ปาริชาตซ่อนรัก
Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 10
ตอนที่ 10
ปาริชาตเดินออกจากห้องทำงานของผู้เป็นนายในสภาพจิตใจที่ยังรัวระทึกระคนอับอาย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเวลาเกิดเรื่องขายหน้าของเธอ ทำไมสุรเสกข์ต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์ทุกที ที่สำคัญเธอก็ไม่อาจเย็บปากห้ามเขาหยิบยกขึ้นมาพูดในภายหลังเสียด้วย ดูอย่างวันนี้เป็นต้น
“ป่าน มานี่ เติมแป้งสักหน่อยซิ”
นภษรท้วงขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของปาริชาตดูไม่ผุดผ่องเท่าที่ควร เธอไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่รีบเปิดกระเป๋าถือของตนเองแล้วควักตลับเครื่องสำอางออกมา
“เราอยู่ตรงนี้ต้องคอยดูแลหน้าตาตัวเอง ถึงจะผิวใสแบบป่านแต่ก็อย่าปล่อยให้มันโล่งขาดสีสัน ผัดแป้งบาง ๆ ทาลิปกลอสสีอ่อนให้ชื่นตาคนเห็นหน่อย”
นภษรว่าพลางจับเข่าปาริชาตให้หันหน้ามาหาแล้วบรรจงแตะพัฟเกลี่ยแป้งลงบนใบหน้าให้อย่างคล่องแคล่ว ทั้ง ๆ ที่อยากจะบอกว่าเธอจะไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ทว่าพอเห็นถึงความตั้งใจของอีกฝ่าย ปาริชาตจึงได้แต่นั่งนิ่งไม่ขัดศรัทธา
“อิจฉาผิวเด็กแบบนี้จัง”
เธอว่าพลางสาละวนแตะนั่นนิดเติมนี่หน่อยให้กับปาริชาต เพียงครู่ก็หันกระจกเงาบานเล็กให้
“เป็นไงมั่ง พยายามแต่งหน้าแบบนี้มาทุกวันนะ เราทำงานแล้วก็ควรแต่งตัวแต่งหน้าให้สมกับเป็นคนทำงาน ดูเจ้านายป่านสิหล่อลากไส้ซะขนาดนั้น ทำตัวเองให้สวย ๆ เวลาไปไหนด้วยกันจะได้ไม่เหมือนคุณชายกับแจ๋ว ถึงเราจะคอยทำงานรับใช้นายเหมือนกันแต่เลขากับแจ๋วก็ไม่เหมือนกันนะ”
ปาริชาตยิ้มให้กับคำพูดของนภษรพลางเหลือบตามองหญิงสาวใบหน้านวลผ่องเป็นยองใยที่สะท้อนออกมาจากกระจก ก่อนจะค่อย ๆ ลดมันลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามา
“กำลังแปลงร่างป่านให้เป็นซินเดอเรลล่าอยู่ค่ะ เป็นไงคะคุณเสกข์ พอไหวไหมคะ”
สายตาคมที่มองมาพร้อมจุดรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ทำให้ปาริชาตถึงกับร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าอีกหน เธอไม่รู้ว่าเขากำลังรับรู้ในสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า หรือกำลังหวนคิดถึงเรื่องเมื่อครู่กันแน่
“ครับ”
คำตอบรับสั้น ๆ พร้อมวางแฟ้มเอกสารในมือลง ทำให้ปาริชาตเข้าใจว่าเขาคงตั้งใจออกมาสั่งงานเธอมากกว่า มือเรียวจึงรีบคืนตลับแป้งให้นภษรพร้อมคำขอบคุณ
“เตรียมตัวไปแรลลี่ด้วยกัน”
คำพูดที่สุรเสกข์เอ่ยออกมาทำให้มือเรียวที่กำลังจะคว้าเอาแฟ้มเอกสารมาเปิดถึงกับชะงักค้าง เธอตะลึงเพราะคาดไม่ถึงผิดกับนภษรที่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“คุณเสกข์จะไปกับป่านเหรอคะ”
“ครับ ลองดูสักตั้ง”
“ว้าว...ดีจังค่ะ วันก่อนที่ได้ยินคุณสุพลบอกว่าคงไม่มีใครไป ษรเสียดายแทบแย่ คุณเสกข์ตัดสินใจถูกแล้วค่ะที่เลือกป่าน ษรว่าป่านเค้าทำได้”
คำรับรองจากปากของนภษรทั้งที่เธอก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย ทำให้ปาริชาตรู้สึกกระดาก แม้ไม่มั่นใจว่าเธอจะทำได้เหมือนเช่นที่นภษรพูดออกมาหรือไม่ แต่งานนี้ปาริชาตก็รู้ดีว่าหมดโอกาสปฏิเสธ
“คุณษรเคยทำอะไรบ้างก็บรีฟให้ป่านเค้าฟังด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
นภษรรับคำเป็นมั่นเหมาะ ก่อนจะยิ้มให้ปาริชาตเมื่อเจ้านายของเธอตัดบทแล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องทำงานไปโดยไม่ถามแม้สักคำว่าเธอพร้อมจะไปทำกิจกรรมครั้งนี้กับเขาหรือไม่
ปาริชาตหยิบแฟ้มเอกสารที่ถูกเจ้านายนำมาวางให้ตรงหน้าขึ้นมาเปิด เธอเห็นลายมือหนาหนักของคุณสุพลระบุมาว่า ‘ให้คุณสุรเสกข์และคุณปาริชาตเป็นตัวแทนบริษัทไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้’ แถมเขายังตวัดลายเซ็นกำกับเอาไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ขณะนั่งทำใจรับกับคำสั่งสายฟ้าแลบอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานที่ดังขึ้น ก็ทำเอาปาริชาตถึงกับไหวกายด้วยความตกใจ นภษรหัวเราะพลางส่ายหน้าด้วยพอดูออกว่าอีกฝ่ายยังคงมีความกังวล ทั้ง ๆ ที่เธอก็บอกไปแล้วว่ากิจกรรมแรลลี่นั้นมีแต่ความสนุกสนานและไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด
“เชิญเข้ามาข้างในหน่อยครับ”
เสียงเข้มของสุรเสกข์ดังขึ้น ทำให้ใจที่สงบไปแล้วของปาริชาตกลับต้องรัวระทึกขึ้นมาอีกหน เหตุการณ์เมื่อครู่ได้คุณสุพลมาช่วยขัดตาทัพไว้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจปลีกตัวออกมา แม้ยังเคืองที่สุดท้ายเธอก็เหมือนจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ทว่าก็ไม่ปรารถนาจะเอาคืนในตอนนี้ ดีไม่ดีเขาอาจกำลังคิดแผนร้ายอยู่ก็เป็นได้
“ค่ะ”
แม้ใจจะค้าน หากแต่เธอก็ไม่อาจขัดคำสั่งของคนเป็นเจ้านายได้ ร่างบางหยิบสมุดโน้ตกับปากกาติดมือแล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของเขา
พอเธอสาวเท้าไปถึงหน้าโต๊ะ คนที่รออยู่ก่อนก็สั่งให้นั่ง
“นั่งก่อน นี่...”
สุรเสกข์บอกพลางหลุดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าเรียวซึ่งถูกนภษรแต่งแต้มเอาไว้อย่างดีงอง้ำ ที่สำคัญเธอจงใจปั้นหน้าแบบนี้เฉพาะยามที่อยู่กับเขาเพียงลำพังเท่านั้น เพราะเมื่อกี้ยังเห็นยิ้มแฉ่งอยู่เลย
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย ไม่ต้องมาทำท่าเกลียดขี้หน้ากันหรอก เพราะยังไงคุณก็ต้องทำงานกับผมอยู่วันยังค่ำ”
“ก็คุณทำตัวน่าเกลียดนี่”
คิ้วหนาเลิกขึ้นนิดหนึ่งกับคำพูดของหญิงสาวที่ดังมา และหากเป็นทุกครั้งสุรเสกข์ก็คงต้องต่อปากต่อคำด้วยความฉุน ทว่าภายหลังจากตกปากคำรับผู้เป็นพ่อในการยอมเป็นตัวแทนบริษัทไปร่วมกิจกรรมแรลลี่ด้วยกัน เขาก็ตั้งใจว่าจะขอสงบศึกกับเธอเสียที
“จุ๊...อย่าเพิ่งโมโห รับทราบแล้วนะว่าต้องไปแรลลี่ด้วยกัน”
“ค่ะ แต่...ทำไมคุณไม่ถามบ้างว่าฉันว่างหรือเปล่า อยากไปกับคุณไหม”
“ผมไม่ถาม เพราะรู้ว่าคุณไม่อยากไป”
เขาตอบยียวน ปาริชาตฉุนกึกทว่าทำอะไรไม่ได้
“แต่ในเมื่อเจ้านายไป แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เลขาไม่ไปด้วย”
เขาคิดเองเออเองเสร็จจนปาริชาตหมดหนทางโต้แย้ง หญิงสาวปิดปากเงียบ รอฟังว่าสาเหตุที่เขาเรียกให้เธอเข้ามาในนี้คืออะไรกันแน่
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ฉะนั้นตอนนี้เลยอยากให้เรามาทำความตกลงกัน เอาเป็นว่า...ผมขอสงบศึก เรื่องที่ผ่านมาถ้าผมผิดก็ขอโทษ ถ้าคุณผิดผมก็ไม่ติดใจเอาความ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่”
“คะ?”
หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ สิ่งที่ได้ยินนั้นถือว่าอยู่ไกลเกินความคาดหวังของเธอ ยอมรับว่าหากปล่อยให้ความสัมพันธ์ฉันท์เจ้านายและลูกน้องป่วยเข้าขั้นโคม่าหมดหนทางรักษา เธอก็จะขอให้คุณสุพลช่วยส่งไปอยู่แผนกอื่นหรืออาจขอลาออกแล้วไปสมัครงานใหม่
“ผมจะไม่หยิบยกเรื่องที่เห็นคุณยืนโป๊ต่อหน้ามาพูด จะไม่พูดจายียวนหรือเย้าแหย่แบบเจ็บแสบอีก และอ้อ...เรื่องที่คุณกอดผมในห้องน้ำเมื่อกี้ผมก็จะไม่พูดถึงมันเช่นกัน”
ปาริชาตฟังเขาพูดด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เพราะกึ่งหนึ่งเธอรู้สึกโล่งใจหากเขารับปากว่าจะทำเช่นนั้นให้ได้จริง ๆ ทว่าอีกกึ่งกลับรู้สึกเหมือนสุรเสกข์จงใจคุ้ยแคะทำให้เธอยิ่งอับอายขายหน้า
“คุณโอเคกับข้อตกลงนี้ไหม”
ใบหน้าที่งอง้ำเพราะเคืองขุ่นในคำพูดของเขา ทำให้สุรเสกข์ต้องหัวเราะหึ ๆ อย่างนึกขำอีกหน ซึ่งพอได้เห็นหญิงสาวยังคงเงียบ ไม่ยอมคว้าโอกาสดีนี้ไว้ เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างรวบรัด
“ตามใจนะ ถ้าไม่โอเค ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร อยู่กันไปกัดกันไปแบบเดิมก็ได้ ชีวิตมีสีสันดี”
ปาริชาตพูดไม่ออก เพิ่งรู้ว่าเขาเห็นความน่าอับอายของเธอเป็นสีสันในชีวิตและพอเขาคะยั้นคะยอจะให้เธอตอบตกลงให้ได้ ความขัดใจทำให้ต้องตำหนิเขาออกมา
“ว่าไงล่ะ”
“คุณก็เคยพูดแบบนี้มาหนหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เห็นทำได้เลย”
“ก็คราวนั้นมันมีเงื่อนไขนี่ คราวนี้ผมยอมสงบศึกแบบถาวรและไม่มีเงื่อนไขด้วย”
คำพูดของเขาที่บอกว่าจะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก ‘ถ้าไม่จำเป็น’ ทว่ากลับมีความจำเป็นในทุกครั้งที่มีปากเสียงเพราะความเห็นไม่ตรงกัน ทำให้ปาริชาตไม่กล้าคาดหวังว่าเขาจะทำได้เช่นที่ว่าจริง ๆ หรือไม่อย่างนั้นก็คงหาเหตุหรือใช้ช่องโหว่ทำให้เธอเจ็บใจได้อยู่ดีไม่มากก็น้อย
“เพื่ออะไรคะ”
“เพื่องานน่ะสิ จะเพื่ออะไร”
ปาริชาตอยากเถียงว่าทุกวันนี้เธอไม่ได้ทำให้งานเสีย ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่เขาสั่งมา ไม่เคยมีงานใดที่เธอทำไม่ได้ เพราะถ้าติดขัดตรงไหนเธอก็ได้ที่ปรึกษาดี ๆ อย่างนภษรคอยช่วยอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่สุรเสกข์ออกมาพูดแบบนี้เขากำลังคิดว่าเธอทำงานได้ไม่ดีหรือไร
“แปลว่าทุกวันนี้ฉันทำงานบกพร่องเหรอคะ”
“เปล่า ผมยังไม่ได้พูดเลย อย่าตีความเอาเองตามใจได้ไหม”
“ก็คุณขอสงบศึกเพื่องาน ดังนั้นก็แปลว่ามันเป็นอุปสรรคสำหรับการทำงาน”
“คุณลองตอบคำถามเหล่านี้ของผมก่อน ข้อแรกคือคุณปฏิเสธได้ไหมว่าไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาเจอหน้าผม แต่ผมรู้สึกถึงความไม่ชอบหน้า ความขุ่นใจหรืออะไรก็แล้วแต่และมันก็เป็นในแง่ลบมากกว่า ส่วนอีกข้อคือเห็นเจ้านายกับเลขาอีกคู่ในบริษัทเราไหม เป็นแบบคู่เราหรือเปล่า”
ปาริชาตต้องปิดปากเงียบอีกหนเพราะที่เขาว่ามาทั้งหมดนั้นสะท้อนความจริงได้อย่างชัดเจน
“ไม่ต้องคิดไปถึงเรื่องเปลี่ยนเลขานะ มันยังไม่ร้ายแรงจนเกินเยียวยาและผมก็ไม่ใช่เจ้านายประเภทเอาแต่ใจตัวเอง ฉะนั้นทางแก้ยังมีและมันก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณว่าจะยอมรับข้อตกลงไหม”
สิ่งที่สุรเสกข์คาดหวังคืออย่างน้อยก็เวลาเจอหน้ากัน เขาก็ไม่อยากให้ปาริชาตแสดงท่าทีขุ่นเคืองให้สัมผัสได้เหมือนเช่นทุกครั้ง แม้จะยอมรับว่าเธอยังทำงานได้ดีและไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่การอยู่ในที่ทำงานวันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงระหว่างเลขากับเจ้านาย ไม่ได้อยู่กันเพราะเรื่องงานเพียงอย่างเดียว
“แน่จริงคุณก็ทำมาเป็นลายลักษณ์อักษรสิ”
“หึ...มันจะมากไปแล้ว ผมไม่เสียเวลามาทำสัญญาบ้า ๆ บอ ๆ นั่นหรอก จะพูดแค่นี้แหละถ้าไม่โอเคก็ตามใจคุณ ผมไม่ได้บังคับ”
“ฉันโอเคก็ได้ค่ะ”
พอเห็นคนเป็นเจ้านายลอยหน้าลอยตาพูด ปาริชาตที่นึกไม่ชอบในท่าทีนั้นของเขาก็รีบตอบตกลง ซึ่งจากประสบการณ์ตรงหลายต่อหลายครั้งที่เห็นสุรเสกข์ทำท่าเช่นนี้ ผลที่เธอได้รับคือความเจ็บช้ำน้ำใจที่ถูกเขาหยอกเย้าแบบแสบสันและเธอก็มักทำอะไรไม่ได้แทบทุกครั้งไป ล่าสุดก็เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง
คำตอบรับแบบกระแทกกระทั้นและดูไม่ค่อยเต็มใจนักของปาริชาต ทำให้คนเป็นเจ้านายมองแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างนึกขัน และเหตุเพราะเพิ่งเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงหย่าศึกไปหยก ๆ สุรเสกข์จึงต้องควบคุมตัวเองให้สำรวมกิริยา ไม่พูดจากระทบกระทั่งจนคนฟังระคายหูเหมือนเคย
“เต็มใจหรือเปล่า ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ตกลงก็ได้นะ บอกแล้วว่าผมไม่ได้บังคับ”
“ไม่ได้เต็มใจค่ะ แต่ก็จำเป็นต้องตกลง เผื่ออะไรที่มันแย่ ๆ จะดีขึ้นและหวังว่าคุณจะรักษาคำพูดเยี่ยงผู้ชายอกสามศอกด้วย”
ปาริชาตยอมรับหน้าตาเฉย วาจาเผ็ดร้อนของเธอ ทำให้คนเป็นเจ้านายที่ตั้งสติควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้พุ่งพล่านนั้น เริ่มมีอาการอ่อนใจเข้าแทรกจนต้องเอ่ยถามออกมา
“แล้วเมื่อกี้วัดได้กี่ศอก เพิ่งวัดไปไม่ใช่เหรอ”
“คะ?”
“เอ่อ...ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจแต่ปากมันไปเอง”
ปาริชาตอยากร้องกรี๊ดออกมาเมื่อได้ยินคำขอโทษทว่าคนผิดกลับลอยหน้าลอยตาดูไม่ได้สำนึกเลยแม้แต่น้อย เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันขณะใบหน้าเรียวเริ่มร้อนวูบวาบเมื่อหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำก่อนหน้า
“หมดเรื่องคุยหรือยังคะ ถ้าหมดแล้วฉันขอตัว”
“เราตกลงกันแล้วนะ ถ้าคุณก้าวขากลับเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง ทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อตกลง”
“ค่ะ ฉันก็หวังว่าคุณจะทำได้แบบนั้นจริง ๆ”
การทำท่าว่ายึดมั่นกับข้อตกลงจนปาริชาตแทบไม่อยากเชื่อ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะย้ำเอากับเขา ก่อนจะลุกแล้วเดินออกไปจากห้อง แม้ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะทำได้เช่นที่พูดมา หากแต่หญิงสาวก็พอจะเบาใจและแอบคาดหวังว่าอะไร ๆ คงค่อย ๆ ดีขึ้นในเร็ววัน
ในสายของวันหนึ่ง ขณะที่สุรเสกข์กำลังให้ปาริชาตคัดรหัสและชื่อสินค้าประเภทอุปกรณ์ประดับยนต์ เพื่อนำไปกรอกในใบสั่งซื้อของบริษัทผู้ผลิต รวมไปถึงช่วยตรวจทานความถูกต้องอยู่อย่างขะมักเขม้น คุณสุพลก็ผลักประตูเข้ามา
“พ่อ มีอะไรครับ”
เมื่อเหลือบเห็นแผ่นกระดาษสีขาวพร้อมลายมือขยุกขยิก ซึ่งถูกผู้เป็นพ่อถือเอาไว้ในมือ สุรเสกข์ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ถึงเวลาต้องคอนเฟิร์มการส่งทีมเข้าร่วมแรลลี่แล้วนะ อ้อ...แล้วนี่ก็ของอีกบริษัทหนึ่ง จัดต้นเดือนหน้า”
“ทำไมเร็วจัง เอ่อ...ไม่ใช่สิ ผมคงรู้เรื่องช้า เพราะเห็นหนังสือรับเข้ามาหลายวันแล้ว”
“มันติดอยู่ที่โต๊ะทำงานพ่อ ลืมเอามาให้”
เหตุเพราะมัวยุ่งอยู่กับการสัมภาษณ์ผู้ที่จะมาช่วยงานคุณนภษร ทั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าต้องรับปาริชาตเข้าทำงาน แต่ก็ต้องเปิดรับสมัครและทำทุกอย่างตามขั้นตอน โดยไม่ให้มีใครเห็นถึงความผิดปกติ ทำให้บัตรเชิญเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ที่คุณสุพลเพิ่งนึกได้ว่าต้องส่งต่อให้สุรเสกข์ ได้ถูกเขาค้นเจอเมื่อวานนี้เอง ซึ่งจริง ๆ บริษัทเจ้าภาพได้ส่งมาให้นานเกือบ 3 สัปดาห์แล้ว
“ขอผมดูอันใหม่ก่อน”
การได้นั่งทำงานอยู่คนละฝั่งของโต๊ะทำงานตัวเดียวกับเจ้านาย ทำให้ปาริชาตแอบสังเกตเห็นความตั้งอกตั้งใจของเขา เธอยอมรับว่าบางครั้งเขาก็ขี้เล่นและอารมณ์แปรปรวน แต่สิ่งที่ต้องเชื่อในเวลานี้อย่างหนึ่งคือ ในขณะที่ต้องใจจดใจจ่ออยู่กับการทำงาน เขาจะมีสมาธิและจริงจังตั้งใจกับมันมาก
ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปรับแผ่นกระดาษนั้นมาจากคุณสุพล แล้วเหลือบตาไปมองปฏิทินตั้งโต๊ะ ซึ่งก็ได้มาจากบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับรถยนต์อีกนั่นแหละ
“มันยังไม่ถึงคิวหรอกน่ะ อันที่ต้องคอนเฟิร์มเค้าวันนี้ต่างหากที่ต้องรีบ ตกลงใจแน่แล้วนะที่จะให้ป่านไปเป็นเพื่อนร่วมทีม”
“ครับ แล้วที่พ่อบอกว่าจะทำหนังสือแจ้งให้ฝ่ายขายทราบล่ะครับ มีใครอยากไปอีกบ้าง”
“ไม่ทันได้ถามเลย ก็มันจะไม่ทันแล้วนี่ ไม่รู้จะรีบทำไมกัน”
“มันเป็นช่วงไฮซีซั่น คนจัดงานเค้าก็ต้องใช้เวลาเตรียมการเยอะหน่อยสิครับ เอาไว้หน้าฝนสิพ่อ จะจัดเมื่อไหร่พวกโรงแรมหรือร้านอาหารแทบจะมากราบ ปีหน้าเราเป็นเจ้าภาพจัดกันมั่งดีไหมครับ”
การจัดแรลลี่ท่องเที่ยวในช่วงต้นฤดูหนาว และโดยเฉพาะเส้นทางที่ต้องใช้คือออกจากกรุงเทพแล้วมุ่งหน้าขึ้นภาคเหนือ ทำให้การจับจองห้องพักและร้านอาหารต้องดำเนินการกันแต่เนิ่น ๆ เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงของการท่องเที่ยวชมบรรยากาศและความงามของธรรมชาติ
“เฮ้ย...ไม่เอา เหนื่อย”
คุณสุพลปฏิเสธออกมาทันควัน เพราะเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว เค้าก็เคยเกณฑ์พนักงานในบริษัทช่วยกันร่วมแรงร่วมใจจัดแข่งแรลลี่มาแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงแรลลี่อนุรักษ์ธรรมชาติและปลูกป่าชายเลนก็เถอะ ความเหน็ดเหนื่อยแบบใช่เหตุในคราวนั้น ก็ทำเอายังนึกเข็ดมาจนถึงวันนี้
“แต่ผมอยากลองทำดูมั่ง คราวก่อนที่พ่อทำผมยังไม่ได้อยู่ช่วยเต็มที่”
“แกก็ได้ไปร่วมกับบริษัทอื่น ๆ เค้าข้างนอกทุกเดือนอยู่แล้ว จะทำให้เหนื่อยทำไม”
ถ้าหากพูดถึงชื่อเสียงของบริษัทวินเนอร์ ออโต้พาร์ทแล้ว ปัจจุบันนี้ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะไม่มีใครรู้จัก และโดยเฉพาะในการส่งทีมเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ในทุกครั้งที่ได้รับเชิญจากบริษัทผู้ขายหรือผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ทั้งหลาย ก็นับว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของบริษัทให้เป็นที่รู้จักแก่คนในวงการอยู่แล้ว
“ไปร่วมกับเขา เราก็ไปแบบจำยอม เขาตั้งเงื่อนไขอะไรก็ต้องยอมเขา ถ้าเราเป็นเจ้าภาพจัดเองสิพ่อ จะได้เป็นฝ่ายตั้งเงื่อนไขเอากับคนอื่นเขาบ้าง”
พอได้ยินคำพูดของลูกชาย คุณสุพลก็ได้แต่เปิดยิ้มและคาดเดาเอาในใจว่า ทุก ๆ ครั้งที่ส่งสุรเสกข์ให้เป็นตัวแทนบริษัทเข้าร่วมแข่งแรลลี่ สงสัยลูกชายคงไปเจอกับสภาวะกดดันอะไรบางอย่างมาแน่ ๆ ถึงได้เกิดความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเสียเองเช่นนี้ พูดง่าย ๆ ก็น่าจะหนีไม่พ้นคำว่า ‘เอาคืน’ เท่าใดนัก
“เอาไว้ว่าง ๆ ก็ค่อยคิดเถอะ นี่ยังต้องไปร่วมกับเขาอยู่ไม่เว้นแต่ละเดือน”
“เราก็ต้องตั้งเป้าหมายเอาไว้ก่อนสิพ่อ และถ้าถึงคราวที่เราจะเป็นเจ้าภาพ ก็งดไปร่วมกับเขาแล้วมาเตรียมงานของเราก็ได้”
“มันจะชนกับบริษัทอื่นน่ะสิ อีกอย่าง...ถ้าจัดบ่อย บางทีคนที่เราเชิญมาร่วมเค้าก็อาจจะเหนื่อยก็ได้นะ”
“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ พ่อคิดดูสิ...ตั้ง 3 ปีแล้วที่เราไม่ได้จัดแรลลี่เลย ถ้าเราจัด...เชิญใครก็คงไม่ปฏิเสธ”
“มันเป็นเรื่องของธุรกิจเหมือนกันนะเสกข์ ถ้าทุกคนเค้าคิดแบบแกหมดก็ดีสิ แต่ก็ไม่รู้นะ เอาไว้ลองวางแผนดูก่อน ถ้ามันเป็นไปได้ก็ลองกันอีกสักตั้ง”
สุดท้าย คำตอบที่ได้จากผู้เป็นพ่อ ก็ทำให้คนเป็นลูกชายถึงกับคลี่ยิ้ม ถึงแม้ว่าจะเป็นไปในทางแบ่งรับแบ่งสู้ แต่หากเขามุ่งมั่นและเป็นตัวหลักในการจัดกิจกรรมนั้น ยังไงก็ต้องหาทางผลักดันให้เป็นรูปเป็นร่างจนได้
“ตกลงว่าเป็นป่านนะ”
“ครับ ผมบอกเจ้าตัวเค้าไปแล้ว”
“ป่านโอเคใช่ไหม ตกลงว่าปลายเดือนนี้ก็ไปเรียนรู้เรื่องแรลลี่นะ เพราะอีกหน่อยต้องได้ไปบ่อย ๆ”
“ค่ะ”
“เตรียมเอกสารแล้วโทร.ไปคุยกับคนนี้นะ”
คุณสุพลว่าพลางดึงกระดาษแผ่นเดิมจากมือของลูกชาย กลับมาขีดเส้นใต้ตรงชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าภาพจัดการแข่งขันแรลลี่ท่องเที่ยวในครั้งนี้
“เอ้า...ป่านไปจัดการต่อที”
“ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวรับคำแต่โดยดีแล้ว คุณสุพลจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
ทางด้านของสุรเสกข์ เมื่อเห็นว่าปาริชาตยังคงทำหน้างง ๆ กับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แถมยังมีเรื่องการเตรียมสั่งซื้อสินค้าที่ยังทำค้างกันอยู่ เขาจึงเอ่ยบอกเบา ๆ
“พักเรื่องออร์เดอร์สินค้าไว้ก่อน คุณมีสำเนาบัตรประชาชนติดมาไหม ถ้าไม่มีก็ไปถ่ายเอกสารมาใบนึง”
“ค่ะ”
“แล้วกลับมากรอกใบสมัคร แฟกซ์ไปให้เขาพร้อมหลักฐานของผมกับคุณ อ้อ...ต้องโทร.ไปยืนยันและแจ้งชื่อก่อน ไม่รู้ทางนั้นจะเอายังไงเพราะบางที่แฟกซ์แล้วเค้าก็ให้ส่งไปรษณีย์ตาม บางที่ก็ให้ถือไปวันแข่ง”
“ค่ะ”
“มานั่งกรอกรายละเอียดที่นี่แหละ ตอนนี้ไปเอาเอกสารของคุณมาก่อน”
ท่าทีสั่งความอย่างเป็นการเป็นงานของสุรเสกข์ ประหนึ่งหมดความกังขาแล้วว่าจะเลือกให้ใครไปร่วมทีมแรลลี่ครั้งนี้ ทำให้ปาริชาตได้แต่รับคำ และพอเธอกลับเข้าไปในห้องเพื่อเตรียมตัวกรอกใบสมัครเหมือนที่สุรเสกข์ได้บอกมาแต่แรก ก็ปรากฏว่าผู้เป็นนายได้จัดการไปจนเกือบจะเสร็จแล้ว เหลือเพียงรายละเอียดส่วนตัวของเธอเท่านั้นที่ยังถูกเว้นว่างเอาไว้
“เอาเอกสารของคุณมา”
เสียงเข้มเอ่ยบอกโดยที่เจ้าของยังคงจรดปากกาลงบนใบสมัครที่แนบมาพร้อมกับบัตรเชิญ และพอปาริชาตวางมันลง เสียงหัวเราะหึ ๆ ที่เธอได้ยิน ก็ทำเอาตาโตต้องกลอกไปจับจ้องดูท่าทีของเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“หึ ๆ ไปเอาบัตรประชาชนของเด็กที่ไหนมา”
”คะ ก็ของฉันเองนั่นแหละค่ะ”
“ถ่ายตอนอายุครบ 15 เหรอ”
ภาพถ่ายบนบัตรประชาชนที่ปรากฏเด็กสาวผมบ๊อบสั้นแค่ต้นคอ แถมใบหน้าบ้องแบ๊วเอามาก ๆ ทำให้ปาริชาตซึ่งปัจจุบันผมยาวสลวยจนเกือบถึงครึ่งหลังแล้ว ได้แต่อมยิ้ม รู้ว่าเขาแค่หยอกเล่นเฉย ๆ เพราะวันที่ทำบัตรประชาชนซึ่งปรากฏอยู่ในนั้นเพิ่งผ่านพ้นมาได้เพียง 1 ปีเศษเอง
ในที่สุด คนเป็นเจ้านายก็มีส่วนในการจัดการเรื่องนั้นเกินครึ่ง เพราะนอกจากเขาจะเป็นคนกรอกใบสมัครเองแล้ว ยังโทรศัพท์ไปคอนเฟิร์มกับบริษัทเจ้าภาพเองอีกด้วย คงเหลือหน้าที่ส่งแฟกซ์ให้ปาริชาตทำเพียงอย่างเดียว
ปาริชาตเดินออกจากห้องทำงานของผู้เป็นนายในสภาพจิตใจที่ยังรัวระทึกระคนอับอาย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเวลาเกิดเรื่องขายหน้าของเธอ ทำไมสุรเสกข์ต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์ทุกที ที่สำคัญเธอก็ไม่อาจเย็บปากห้ามเขาหยิบยกขึ้นมาพูดในภายหลังเสียด้วย ดูอย่างวันนี้เป็นต้น
“ป่าน มานี่ เติมแป้งสักหน่อยซิ”
นภษรท้วงขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของปาริชาตดูไม่ผุดผ่องเท่าที่ควร เธอไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่รีบเปิดกระเป๋าถือของตนเองแล้วควักตลับเครื่องสำอางออกมา
“เราอยู่ตรงนี้ต้องคอยดูแลหน้าตาตัวเอง ถึงจะผิวใสแบบป่านแต่ก็อย่าปล่อยให้มันโล่งขาดสีสัน ผัดแป้งบาง ๆ ทาลิปกลอสสีอ่อนให้ชื่นตาคนเห็นหน่อย”
นภษรว่าพลางจับเข่าปาริชาตให้หันหน้ามาหาแล้วบรรจงแตะพัฟเกลี่ยแป้งลงบนใบหน้าให้อย่างคล่องแคล่ว ทั้ง ๆ ที่อยากจะบอกว่าเธอจะไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ทว่าพอเห็นถึงความตั้งใจของอีกฝ่าย ปาริชาตจึงได้แต่นั่งนิ่งไม่ขัดศรัทธา
“อิจฉาผิวเด็กแบบนี้จัง”
เธอว่าพลางสาละวนแตะนั่นนิดเติมนี่หน่อยให้กับปาริชาต เพียงครู่ก็หันกระจกเงาบานเล็กให้
“เป็นไงมั่ง พยายามแต่งหน้าแบบนี้มาทุกวันนะ เราทำงานแล้วก็ควรแต่งตัวแต่งหน้าให้สมกับเป็นคนทำงาน ดูเจ้านายป่านสิหล่อลากไส้ซะขนาดนั้น ทำตัวเองให้สวย ๆ เวลาไปไหนด้วยกันจะได้ไม่เหมือนคุณชายกับแจ๋ว ถึงเราจะคอยทำงานรับใช้นายเหมือนกันแต่เลขากับแจ๋วก็ไม่เหมือนกันนะ”
ปาริชาตยิ้มให้กับคำพูดของนภษรพลางเหลือบตามองหญิงสาวใบหน้านวลผ่องเป็นยองใยที่สะท้อนออกมาจากกระจก ก่อนจะค่อย ๆ ลดมันลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามา
“กำลังแปลงร่างป่านให้เป็นซินเดอเรลล่าอยู่ค่ะ เป็นไงคะคุณเสกข์ พอไหวไหมคะ”
สายตาคมที่มองมาพร้อมจุดรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ทำให้ปาริชาตถึงกับร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าอีกหน เธอไม่รู้ว่าเขากำลังรับรู้ในสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า หรือกำลังหวนคิดถึงเรื่องเมื่อครู่กันแน่
“ครับ”
คำตอบรับสั้น ๆ พร้อมวางแฟ้มเอกสารในมือลง ทำให้ปาริชาตเข้าใจว่าเขาคงตั้งใจออกมาสั่งงานเธอมากกว่า มือเรียวจึงรีบคืนตลับแป้งให้นภษรพร้อมคำขอบคุณ
“เตรียมตัวไปแรลลี่ด้วยกัน”
คำพูดที่สุรเสกข์เอ่ยออกมาทำให้มือเรียวที่กำลังจะคว้าเอาแฟ้มเอกสารมาเปิดถึงกับชะงักค้าง เธอตะลึงเพราะคาดไม่ถึงผิดกับนภษรที่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“คุณเสกข์จะไปกับป่านเหรอคะ”
“ครับ ลองดูสักตั้ง”
“ว้าว...ดีจังค่ะ วันก่อนที่ได้ยินคุณสุพลบอกว่าคงไม่มีใครไป ษรเสียดายแทบแย่ คุณเสกข์ตัดสินใจถูกแล้วค่ะที่เลือกป่าน ษรว่าป่านเค้าทำได้”
คำรับรองจากปากของนภษรทั้งที่เธอก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย ทำให้ปาริชาตรู้สึกกระดาก แม้ไม่มั่นใจว่าเธอจะทำได้เหมือนเช่นที่นภษรพูดออกมาหรือไม่ แต่งานนี้ปาริชาตก็รู้ดีว่าหมดโอกาสปฏิเสธ
“คุณษรเคยทำอะไรบ้างก็บรีฟให้ป่านเค้าฟังด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
นภษรรับคำเป็นมั่นเหมาะ ก่อนจะยิ้มให้ปาริชาตเมื่อเจ้านายของเธอตัดบทแล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องทำงานไปโดยไม่ถามแม้สักคำว่าเธอพร้อมจะไปทำกิจกรรมครั้งนี้กับเขาหรือไม่
ปาริชาตหยิบแฟ้มเอกสารที่ถูกเจ้านายนำมาวางให้ตรงหน้าขึ้นมาเปิด เธอเห็นลายมือหนาหนักของคุณสุพลระบุมาว่า ‘ให้คุณสุรเสกข์และคุณปาริชาตเป็นตัวแทนบริษัทไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้’ แถมเขายังตวัดลายเซ็นกำกับเอาไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ขณะนั่งทำใจรับกับคำสั่งสายฟ้าแลบอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานที่ดังขึ้น ก็ทำเอาปาริชาตถึงกับไหวกายด้วยความตกใจ นภษรหัวเราะพลางส่ายหน้าด้วยพอดูออกว่าอีกฝ่ายยังคงมีความกังวล ทั้ง ๆ ที่เธอก็บอกไปแล้วว่ากิจกรรมแรลลี่นั้นมีแต่ความสนุกสนานและไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด
“เชิญเข้ามาข้างในหน่อยครับ”
เสียงเข้มของสุรเสกข์ดังขึ้น ทำให้ใจที่สงบไปแล้วของปาริชาตกลับต้องรัวระทึกขึ้นมาอีกหน เหตุการณ์เมื่อครู่ได้คุณสุพลมาช่วยขัดตาทัพไว้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจปลีกตัวออกมา แม้ยังเคืองที่สุดท้ายเธอก็เหมือนจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ทว่าก็ไม่ปรารถนาจะเอาคืนในตอนนี้ ดีไม่ดีเขาอาจกำลังคิดแผนร้ายอยู่ก็เป็นได้
“ค่ะ”
แม้ใจจะค้าน หากแต่เธอก็ไม่อาจขัดคำสั่งของคนเป็นเจ้านายได้ ร่างบางหยิบสมุดโน้ตกับปากกาติดมือแล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของเขา
พอเธอสาวเท้าไปถึงหน้าโต๊ะ คนที่รออยู่ก่อนก็สั่งให้นั่ง
“นั่งก่อน นี่...”
สุรเสกข์บอกพลางหลุดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าเรียวซึ่งถูกนภษรแต่งแต้มเอาไว้อย่างดีงอง้ำ ที่สำคัญเธอจงใจปั้นหน้าแบบนี้เฉพาะยามที่อยู่กับเขาเพียงลำพังเท่านั้น เพราะเมื่อกี้ยังเห็นยิ้มแฉ่งอยู่เลย
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย ไม่ต้องมาทำท่าเกลียดขี้หน้ากันหรอก เพราะยังไงคุณก็ต้องทำงานกับผมอยู่วันยังค่ำ”
“ก็คุณทำตัวน่าเกลียดนี่”
คิ้วหนาเลิกขึ้นนิดหนึ่งกับคำพูดของหญิงสาวที่ดังมา และหากเป็นทุกครั้งสุรเสกข์ก็คงต้องต่อปากต่อคำด้วยความฉุน ทว่าภายหลังจากตกปากคำรับผู้เป็นพ่อในการยอมเป็นตัวแทนบริษัทไปร่วมกิจกรรมแรลลี่ด้วยกัน เขาก็ตั้งใจว่าจะขอสงบศึกกับเธอเสียที
“จุ๊...อย่าเพิ่งโมโห รับทราบแล้วนะว่าต้องไปแรลลี่ด้วยกัน”
“ค่ะ แต่...ทำไมคุณไม่ถามบ้างว่าฉันว่างหรือเปล่า อยากไปกับคุณไหม”
“ผมไม่ถาม เพราะรู้ว่าคุณไม่อยากไป”
เขาตอบยียวน ปาริชาตฉุนกึกทว่าทำอะไรไม่ได้
“แต่ในเมื่อเจ้านายไป แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เลขาไม่ไปด้วย”
เขาคิดเองเออเองเสร็จจนปาริชาตหมดหนทางโต้แย้ง หญิงสาวปิดปากเงียบ รอฟังว่าสาเหตุที่เขาเรียกให้เธอเข้ามาในนี้คืออะไรกันแน่
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ฉะนั้นตอนนี้เลยอยากให้เรามาทำความตกลงกัน เอาเป็นว่า...ผมขอสงบศึก เรื่องที่ผ่านมาถ้าผมผิดก็ขอโทษ ถ้าคุณผิดผมก็ไม่ติดใจเอาความ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่”
“คะ?”
หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ สิ่งที่ได้ยินนั้นถือว่าอยู่ไกลเกินความคาดหวังของเธอ ยอมรับว่าหากปล่อยให้ความสัมพันธ์ฉันท์เจ้านายและลูกน้องป่วยเข้าขั้นโคม่าหมดหนทางรักษา เธอก็จะขอให้คุณสุพลช่วยส่งไปอยู่แผนกอื่นหรืออาจขอลาออกแล้วไปสมัครงานใหม่
“ผมจะไม่หยิบยกเรื่องที่เห็นคุณยืนโป๊ต่อหน้ามาพูด จะไม่พูดจายียวนหรือเย้าแหย่แบบเจ็บแสบอีก และอ้อ...เรื่องที่คุณกอดผมในห้องน้ำเมื่อกี้ผมก็จะไม่พูดถึงมันเช่นกัน”
ปาริชาตฟังเขาพูดด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เพราะกึ่งหนึ่งเธอรู้สึกโล่งใจหากเขารับปากว่าจะทำเช่นนั้นให้ได้จริง ๆ ทว่าอีกกึ่งกลับรู้สึกเหมือนสุรเสกข์จงใจคุ้ยแคะทำให้เธอยิ่งอับอายขายหน้า
“คุณโอเคกับข้อตกลงนี้ไหม”
ใบหน้าที่งอง้ำเพราะเคืองขุ่นในคำพูดของเขา ทำให้สุรเสกข์ต้องหัวเราะหึ ๆ อย่างนึกขำอีกหน ซึ่งพอได้เห็นหญิงสาวยังคงเงียบ ไม่ยอมคว้าโอกาสดีนี้ไว้ เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างรวบรัด
“ตามใจนะ ถ้าไม่โอเค ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร อยู่กันไปกัดกันไปแบบเดิมก็ได้ ชีวิตมีสีสันดี”
ปาริชาตพูดไม่ออก เพิ่งรู้ว่าเขาเห็นความน่าอับอายของเธอเป็นสีสันในชีวิตและพอเขาคะยั้นคะยอจะให้เธอตอบตกลงให้ได้ ความขัดใจทำให้ต้องตำหนิเขาออกมา
“ว่าไงล่ะ”
“คุณก็เคยพูดแบบนี้มาหนหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เห็นทำได้เลย”
“ก็คราวนั้นมันมีเงื่อนไขนี่ คราวนี้ผมยอมสงบศึกแบบถาวรและไม่มีเงื่อนไขด้วย”
คำพูดของเขาที่บอกว่าจะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก ‘ถ้าไม่จำเป็น’ ทว่ากลับมีความจำเป็นในทุกครั้งที่มีปากเสียงเพราะความเห็นไม่ตรงกัน ทำให้ปาริชาตไม่กล้าคาดหวังว่าเขาจะทำได้เช่นที่ว่าจริง ๆ หรือไม่อย่างนั้นก็คงหาเหตุหรือใช้ช่องโหว่ทำให้เธอเจ็บใจได้อยู่ดีไม่มากก็น้อย
“เพื่ออะไรคะ”
“เพื่องานน่ะสิ จะเพื่ออะไร”
ปาริชาตอยากเถียงว่าทุกวันนี้เธอไม่ได้ทำให้งานเสีย ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่เขาสั่งมา ไม่เคยมีงานใดที่เธอทำไม่ได้ เพราะถ้าติดขัดตรงไหนเธอก็ได้ที่ปรึกษาดี ๆ อย่างนภษรคอยช่วยอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่สุรเสกข์ออกมาพูดแบบนี้เขากำลังคิดว่าเธอทำงานได้ไม่ดีหรือไร
“แปลว่าทุกวันนี้ฉันทำงานบกพร่องเหรอคะ”
“เปล่า ผมยังไม่ได้พูดเลย อย่าตีความเอาเองตามใจได้ไหม”
“ก็คุณขอสงบศึกเพื่องาน ดังนั้นก็แปลว่ามันเป็นอุปสรรคสำหรับการทำงาน”
“คุณลองตอบคำถามเหล่านี้ของผมก่อน ข้อแรกคือคุณปฏิเสธได้ไหมว่าไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาเจอหน้าผม แต่ผมรู้สึกถึงความไม่ชอบหน้า ความขุ่นใจหรืออะไรก็แล้วแต่และมันก็เป็นในแง่ลบมากกว่า ส่วนอีกข้อคือเห็นเจ้านายกับเลขาอีกคู่ในบริษัทเราไหม เป็นแบบคู่เราหรือเปล่า”
ปาริชาตต้องปิดปากเงียบอีกหนเพราะที่เขาว่ามาทั้งหมดนั้นสะท้อนความจริงได้อย่างชัดเจน
“ไม่ต้องคิดไปถึงเรื่องเปลี่ยนเลขานะ มันยังไม่ร้ายแรงจนเกินเยียวยาและผมก็ไม่ใช่เจ้านายประเภทเอาแต่ใจตัวเอง ฉะนั้นทางแก้ยังมีและมันก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณว่าจะยอมรับข้อตกลงไหม”
สิ่งที่สุรเสกข์คาดหวังคืออย่างน้อยก็เวลาเจอหน้ากัน เขาก็ไม่อยากให้ปาริชาตแสดงท่าทีขุ่นเคืองให้สัมผัสได้เหมือนเช่นทุกครั้ง แม้จะยอมรับว่าเธอยังทำงานได้ดีและไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่การอยู่ในที่ทำงานวันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงระหว่างเลขากับเจ้านาย ไม่ได้อยู่กันเพราะเรื่องงานเพียงอย่างเดียว
“แน่จริงคุณก็ทำมาเป็นลายลักษณ์อักษรสิ”
“หึ...มันจะมากไปแล้ว ผมไม่เสียเวลามาทำสัญญาบ้า ๆ บอ ๆ นั่นหรอก จะพูดแค่นี้แหละถ้าไม่โอเคก็ตามใจคุณ ผมไม่ได้บังคับ”
“ฉันโอเคก็ได้ค่ะ”
พอเห็นคนเป็นเจ้านายลอยหน้าลอยตาพูด ปาริชาตที่นึกไม่ชอบในท่าทีนั้นของเขาก็รีบตอบตกลง ซึ่งจากประสบการณ์ตรงหลายต่อหลายครั้งที่เห็นสุรเสกข์ทำท่าเช่นนี้ ผลที่เธอได้รับคือความเจ็บช้ำน้ำใจที่ถูกเขาหยอกเย้าแบบแสบสันและเธอก็มักทำอะไรไม่ได้แทบทุกครั้งไป ล่าสุดก็เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง
คำตอบรับแบบกระแทกกระทั้นและดูไม่ค่อยเต็มใจนักของปาริชาต ทำให้คนเป็นเจ้านายมองแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างนึกขัน และเหตุเพราะเพิ่งเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงหย่าศึกไปหยก ๆ สุรเสกข์จึงต้องควบคุมตัวเองให้สำรวมกิริยา ไม่พูดจากระทบกระทั่งจนคนฟังระคายหูเหมือนเคย
“เต็มใจหรือเปล่า ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ตกลงก็ได้นะ บอกแล้วว่าผมไม่ได้บังคับ”
“ไม่ได้เต็มใจค่ะ แต่ก็จำเป็นต้องตกลง เผื่ออะไรที่มันแย่ ๆ จะดีขึ้นและหวังว่าคุณจะรักษาคำพูดเยี่ยงผู้ชายอกสามศอกด้วย”
ปาริชาตยอมรับหน้าตาเฉย วาจาเผ็ดร้อนของเธอ ทำให้คนเป็นเจ้านายที่ตั้งสติควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้พุ่งพล่านนั้น เริ่มมีอาการอ่อนใจเข้าแทรกจนต้องเอ่ยถามออกมา
“แล้วเมื่อกี้วัดได้กี่ศอก เพิ่งวัดไปไม่ใช่เหรอ”
“คะ?”
“เอ่อ...ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจแต่ปากมันไปเอง”
ปาริชาตอยากร้องกรี๊ดออกมาเมื่อได้ยินคำขอโทษทว่าคนผิดกลับลอยหน้าลอยตาดูไม่ได้สำนึกเลยแม้แต่น้อย เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันขณะใบหน้าเรียวเริ่มร้อนวูบวาบเมื่อหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำก่อนหน้า
“หมดเรื่องคุยหรือยังคะ ถ้าหมดแล้วฉันขอตัว”
“เราตกลงกันแล้วนะ ถ้าคุณก้าวขากลับเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง ทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อตกลง”
“ค่ะ ฉันก็หวังว่าคุณจะทำได้แบบนั้นจริง ๆ”
การทำท่าว่ายึดมั่นกับข้อตกลงจนปาริชาตแทบไม่อยากเชื่อ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะย้ำเอากับเขา ก่อนจะลุกแล้วเดินออกไปจากห้อง แม้ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะทำได้เช่นที่พูดมา หากแต่หญิงสาวก็พอจะเบาใจและแอบคาดหวังว่าอะไร ๆ คงค่อย ๆ ดีขึ้นในเร็ววัน
ในสายของวันหนึ่ง ขณะที่สุรเสกข์กำลังให้ปาริชาตคัดรหัสและชื่อสินค้าประเภทอุปกรณ์ประดับยนต์ เพื่อนำไปกรอกในใบสั่งซื้อของบริษัทผู้ผลิต รวมไปถึงช่วยตรวจทานความถูกต้องอยู่อย่างขะมักเขม้น คุณสุพลก็ผลักประตูเข้ามา
“พ่อ มีอะไรครับ”
เมื่อเหลือบเห็นแผ่นกระดาษสีขาวพร้อมลายมือขยุกขยิก ซึ่งถูกผู้เป็นพ่อถือเอาไว้ในมือ สุรเสกข์ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ถึงเวลาต้องคอนเฟิร์มการส่งทีมเข้าร่วมแรลลี่แล้วนะ อ้อ...แล้วนี่ก็ของอีกบริษัทหนึ่ง จัดต้นเดือนหน้า”
“ทำไมเร็วจัง เอ่อ...ไม่ใช่สิ ผมคงรู้เรื่องช้า เพราะเห็นหนังสือรับเข้ามาหลายวันแล้ว”
“มันติดอยู่ที่โต๊ะทำงานพ่อ ลืมเอามาให้”
เหตุเพราะมัวยุ่งอยู่กับการสัมภาษณ์ผู้ที่จะมาช่วยงานคุณนภษร ทั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าต้องรับปาริชาตเข้าทำงาน แต่ก็ต้องเปิดรับสมัครและทำทุกอย่างตามขั้นตอน โดยไม่ให้มีใครเห็นถึงความผิดปกติ ทำให้บัตรเชิญเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ที่คุณสุพลเพิ่งนึกได้ว่าต้องส่งต่อให้สุรเสกข์ ได้ถูกเขาค้นเจอเมื่อวานนี้เอง ซึ่งจริง ๆ บริษัทเจ้าภาพได้ส่งมาให้นานเกือบ 3 สัปดาห์แล้ว
“ขอผมดูอันใหม่ก่อน”
การได้นั่งทำงานอยู่คนละฝั่งของโต๊ะทำงานตัวเดียวกับเจ้านาย ทำให้ปาริชาตแอบสังเกตเห็นความตั้งอกตั้งใจของเขา เธอยอมรับว่าบางครั้งเขาก็ขี้เล่นและอารมณ์แปรปรวน แต่สิ่งที่ต้องเชื่อในเวลานี้อย่างหนึ่งคือ ในขณะที่ต้องใจจดใจจ่ออยู่กับการทำงาน เขาจะมีสมาธิและจริงจังตั้งใจกับมันมาก
ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปรับแผ่นกระดาษนั้นมาจากคุณสุพล แล้วเหลือบตาไปมองปฏิทินตั้งโต๊ะ ซึ่งก็ได้มาจากบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับรถยนต์อีกนั่นแหละ
“มันยังไม่ถึงคิวหรอกน่ะ อันที่ต้องคอนเฟิร์มเค้าวันนี้ต่างหากที่ต้องรีบ ตกลงใจแน่แล้วนะที่จะให้ป่านไปเป็นเพื่อนร่วมทีม”
“ครับ แล้วที่พ่อบอกว่าจะทำหนังสือแจ้งให้ฝ่ายขายทราบล่ะครับ มีใครอยากไปอีกบ้าง”
“ไม่ทันได้ถามเลย ก็มันจะไม่ทันแล้วนี่ ไม่รู้จะรีบทำไมกัน”
“มันเป็นช่วงไฮซีซั่น คนจัดงานเค้าก็ต้องใช้เวลาเตรียมการเยอะหน่อยสิครับ เอาไว้หน้าฝนสิพ่อ จะจัดเมื่อไหร่พวกโรงแรมหรือร้านอาหารแทบจะมากราบ ปีหน้าเราเป็นเจ้าภาพจัดกันมั่งดีไหมครับ”
การจัดแรลลี่ท่องเที่ยวในช่วงต้นฤดูหนาว และโดยเฉพาะเส้นทางที่ต้องใช้คือออกจากกรุงเทพแล้วมุ่งหน้าขึ้นภาคเหนือ ทำให้การจับจองห้องพักและร้านอาหารต้องดำเนินการกันแต่เนิ่น ๆ เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงของการท่องเที่ยวชมบรรยากาศและความงามของธรรมชาติ
“เฮ้ย...ไม่เอา เหนื่อย”
คุณสุพลปฏิเสธออกมาทันควัน เพราะเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว เค้าก็เคยเกณฑ์พนักงานในบริษัทช่วยกันร่วมแรงร่วมใจจัดแข่งแรลลี่มาแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงแรลลี่อนุรักษ์ธรรมชาติและปลูกป่าชายเลนก็เถอะ ความเหน็ดเหนื่อยแบบใช่เหตุในคราวนั้น ก็ทำเอายังนึกเข็ดมาจนถึงวันนี้
“แต่ผมอยากลองทำดูมั่ง คราวก่อนที่พ่อทำผมยังไม่ได้อยู่ช่วยเต็มที่”
“แกก็ได้ไปร่วมกับบริษัทอื่น ๆ เค้าข้างนอกทุกเดือนอยู่แล้ว จะทำให้เหนื่อยทำไม”
ถ้าหากพูดถึงชื่อเสียงของบริษัทวินเนอร์ ออโต้พาร์ทแล้ว ปัจจุบันนี้ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะไม่มีใครรู้จัก และโดยเฉพาะในการส่งทีมเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ในทุกครั้งที่ได้รับเชิญจากบริษัทผู้ขายหรือผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ทั้งหลาย ก็นับว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของบริษัทให้เป็นที่รู้จักแก่คนในวงการอยู่แล้ว
“ไปร่วมกับเขา เราก็ไปแบบจำยอม เขาตั้งเงื่อนไขอะไรก็ต้องยอมเขา ถ้าเราเป็นเจ้าภาพจัดเองสิพ่อ จะได้เป็นฝ่ายตั้งเงื่อนไขเอากับคนอื่นเขาบ้าง”
พอได้ยินคำพูดของลูกชาย คุณสุพลก็ได้แต่เปิดยิ้มและคาดเดาเอาในใจว่า ทุก ๆ ครั้งที่ส่งสุรเสกข์ให้เป็นตัวแทนบริษัทเข้าร่วมแข่งแรลลี่ สงสัยลูกชายคงไปเจอกับสภาวะกดดันอะไรบางอย่างมาแน่ ๆ ถึงได้เกิดความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเสียเองเช่นนี้ พูดง่าย ๆ ก็น่าจะหนีไม่พ้นคำว่า ‘เอาคืน’ เท่าใดนัก
“เอาไว้ว่าง ๆ ก็ค่อยคิดเถอะ นี่ยังต้องไปร่วมกับเขาอยู่ไม่เว้นแต่ละเดือน”
“เราก็ต้องตั้งเป้าหมายเอาไว้ก่อนสิพ่อ และถ้าถึงคราวที่เราจะเป็นเจ้าภาพ ก็งดไปร่วมกับเขาแล้วมาเตรียมงานของเราก็ได้”
“มันจะชนกับบริษัทอื่นน่ะสิ อีกอย่าง...ถ้าจัดบ่อย บางทีคนที่เราเชิญมาร่วมเค้าก็อาจจะเหนื่อยก็ได้นะ”
“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ พ่อคิดดูสิ...ตั้ง 3 ปีแล้วที่เราไม่ได้จัดแรลลี่เลย ถ้าเราจัด...เชิญใครก็คงไม่ปฏิเสธ”
“มันเป็นเรื่องของธุรกิจเหมือนกันนะเสกข์ ถ้าทุกคนเค้าคิดแบบแกหมดก็ดีสิ แต่ก็ไม่รู้นะ เอาไว้ลองวางแผนดูก่อน ถ้ามันเป็นไปได้ก็ลองกันอีกสักตั้ง”
สุดท้าย คำตอบที่ได้จากผู้เป็นพ่อ ก็ทำให้คนเป็นลูกชายถึงกับคลี่ยิ้ม ถึงแม้ว่าจะเป็นไปในทางแบ่งรับแบ่งสู้ แต่หากเขามุ่งมั่นและเป็นตัวหลักในการจัดกิจกรรมนั้น ยังไงก็ต้องหาทางผลักดันให้เป็นรูปเป็นร่างจนได้
“ตกลงว่าเป็นป่านนะ”
“ครับ ผมบอกเจ้าตัวเค้าไปแล้ว”
“ป่านโอเคใช่ไหม ตกลงว่าปลายเดือนนี้ก็ไปเรียนรู้เรื่องแรลลี่นะ เพราะอีกหน่อยต้องได้ไปบ่อย ๆ”
“ค่ะ”
“เตรียมเอกสารแล้วโทร.ไปคุยกับคนนี้นะ”
คุณสุพลว่าพลางดึงกระดาษแผ่นเดิมจากมือของลูกชาย กลับมาขีดเส้นใต้ตรงชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าภาพจัดการแข่งขันแรลลี่ท่องเที่ยวในครั้งนี้
“เอ้า...ป่านไปจัดการต่อที”
“ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวรับคำแต่โดยดีแล้ว คุณสุพลจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
ทางด้านของสุรเสกข์ เมื่อเห็นว่าปาริชาตยังคงทำหน้างง ๆ กับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แถมยังมีเรื่องการเตรียมสั่งซื้อสินค้าที่ยังทำค้างกันอยู่ เขาจึงเอ่ยบอกเบา ๆ
“พักเรื่องออร์เดอร์สินค้าไว้ก่อน คุณมีสำเนาบัตรประชาชนติดมาไหม ถ้าไม่มีก็ไปถ่ายเอกสารมาใบนึง”
“ค่ะ”
“แล้วกลับมากรอกใบสมัคร แฟกซ์ไปให้เขาพร้อมหลักฐานของผมกับคุณ อ้อ...ต้องโทร.ไปยืนยันและแจ้งชื่อก่อน ไม่รู้ทางนั้นจะเอายังไงเพราะบางที่แฟกซ์แล้วเค้าก็ให้ส่งไปรษณีย์ตาม บางที่ก็ให้ถือไปวันแข่ง”
“ค่ะ”
“มานั่งกรอกรายละเอียดที่นี่แหละ ตอนนี้ไปเอาเอกสารของคุณมาก่อน”
ท่าทีสั่งความอย่างเป็นการเป็นงานของสุรเสกข์ ประหนึ่งหมดความกังขาแล้วว่าจะเลือกให้ใครไปร่วมทีมแรลลี่ครั้งนี้ ทำให้ปาริชาตได้แต่รับคำ และพอเธอกลับเข้าไปในห้องเพื่อเตรียมตัวกรอกใบสมัครเหมือนที่สุรเสกข์ได้บอกมาแต่แรก ก็ปรากฏว่าผู้เป็นนายได้จัดการไปจนเกือบจะเสร็จแล้ว เหลือเพียงรายละเอียดส่วนตัวของเธอเท่านั้นที่ยังถูกเว้นว่างเอาไว้
“เอาเอกสารของคุณมา”
เสียงเข้มเอ่ยบอกโดยที่เจ้าของยังคงจรดปากกาลงบนใบสมัครที่แนบมาพร้อมกับบัตรเชิญ และพอปาริชาตวางมันลง เสียงหัวเราะหึ ๆ ที่เธอได้ยิน ก็ทำเอาตาโตต้องกลอกไปจับจ้องดูท่าทีของเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“หึ ๆ ไปเอาบัตรประชาชนของเด็กที่ไหนมา”
”คะ ก็ของฉันเองนั่นแหละค่ะ”
“ถ่ายตอนอายุครบ 15 เหรอ”
ภาพถ่ายบนบัตรประชาชนที่ปรากฏเด็กสาวผมบ๊อบสั้นแค่ต้นคอ แถมใบหน้าบ้องแบ๊วเอามาก ๆ ทำให้ปาริชาตซึ่งปัจจุบันผมยาวสลวยจนเกือบถึงครึ่งหลังแล้ว ได้แต่อมยิ้ม รู้ว่าเขาแค่หยอกเล่นเฉย ๆ เพราะวันที่ทำบัตรประชาชนซึ่งปรากฏอยู่ในนั้นเพิ่งผ่านพ้นมาได้เพียง 1 ปีเศษเอง
ในที่สุด คนเป็นเจ้านายก็มีส่วนในการจัดการเรื่องนั้นเกินครึ่ง เพราะนอกจากเขาจะเป็นคนกรอกใบสมัครเองแล้ว ยังโทรศัพท์ไปคอนเฟิร์มกับบริษัทเจ้าภาพเองอีกด้วย คงเหลือหน้าที่ส่งแฟกซ์ให้ปาริชาตทำเพียงอย่างเดียว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2556, 20:29:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2556, 20:29:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 1918
<< ตอนที่ 9 |

ผักหวาน 7 พ.ค. 2556, 11:20:15 น.
อดทำตาโตไปกับหนูป่านไม่ได้ แหม ทักมาได้ ว่าเอาบัตรเด็ก 15 ปี 555
อดทำตาโตไปกับหนูป่านไม่ได้ แหม ทักมาได้ ว่าเอาบัตรเด็ก 15 ปี 555
