กลร้ายร้อยรัก ตอนที่7
เรื่อง:กลร้ายร้อยรัก ชื่อเดิมแผนรักกับดักใจ ซ้ำหรือคล้ายกันมากมายไรเตอร์เลยขอเปลี่ยนจ้า

แนว:โรแมนติก คอมาดี้

เรื่องย่อ:ชวินทร์รัฐ หมอผิวหนังหนุ่มเซอร์ เจ้าของฉายา วาจาผ่าซาก เกิดอาการปิ้งรักสาวสวยเรียบ

อย่าง เพรียงพรรณ ผู้รับเหมาสาวรับสร้างบ้าน แต่โชคชะตากลับดลให้เขาและเธอต้องมาเป็นคู่วีน

คู่เหวี่ยงกันตั้งแต่แรกเจอ ยิ่งไม่ชอบหน้าก็ยิ่งพบกันบ่อยครั้ง จนกลายเป็นความรักแบบปากพาเจ็บที่ดู

จะลงเอยกันได้ด้วยดี แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อรักเก่าที่ยังคงฝังใจของหญิงสาว

กลับมาวนเวียนอีกครั้งให้หัวใจว้าวุ่น แล้วแบบนี้ คุณหมอหนุ่มจะมีหมัดเด็ดไม้ตายแบบไหน

ที่จะพิชิตใจเจ้าหล่อน...

ประกาศกร้าวให้แผดกล้า ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ โว้ยยยยยย

“ลองด่าอีกทีสิ คราวนี้ไม่ใช่แค่มือแน่ ฮึฮึ” ชายหนุ่มยิ้มกวน ก่อนจะใช้ฝ่ามือแกล้งลูบหน้าตัวเอง
“ตกลงคุณจะรับงานนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ ผมก็ยืนยันคำเดิมว่าคุณดีแต่ปาก แต่เอ…ยังไม่เคย
ได้ลองปากของคุณเลยจะรู้ได้ไงว่าดีจริงหรือเปล่า” เขาปั่นประสาทหญิงสาวไม่เลิก พร้อม
กับไล้นิ้วมือไปมาที่ริมฝีปากหยัก ดวงตาโตจดจ้องหญิงสาวอย่างมีเลศนัย
คราวนี้หล่อนแพ้งั้นเหรอ ไม่มีทาง ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้หมอปากเสีย เพรียงพรรณเจ็บใจสุดๆได้แต่หลบหน้าหลบตา ขณะที่คุณหมอหนุ่มก็ยียวน ท้าทายหญิงสาวไม่เลิกรา

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ปะทะคารม

กาแฟรสกลมกล่อมส่งกลิ่นหอมเตะจมูก พร้อมกับควันจางๆที่พวยพุ่งเหนือขอบแก้วสีขาวทรงอ้วน ฉันจิบกาแฟที่ผ่านการชงด้วยตัวเองอย่างภูมิใจ ยามเช้าในทุกๆวันที่ดูไม่ค่อยรื่นตากับภาพสัญจรไปมาบนท้องถนนเท่าไรนัก มีเพียงสายลมบางเบาที่พัดปะทะร่างของฉันจากริมระเบียงช่วยให้ใจเย็นชื้นขึ้นมาบ้าง
สาเหตุที่ต้องปลีกวิเวกตีตัวห่างจากบ้านของตัวเอง ก็เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายชวนปวดสมองภายในครอบครัว ลำพังแค่เรื่องงานก็มีเรื่องให้เครียดพอแล้ว ถ้าบวกเรื่อง ‘เจ้าไพรภพ’ น้องชายตัวดีที่ชอบก่อเรื่องให้แม่แทบจะทุกวัน ฉันคงจะบ้าตายหรือไม่ก็ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลจิตเวชที่ไหนสักแห่งก็เป็นแน่
ถึงแม้มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ดูขัดใจผู้มีพระคุณทั้งสองอยู่บ้าง แต่ท่านก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะระยะทางจากห้องพักกับบ้านก็อยู่ไม่ห่างกันไกลสักเท่าไร แต่สิ่งที่ท่านห่วงคงจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ยัยนินจะมาพักอาศัยเป็นเพื่อนแก้เหงาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ถึงยังไงฉันก็ยังเป็นผู้หญิงและนี่คือสิ่งที่พ่อกับแม่เป็นกังวล
ขณะที่ฉันกำลังยืนเหม่อทอดสายตาไปยังท้องฟ้าที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
และเสียงเรียกเข้านั้นก็ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเป็นใคร “ว่าไงคะพี่ตุ๊ก”
“อะไรนะคะ!ได้ค่ะแอลจะรีบไป”

“เป็นยังไงบ้างคะลุง”
“แค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอกครับ” ลุงแสงเอ่ยกับฉันพลางเอามือตบไปยังแขนขวาที่ถูกเข้าเฝือกอยู่ในตอนนี้
“ขนาดแขนหักแล้วยังทำเก่งนะลุง” พี่ตุ๊กขัดคอขึ้นมา จนลุงแสงต้องหลุบตาลงต่ำ
“แล้วทำไมถึงตกนั่งร้านได้คะเนี่ย”
“ก็อะไรล่ะคุณแอล ก็คนหัวรั้นดันขึ้นไปทำงานซะเองไง”
“ก็ลูกน้องมันทำงานไม่ทันใจข้านี่หว่า” ลุงแสงรีบแก้ต่างให้กับตัวเอง
“มัวชักช้าอืดอาดก็ต้องลงมือทำงานเองสิ”
“แล้วเป็นไงสุดท้าย ไม่เจียมสังขาร” พี่ตุ๊กว่าพลางส่ายหน้าไปมา
จริงของเธอเพราะลุงแสงก็อายุหกสิบกว่าเข้าไปแล้ว ขืนมาทำงานแบบลุยๆเหมือนสมัยเมื่อยังกระชุ่มกระชวยคงดูไม่สมเหตุสมผลเป็นแน่
ลุงแสงเป็นคนงานที่ถือว่าอยู่ในยุคบุกเบิกตั้งแต่รุ่นคุณปู่ จนมาถึงรุ่นคุณพ่อที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ ลุงแสงก็ไม่เคยหนีหายไปไหน แกมักจะบอกให้ฉันฟังอยู่เสมอว่า เพราะมีตระกูลแซ่ไทนี่แหละทำให้แกเป็นผู้เป็นคนมาถึงทุกวันนี้
“ยังไงลุงก็พักฟื้นให้หายดีก่อนก็แล้วกัน”
หลังจากฉันกำชับลุงแสงเรียบร้อยแล้วจึงหันไปบอกพี่ตุ๊กต่อ “ แอลฝากพี่ตุ๊กทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลลุงแสงที่โรงพยาบาลด้วยนะคะ”
“ฮะ!” ทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกัน ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“พี่ตุ๊กทำได้มั้ยคะ แล้วลุงแสงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ฉันถามเชิงข่มด้วยอำนาจ
ทั้งคู่เงียบไปทำให้ฉันยิ้มพอใจ “เดี๋ยวแอลไปคุมคนงานให้แล้วกัน ลุงแสงไม่อยู่แบบนี้ลูกน้องพากันอู้งานกันหมดแน่” ฉันว่าพลางเดินลิ่วออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ขันเล็กน้อย
ดูชีวิตจะมีความสุขขึ้นมาทันทีที่ได้แกล้งคนอื่น ฉันแอบโรคจิตอีกแล้วหรือนี่….

ฉันชักสีหน้าหงุดหงิดกับตัวเอง พลางส่องแขนข้างขวากับกระจกเงาที่ตอนนี้มีแต่ผื่นแดงขึ้นเต็มไปหมด แม้จะรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนที่แพ้ปูนซีเมนต์ แต่ด้วยหน้าที่การงานทำให้ฉันไม่อาจหลีกเลี่ยงกับอุบัติเหตุได้
ความจริงฉันก็ไม่คิดจะโทษคนงาน เพราะตัวเราเองที่เดินซุ่มซ่ามไม่ดูซ้ายแลขวา แต่ก็ทำให้คนที่ทำปูนหกใส่ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ฉันบอกปัดไปว่าไม่เป็นไรเพราะมันคืออุบัติเหตุ แต่ผลที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้ฉันต้องมานั่งเกาจนรอยแดงจ้ำยาวเถือกเกือบทั่วทั้งแขน
“สงสัยต้องไปหาหมอผิวหนังซะมั้ง?” ฉันบ่นกับตัวเอง ก่อนจะลุกไปหยิบกางเกงยีนส์ตัวเก่งขึ้นมาสวมทับด้วยเสื้อยืดสีขาวเรียบ แล้วรีบออกจากห้องทันที

“ชื่ออะไรคะ”
“เพรียงพรรณ แซ่ไทค่ะ”
“เคยมาใช้บริการที่นี่มาก่อนรึเปล่าคะ?”
“ไม่ค่ะ”
“ขอเลขบัตรประจำตัวประชาชนด้วยค่ะ” ฉันหยิบบัตรจากกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะส่งให้เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ ‘แล้วมันจะถามชื่อทำพระแสงไรฟะ แค่บอกให้ส่งบัตรให้ก็จบละ” ฉันคิดในใจแสร้งยิ้มซ่อนรูป
ฉันมาถึงที่นี่ประมาณเกือบสี่โมงเย็น มีคนมาจองคิวก่อนหน้าอยู่แล้วสามคน มีหญิงแก่ เด็กผู้ชาย และผู้หญิงตั้งครรภ์รวมทั้งฉันเป็นสี่คน
เย็นย่ำจนตะวันเริ่มตกดินแล้ว คุณหมอประจำคลินิกก็ยังไม่มา ตอนนี้ฉันรอมาเกือบสองชั่วโมง แต่ละคนสีหน้าบ่งบอกอาการหงุดหงิดเสียเต็มประดา ขณะที่คนไข้ก็ทยอยมาเรื่อยๆจากสี่คนตอนนั้น จนตอนนี้ประมาณเกือบสิบคน ‘ทำไมชักช้าจังนะหมอคนนี้ คอยดูนะเสียเงินแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว’
ยังดีที่พอมีโทรทัศน์ฉายละครให้ดูแก้เซ็งได้บ้าง ระหว่างที่ฉันกำลังจดจ่อกับหน้าจอทีวี หูก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แบบช็อปเปอร์เบิ้ลเครื่องกระหึ่มมาจอดใกล้กับคลินิก
ฉันเบนสายตาไปตามเสียง เห็นผู้ชายร่างสันทัดสวมแว่นชาดำ พร้อมด้วยเสื้อแจ๊คเก็ตสีน้ำตาลเข้ม ทับด้วยกางเกงยีนส์ซีดมีริ้วรอยขาดเป็นวิ่นๆระหว่างหัวเข่าเล็กน้อย ค่อยๆก้าวขาลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันโต
‘แล้วทำไมฉันจะต้องพิจารณาเขาละเอียดถี่ยิบด้วย….สงสัยคงเป็นคนไข้มาหาหมอล่ะมั้ง แต่ทำไมดูเหมือนคนที่ไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย หรือว่า’ แล้วคำตอบนั้นก็เป็นอย่างที่ฉันคิด ผู้ชายไหล่กว้างที่แต่งตัวเหมือนนักร้องเพื่อชีวิตคนนั้น ที่แท้เขาเป็นหมอหรือนี่!
คนไข้ที่มาก่อนหน้าฉันทยอยเข้าไปตรวจ รับยา แล้วก็เดินออกจากคลินิก ต่อไปก็ถึงคิวฉันแล้วสินะ
‘คุณเพรียงพรรณค่ะ’ เจ้าหน้าที่เรียก ฉันจึงลุกเดินไปยังห้องตรวจพร้อมกับเก็บความสงสัยอะไรบางอย่างไว้
‘ปิดคลินิกแล้วอีตานี่ต้องไปร้องเพลงหารายได้เสริมที่ผับไหนสักแห่งแน่ๆ’ ยังอดคิดที่จะนินทาเสียไม่ได้
“ยืนทำไม?นั่งสิ” อะไรกันนี่แค่คำทักทายครั้งแรกก็ตั้งป้อมจะหาเรื่องแล้วหรือ ทั้งที่ฉันเป็นลูกค้ามาใช้บริการแต่กลับพูดไม่มีหางเสียงให้ฟังดูไพเราะเสนาะหูสักนิด
“เป็นอะไรมา”
“เป็นผื่นคัน” ว่าแล้วพลางยื่นแขนไปหาคนตรงหน้า แต่เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามอง มัวแต่เขียนภาษาตัวติดกันเป็นพรืดอ่านไม่ออกบนกระดาษขนาดเท่าซองจดหมาย ก่อนจะส่งยื่นให้เจ้าหน้าที่ตรงช่องรับบัตรที่เป็นหน้าต่างบานเลื่อนขนาดเล็กข้างโต๊ะ
“ไปรับยาได้”
“อ้าวนี่หมอจะไม่ตรวจสักนิดเลยเหรอคะ”
“ตรวจทำไม? อาการแบบนี้คนเขาเป็นกันเยอะแยะ ความจริงไม่ต้องมาหาหมอหรอก แค่กินยาแก้แพ้ก็หายแล้ว”
“นี่คุณ!พูดจาห้วนๆก็ไม่เท่าไรหรอกนะพอให้อภัยได้ แต่ไหนๆฉันก็เป็นลูกค้าแล้วที่มาเนี่ยเสียเงินนะไม่ใช่ฟรี!!”
ฉันสวนกลับด้วยอารมณ์โมโหสุดขีด ทั้งที่ตั้งใจจะข่มความรู้สึกให้ได้ถึงที่สุด แต่มันก็อดไม่ได้
คนตรงหน้าแทนที่จะรู้สึกรู้สากลับคำพูดที่เสียดสีใส่ฉัน ยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน “แล้วใครใช้ให้มาไม่ทราบ เชิญรับยาด้านหน้าเคาน์เตอร์”
ฉันขบฟันแน่น ไม่อยากหาเรื่องหาราวต่อไป ‘ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมาเหยียบที่นี่ ขอให้มีแต่เจ๊งกับเจ๊งเถอะ เพี้ยงงง’ ฉันไม่รู้ว่าคำสาปแช่งนี้จะสัมฤทธิ์ผลหรือเปล่า หรือบางทีฉันก็ไม่สมควรจะเอาอคติมาใช้กับความคิดในด้านต่ำแบบนี้เลย แต่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งเกิดโทสะ ตอนนี้คงทำอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากเดินออกจากห้องตรวจไปรับยา
แต่ก่อนออกจากห้องไป สายตามาดร้ายของฉันก็เผลอมองไปยังรูปหน้าของเขาอีกครั้ง ‘นึกแล้วสมเพชกับชีวิตตัวเอง ผู้ชายหน้าตาดี แล้วนิสัยดีๆมันจะมีให้พานพบมั่งไหมหนอ’



สร้อยเอื้อ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2556, 09:52:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2556, 09:55:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 798





   วันหยุดสุดแสนว้าวุ่น >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account