ปาริชาตซ่อนรัก
Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 9
ตอนที่ 9
“นายไม่มีงานทำเหรอชิต”
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จและพากันเดินทางกลับมาทำงานในภาคบ่ายต่อ การได้เห็นชิติพัทธ์ยังคงเอ้อระเหยนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน สุรเสกข์ที่เริ่มต้นกางแฟ้มเอกสารออกตรวจจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาเบา ๆ
“จะว่ามีก็มี รึจะว่าไม่มีก็ได้เหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ รอเวลากินกาแฟสักถ้วยก่อนแล้วค่อยกลับ”
“นี่...ถ้านายจะอยู่ต่อนะ ก็ไปนั่งที่โซฟาโน่น อย่ามาชวนคุยเพราะฉันจะทำงาน”
“งั้นขอออกไปนั่งข้างนอกดีกว่า”
ชิติพัทธ์ว่าพลางขยับตัวลุกขึ้น ก่อนจะทำเพียงคลี่ยิ้มและส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ยอมเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาสีเข้มมุมห้องแต่โดยดี
“ไม่ได้ ลูกน้องฉันก็ต้องการสมาธิในการทำงานเหมือนกัน”
สุรเสกข์ค้านขึ้นมาทันใด คนเคยกินเคยนอนด้วยกันมาร่วม 2 ปีพอไม่เจอหน้ากันหลายวันก็คิดถึงอยู่หรอก แต่ถ้าเจอกันบ่อยหรือมาแสดงกิริยากะลิ้มกะเหลี่ยให้เห็นคาตาแบบนี้ เขาก็ชักไม่ปลื้มเหมือนกัน
“คุณษรครับ ขอกาแฟให้แขกที่หนึ่งครับ”
ชิติพัทธ์มีอันต้องเลิกคิ้วหนาขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงของสุรเสกข์ ก่อนจะหันไปมองและทันได้เห็นเจ้าของห้องวางโทรศัพท์ลงพอดี
“นายชอบทำอะไรจริงจังเกินหน้าเกินตาอยู่เรื่อย”
คำเปรยของเพื่อนทำให้สุรเสกข์ที่นึกสงสัยอยู่ว่าเหตุใดตนเองต้องแสดงท่าทางเข้มงวดกับชิติพัทธ์ในเวลานี้ด้วย ถึงกับหยุดใคร่ครวญ ก่อนจะสั่งตัวเองว่าให้พยายามทำประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็ทำตามได้เพียงชั่วครู่ เพราะเมื่อได้เห็นว่าคนที่ยกกาแฟเข้ามาให้ชิติพัทธ์ไม่ใช่นภษร อารมณ์ของเขาก็ขุ่นมัวขึ้นมาอีกจนได้
“ขอบคุณมากครับ”
เสียงของชิติพัทธ์ที่ฟังดูเริงร่าจนเกินควร ทำให้สุรเสกข์เผลอตัวกดปากกาลงกับกระดาษตรงหน้าจนหมึกของมันซึมเลอะเป็นวงกว้าง ที่สำคัญเจ้าของเองก็ตกใจไม่น้อยเพราะคงต้องได้เสียเวลาพิมพ์ออกมาใหม่
“ปาริชาต คุณพิมพ์เอกสารหน้านี้ให้ผมใหม่อีกแผ่นหนึ่งได้ไหม พอดีผมทำหมึกหยดจนมันเลอะไปเสียแล้ว”
พอเห็นหญิงสาวที่ไปย่อตัววางถ้วยกาแฟให้ชิติพัทธ์กำลังยืนคุยกับฝ่ายนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สุรเสกข์ก็ขัดจังหวะด้วยการเรียกเอกสารฉบับใหม่จากเธอ
จนเมื่อร่างบางในเดรสสีหวานนั้นหายลับออกไปจากประตูแล้ว ชิติพัทธ์ที่รู้ว่าสุรเสกข์จงใจจะกั้นไม่ให้เขาได้ทำความคุ้นเคยกับปาริชาตก็ถึงกับถือถ้วยกาแฟแล้วเดินเข้ามาใกล้
“ถามจริง นายจะหวงอะไรนักหนา”
“หืม...ใครหวงอะไร”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ นายนั่นแหละที่หวงเลขาจนออกนอกหน้า”
“ก็เพราะรู้ว่านายเป็นคนยังไงน่ะสิ ฉันถึงไม่อยากให้มายุ่งกับคนของฉัน”
นักรักเจ้าสำราญอย่างชิติพัทธ์ ต่อให้เขาจะตั้งใจรักสักแค่ไหน ก็น่าน้อยใจอย่างยิ่งที่คนจริงจังอย่างสุรเสกข์มองไม่ออก
“คิดมาก รู้ไหมว่านายลงทุนมากีดกันยังกับว่าวันนี้ฉันจะฉุดเอาเลขานายไปทำมิดีมิร้ายอย่างนั้นแหละ”
“ก็ไม่รู้ล่ะ ฉันว่าฉันอ่านความคิดนายออกก็แล้วกัน ฉะนั้น...อย่าไปยุ่งกับเธอเลย”
“แต่ถ้าเธอเป็นฝ่ายสนฉันล่ะ นายต้องให้ฉันบอกด้วยไหมว่าอย่ามายุ่ง”
พอถูกคนเป็นเพื่อนเอ่ยถามด้วยคำพูดที่ส่อให้เห็นว่าปาริชาตก็เริ่มนิยมชมชอบในตัวเขาแล้วเช่นกัน ทำให้อารมณ์ของสุรเสกข์ยิ่งขุ่นเคือง หากแต่เขาก็ทนเก็บเอาไว้ เพราะเรื่องแบบนี้จะต่อว่าเพื่อนของเขาเพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกต้องนัก ที่สำคัญควรหยั่งเชิงดูท่าทีของปาริชาตด้วยว่าเธอยินดีหรือไม่
“รีบกินสิ เดี๋ยวกาแฟก็เย็นหมด”
เมื่อเห็นเพื่อนถือถ้วยกาแฟในมือค้างไว้ ขณะลอยหน้าลอยตายืนยันความจริงใจของตนเองอยู่ต่อหน้า สุรเสกข์ที่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องหวงเลขา จึงออกปากคะยั้นคะยอ
“รู้นะว่าเจตนาจะบอกให้รีบกินแล้วรีบกลับใช่ไหมล่ะ หึ ๆ”
ชิติพัทธ์ท้วงอย่างรู้ทัน ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบช้า ๆ ไม่ใช่เพราะร้อนจัด หากแต่ต้องการกวนประสาทคนเป็นเพื่อนมากกว่า
“ก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไร ๆ ง่ายดีนี่ แต่ทำไมพูดยาก บอกอะไรก็ไม่ยอมเชื่อ”
สุรเสกข์พึมพำเอากับแฟ้มเอกสารตรงหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมองคนเป็นเพื่อนที่จงใจหัวเราะเยาะ แล้ววางถ้วยกาแฟในมือลงบนโต๊ะทำงานของเขาเบา ๆ
“จะกลับแล้ว”
“อืม...ขอบใจที่อุตส่าห์เอาโทรศัพท์มาให้”
เมื่อคนเป็นเพื่อนไม่ขัดศรัทธา ชิติพัทธ์จึงทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังเตรียมสาวเท้าออกไปจากห้อง ทว่าปาริชาตกลับเป็นฝ่ายผลักประตูเข้ามาพร้อมเอกสารที่เจ้านายของเธอเรียกหาเมื่อครู่
“กาแฟอร่อยมาก ขอบคุณนะครับ”
การเอ่ยปากชมในสิ่งที่ปาริชาตสรรหามารับรอง ทำให้หญิงสาวถึงกับเปิดยิ้มกว้าง เธอมองเพื่อนของเจ้านายที่อัธยาศัยดีเป็นเลิศแล้วเอ่ยถาม ขณะเห็นเขาทำท่ารี ๆ รอ ๆ
“ค่ะ คุณชิตต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ
“อ๋อไม่แล้วครับ ผมตั้งใจว่าจะกลับแล้ว เอาไว้วันหลังค่อยแวะมาชวนไปทานข้าวด้วยกันใหม่”
วันนี้แม้ชิติพัทธ์จะเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเรียกร้องจะเอาค่าไถ่จากเจ้าของโทรศัพท์ที่ทำหล่นไว้ในรถยนต์ของตนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านไปให้ได้ ทว่าพอเอาเข้าจริงเขานั่นแหละที่เป็นคนอาสาจ่ายค่าอาหารมื้อนั้น ซึ่งสนนราคาของมันก็ปาเข้าไปหลักพัน
“ค่ะ”
“อะแฮ่ม...ไม่ต้องมาบ่อย ๆ ก็ได้นะชิต ช่วงนี้ฉันกับเลขาไม่ค่อยว่างเท่าไหร่”
ชิติพัทธ์หัวเราะหึ ๆ ให้กับคำพูดนั้นของสุรเสกข์ ก่อนจะยักคิ้วล้อเลียนประมาณว่า เขาจะมาเสียอย่าง ใครจะทำไม...
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
ปาริชาตยกมือไหว้ชิติพัทธ์พลางแย้มเรียวปากอิ่มสีระเรื่อให้ไป เธอทำเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีไมตรีอันดีต่อกัน ทว่ากับคนที่แอบชำเลืองมองอยู่กลับไม่คิดเช่นนั้น
ดังนั้นเมื่อคล้อยหลังของชิติพัทธ์และปาริชาตได้ขยับเข้าไปยื่นเอกสารที่คนเป็นเจ้านายเรียกหาเพิ่มเติมเมื่อครู่ก่อนหน้า ฝ่ายที่ทนมองภาพขัดหูขัดตาตั้งแต่ทั้งสองคนเจอหน้ากันมาจนถึงวินาทีนี้ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
“หมอนี่มันลื่นยังกะปลาไหล จะพูดจะจาอะไรกับมันก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
“ทำไมต้องระวังด้วยคะ”
“ก็เดี๋ยวจะตามเกมมันไม่ทันน่ะสิ”
สุรเสกข์โพล่งออกมาอย่างเหลืออด ดู ๆ ไปปาริชาตก็ไม่ต่างจากเด็กที่อ่อนต่อโลกเท่าใดนัก จะเป็นไปได้ไหมว่านั่นคือหนึ่งในวิธีการทำตัวให้น่าทนุถนอมหรือเรียกร้องความสนใจจากเพศตรงข้ามของเธอ
“ค่ะ”
ปาริชาตเอ่ยออกมาสั้น ๆ ก่อนจะหันไปหาถ้วยกาแฟที่ถูกชิติพัทธ์ดื่มจนหมดแล้วและวางทิ้งอยู่เพื่อเก็บออกไปล้างทำความสะอาด เธอไม่ได้คิดจะสนใจเขามากเกินไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งของเจ้านายที่อัธยาศัยดีและง่ายแก่การผูกมิตร ทว่าคนฟังกลับคิดไปว่าเธอคงแค่รับคำส่ง ๆ
“นี่...มันเป็นคำเตือนจากเจ้านายคุณนะ จะไม่ขอบคุณสักคำรึ”
“ขอบคุณค่ะ แต่มันเรื่องเล็กแค่นี้เอง คุณไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากมายหรอกค่ะ อีกอย่าง...ฉันพอดูออกอยู่บ้างว่าคนไหนควรมีไมตรีระดับใด”
“ก็ให้มันจริงเถอะ ไปขยิบตาให้ท่ากันตั้งแต่ตอนไหนล่ะ เพื่อนผมถึงได้นั่งไม่ติดที่อย่างนั้น”
คำถามที่ฟังดูราวกับเยาะหยัน ทำให้ปาริชาตเริ่มหน้าตึงขึ้นมา เพราะจะว่าไปแล้วสิ่งที่เป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าที่การงานให้คนเป็นเจ้านายต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยสักหน่อย
ใบหน้าเรียวหันขวับไปมองเจ้าของคำถามที่จงใจเยาะหยันเธอโดยไม่ทราบสาเหตุ พลางเม้มปากแน่นด้วยความขุ่นเคืองแถมบริภาษเขาอยู่ในใจ
“นี่ขนาดมันยังไม่เคยเห็นคุณเปลื้องผ้าต่อหน้านะ”
จากที่ตั้งใจว่าจะไม่ต่อปากต่อคำ ปาริชาตก็ต้องมีอันหูอื้อตาลายจนลืมความตั้งใจเดิมของเธอไปเสียหมดสิ้น เพียงเพราะคนเป็นเจ้านายที่ไม่ยอมหยุดพูด
“ที่นี่ไม่ใช่อินเดีย ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนจึงไม่จำเป็นต้องแต่งงานและอยู่กินกับผู้ชายคนนั้นไปจนตลอดชีวิต ฉะนั้นกับแค่ถูกผู้ชายไร้มารยาทคนหนึ่งเห็นฉันโป๊ทางกระจกก็ยิ่งเป็นแค่เรื่องขี้ผงค่ะ”
หญิงสาวว่าทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้พอคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อใด เธอก็ยังรู้สึกอับอายอยู่เช่นเดิม ยิ่งต้องมาทำงานและเจอหน้ากันทุกวันเช่นนี้ แทนที่พอเวลาผ่านไปความรู้สึกนั้นจะคลายลง ตรงข้าม...คราใดที่สายตาของสุรเสกข์มองมา แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอก็ยังรู้สึกเหมือนถูกไฟลามเลียทุกที
“คุณว่าใครไร้มารยาท”
ร่างหนาของเจ้านายทะลึ่งพรวดจากเก้าอี้ ก่อนจะย่างสามขุมเข้าหาอย่างเอาเรื่อง ปาริชาตที่เฝ้าระวังภัยให้ตัวเองมาตลอด เห็นท่าไม่ดีจึงรีบสาวเท้าหนีพร้อมแก้วน้ำและถ้วยกาแฟในมือ ทว่าขายาว ๆ นั้นชิงก้าวตรงไปที่ประตูแล้วหันหลังพิงมันเอาไว้เสียก่อน ทำให้ปาริชาตได้แต่ยืนหันรีหันขวางไปไหนไม่ได้
“ตอบมาดี ๆ คุณหมายความถึงใคร”
“ก็ใครไม่รู้ล่ะที่มีพฤติกรรมอย่างนั้น”
แล้วคนที่ยืนพิงประตูราวกับต้องการสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ให้พุ่งสูงไปกว่านี้ก็เริ่มต้นออกเดิน ปาริชาตถอยกรูดหวังให้ห่างจากเขามากที่สุด ตาโตหลุบลงมองน้ำในแก้วที่ยังเหลือติดอยู่ไม่น้อยแล้วกำไว้แน่น หากจำเป็นเธออาจต้องได้พึ่งพามัน
“อย่าคิดแม้แต่จะเอาน้ำนั่นมาสาดผมนะ ถ้าผมโดนน้ำสาดล่ะก็คุณไม่มีทางได้รอดออกไปอย่างลอยนวลแน่”
เหมือนสุรเสกข์จะอ่านท่าทีของเธอออก ฉะนั้นขณะที่ก้าวเนิบ ๆ เข้ามาหาเขาจึงไม่รีรอที่จะข่มขู่เธอไปด้วย แต่มีหรือคนที่กำลังรู้ว่าตนต้องสู้ยิบตาจะยอม ดังนั้นพอสะโพกสัมผัสเข้ากับขอบโต๊ะทำงานของเขา มือข้างที่ถือถ้วยกาแฟจึงวางมันลง เหลือเพียงแก้วน้ำที่เธอหวังว่ามันจะช่วยหยุดทุกอย่างในตอนนี้ได้ชะงัด
“ตอบมา!”
แม้จะรู้ตัวว่ากำลังถูกบีบบังคับให้เธอเอ่ยชื่อเขา เพื่อจะได้ชำระความอย่างเต็มที่ หรืออย่างน้อยก็เอาผิดได้ฐานพาดพิงถึง หากแต่ปาริชาตก็ยอมปิดปากอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ เพราะยิ่งเห็นเขาสาวเท้ามาจวนจะถึงตัว เธอก็ต้องรีบหาหนทางทำให้ตัวเองปลอดภัย
“ผู้ชายไร้มารยาทคนนั้น ฉันก็หมายถึงคุณนั่นแหละ นี่...อย่าเข้ามานะ”
ปาริชาตเอ่ยออกมา ก่อนจะกลายเป็นร้องห้ามเสียงหลงเมื่อเห็นว่าสุรเสกข์กำลังทำท่าราวกับจะกระโจนมาตะครุบตัวเธอแทนการสาวเท้าอย่างช้า ๆ ตั้งแต่แรก ซึ่งพอเห็นดังนั้นปาริชาตจึงพยายามเดินเลี่ยงเขาออกไปโดยไม่ยอมทิ้งแก้วน้ำในมือ กระทั่งสุรเสกข์ยื่นฝ่ามือมาตะปบ ที่พึ่งสุดท้ายในมือจึงถูกสาดออกไป
ทุกอย่างชะงักงันไปชั่วครู่ ก่อนแก้วน้ำในมือของปาริชาตจะถูกโยนทิ้งลงบนพรมดัง ‘กึก’ พร้อมกับเจ้าของก็ถูกคนที่อารมณ์ทะลุจุดเดือดกระชากเข้าหาตัว
“จะไปไหน มานี่!”
“ปล่อยฉันนะ!”
ปาริชาตออกคำสั่งเสียงสั่น พลางปลอบใจตัวเองว่าแม้จะเข้าตาจนเธอก็ขอสู้ยิบตา ฉะนั้นมือเรียวข้างที่เป็นอิสระ จึงคอยแกะฝ่ามือใหญ่ที่ตรึงข้อมือของเธออีกข้างเอาไว้ ส่วนสองขาก็พยายามนิ่งขึง ไม่ยอมปล่อยให้เขาลากถูไปตามใจ ทว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มไปอย่างมหาศาลของเธอกลับดูเหมือนไม่ทำให้เขาระคายเลยด้วยซ้ำ
“บอกแล้วไงว่าอย่าเอาน้ำมาสาดผม อยากลองดีนักก็เอา”
สุรเสกข์ใช้ความไวของสายตาพาร่างหลบน้ำจากแก้วที่ปาริชาตสะบัดใส่ได้อย่างทันท่วงที กระนั้นแขนเสื้อของเขาก็ยังคงหนีไม่พ้น แม้ว่าจะเปียกไปเพียงนิด หากแต่การไม่ยอมฟังคำขู่ของเขาก็ย่อมหมายความว่าหญิงสาวจงใจท้าทาย
ร่างบางของเธอปลิวติดมือเขาไปอย่างยากจะขัดขืน ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสุรเสกข์กำลังคิดจะทำอะไร หากแต่พอเขาลากเธอไปถึงหน้าห้องน้ำส่วนตัว ปาริชาตก็รู้ว่าเขาเอาจริง
“คนละที แล้วไม่ต้องมาโอดครวญให้ได้ยิน ยังไงผมก็ไร้มารยาทอยู่แล้ว”
ปาริชาตเห็นเขาเอื้อมมือข้างที่ว่างอยู่ไปเปิดก๊อกน้ำของอ่างล้างมือ และแค่เห็นเขาเอาแก้วน้ำมารอง เธอก็หลับตาปี๋พลางพร่ำบอกรัวเร็ว
“ฉันขอโทษ”
“อะไรนะ ผมไม่ได้ยิน”
เสียงน้ำไหลถูกแทรกด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวทว่าดูดีขึ้นกว่าเดิมจนปาริชาตเริ่มใจชื้น
“ฉันบอกว่าขอโทษ”
หญิงสาวลืมตาขึ้นมองพลางเอ่ยออกมาช้า ๆ อีกหน ก่อนจะต้องได้เม้มปากแน่นเมื่อเขาเอ่ยถามและหลุดเสียงหัวเราะหึ ๆ ตามมาในตอนท้าย และนั่นก็ทำให้คนเอ่ยคำขอโทษเริ่มเคือง
“หึ ขอโทษแล้วไง เสื้อผมที่มันเปียกนี้แห้งไปในพริบตาเลยไหม”
“ก็...ก็คุณไม่รักษาคำพูดนี่ ไหนว่าจะไม่พูด จะไม่ขุดคุ้ยเรื่องเมื่อวันนั้นแล้วไง”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าถ้าไม่จำเป็น อ้อ...แล้วไหนบอกว่าไม่แคร์เพราะเป็นแค่เรื่องขี้ผงไง”
“ก็คุณลองเป็นผู้หญิงที่ยืนโป๊อยู่ต่อหน้าผู้ชายหื่นกระหายสักคนสิ แล้วจะเข้าใจว่าฉันรู้สึกยังไง”
“ห๊ะ!”
สุรเสกข์อุทานเสียงดัง ไม่คิดว่าจะนอกจากจะถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ผู้ชายไร้มารยาท’ แล้ว เขายังถูกยัดเยียดว่าเป็น ‘ผู้ชายหื่นกระหาย’ อีกประเภทหนึ่งด้วย
“ตกลงจะขอโทษหรือจะกล่าวหาเพิ่ม”
ปาริชาตเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินเสียงกร้าวของสุรเสกข์เอ่ยถาม แม้อยากตะโกนใส่หน้าเขาว่าเธอต้องการทำอย่างหลังมากกว่า ทว่าแก้วน้ำที่รองอยู่ใต้ก๊อกจนเกือบเต็มนั้นก็ถ่วงปากของเธอเอาไว้ ที่สำคัญคือการถูกตรึงข้อมือข้างหนึ่งแน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด หากต้องถูกเขาเอาน้ำมาราดจริง ๆ เธอก็คงต้องยอมรับสภาพลูกหมาตกน้ำโดยดี
“จะเอาไง ฮึ”
คำถามพร้อมกับมือข้างที่ว่างของเขาก็จุ่มน้ำแล้วสลัดใส่จนปาริชาตต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามประกบมือเรียวของเธอเข้าหากันแล้วเอ่ยคำขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงละห้อยชวนให้เห็นใจ
“อุ๊ย...ขอโทษ ฉันขอโทษ”
ปาริชาตเอ่ยคำขอโทษแถมหลบหลีกพัลวันจากคนที่ยังคงสลัดน้ำใส่เธอไม่ยั้ง เมื่อไม่อาจดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ ทางเดียวที่ดูจะปลอดภัยมากสุดคือหยุดมือข้างที่กำลังจุ่มอยู่กับแก้วน้ำให้ได้
“พอแล้ว หน้าฉันเปียกหมดแล้ว นี่คุณ...”
มือเรียวข้างที่ว่างยื่นออกไปยื้อแขนข้างนั้นของเขาไว้ ก่อนจะกลายเป็นกอดรัดฟัดเหวี่ยงเพราะไม่มีใครยอมใครในที่สุด
ความนุ่มหยุ่นและหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งเด็กจากร่างบางที่เกลือกใบหน้ากับอกเขาขณะออกแรงรั้งท่อนแขนไปด้วยนั้น ทำให้คนที่กำลังจะเอาคืนหยุดการเคลื่อนไหว ปาริชาตเองเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ดึงดันจะวักน้ำในแก้วมาสลัดใส่อีก เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงแล้วเหลือบตาคู่โตไปยังกระจกเงาตรงหน้า
“นี่...ผมหยุดแล้ว เอามือคุณออกไปจากตัวผมซะที”
คำพูดของสุรเสกข์ ทำให้ปาริชาตร้อนฉ่าไปทั้งหน้าและคิดว่ามันอาจลามไปทั่วร่างในเวลาชั่วพริบตา มือเธอกอดเขาเอาไว้จริง ๆ และที่สำคัญไม่ใช่แค่ข้างเดียวด้วย
การเกลือกกลั้วอย่างใกล้ชิดนั้นทำให้สุรเสกข์ยอมรับว่าอารมณ์ที่เดือดดาลของเขาก่อนหน้ากำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน กลิ่นหอมของแป้งเด็กที่หลัง ๆ แอบนึกนิยมชมชอบจนถึงขั้นกล้าสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดในทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ที่สำคัญหอม...จนชวนให้เชื่อว่าไม่น่าจะมีน้ำหอมยี่ห้อใดจรุงใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาทำเอาปาริชาตถึงกับทำอะไรไม่ถูก มือเรียวทั้งสองข้างถูกชักกลับอย่างรวดเร็วพลางสาวเท้าไปยืนห่าง ๆ เช่นเดียวกับสุรเสกข์ที่หันหน้าเข้าหากระจกแล้วเท้าแขนลงบนขอบอ่างล้างมือประหนึ่งต้องการเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงให้กลับมา
“ออกไปเช็ดหน้าเช็ดตาซะ”
เขาสั่งทั้งที่ยังยืนหันหน้าให้กระจก ปาริชาตมองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการรีบสาวเท้าออกไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุดอีกแล้ว ฉะนั้นโดยไม่ต้องรอให้เขาย้ำอีก ร่างบางรีบหมุนตัวแล้วเดินฉับ ๆ จากไปในสภาพมีหยดน้ำเกาะพราวที่ใบหน้าโดยไม่รีรอ
สุรเสกข์เดินออกมาจากห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย ภายหลังยืนสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นชั่วครู่ นึกขัดใจตัวเองที่แค่พยายามชำระความหญิงสาวซึ่งกล่าวหาเขาด้วยถ้อยคำรับไม่ได้ ทว่าเพียงเธอเข้ามานัวเนียหวังให้ตัวเองปลอดภัย เขากลับไปต่อไม่เป็น
ร่างบางยังคงนั่งใช้กระดาษทิชชูซับหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้า และพอเหลือบเห็นว่าสุรเสกข์กำลังเดินมา เธอก็รีบลุกยืน พร้อมกับเสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะขึ้น
ก๊อก ๆ ๆ
พอเห็นคนเป็นพ่อปรากฏกาย สุรเสกข์ที่ยืนเกี่ยวปลายนิ้วเข้ากับปากกระเป๋ากางเกงและมองปาริชาตราวกับต้องการจะหยิบยื่นข้อตกลงกับเธอเสียใหม่ก็ลอบระบายลมหายใจออกมาแล้วเลือกที่จะเอ่ยถามคุณสุพลแทน
“เพิ่งกลับมาเหรอครับ”
“ใช่ ทางนั้นเขาพาลูกชายมาด้วย เสียดายเสกข์ไม่ได้ไปด้วย ไม่งั้นก็จะได้รู้จักกันไว้”
“พ่อไปคนเดียวก็พอแล้วครับ เดี๋ยววันหน้าก็รู้จักกันเอง”
ทางด้านของปาริชาต แม้เธอจะพยายามปั้นหน้าให้ดูสงบราวกับก่อนหน้าไม่ได้มีเหตุการณ์ระทึกขวัญใด ๆ เกิดขึ้น ทว่าคุณสุพลที่เพิ่งสาวเท้าเข้ามาในห้องก็ยังคงเอ่ยถามด้วยความสงสัยอยู่ดี
“ป่านเป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้น มีอะไรรึเปล่า”
คุณสุพลมองใบหน้าเรียวของปาริชาตอย่างสังเกต ก่อนจะมองไปยังลูกชายที่แขนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนของเขาปรากฏรอยเปียกเป็นวงแถมอกเสื้อก็ยังเปียกเป็นหย่อม ๆ แล้วส่ายหน้า
“เอ่อ...เปล่าค่ะ”
ปาริชาตตอบได้เพียงสั้น ๆ แค่นั้นด้วยรู้ดีว่าน้ำเสียงยังไม่คลายจากความสั่นสะท้าน เธอหลุบตามองยังพื้นพรม หวั่นว่าหากคนมากประสบการณ์อย่างคุณสุพลเห็นเข้าก็คงไม่มีทางเชื่อว่าไม่มีอะไร
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับพ่อ เดินชนกันแล้วน้ำหก”
สุรเสกข์มองท่าทีเคืองขุ่นของปาริชาตนิดหนึ่ง รู้ดีว่าเธอกำลังตำหนิเขาอยู่ในใจ แล้วหันหน้าไปหาคนเป็นพ่อพลางเอ่ยบอกราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย
“เอาแก้วน้ำนั่นกับถ้วยกาแฟไปเก็บซะสิ”
เสียงเข้มนั้นเอ่ยบอกเรียบ ๆ ประหนึ่งว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้อยู่ในโหมดเดือดทะลุร้อย ซึ่งพอเอ่ยบอกแล้วได้เห็นเลขาของตนยังคงไม่ไหวติง สุรเสกข์จึงต้องเดินไปเก็บมันขึ้นมาจากพื้นเสียเอง
“พ่อมีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่า”
แล้วคนก่อเรื่องก็หันไปเอ่ยถามกับคุณสุพล ราวกับจะบอกแก่ปาริชาตเป็นนัย ๆ ว่าเขาอยากเปลี่ยนประเด็นในการสนทนาแล้ว และหากเธอต้องการสงบศึกก็จงรีบออกไปจากห้องเสียโดยพลัน
ทางด้านของปาริชาต แม้จะยังไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงง่าย ๆ เช่นนี้ หากแต่เธอก็จำเป็นต้องยอมล่าถอย มือเรียวรับแก้วน้ำมาจากคนที่ยื่นส่งให้จนเกือบกลายเป็นกระชาก ก่อนจะหันไปหยิบถ้วยกาแฟบนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องแบบเคือง ๆ เพราะสุดท้ายเธอก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี
“นายไม่มีงานทำเหรอชิต”
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จและพากันเดินทางกลับมาทำงานในภาคบ่ายต่อ การได้เห็นชิติพัทธ์ยังคงเอ้อระเหยนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน สุรเสกข์ที่เริ่มต้นกางแฟ้มเอกสารออกตรวจจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาเบา ๆ
“จะว่ามีก็มี รึจะว่าไม่มีก็ได้เหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ รอเวลากินกาแฟสักถ้วยก่อนแล้วค่อยกลับ”
“นี่...ถ้านายจะอยู่ต่อนะ ก็ไปนั่งที่โซฟาโน่น อย่ามาชวนคุยเพราะฉันจะทำงาน”
“งั้นขอออกไปนั่งข้างนอกดีกว่า”
ชิติพัทธ์ว่าพลางขยับตัวลุกขึ้น ก่อนจะทำเพียงคลี่ยิ้มและส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ยอมเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาสีเข้มมุมห้องแต่โดยดี
“ไม่ได้ ลูกน้องฉันก็ต้องการสมาธิในการทำงานเหมือนกัน”
สุรเสกข์ค้านขึ้นมาทันใด คนเคยกินเคยนอนด้วยกันมาร่วม 2 ปีพอไม่เจอหน้ากันหลายวันก็คิดถึงอยู่หรอก แต่ถ้าเจอกันบ่อยหรือมาแสดงกิริยากะลิ้มกะเหลี่ยให้เห็นคาตาแบบนี้ เขาก็ชักไม่ปลื้มเหมือนกัน
“คุณษรครับ ขอกาแฟให้แขกที่หนึ่งครับ”
ชิติพัทธ์มีอันต้องเลิกคิ้วหนาขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงของสุรเสกข์ ก่อนจะหันไปมองและทันได้เห็นเจ้าของห้องวางโทรศัพท์ลงพอดี
“นายชอบทำอะไรจริงจังเกินหน้าเกินตาอยู่เรื่อย”
คำเปรยของเพื่อนทำให้สุรเสกข์ที่นึกสงสัยอยู่ว่าเหตุใดตนเองต้องแสดงท่าทางเข้มงวดกับชิติพัทธ์ในเวลานี้ด้วย ถึงกับหยุดใคร่ครวญ ก่อนจะสั่งตัวเองว่าให้พยายามทำประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็ทำตามได้เพียงชั่วครู่ เพราะเมื่อได้เห็นว่าคนที่ยกกาแฟเข้ามาให้ชิติพัทธ์ไม่ใช่นภษร อารมณ์ของเขาก็ขุ่นมัวขึ้นมาอีกจนได้
“ขอบคุณมากครับ”
เสียงของชิติพัทธ์ที่ฟังดูเริงร่าจนเกินควร ทำให้สุรเสกข์เผลอตัวกดปากกาลงกับกระดาษตรงหน้าจนหมึกของมันซึมเลอะเป็นวงกว้าง ที่สำคัญเจ้าของเองก็ตกใจไม่น้อยเพราะคงต้องได้เสียเวลาพิมพ์ออกมาใหม่
“ปาริชาต คุณพิมพ์เอกสารหน้านี้ให้ผมใหม่อีกแผ่นหนึ่งได้ไหม พอดีผมทำหมึกหยดจนมันเลอะไปเสียแล้ว”
พอเห็นหญิงสาวที่ไปย่อตัววางถ้วยกาแฟให้ชิติพัทธ์กำลังยืนคุยกับฝ่ายนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สุรเสกข์ก็ขัดจังหวะด้วยการเรียกเอกสารฉบับใหม่จากเธอ
จนเมื่อร่างบางในเดรสสีหวานนั้นหายลับออกไปจากประตูแล้ว ชิติพัทธ์ที่รู้ว่าสุรเสกข์จงใจจะกั้นไม่ให้เขาได้ทำความคุ้นเคยกับปาริชาตก็ถึงกับถือถ้วยกาแฟแล้วเดินเข้ามาใกล้
“ถามจริง นายจะหวงอะไรนักหนา”
“หืม...ใครหวงอะไร”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ นายนั่นแหละที่หวงเลขาจนออกนอกหน้า”
“ก็เพราะรู้ว่านายเป็นคนยังไงน่ะสิ ฉันถึงไม่อยากให้มายุ่งกับคนของฉัน”
นักรักเจ้าสำราญอย่างชิติพัทธ์ ต่อให้เขาจะตั้งใจรักสักแค่ไหน ก็น่าน้อยใจอย่างยิ่งที่คนจริงจังอย่างสุรเสกข์มองไม่ออก
“คิดมาก รู้ไหมว่านายลงทุนมากีดกันยังกับว่าวันนี้ฉันจะฉุดเอาเลขานายไปทำมิดีมิร้ายอย่างนั้นแหละ”
“ก็ไม่รู้ล่ะ ฉันว่าฉันอ่านความคิดนายออกก็แล้วกัน ฉะนั้น...อย่าไปยุ่งกับเธอเลย”
“แต่ถ้าเธอเป็นฝ่ายสนฉันล่ะ นายต้องให้ฉันบอกด้วยไหมว่าอย่ามายุ่ง”
พอถูกคนเป็นเพื่อนเอ่ยถามด้วยคำพูดที่ส่อให้เห็นว่าปาริชาตก็เริ่มนิยมชมชอบในตัวเขาแล้วเช่นกัน ทำให้อารมณ์ของสุรเสกข์ยิ่งขุ่นเคือง หากแต่เขาก็ทนเก็บเอาไว้ เพราะเรื่องแบบนี้จะต่อว่าเพื่อนของเขาเพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกต้องนัก ที่สำคัญควรหยั่งเชิงดูท่าทีของปาริชาตด้วยว่าเธอยินดีหรือไม่
“รีบกินสิ เดี๋ยวกาแฟก็เย็นหมด”
เมื่อเห็นเพื่อนถือถ้วยกาแฟในมือค้างไว้ ขณะลอยหน้าลอยตายืนยันความจริงใจของตนเองอยู่ต่อหน้า สุรเสกข์ที่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องหวงเลขา จึงออกปากคะยั้นคะยอ
“รู้นะว่าเจตนาจะบอกให้รีบกินแล้วรีบกลับใช่ไหมล่ะ หึ ๆ”
ชิติพัทธ์ท้วงอย่างรู้ทัน ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบช้า ๆ ไม่ใช่เพราะร้อนจัด หากแต่ต้องการกวนประสาทคนเป็นเพื่อนมากกว่า
“ก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไร ๆ ง่ายดีนี่ แต่ทำไมพูดยาก บอกอะไรก็ไม่ยอมเชื่อ”
สุรเสกข์พึมพำเอากับแฟ้มเอกสารตรงหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมองคนเป็นเพื่อนที่จงใจหัวเราะเยาะ แล้ววางถ้วยกาแฟในมือลงบนโต๊ะทำงานของเขาเบา ๆ
“จะกลับแล้ว”
“อืม...ขอบใจที่อุตส่าห์เอาโทรศัพท์มาให้”
เมื่อคนเป็นเพื่อนไม่ขัดศรัทธา ชิติพัทธ์จึงทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังเตรียมสาวเท้าออกไปจากห้อง ทว่าปาริชาตกลับเป็นฝ่ายผลักประตูเข้ามาพร้อมเอกสารที่เจ้านายของเธอเรียกหาเมื่อครู่
“กาแฟอร่อยมาก ขอบคุณนะครับ”
การเอ่ยปากชมในสิ่งที่ปาริชาตสรรหามารับรอง ทำให้หญิงสาวถึงกับเปิดยิ้มกว้าง เธอมองเพื่อนของเจ้านายที่อัธยาศัยดีเป็นเลิศแล้วเอ่ยถาม ขณะเห็นเขาทำท่ารี ๆ รอ ๆ
“ค่ะ คุณชิตต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ
“อ๋อไม่แล้วครับ ผมตั้งใจว่าจะกลับแล้ว เอาไว้วันหลังค่อยแวะมาชวนไปทานข้าวด้วยกันใหม่”
วันนี้แม้ชิติพัทธ์จะเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเรียกร้องจะเอาค่าไถ่จากเจ้าของโทรศัพท์ที่ทำหล่นไว้ในรถยนต์ของตนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านไปให้ได้ ทว่าพอเอาเข้าจริงเขานั่นแหละที่เป็นคนอาสาจ่ายค่าอาหารมื้อนั้น ซึ่งสนนราคาของมันก็ปาเข้าไปหลักพัน
“ค่ะ”
“อะแฮ่ม...ไม่ต้องมาบ่อย ๆ ก็ได้นะชิต ช่วงนี้ฉันกับเลขาไม่ค่อยว่างเท่าไหร่”
ชิติพัทธ์หัวเราะหึ ๆ ให้กับคำพูดนั้นของสุรเสกข์ ก่อนจะยักคิ้วล้อเลียนประมาณว่า เขาจะมาเสียอย่าง ใครจะทำไม...
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
ปาริชาตยกมือไหว้ชิติพัทธ์พลางแย้มเรียวปากอิ่มสีระเรื่อให้ไป เธอทำเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีไมตรีอันดีต่อกัน ทว่ากับคนที่แอบชำเลืองมองอยู่กลับไม่คิดเช่นนั้น
ดังนั้นเมื่อคล้อยหลังของชิติพัทธ์และปาริชาตได้ขยับเข้าไปยื่นเอกสารที่คนเป็นเจ้านายเรียกหาเพิ่มเติมเมื่อครู่ก่อนหน้า ฝ่ายที่ทนมองภาพขัดหูขัดตาตั้งแต่ทั้งสองคนเจอหน้ากันมาจนถึงวินาทีนี้ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
“หมอนี่มันลื่นยังกะปลาไหล จะพูดจะจาอะไรกับมันก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
“ทำไมต้องระวังด้วยคะ”
“ก็เดี๋ยวจะตามเกมมันไม่ทันน่ะสิ”
สุรเสกข์โพล่งออกมาอย่างเหลืออด ดู ๆ ไปปาริชาตก็ไม่ต่างจากเด็กที่อ่อนต่อโลกเท่าใดนัก จะเป็นไปได้ไหมว่านั่นคือหนึ่งในวิธีการทำตัวให้น่าทนุถนอมหรือเรียกร้องความสนใจจากเพศตรงข้ามของเธอ
“ค่ะ”
ปาริชาตเอ่ยออกมาสั้น ๆ ก่อนจะหันไปหาถ้วยกาแฟที่ถูกชิติพัทธ์ดื่มจนหมดแล้วและวางทิ้งอยู่เพื่อเก็บออกไปล้างทำความสะอาด เธอไม่ได้คิดจะสนใจเขามากเกินไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งของเจ้านายที่อัธยาศัยดีและง่ายแก่การผูกมิตร ทว่าคนฟังกลับคิดไปว่าเธอคงแค่รับคำส่ง ๆ
“นี่...มันเป็นคำเตือนจากเจ้านายคุณนะ จะไม่ขอบคุณสักคำรึ”
“ขอบคุณค่ะ แต่มันเรื่องเล็กแค่นี้เอง คุณไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากมายหรอกค่ะ อีกอย่าง...ฉันพอดูออกอยู่บ้างว่าคนไหนควรมีไมตรีระดับใด”
“ก็ให้มันจริงเถอะ ไปขยิบตาให้ท่ากันตั้งแต่ตอนไหนล่ะ เพื่อนผมถึงได้นั่งไม่ติดที่อย่างนั้น”
คำถามที่ฟังดูราวกับเยาะหยัน ทำให้ปาริชาตเริ่มหน้าตึงขึ้นมา เพราะจะว่าไปแล้วสิ่งที่เป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าที่การงานให้คนเป็นเจ้านายต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยสักหน่อย
ใบหน้าเรียวหันขวับไปมองเจ้าของคำถามที่จงใจเยาะหยันเธอโดยไม่ทราบสาเหตุ พลางเม้มปากแน่นด้วยความขุ่นเคืองแถมบริภาษเขาอยู่ในใจ
“นี่ขนาดมันยังไม่เคยเห็นคุณเปลื้องผ้าต่อหน้านะ”
จากที่ตั้งใจว่าจะไม่ต่อปากต่อคำ ปาริชาตก็ต้องมีอันหูอื้อตาลายจนลืมความตั้งใจเดิมของเธอไปเสียหมดสิ้น เพียงเพราะคนเป็นเจ้านายที่ไม่ยอมหยุดพูด
“ที่นี่ไม่ใช่อินเดีย ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนจึงไม่จำเป็นต้องแต่งงานและอยู่กินกับผู้ชายคนนั้นไปจนตลอดชีวิต ฉะนั้นกับแค่ถูกผู้ชายไร้มารยาทคนหนึ่งเห็นฉันโป๊ทางกระจกก็ยิ่งเป็นแค่เรื่องขี้ผงค่ะ”
หญิงสาวว่าทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้พอคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อใด เธอก็ยังรู้สึกอับอายอยู่เช่นเดิม ยิ่งต้องมาทำงานและเจอหน้ากันทุกวันเช่นนี้ แทนที่พอเวลาผ่านไปความรู้สึกนั้นจะคลายลง ตรงข้าม...คราใดที่สายตาของสุรเสกข์มองมา แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอก็ยังรู้สึกเหมือนถูกไฟลามเลียทุกที
“คุณว่าใครไร้มารยาท”
ร่างหนาของเจ้านายทะลึ่งพรวดจากเก้าอี้ ก่อนจะย่างสามขุมเข้าหาอย่างเอาเรื่อง ปาริชาตที่เฝ้าระวังภัยให้ตัวเองมาตลอด เห็นท่าไม่ดีจึงรีบสาวเท้าหนีพร้อมแก้วน้ำและถ้วยกาแฟในมือ ทว่าขายาว ๆ นั้นชิงก้าวตรงไปที่ประตูแล้วหันหลังพิงมันเอาไว้เสียก่อน ทำให้ปาริชาตได้แต่ยืนหันรีหันขวางไปไหนไม่ได้
“ตอบมาดี ๆ คุณหมายความถึงใคร”
“ก็ใครไม่รู้ล่ะที่มีพฤติกรรมอย่างนั้น”
แล้วคนที่ยืนพิงประตูราวกับต้องการสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ให้พุ่งสูงไปกว่านี้ก็เริ่มต้นออกเดิน ปาริชาตถอยกรูดหวังให้ห่างจากเขามากที่สุด ตาโตหลุบลงมองน้ำในแก้วที่ยังเหลือติดอยู่ไม่น้อยแล้วกำไว้แน่น หากจำเป็นเธออาจต้องได้พึ่งพามัน
“อย่าคิดแม้แต่จะเอาน้ำนั่นมาสาดผมนะ ถ้าผมโดนน้ำสาดล่ะก็คุณไม่มีทางได้รอดออกไปอย่างลอยนวลแน่”
เหมือนสุรเสกข์จะอ่านท่าทีของเธอออก ฉะนั้นขณะที่ก้าวเนิบ ๆ เข้ามาหาเขาจึงไม่รีรอที่จะข่มขู่เธอไปด้วย แต่มีหรือคนที่กำลังรู้ว่าตนต้องสู้ยิบตาจะยอม ดังนั้นพอสะโพกสัมผัสเข้ากับขอบโต๊ะทำงานของเขา มือข้างที่ถือถ้วยกาแฟจึงวางมันลง เหลือเพียงแก้วน้ำที่เธอหวังว่ามันจะช่วยหยุดทุกอย่างในตอนนี้ได้ชะงัด
“ตอบมา!”
แม้จะรู้ตัวว่ากำลังถูกบีบบังคับให้เธอเอ่ยชื่อเขา เพื่อจะได้ชำระความอย่างเต็มที่ หรืออย่างน้อยก็เอาผิดได้ฐานพาดพิงถึง หากแต่ปาริชาตก็ยอมปิดปากอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ เพราะยิ่งเห็นเขาสาวเท้ามาจวนจะถึงตัว เธอก็ต้องรีบหาหนทางทำให้ตัวเองปลอดภัย
“ผู้ชายไร้มารยาทคนนั้น ฉันก็หมายถึงคุณนั่นแหละ นี่...อย่าเข้ามานะ”
ปาริชาตเอ่ยออกมา ก่อนจะกลายเป็นร้องห้ามเสียงหลงเมื่อเห็นว่าสุรเสกข์กำลังทำท่าราวกับจะกระโจนมาตะครุบตัวเธอแทนการสาวเท้าอย่างช้า ๆ ตั้งแต่แรก ซึ่งพอเห็นดังนั้นปาริชาตจึงพยายามเดินเลี่ยงเขาออกไปโดยไม่ยอมทิ้งแก้วน้ำในมือ กระทั่งสุรเสกข์ยื่นฝ่ามือมาตะปบ ที่พึ่งสุดท้ายในมือจึงถูกสาดออกไป
ทุกอย่างชะงักงันไปชั่วครู่ ก่อนแก้วน้ำในมือของปาริชาตจะถูกโยนทิ้งลงบนพรมดัง ‘กึก’ พร้อมกับเจ้าของก็ถูกคนที่อารมณ์ทะลุจุดเดือดกระชากเข้าหาตัว
“จะไปไหน มานี่!”
“ปล่อยฉันนะ!”
ปาริชาตออกคำสั่งเสียงสั่น พลางปลอบใจตัวเองว่าแม้จะเข้าตาจนเธอก็ขอสู้ยิบตา ฉะนั้นมือเรียวข้างที่เป็นอิสระ จึงคอยแกะฝ่ามือใหญ่ที่ตรึงข้อมือของเธออีกข้างเอาไว้ ส่วนสองขาก็พยายามนิ่งขึง ไม่ยอมปล่อยให้เขาลากถูไปตามใจ ทว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มไปอย่างมหาศาลของเธอกลับดูเหมือนไม่ทำให้เขาระคายเลยด้วยซ้ำ
“บอกแล้วไงว่าอย่าเอาน้ำมาสาดผม อยากลองดีนักก็เอา”
สุรเสกข์ใช้ความไวของสายตาพาร่างหลบน้ำจากแก้วที่ปาริชาตสะบัดใส่ได้อย่างทันท่วงที กระนั้นแขนเสื้อของเขาก็ยังคงหนีไม่พ้น แม้ว่าจะเปียกไปเพียงนิด หากแต่การไม่ยอมฟังคำขู่ของเขาก็ย่อมหมายความว่าหญิงสาวจงใจท้าทาย
ร่างบางของเธอปลิวติดมือเขาไปอย่างยากจะขัดขืน ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสุรเสกข์กำลังคิดจะทำอะไร หากแต่พอเขาลากเธอไปถึงหน้าห้องน้ำส่วนตัว ปาริชาตก็รู้ว่าเขาเอาจริง
“คนละที แล้วไม่ต้องมาโอดครวญให้ได้ยิน ยังไงผมก็ไร้มารยาทอยู่แล้ว”
ปาริชาตเห็นเขาเอื้อมมือข้างที่ว่างอยู่ไปเปิดก๊อกน้ำของอ่างล้างมือ และแค่เห็นเขาเอาแก้วน้ำมารอง เธอก็หลับตาปี๋พลางพร่ำบอกรัวเร็ว
“ฉันขอโทษ”
“อะไรนะ ผมไม่ได้ยิน”
เสียงน้ำไหลถูกแทรกด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวทว่าดูดีขึ้นกว่าเดิมจนปาริชาตเริ่มใจชื้น
“ฉันบอกว่าขอโทษ”
หญิงสาวลืมตาขึ้นมองพลางเอ่ยออกมาช้า ๆ อีกหน ก่อนจะต้องได้เม้มปากแน่นเมื่อเขาเอ่ยถามและหลุดเสียงหัวเราะหึ ๆ ตามมาในตอนท้าย และนั่นก็ทำให้คนเอ่ยคำขอโทษเริ่มเคือง
“หึ ขอโทษแล้วไง เสื้อผมที่มันเปียกนี้แห้งไปในพริบตาเลยไหม”
“ก็...ก็คุณไม่รักษาคำพูดนี่ ไหนว่าจะไม่พูด จะไม่ขุดคุ้ยเรื่องเมื่อวันนั้นแล้วไง”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าถ้าไม่จำเป็น อ้อ...แล้วไหนบอกว่าไม่แคร์เพราะเป็นแค่เรื่องขี้ผงไง”
“ก็คุณลองเป็นผู้หญิงที่ยืนโป๊อยู่ต่อหน้าผู้ชายหื่นกระหายสักคนสิ แล้วจะเข้าใจว่าฉันรู้สึกยังไง”
“ห๊ะ!”
สุรเสกข์อุทานเสียงดัง ไม่คิดว่าจะนอกจากจะถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ผู้ชายไร้มารยาท’ แล้ว เขายังถูกยัดเยียดว่าเป็น ‘ผู้ชายหื่นกระหาย’ อีกประเภทหนึ่งด้วย
“ตกลงจะขอโทษหรือจะกล่าวหาเพิ่ม”
ปาริชาตเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินเสียงกร้าวของสุรเสกข์เอ่ยถาม แม้อยากตะโกนใส่หน้าเขาว่าเธอต้องการทำอย่างหลังมากกว่า ทว่าแก้วน้ำที่รองอยู่ใต้ก๊อกจนเกือบเต็มนั้นก็ถ่วงปากของเธอเอาไว้ ที่สำคัญคือการถูกตรึงข้อมือข้างหนึ่งแน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด หากต้องถูกเขาเอาน้ำมาราดจริง ๆ เธอก็คงต้องยอมรับสภาพลูกหมาตกน้ำโดยดี
“จะเอาไง ฮึ”
คำถามพร้อมกับมือข้างที่ว่างของเขาก็จุ่มน้ำแล้วสลัดใส่จนปาริชาตต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามประกบมือเรียวของเธอเข้าหากันแล้วเอ่ยคำขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงละห้อยชวนให้เห็นใจ
“อุ๊ย...ขอโทษ ฉันขอโทษ”
ปาริชาตเอ่ยคำขอโทษแถมหลบหลีกพัลวันจากคนที่ยังคงสลัดน้ำใส่เธอไม่ยั้ง เมื่อไม่อาจดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ ทางเดียวที่ดูจะปลอดภัยมากสุดคือหยุดมือข้างที่กำลังจุ่มอยู่กับแก้วน้ำให้ได้
“พอแล้ว หน้าฉันเปียกหมดแล้ว นี่คุณ...”
มือเรียวข้างที่ว่างยื่นออกไปยื้อแขนข้างนั้นของเขาไว้ ก่อนจะกลายเป็นกอดรัดฟัดเหวี่ยงเพราะไม่มีใครยอมใครในที่สุด
ความนุ่มหยุ่นและหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งเด็กจากร่างบางที่เกลือกใบหน้ากับอกเขาขณะออกแรงรั้งท่อนแขนไปด้วยนั้น ทำให้คนที่กำลังจะเอาคืนหยุดการเคลื่อนไหว ปาริชาตเองเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ดึงดันจะวักน้ำในแก้วมาสลัดใส่อีก เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงแล้วเหลือบตาคู่โตไปยังกระจกเงาตรงหน้า
“นี่...ผมหยุดแล้ว เอามือคุณออกไปจากตัวผมซะที”
คำพูดของสุรเสกข์ ทำให้ปาริชาตร้อนฉ่าไปทั้งหน้าและคิดว่ามันอาจลามไปทั่วร่างในเวลาชั่วพริบตา มือเธอกอดเขาเอาไว้จริง ๆ และที่สำคัญไม่ใช่แค่ข้างเดียวด้วย
การเกลือกกลั้วอย่างใกล้ชิดนั้นทำให้สุรเสกข์ยอมรับว่าอารมณ์ที่เดือดดาลของเขาก่อนหน้ากำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน กลิ่นหอมของแป้งเด็กที่หลัง ๆ แอบนึกนิยมชมชอบจนถึงขั้นกล้าสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดในทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ที่สำคัญหอม...จนชวนให้เชื่อว่าไม่น่าจะมีน้ำหอมยี่ห้อใดจรุงใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาทำเอาปาริชาตถึงกับทำอะไรไม่ถูก มือเรียวทั้งสองข้างถูกชักกลับอย่างรวดเร็วพลางสาวเท้าไปยืนห่าง ๆ เช่นเดียวกับสุรเสกข์ที่หันหน้าเข้าหากระจกแล้วเท้าแขนลงบนขอบอ่างล้างมือประหนึ่งต้องการเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงให้กลับมา
“ออกไปเช็ดหน้าเช็ดตาซะ”
เขาสั่งทั้งที่ยังยืนหันหน้าให้กระจก ปาริชาตมองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการรีบสาวเท้าออกไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุดอีกแล้ว ฉะนั้นโดยไม่ต้องรอให้เขาย้ำอีก ร่างบางรีบหมุนตัวแล้วเดินฉับ ๆ จากไปในสภาพมีหยดน้ำเกาะพราวที่ใบหน้าโดยไม่รีรอ
สุรเสกข์เดินออกมาจากห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย ภายหลังยืนสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นชั่วครู่ นึกขัดใจตัวเองที่แค่พยายามชำระความหญิงสาวซึ่งกล่าวหาเขาด้วยถ้อยคำรับไม่ได้ ทว่าเพียงเธอเข้ามานัวเนียหวังให้ตัวเองปลอดภัย เขากลับไปต่อไม่เป็น
ร่างบางยังคงนั่งใช้กระดาษทิชชูซับหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้า และพอเหลือบเห็นว่าสุรเสกข์กำลังเดินมา เธอก็รีบลุกยืน พร้อมกับเสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะขึ้น
ก๊อก ๆ ๆ
พอเห็นคนเป็นพ่อปรากฏกาย สุรเสกข์ที่ยืนเกี่ยวปลายนิ้วเข้ากับปากกระเป๋ากางเกงและมองปาริชาตราวกับต้องการจะหยิบยื่นข้อตกลงกับเธอเสียใหม่ก็ลอบระบายลมหายใจออกมาแล้วเลือกที่จะเอ่ยถามคุณสุพลแทน
“เพิ่งกลับมาเหรอครับ”
“ใช่ ทางนั้นเขาพาลูกชายมาด้วย เสียดายเสกข์ไม่ได้ไปด้วย ไม่งั้นก็จะได้รู้จักกันไว้”
“พ่อไปคนเดียวก็พอแล้วครับ เดี๋ยววันหน้าก็รู้จักกันเอง”
ทางด้านของปาริชาต แม้เธอจะพยายามปั้นหน้าให้ดูสงบราวกับก่อนหน้าไม่ได้มีเหตุการณ์ระทึกขวัญใด ๆ เกิดขึ้น ทว่าคุณสุพลที่เพิ่งสาวเท้าเข้ามาในห้องก็ยังคงเอ่ยถามด้วยความสงสัยอยู่ดี
“ป่านเป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้น มีอะไรรึเปล่า”
คุณสุพลมองใบหน้าเรียวของปาริชาตอย่างสังเกต ก่อนจะมองไปยังลูกชายที่แขนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนของเขาปรากฏรอยเปียกเป็นวงแถมอกเสื้อก็ยังเปียกเป็นหย่อม ๆ แล้วส่ายหน้า
“เอ่อ...เปล่าค่ะ”
ปาริชาตตอบได้เพียงสั้น ๆ แค่นั้นด้วยรู้ดีว่าน้ำเสียงยังไม่คลายจากความสั่นสะท้าน เธอหลุบตามองยังพื้นพรม หวั่นว่าหากคนมากประสบการณ์อย่างคุณสุพลเห็นเข้าก็คงไม่มีทางเชื่อว่าไม่มีอะไร
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับพ่อ เดินชนกันแล้วน้ำหก”
สุรเสกข์มองท่าทีเคืองขุ่นของปาริชาตนิดหนึ่ง รู้ดีว่าเธอกำลังตำหนิเขาอยู่ในใจ แล้วหันหน้าไปหาคนเป็นพ่อพลางเอ่ยบอกราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย
“เอาแก้วน้ำนั่นกับถ้วยกาแฟไปเก็บซะสิ”
เสียงเข้มนั้นเอ่ยบอกเรียบ ๆ ประหนึ่งว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้อยู่ในโหมดเดือดทะลุร้อย ซึ่งพอเอ่ยบอกแล้วได้เห็นเลขาของตนยังคงไม่ไหวติง สุรเสกข์จึงต้องเดินไปเก็บมันขึ้นมาจากพื้นเสียเอง
“พ่อมีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่า”
แล้วคนก่อเรื่องก็หันไปเอ่ยถามกับคุณสุพล ราวกับจะบอกแก่ปาริชาตเป็นนัย ๆ ว่าเขาอยากเปลี่ยนประเด็นในการสนทนาแล้ว และหากเธอต้องการสงบศึกก็จงรีบออกไปจากห้องเสียโดยพลัน
ทางด้านของปาริชาต แม้จะยังไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงง่าย ๆ เช่นนี้ หากแต่เธอก็จำเป็นต้องยอมล่าถอย มือเรียวรับแก้วน้ำมาจากคนที่ยื่นส่งให้จนเกือบกลายเป็นกระชาก ก่อนจะหันไปหยิบถ้วยกาแฟบนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องแบบเคือง ๆ เพราะสุดท้ายเธอก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2556, 23:00:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2556, 23:15:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1394
<< ตอนที่ 8 | ตอนที่ 10 >> |

mhengjhy 26 เม.ย. 2556, 10:58:44 น.
สงสัย สงสัย เรื่องระหว่างคุณพ่อ 55555
สงสัย สงสัย เรื่องระหว่างคุณพ่อ 55555

ผักหวาน 26 เม.ย. 2556, 14:43:05 น.
ปล่อยให้หนุ่มๆ เค้าเบนประเด็นไปก่อน
ปล่อยให้หนุ่มๆ เค้าเบนประเด็นไปก่อน