ดาวปาฏิหาริย์
เพราะ 'เธอ' ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่กับเขา
สิตะจึงต้องรับผิดชอบ
ปากบอกไม่ชอบหน้า แต่ว่ากลับปรารถนาจะอยู่ใกล้ๆ
การเดินทาง 'หนี' คนร้ายที่ทำลายชีวิต กลับทำให้เขาค้นพบปาฏิหาริย์ในชีวิตที่ค้นหามานาน
Tags: เกาหลีใต้

ตอน: ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 28



แม้ว่าเจ้าของกระเป๋าสองใบจะไม่อยู่ในบริเวณนั้น แต่ทั้งจิลลาและพลัชต่างก็หายใจไม่ทั่วท้องขณะปฏิบัติภารกิจ

แบรนด์เนมหรูของช่อชมพูไม่มีอะไรผิดปกติ ขณะที่กระเป๋าเป้ทะมัดทะแมงของเทียนแก้วก็ไม่พบของต้องสงสัย สองนักสืบจำเป็นต่างหันมองหน้ากันด้วยความหนักใจ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงทักหนึ่งดังขึ้น

“พวกคุณทำอะไรกัน”

โดยไม่ได้นัดหมาย สาวผิวเข้มและหนุ่มแว่นหนาต่างหันไปทางต้นเสียง พบสตรีร่างบางระหงกำลังมองตรงมาด้วยความสงสัย จิลลาสะกิดให้บรรณาธิการหนุ่มเป็นคนพูด แต่ชายหนุ่มก็มัวแต่เหลียวหาสิตะที่รับปากว่าจะคอยดูต้นทางให้ ไม่รู้มัวแต่ไปทำอะไรอยู่

“พวกคุณค้นกระเป๋าฉัน?” ช่อชมพูถามอีกครั้งก่อนเดินมาสำรวจสัมภาระของตัวเอง แม้ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ท่าทางที่เธอเห็นทั้งก่อนหน้านี้และในขณะนี้ก็ไม่ปกติ “พวกคุณต้องการอะไร”

“ก็...ก็...” จิลลาอ้ำอึ้ง แต่ในเมื่อผู้ชายข้างกายช่วยเหลืออะไรไม่ได้ นาทีนี้ก็ต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะ “ก็ต้องการหากุญแจห้องของฉันไง คือฉันฝากพี่พลัชเอามาใส่ไว้ในกระเป๋า แต่ว่าพี่เขาไม่รู้ว่ากระเป๋าใบไหนก็เลยใส่ไปมั่วๆ ทีนี้ต้องคืนกุญแจเพื่อเช็คเอ้าท์ ฉันก็เลยถามเขาว่ากุญแจฉันล่ะ พี่พลัชก็มึน จำไม่ได้ว่าใบไหนกันแน่ เราก็เลยต้องมาหากันอยู่นี่ไง”

คำโป้ปดของจิลลาทำให้บรรณาธิการหนุ่มแอบยกนิ้วให้ ขนาดเขาอ่านนิยายของคนอื่นมาไม่รู้เท่าไร ยังแต่งเรื่องได้ไม่ทันเธอเลย “ใช่ครับ คือผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเอามาใส่ใบไหน”

ช่อชมพูขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อถือนัก แต่ยังไม่ทันถามอะไร ‘ตัวหลอก’ ก็เข้ามาได้จังหวะ

“พู่... ผมกำลังหาอยู่ มาคุยกันหน่อยสิ”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มาช้า (แต่ดีกว่าไม่มา) ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเข้ม ความเร่งร้อนในดวงตาถูกส่งไปหาจิลลาและพลัชที่กำลังลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ช่อชมพูสังเกตเห็นแต่เธอก็เพียงพยักหน้า ก่อนหยิบกระเป๋าเพื่อตามเขาออกไป และเพราะช่องเล็กด้านหน้าเพิ่งถูกรื้อค้นเมื่อครู่ ของบางอย่างในนั้นจึงอยู่ในตำแหน่งที่พลัดตกได้ง่าย แรงเหวี่ยงอย่างไม่ระวังทำให้เกิดเสียงวัตถุตกกระทบพื้น... หญิงสาวก้มลงมองแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

“พู่... ไปเถอะ” สิตะพยายามรักษาน้ำเสียงให้ปกติ ไม่เร่งเร้าจนเกิดพิรุธ สาวร่างบางระหงเงยหน้ามองชายหญิงสองคนที่เหลือ ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มร่างสูงใหญ่โดยไม่พูดอะไรสักคำ

และทันทีที่สองร่างลับไป จิลลาก็ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ ขณะที่พลัชก้มลงเก็บบางอย่าง

ของที่ตกลงจากกระเป๋าหนัง... ขวดแก้วใสขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ ที่เขายื่นเท้าไปเขี่ยแล้วเหยียบเอาไว้ ตอนแรกหวังแค่ไม่ให้ช่อชมพูเห็นและเอะใจ แต่เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาพิจารณา เขาเป็นฝ่ายที่สงสัยเสียเอง

“ขวดอะไรไรหรือพี่พลัช น้ำหอมหรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ฉลากนี่เหมือนขวดยามากกว่า เขียนว่า ซี..โว ฟลูเรน เหมือนผมเคยได้ยินแต่จำไม่ได้ว่ายาอะไร เราลองเอาไปให้คุณอนณกับคุณสิตะดูดีกว่า ว่าแต่กระเป๋าของคุณเทียนไม่มีอะไรน่าสงสัยใช่ไหมครับ”

“ออบโซ~”

“ครับ?”

“แปลว่าไม่มีน่ะค่ะ...” จิลลาว่า ก่อนตัดบทด้วยการโบกมือ “เรารีบไปจากตรงนี้กันดีกว่า อยู่แล้วผวายังไงชอบกล”



“ความจริงแล้วสิไม่ได้มีเรื่องจะคุยกับพู่หรอกใช่ไหม สิแค่ต้องการให้พู่ออกมาจากตรงนั้น”

น้ำเสียงแข็งๆ ดังขึ้นจากช่อชมพู หลังจากที่เขาเดินนำมายังห้องสันทนาการที่มีโต๊ะรับประทานอาหารตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนด้านข้างเพียบพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออินเตอร์เนทความเร็วสูงสำหรับบริการลูกค้า

“พู่รู้จักสินะ สิสงสัยอะไรในตัวพู่ ถามพู่มาตรงๆ เลยดีกว่า ไม่ต้องส่งคนมาค้นกระเป๋าพู่หรอก” สาวร่างระหงเอ่ยพร้อมจ้องหน้า ซึ่งสิตะก็ไม่หลบตาอยู่แล้ว

“เมื่อเช้าพู่ร้องไห้ทำไม”

“แน่ใจเหรอว่าสิอยากรู้เรื่องนี้”

สิตะไม่พูด แต่สายตาบ่งบอกว่าเขาต้องการคำตอบ ช่อชมพูหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“ไม่ว่าสิจะอยากรู้ไปทำไม พู่จะคิดว่าสิเป็นห่วงพู่ก็แล้วกัน... เมื่อเช้าพู่โทรไปหาพ่อ คุยกับพ่อ เรื่องสิ”

“เรื่องอะไร”

“พู่ขอให้พ่อเลิกทำร้ายสิ”

ชายหนุ่มที่นิ่งฟังเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน “พ่อพู่ไม่มีวันยอมหรอก”

“ใช่ พ่อไม่ยอม จนกว่าพู่จะยอมทำบางอย่างเพื่อพ่อ”

“ทำอะไร?”

“แต่งงานกับคุณพิพัฒน์” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด สิตะมองเห็นพอดี เขาจึงรับรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าทุกข์ทนแค่ไหน

“อย่าเชียวนะ อย่าแลกความสุขทั้งชีวิตของพู่เพื่อผม”

“สิ... พู่ไม่มีความสุขหรอกนะ ถ้ารู้ว่าพ่อยังคงจ้องจะทำร้ายสิอยู่”

“ผมกำลังจะยุติมัน มันจะไม่ยืดเยื้ออีกแล้ว”

“สิจะจบมันยังไง แจ้งความ ให้ตำรวจมาจับพ่อพู่เหรอ... พู่ทนเห็นสิตายไม่ได้ พอๆ กับที่ทนเห็นพ่อเข้าคุกไม่ได้ พู่อยากให้ทุกอย่างมันจบ จบตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่พ่อเคยทำกับสิ พู่ขอเถอะนะ สิให้อภัยนะ ที่ผ่านมาพ่ออาจโกรธ อาจอิจฉาคุณลุงสาธิต ที่ทำธุรกิจเดียวกันแต่รุ่งเรืองกว่า ถ้าพู่แต่งงานกับคุณพิพัฒน์ พ่อก็คงได้ในสิ่งที่อยากได้ ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ แล้วถ้าพ่อสบายใจ พ่อก็จะได้ไม่ยุ่งกับสิและครอบครัวอีก มันดีสำหรับทุกฝ่าย พู่ก็จะได้เลิกยุ่งกับสิอย่างที่สิต้องการด้วยไง” สิ้นประโยคหลังเธอพยายามหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เศร้าสร้อยเหลือเกิน

“พู่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย”

อีกครั้งที่เธอพยายามฝืนยิ้ม แต่หยาดน้ำใสกลับร่วงผล็อยลงมาจากตา หญิงสาวเบือนหน้าหนีเพื่อเช็ดมัน แต่ความอ่อนแอทำให้เธอสะกดกลั้นมันไม่ได้

“พู่...”

สิตะทนต่อไปไม่ไหว เขาดึงตัวหญิงสาวที่เขาเคยรักมากอดไว้ หวังปลอบประโลมหัวใจของเธอด้วยเยื่อใยแห่งมิตรภาพ ซึ่งเมื่อมีอกกว้างที่คุ้นเคยรองรับ ก้อนสะอื้นเธอที่กักเก็บไว้มานานก็ทะลักทลายออกมา

แม้จะเคยระแวง แต่ความรวดร้าวที่เธอแบกรับก็ทำให้เขาเชื่อว่าเธอไม่ใช่คนร้าย ช่อชมพูยังเป็นผู้หญิงแสนดีที่เขารู้จักเหมือนเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ไม่มีทางที่เธอจะคว้ามีดขึ้นมาแทงเขาได้

ถ้าเช่นนั้น ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคนชุดดำที่ลอบมาทำร้ายเขาเมื่อคืนก็เหลือคนเดียว.....



“คุณเทียนรู้ได้ไงคะว่าเมื่อ 8 ปีที่แล้วฉันเคยโดนรถชน”

ดาวประกายเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ขณะเดินเคียงข้างหญิงสาวอีกคนออกห่างจากที่พักมาพอสมควร

“แล้วทำไมเราต้องแอบมาคุยกันอย่างนี้ด้วยล่ะคะ แล้วทำไมคุณต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วย” สาวร่างบางเอ่ยถาม เมื่อสังเกตความจริงจังบนใบหน้าคมที่ปกติมักจะเรียบนิ่ง

“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดดีไหม”

“แหม คุณรู้ไหมเนี่ยว่ายิ่งคุณพูดคำนี้ มันยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้ของคน” เธอว่าพลางหัวเราะฝืดๆ เรื่องแม่ที่พี่ชายพูดมายังไม่คลายไปจากใจ แต่เรื่องใหม่ที่เทียนแก้วมีลับลมคมในก็น่าสนใจไม่น้อย “เล่ามาเถอะค่ะ ฉันอยากรู้จะแย่แล้วเนี่ย”

“ความจริงแล้วคุณสาธิตสั่งฉันไว้ ว่าไม่ใช่คุณกับคุณสิตะใกล้ชิดกัน”

“คะ?”

ดาวประกายชะงักทันที ก่อนคิ้วบางจะขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ คุณสาธิตสั่งห้ามอย่างนั้นเหรอ... เหมือนกับที่พี่ชายเธอเพิ่งพูดเมื่อครู่เลย

“คุณอยากรู้ไหมว่าทำไม”

“ทำไม?”

“อุบัติเหตุรถชนเมื่อ 8 ปีที่แล้ว คุณจำอะไรได้บ้างไหม”

“จำไม่ค่อยได้ ตอนนั้นฉันหลับอยู่ แต่รู้ว่ารถโดนชน มีอีกคันพุ่งมาชน แล้วฉันก็หมดสติไป... ทำไมคะ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่คุณสาธิตห้ามด้วย”

“คุณเสียพ่อไปเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”

“ใช่... ทำไมคะคุณเทียน ทำไมคุณถามอย่างนี้ คุณทำให้ฉันใจคอไม่ดีเลยนะ”

“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่รู้จะพูดดีไหม แต่คุณบอกให้ฉันพูดเอง คุณอยากจะฟังต่อหรือเปล่า”

ดาวประกายอยากจะส่ายหน้า อยากจะเดินหนีไป แต่ความอยากรู้ก็มีอิทธิพลเหนือลางสังหรณ์ที่ตักเตือน

“เล่ามาสิคะ”

“ที่คุณสาธิตห้ามพวกคุณคบกัน เพราะว่าคุณสิตะเป็นคนขับรถคันนั้น... รถที่ชนพ่อของคุณเสียชีวิตนั่นแหละค่ะ ฝีมือเขา”

“คุณกำลังล้อเล่น”

“คุณถามเรื่องนี้กับพี่ชายคุณได้ เขาคงรู้เรื่องนี้ดีกว่าฉัน”

“ไม่...”

หญิงสาวครางออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เหมือนมีใครตบหน้า ชา เจ็บ และมึนงงจนพูดอะไรไม่ออก “ไม่จริงหรอก”

“กลับไปถามเลยสิคะ แล้วคุณจะได้รู้ความจริง”

“ไม่...”

ดาวประกายยังคงพูดได้แค่คำนั้น ขณะที่สมองจะสั่งให้วิ่งกลับไปหาคำยืนยันจากปากของพี่ชาย

เทียนแก้วมองดูร่างบางที่หายลับไป ก่อนความสะใจจะแต่งแต้มเต็มใบหน้าคม



หมื่นอาสาเห็นสีหน้าซีดเผือดของน้องสาวที่กระหืดกระหอบกลับมายังที่พัก รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ แต่ยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร จิลลาซึ่งนั่งคอยอยู่บนโซฟา ไม่ไกลจากช่อชมพูก็เอ่ยถามขึ้น

“ไปไหนมา ทุกคนรอแกอยู่คนเดียวเนี่ย”

“ฉัน...” หญิงสาวร่างบางไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที สมาชิกคนอื่นๆ นอกจากเทียนแก้วอยู่พร้อมหน้ากันตรงนี้หมด เธอลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายความสงสัยก็กำลังกัดกินใจจนไม่เหลือพื้นที่ให้คิดทำอย่างอื่น “ฉันมีคำถาม”

โพล่งออกไปแม้จะรู้สึกผิด ไม่ควรเลยที่จะเปิดประเด็นนี้ต่อหน้าทุกคน แต่ไม่ไหวแล้วจริงๆ เธออยากรู้จนทนต่อไปอีกแม้วินาทีเดียวไม่ได้แล้ว

“ถามอะไรหรือดาว”

“เรื่องอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีก่อน พี่อิ่มรู้อะไรที่ดาวไม่รู้หรือเปล่า”

หมื่นอาสาที่ยืนอยู่ขมวดคิ้วทันที พลางเหลือบมองหน้าผู้ชายอีกคน ก่อนหันกลับมายังน้องสาวตัวเองที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตู “ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันตามลำพังดีไหม”

“ไม่ ดาวรอไม่ได้ ดาวอยากรู้ตอนนี้ พี่อิ่มบอกดาวมาเถอะ”

“ดาวประกาย เธอเป็นอะไร” คำถามนี้จากชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ที่สงสัยไม่แพ้สมาชิกคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่

“ฉันยังไม่อยากได้ยินอะไรจากปากคุณ ฉันอยากฟังพี่อิ่มก่อน พี่อิ่ม เล่ามาเถอะ มีอะไรที่ดาวควรรู้แต่พี่อิ่มไม่บอกดาวบ้างไหม อย่างเช่น คนที่ขับรถมาชนรถดาวคือใคร พี่อิ่มรู้ใช่ไหม”

หนุ่มชาวสวนถอนหายใจ หน้าเครียดจนดาวประกายใจหาย หญิงสาวรวบรวมความกล้า เอ่ยถามออกไปช้า

“ไม่ใช่คุณสิตะ....”

เกิดความเงียบชั่วอึดใจ แต่สำหรับเธอ...มันยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ เธออยากกลั้นใจแล้วหายไปจากตรงนั้น แต่อีกส่วนหนึ่งก็หวังว่าพี่ชายจะตอบปฏิเสธ

“ดาวประกาย เธอพูดอะไร รถชนอะไร? คุณอิ่ม นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” ประโยคหลังสิตะหันไปคาดคั้นกับผู้ชายที่มีศักดิ์เป็นพี่ของดาวประกาย รับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่ไม่ดีเอาเสียเลย

“ตอนที่พี่ไปถึงโรงพยาบาล พนักงานแจ้งพี่ว่าอย่างนั้น”

คำตอบที่ได้ยินทำให้หญิงสาวร่างบางแทบทรงตัวไม่อยู่ เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งขนาดมหึมาแล่นมาจุกที่คอ แต่กระนั้นเธอก็ยังหวัง....

“คุณสิตะ วันนั้น ที่คุณรถชน... คุณ ไม่ได้เป็นคนขับ... ใช่ไหม”

สิตะไม่รู้จะตอบอย่างไร ถึงตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความจริงที่เขาเพิ่งรู้ก็ทำให้ชายหนุ่มตกใจไม่แพ้กัน รอบกายจึงมีเพียงความเงียบงัน จนหมื่นอาสาเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“มันเป็นอุบัติเหตุนะดาว”

“ดาว... ดาว…” หญิงสาวจนคำพูด สมองตีบตันไร้ซึ่งทางออก เธอมองหน้าผู้ชายที่กำลังมองหน้าเธอเช่นกัน ผู้ชายที่เธอเพิ่งเอ่ยคำว่ารักกับเขา ต้องไม่ใช่เขาที่ขับรถคันนั้น

“ฉันเป็นคนขับเองล่ะ”

……

เหมือนฟ้าถล่มลงมาตรงหน้า ตาเธอพร่ามัวมองไม่เห็นสิ่งอื่น นอกจากภาพของพ่อที่ฟุบคาพวงมาลัย ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบเลือด... ภาพที่เธอบอกตัวเองเสมอว่าเป็นแค่ฝันร้าย ที่เธอพยายามบอกตัวเองและใครต่อใครว่าจำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งสายตาแห่งความอาลัยที่พ่อมองมาที่เธอ

“ดาวประกาย ฉัน....”

“อย่าค่ะ อย่าเพิ่งพูดอะไร ฉัน... ฉันไม่พร้อม ไม่พร้อมจะคุยกับคุณจริงๆ คุณ...จะหาว่าฉันไร้เหตุผล งี่เง่า อะไรก็ได้ แต่ฉัน ไม่อยากฟัง ตอนนี้”

น้ำเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ เพราะก้อนสะอื้นที่สกัดกั้นไม่ไหว หญิงสาวปล่อยให้น้ำตารินไหล ขณะที่หมื่นอาสาปราดเข้ามาประคองร่างที่ซวนเซของเธอเอาไว้

“พี่อิ่ม... ดาวอยากกลับบ้าน”










ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2556, 00:18:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 เม.ย. 2556, 00:18:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1325





<< ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 27   ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 29 >>
goldensun 26 เม.ย. 2556, 08:00:46 น.
ความลับไม่มีในโลก เทียนแก้วยิ่งน่าสงสัย ขวดยาก็อาจเป็นฝีมือของเทียน
อยากรู้สาเหตจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account