่งสายตาของชายหนุ่ม ทั้งยังประกาศความสนิทสนมกับผู้ชายคนนี้กลายๆ

“ไม่ได้ผ่านครับ ตั้งใจมาที่นี่เลยต่างหาก พอดีคุณนราธิปไม่ว่าง เลยวานให้พี่มารับเพชรกับหนูกานแทนน่ะ”

คนฟังขมวดคิ้ว เพราะไม่ได้ยินนราธิปพูดถึงเรื่องนี้เลย หลังการหย่าเสร็จสิ้น เขาพาเธอไปส่งที่ออฟฟิศของคิวปิดฯ แล้วจึงแยกไปกระทรวงโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ จนช่วงสายคนขับรถของคฤหาสน์เทียมสุบรรณก็นำเลกซัสสีขาวไปส่งยังสำนักงาน เธอจึงได้รู้ว่า ‘อดีตสามี’ สั่งการตระเตรียมทุกเรื่องไว้แล้วอย่างที่บอกจริงๆ

แพรวเพชรวางตัวกับสถานภาพใหม่ของตนเองไม่ถูก ใจหนึ่งเกรงว่าเผ่าภาคินจะไปดักพบที่บริษัท เพราะหลังจากที่ยอมกลับไปแต่โดยดีตามคำขอร้อง ชายหนุ่มพยายามติดต่อกับเธอทางโทรศัพท์ตลอดทั้งคืน กระนั้นเธอกลับตัดสายทิ้งไม่ยอมรับสักครั้ง เพราะเธอรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องนักหากจะติดต่อกับผู้ชายอื่นลับหลังสามี

แล้วดูเถิด! จู่ๆเช้าวันนี้เธอกลับกลายมาเป็นแม่ม่ายสามีหย่าไปโดยแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัวล่วงหน้า บางทีหญิงสาวก็ไม่แน่ใจนักว่านี่คือรางวัลหรือบทลงโทษต่อความผิดของเธอเมื่อสี่ปีก่อนกันแน่

แม้จะเป็นอิสระจากพันธนาการที่เคยคิดว่าแน่นหนา ทั้งยังผูกรั้งเธอไว้กับความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถรักนราธิปดังที่เขาต้องการได้ แทนที่จะโล่งใจหรือดีใจเพราะจะมีโอกาสได้เลือกและตัดสินใจใหม่อีกครั้ง หญิงสาวกลับใจหายอย่างอธิบายไม่ถูก

การที่ผู้ชายซึ่งเคยรักเธอสุดหัวใจยอมถอดใจวางมือจากเธอง่ายดายเช่นนี้ ตามประสามนุษย์ที่ปรารถนาอยากเป็นที่รักของใครสักคน อยากมีคุณค่าเป็นที่ต้องการอยู่ตลอดเวลา การเลือกถอยหลังจากไปของนราธิปย่อมสะเทือนต่อความเชื่อมั่นในตนเองของเธอไปบ้างไม่มากก็น้อย

หญิงสาวจมอยู่กับความไม่แน่ใจ ลังเล และกังวลว่าเธออาจไม่ใช่แพรวเพชรคนที่เป็นที่รักของใครดังเช่นในวันวานอีกต่อไปแล้ว แม้จะเริ่มต้นจากความกังวลว่าเธอไม่สามารถรั้งหัวใจของนราธิปไว้ได้ดังเดิม แต่ตอนท้ายแพรวเพชรกลับห่วงใยไปถึงสิ่งที่เผ่าภาคินจะรู้สึกกับเธอ

บางที...หากเขารู้ว่าเธอเป็นอิสระแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกับใครอีกคนหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มอาจจะหมดสนุกกับเกมนี้อย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการอีกต่อไป...

ความสับสนมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในห้วงความคิด แพรวเพชรไม่อาจบังคับตัวเองให้หยุดฟุ้งซ่านได้เลย ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนของกานติมา ผู้ช่วยกามเทพสาวจึงรีบถือโอกาสนี้ชิงออกจากสำนักงานทันทีเพื่อมารับลูกสาวทั้งที่วันนี้ไม่ใช่คิวของเธอ แล้วดูเถิด...เผ่าภาคินกลับมาดักพบเธอที่นี่เสียอย่างนั้น

นี่เธอควรดีใจไหม ที่ชายหนุ่มเดาใจ คาดความคิด และประเมินการกระทำของเธอได้ราวกับมานั่งอยู่ในใจ!

“ขอบคุณพี่เผ่ามากค่ะ เลยต้องรบกวนพี่ไปด้วยเลย”

“รบกวนที่ไหนกัน พี่เต็มใจมากกว่า อีกอย่างเราก็คนกันเองทั้งนั้น” เผ่าภาคินเย้ายิ้มๆ เขาบอกลาคุณครูแล้วกึ่งมองกึ่งบังคับด้วยสายตาให้แพรวเพชรกระทำเช่นเดียวกัน จากนั้นปลายนิ้วอุ่นก็แตะเข้าที่ข้อศอกของหญิงสาว บอกด้วยกิริยาให้เธอเดินนำ แพรวเพชรจึงจูงกานติมาก้าวไปตามทางเดินเพื่อกลับไปที่รถโดยไม่มีคำพูดใดต่อกัน

เมื่อแน่ใจว่าพ้นจากรัศมีการได้ยินของบุคคลที่สามแล้ว แพรวเพชรจึงกระซิบถาม “พี่นราให้พี่เผ่ามารับเพชรกับลูกจริงๆหรือคะ”

“เปล่า!” ชายหนุ่มปฏิเสธหน้าตาเฉย “พี่พูดอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้คุณครูของหนูกานมองเพชรในแง่ไม่ดีน่ะ ให้เขาเข้าใจว่าพี่มาเพราะนายนั่นวานจะดูดีกว่า”

“ขอบคุณมากค่ะ แม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ก็ขอบคุณที่พี่ใส่ใจคำนึงถึง”

“อืม...เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม”

คนฟังชักระแวง “อย่างอื่นนี่มันอะไรกันคะ”

เผ่าภาคินหยุดเดิน รั้งข้อศอกหญิงสาว รอจนเธอหันมามองด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม แล้วจึงส่งยิ้มให้แพรวเพชร “วันนี้...พี่ขอเวลาที่เหลือของเพชรกับลูกได้ไหม” เขามองเลยไปยังเด็กหญิงที่จูงมือมารดาอีกข้างหนึ่ง แล้วเบือนสายตากลับมายังหญิงสาวด้วยสายตามีความหวัง “พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้เพชรเสื่อมเสียหรือเสียหายเด็ดขาด” เผ่าภาคินรีบเสริม “แล้วจะไปส่งเพชรที่บ้านก่อนสามทุ่มด้วย”

“แต่ว่าหนูกานต้องเข้านอนตอนสองทุ่มนะคะ”

“รับรองว่าพี่ไม่ทำให้หนูกานผิดวินัยหรอกจ้ะ” เขารับคำด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลหยุดคิด ก็รีบแบมือมาตรงหน้าทันที “ขอกุญแจรถเพชรด้วย พี่จะให้คนขับไปส่งที่บ้านให้”

แพรวเพชรอิดออดไม่แน่ใจ ทว่าเขาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ ใช้วิธีหันไปหาตัวช่วยแทน “หนูกานครับ วันนี้ลุงเผ่าจะชวนหนูกานไปเที่ยวที่บ้านลุงเผ่า ไปด้วยกันไหมครับ ลุงมีพี่ไดโน่รอเล่นกับหนูกานอยู่ด้วยนะ”

เด็กหญิงตาโต ท่าทางสนใจอย่างเห็นได้ชัด “พี่ไดโน่คือใครหรือคะ”

“ก็เป็น...พี่ไดโนเสาร์ที่กินข้าวได้ แล้วก็เล่นกับหนูกานได้ด้วยยังไงละครับ” เขาเหลือบมองมารดาของเด็กหญิง เห็นแพรวเพชรตั้งท่าจะอาละวาดที่ซี้ซั้วซื้อของเล่นให้กานติมา จึงรีบอธิบายต่อทันที “แต่ลุงเผ่าให้หนูกานเล่นพี่ไดโน่ได้อย่างเดียวนะครับ หนูกานพากลับบ้านไม่ได้น้า เพราะพี่ไดโน่ชอบอยู่บ้านลุงเผ่า”

“แม่ขา...กานอยากเจอพี่ไดโน่ ไปบ้านลุงเผ่ากันนะคะ” เด็กหญิงตกหลุมพรางคนเจ้าเล่ห์โดยง่าย

แพรวเพชรแสร้งถอนหายใจ ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจรังงอนอะไรมากมายสักนิด เธอล้วงกุญแจรถจากกระเป๋าส่งให้ชายหนุ่ม “ก็ได้ค่ะ”

เผ่าภาคินดีใจ รีบนำสองแม่ลูกผ่านรั้วของสถานรับเลี้ยงเด็กออกมา เขามองเลยไปยังร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม พยักหน้าทีเดียว บุรุษชุดดำนายหนึ่งก้าวเร็วๆเข้ามาหา

“การุณ รู้จักคุณแพรวเพชรไว้สิ” เขาแนะนำ ซึ่งอีกฝ่ายก็ก้มศีรษะทักทายหญิงสาวทันที “การุณเป็นคนสนิทของพี่ ถ้าเพชรมีอะไรต้องการเรียกใช้ก็บอกเขาได้เลยนะ”

“สวัสดีค่ะคุณการุณ” แพรวเพชรส่งยิ้มเป็นมิตรให้ “เพชรเคยเจอคุณแล้วใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ ผมเป็นคนคุมทีมงานของนากามูระส์ นำของขวัญไปส่งให้คุณเพชรเอง” ผู้มาใหม่อธิบาย

เผ่าภาคินตัดบทการทักทายด้วยการส่งกุญแจให้ลูกน้องและสั่งการ เพียงชั่วครู่เลกซัสสีขาวของแพรวเพชรก็แล่นออกจากที่จอด สามคนที่เหลือจึงเดินข้ามถนนไปยังรถโฟร์วีลสีดำฝั่งตรงข้าม

เจ้าของรถปลดล็อกรถแล้วเปิดประตูด้านหลังอวดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “พี่ซื้อคาร์ซีตมาติดตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว หนูกานจะได้นั่งสะดวกๆ” ชายหนุ่มอวดเก้าอี้ติดตั้งในรถยนต์สำหรับเด็ก ซึ่งสามารถปกป้องเด็กได้ดีกว่าการนั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยแบบปกติ

“เก้าอี้สีชมพู!” กานติมาร้องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

แพรวเพชรตวัดตามองชายหนุ่มที่มีสีหน้าลุ้นๆคล้ายรอรับคำชมอยู่แล้วเผลออมยิ้มอย่างอดไม่ได้ กระนั้นเพราะไม่อยากให้คนทำดีได้ใจมากเกินไป จึงให้ความเห็นแค่ “รอบคอบดีค่ะ”

“คนขายบอกว่าเด็กสามขวบจะนั่งสบาย แถมยังนั่งได้จนถึงเจ็ดขวบเลยด้วย” เผ่าภาคินเอาหน้าใหญ่

“ลองนั่งดูนะคะลูก” แพรวเพชรทำเป็นไม่ได้ยิน อุ้มลูกสาวขึ้นไปนั่งบนเบาะตัวใหม่ แล้วคาดเข็มขัดสายรัดให้เรียบร้อย “แน่นไปหรือเปล่าคะหนูกาน”

“ไม่แน่นค่ะแม่ กานชอบเก้าอี้สีชมพู” กานติมาตบเบาะนุ่มๆข้างตัวด้วยความพอใจ

“เก้าอี้ตัวนี้ของหนูกาน ลุงเผ่ายกให้หนูเลย ถ้าหนูชอบ ไว้ลุงจะสั่งซื้อชุดโต๊ะของเล่นสีชมพูมาให้หนูหมดเลยดีไหม...เอ้อ...ดีไหมคะ” เจ้าของเสียงห้าวบีบเสียงหนุงหนิงชวนคุยอย่างเก้ๆกังๆ

ยังไม่ทันที่กานติมาจะตอบ คนเป็นแม่ก็ขัดขึ้นก่อน “ไม่ดีค่ะ เพชรไม่ซื้อของเล่นให้ลูกแบบตะบี้ตะบันตามใจ พี่เผ่าจะเล่นกับลูกเพชร ก็ควรเคารพกติกาของเพชรด้วย”

“ดุจัง” เผ่าภาคินทำหน้าจ๋อย หันไปพยักพเยิดกับเด็กหญิง “แม่หนูกานดุ๊ดุ”

แพรวเพชรกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ เมื่อกานติมาส่ายหน้าหวือ รีบปกป้องแม่ด้วยการบอก “แม่ไม่ดุนะคะ แม่ใจดี แต่แม่ไม่ชอบให้กานนิสัยไม่ดีต่างหาก”

หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้คนที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ไม่ห่าง เอ่ยอย่างคนที่ถือไพ่แต้มสูงกว่า “ทีนี้ก็รู้แล้วนะคะ อย่ามาสปอยล์ลูกสาวเพชรอีก”

เผ่าภาคินใช้ข้อนิ้วเคาะศีรษะสตรีผู้เป็นที่รัก “นี่แน่ะ! ซ้ำเติมพี่ ต้องถูกทำโทษ” พูดจบคนตัวสูงก็หมุนกายอ้อมหลังรถไปยังฝั่งคนขับ เปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งอย่างงอนๆ หลังจากติดเครื่องรถเรียบร้อยแล้วจึงตะโกนบอก “ขึ้นรถได้แล้ว อย่ามาขี้โกงเวลาของพี่”

แพรวเพชรยู่หน้าใส่คนเอาแต่ใจ ทว่าก็ยอมงับประตูหลัง แล้วเปิดประตูข้างหน้า วางกระเป๋าไว้บนเบาะด้านในเพื่อเหยียบบันไดปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ข้างคนขับ แต่แล้ว...

“เอ๊ะ! เอากระเป๋าเพชรคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” เธอเอื้อมไปไขว่คว้ากระเป๋าหิ้วสีฟ้าอ่อนที่เผ่าภาคินถือวิสาสะฉวยไปวางไว้บนตัก “อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะคะ โทรศัพท์เป็นของส่วนตัวนะ” หญิงสาวรีบปราม เมื่อเขาดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเธอด้วยรอยยิ้มแบบมีแผนการ

เผ่าภาคินไม่นำพาคำขู่ เขาปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์แล้วกดพิมพ์ข้อความง่วนอยู่ลำพัง ไม่สนใจแม้แพรวเพชรจะพยายามยื้อคืน ชายหนุ่มเอี้ยวตัวใช้แผ่นหลังเป็นปราการป้องกันการเข้าถึงตัวจากอีกฝ่าย

เพียงครู่เดียวเขาก็หันกลับมาชูโทรศัพท์อวดเจ้าของ “ระหว่างที่พี่ลักพาตัวเพชรกับหนูกานไปสี่ห้าชั่วโมงนี้ ขอพี่ยึดเจ้านี่ไว้เป็นตัวประกันก่อนละกันนะ” พูดจบโทรศัพท์มือถือของแพรวเพชรก็ถูกหย่อนใส่กระเป๋าด้านในของแจ็คเก็ตสูทที่เผ่าภาคินสวมอยู่ทันที

“พี่เผ่า!” แพรวเพชรแทบกรี๊ด “อย่ามาทำตัวเผด็จการแถวนี้นะ”

“พี่ส่งข้อความไปบอกนราธิปแล้วว่าเพชรกับหนูกานอยู่กับพี่ ปลอดภัยดี พี่จะพาไปส่งถึงบ้านก่อนสามทุ่มในสภาพที่ไม่ให้บุบสลายแม้แต่ปลายเล็บ หรือถ้าเขาสนใจ พี่ยินดีเชิญเขาไปเป็นแขกที่บ้านเช่นกัน”
คนฟังอ้าปากค้าง “พี่เผ่าทำแบบนั้นจริงๆหรือคะ”

“อ้าว...จริงสิ นี่ไง ข้อความยังอยู่ในกล่องส่งออกเลย”

“เพชรหมายถึง...พี่จะพาเพชรกับลูกไปบ้านพี่หรือ” แพรวเพชรตะกุกตะกัก ตามมาด้วยคำปฏิเสธ “ไม่นะคะพี่เผ่า เพชรยังไม่พร้อม”

“ไม่พร้อมอะไร เพชรหมายถึง...ไม่พร้อมที่จะพบกับแม่พี่น่ะหรือ”

หญิงสาวก้มหน้างุด “ค่ะ พี่เผ่าพาเพชรกับลูกกลับบ้านเถอะนะคะ”

“ไม่พร้อมเจอแม่ งั้นไปคอนโดพี่ก่อนละกัน” เขาหันมาทางหญิงสาว “พี่ไม่ยอมให้เพชรปฏิเสธทุกอย่างหรอกนะ” ชายหนุ่มประกาศ ก่อนเหลือบไปทางเด็กหญิงนิดเดียว แล้วตัดสินใจใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับแพรวเพชร “เพชรอนุญาตให้ลูกเล่นเกมในไอแพดไหม พี่โหลดแอพเกมต่อภาพ นับเลข แล้วก็คุยกับสวนสัตว์เอาไว้เยอะแยะเลย ให้ ‘ลูก’ เล่นได้ไหม”

“ขอเพชรดูก่อนได้ไหมคะ” ชายหนุ่มกุลีกุจอเปิดเครื่องเล่นขนาดพกพาแล้วเลื่อนส่งให้แพรวเพชร ‘เซ็นเซอร์’

“ถ้าเป็นเกมพวกนี้เล่นได้ค่ะ” เธอส่งเครื่องคืนให้เขาพร้อมกับอนุญาตอย่างใจดี “พี่เผ่าสอนหนูกานเล่นสิคะ”

เผ่าภาคินหน้าชื่น รีบกดปุ่มไฟฟ้าเลื่อนเบาะไปชิดกับเก้าอี้ด้านหลังเพื่อให้ตนเองพูดคุยกับเด็กหญิงได้สะดวก จากนั้นส่งเครื่องไอแพดให้กานติมา “หนูกานเล่นเกมไปพลางๆก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวลุงเผ่าจะพาไปเล่นกับพี่ไดโน่ที่บ้าน”

กานติมาคอยจนมารดาอนุญาต แล้วจึงเอื้อมมือมารับของจาก ‘ลุงเผ่า’ อย่างเหนียมๆ เด็กยุคใหม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีอยู่แล้ว เพราะโตมากับโทรศัพท์รุ่นหน้าจอสไลด์ของผู้ปกครอง เพียงกดปุ่มลากไปมาไม่กี่หน เด็กสามขวบกับเกมเรียกชื่อสัตว์ก็ส่งเสียงแจ้วอยู่ด้านหลังของรถคนเดียว นานครั้งก็มีเสียงหัวเราะบ้าง และหลายหนที่เจ้าตัวเรียกมารดาให้หันไปชื่นชมผลงานด้วยกัน

เผ่าภาคินเคลื่อนรถออกไปช้าๆ เสียงที่ดังอึงอลอยู่ในรถไม่ได้ทำให้รำคาญหรือหงุดหงิดอย่างเคย ตรงข้าม...มันกลับทำให้หัวใจเขาอิ่มเอม คล้ายมีใครสักคนค่อยๆรินน้ำใสเย็นฉ่ำลงในหัวใจทีละนิดๆ

ชายหนุ่มถือโอกาสที่แน่ใจว่ากานติมาไม่ทันสังเกตเห็น และมั่นใจว่าแพรวเพชรกำลัง ‘เพลิน’ อยู่กับการมองลูก เมื่อรถแล่นมาจอดติดสัญญาณไฟ เขารีบคว้ามือหญิงสาวขึ้นมาจูบแรงๆ

ดวงตาเรียวหันขวับมาค้อนใส่เขาทันที

เผ่าภาคินแต้มยิ้ม เสมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ขณะพึมพำเบาๆ “อะไร มองทำไม! พี่ไม่ได้ทำอะไรนะ สมองส่วนนิวแมมมาเลียนเบรนที่บอกว่ารักเพชรสั่งให้มือพี่ขยับไปทำอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจเองต่างหาก” คนหัวหมอโทษสมองส่วนที่ควบคุมความรู้สึกของมนุษย์เสียดื้อๆ

แพรวเพชรเข่นเขี้ยว เมื่ออีกฝ่ายมีลูกเล่นมากนัก เห็นทีเธอคงต้องเจ้าเล่ห์บ้างแล้วละ “อ้อ...ดีค่ะ เพชรจะจำไว้ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ แค่ทำไปโดยอัตโนมัติเท่านั้น” หญิงสาวไม่รู้ตัวสักนิดว่าเธอร้างรากับอารมณ์แสนงอนแบบเด็กสาวแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว

งอน...แบบที่มั่นใจว่าจะมีคนง้อ

ง้อ...เพื่อให้ตัวเองอุ่นใจว่ายังเป็นคนสำคัญสำหรับอีกฝ่าย!

“โอ๋ๆๆ พี่พูดผิดหูคนฟังสินะ งั้นเอาใหม่ พี่น่ะตั้งใจอยากจับ อยากกอด อยากอะไรต่อมิอะไรมากกว่านี้ตั้งเยอะแยะ” คนพูดทำตากรุ้มกริ่ม กวาดมองเรือนร่างเพรียวระหงที่ซุกตัวแน่นกับเบาะอย่างลืมตัว ก่อนจอมล้อเลียนจะทำสีหน้าเจ้าชู้ยักษ์เอียงไหล่มาชนแพรวเพชร กระซิบเสียงเบาด้วยภาษาอังกฤษอีกครั้ง “อันนี้ตั้งใจแล้วก็อยากทำจริงๆ ไม่โทษสมองส่วนไหนเลยด้วย เพชรจะอนุญาตหรือเปล่าล่ะ”

เพียงจบประโยค ฝ่ามือเล็กบางก็ฟาดเพียะที่ท่อนแขนเขาทันควัน ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง โวยวายเสียงหลง “โอ๊ย! คนเขายังไม่หิวสักหน่อย มาแจก ‘ขนมเปี๊ยะ’ กันทำไมเนี่ย โหดร้าย...” มือหนาลูบแขนตรงที่โดนตีป้อยๆ แกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดงึมงำราวกับเจ็บเต็มประดา และเพียงเห็นแพรวเพชรกัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม เผ่าภาคินก็เอ่ยขึ้นลอยๆ “รู้ไหม...เวลาเห็นเพชรยิ้ม พี่มีความสุขจังเลย”




* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สิริณโพสต์ตอนที่ ๒๐ นี้ให้อ่านกันตามสัญญาค่ะ
ครบที่ครึ่งเล่มของหนังสือพอดี
ฝากติดตามตอนที่ ๒๑ ถึง ๔๐ ต่อในหนังสือด้วยนะคะ
ตามที่คราวที่แล้วตัดมาให้อ่านค่ะ
ส่วนที่เหลือยังมีทั้งหวาน โรแมนติก และดราม่าน้ำตาซึม แฮ่...



สนิมดอกรัก วางแผงไปแล้วที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
โดยไปถึงที่งานฯตรงตามกำหนดในวันที่ 7 เมษายน
ซึ่งหนังสือเข้างานในช่วงบ่าย
ทำให้หลายท่านไปเสียเที่ยวในช่วงเช้า
สิริณต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ _/\_



และส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ
สิริณขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่ให้การต้อนรับ สนิมดอกรัก อย่างอบอุ่น
ทำให้หนังสือที่ส่งไปขายในงานหมดไปอย่างรวดเร็ว
จนหลายท่านถึงกับต้องกลับไปมือเปล่า
เพราะหนังสือไม่พอขาย ^_______________^
(ขอบคุณทุกๆคนมากค่ะ สิริณปลื้มจริงๆนะเนี่ย)



สิริณไปสำรวจแผงหนังสือแล้ว
พบว่าที่ร้านนายอินทร์ในกรุงเทพฯ
มีหนังสือทยอยวางแผงในวันนี้แล้ว
ท่านสามารถแวะไปสอย สนิมดอกรัก ที่ร้านนายอินทร์ใกล้บ้านได้เลย
ส่วนต่างจังหวัด คาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้า
น่าจะลงตามร้านครบทั้งหมด
สำหรับร้านหนังสืออื่นๆ ทั้งซีเอ็ด บีทูเอส ฯลฯ
คาดว่าคงจะทยอยมีหนังสือลงตามหลังมาอีกในไม่ช้าค่ะ



ท่านที่ไม่สะดวกไปร้านหนังสือ
สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้
ที่ร้าน นายอินทร์ออนไลน์ เห็นมีส่วนลด ๑๕% เท่าในงานหนังสือฯ
ร้าน ซีเอ็ดบุ๊คออนไลน์ ก็มีส่วนลด ๕%
ร้าน บุ๊คฟอร์ฟัน เห็นว่าลดถึง ๒๐% เลยด้วย



ติดตามความรักของพี่เผ่าและเพชรกันมาถึงขนาดนี้แล้ว
ก็ฝากเอ็นดูกันต่อเนื่องด้วยการอุดหนุนหนังสือด้วยนะคะ
นักเขียน...อยู่ได้เพราะกำลังใจและการสนับสนุนจากเพื่อนๆค่ะ
และสิริณหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกคนเช่นทุกครั้ง



งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกราเนอะ
สองเดือนกว่าที่โพสต์สนิมดอกรักในเว็บ
มีคอมเม้นต์น่ารักๆ และกำลังใจดีๆส่งตรงมาถึงสิริณมากมาย
ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆเช่นนี้นะคะ
สิริณชื่นใจและปลาบปลื้มมากค่ะ
แล้วพบกันใหม่เมื่อสิริณเขียนนิยายเล่มใหม่จบน้า ^_^
ระหว่างนี้ เพื่อนๆสามารถติดตามข่าวสารของสิริณได้ที่ เฟซบุ๊ค ค่ะ
search หาชื่อ สิริณ เวฬา แม่มณี ได้เลย



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2556, 04:15:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2556, 04:15:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1860





<< ตอนที่ 19 + ประกาศรายชื่อผู้โชคดี รับหนังสือฟรี   
สิริณ 11 เม.ย. 2556, 04:20:17 น.
ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่ร่วมสนุกกันมานาน
อย่าลืมแวะไปเช็กชื่อที่เฟซบุ๊กของสิริณนะคะ
เผื่อคุณเป็นผู้โชคดีที่ได้รับหนังสือไปอ่านฟรี
เดี๋ยวหนังสือมาถึงมือนักเขียน
สิริณจะได้ส่งสนิมดอกรักไปให้ค่า


ตถตา 11 เม.ย. 2556, 06:08:49 น.
ดีใจด้วยนะครับ


invisible 11 เม.ย. 2556, 07:05:08 น.
จะไปติดตามอีกครึ่งเล่มนะคะ


supayalak 11 เม.ย. 2556, 08:58:34 น.
จะไปตามหาต่ออีกครึ่งเล่มที่เหลือ แง่งงงงง ไรทเตอร์อ่ะทิ้งท้ายไว้ซะคนอ่านอยากจะกริ๊ดดดร้องงงเลย


คิมหันตุ์ 11 เม.ย. 2556, 10:57:20 น.
ดันไปงาน หนังสือวันที่หก เห็นป้ายเปิดตัวเจ็ด...เลยออกตัวล้อฟรีไปหนึ่งวัน ฮ่าฮ่า ฮึ่ย!!


ณวิภา 11 เม.ย. 2556, 21:13:08 น.
เอ่อ ตามอ่านมาหลายเรื่อง รบกวนนิดนะคะ ถ้าเรื่องไหนจะลงไม่จบช่วยบอกล่วงหน้าก่อนด้วยนะคะ พอดีอยู่เมืองนอกหาซื้อลำบากค่ะ เลยไม่อยากอ่านอะไรครึ่งๆ กลางๆ ขอบคุณค่ะ


ทราย 14 เม.ย. 2556, 11:20:49 น.
อ่านจบแล้วค่ะ อยากบอกคนเขียนว่า ให้โอกาสพี่นราเป็นพระเอกบ้างนะคะ หลงรักพี่นราเข้าแล้ววว


malida 1 ต.ค. 2556, 10:54:40 น.
เพิ่งเข้ามาใหม่ค่ะ เข้ามาเพื่อทำให้ตัวเองค้าง.... 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account