ดาวปาฏิหาริย์
เพราะ 'เธอ' ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่กับเขา
สิตะจึงต้องรับผิดชอบ
ปากบอกไม่ชอบหน้า แต่ว่ากลับปรารถนาจะอยู่ใกล้ๆ
การเดินทาง 'หนี' คนร้ายที่ทำลายชีวิต กลับทำให้เขาค้นพบปาฏิหาริย์ในชีวิตที่ค้นหามานาน
Tags: เกาหลีใต้

ตอน: ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 29



การเดินทางกลับเมืองไทยของดาวประกายเกิดขึ้นรวดเร็วเสียยิ่งกว่าตอนมา

จากซกโซมุ่งหน้าสู่โซลเพื่อเก็บของ และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นเธอก็ขึ้นเครื่องจากไป โดยขอร้องให้เขาเลื่อนไปอีกไฟล์ท เพราะยังทำใจไม่ได้ที่จะเห็นหน้า เขายอม... เพราะรู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับเธอ เหมือนที่มันก็ยากเย็นเกินยอมรับสำหรับเขาเหมือนกัน

ใครจะนึกล่ะว่า ผู้หญิงที่เขาเพิ่งบอกรัก จะเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่เขาเคยขับรถชนเมื่อ 8 ปีก่อน เธอเกือบไม่รอด และยังต้องเสียพ่อไป การสูญเสียของเธอ มีต้นเหตุมาจากเขา... เขาไม่เคยรู้เลยจนกระทั่งวันนี้

โชคชะตา มักเล่นตลกกับเขาเสมอ

“คุณจูนบอกว่า ให้รอสักพักแล้วค่อยคุย คุณปลาดาวน่าจะยอมฟังบ้าง”

เสียงจากคนสนิทที่นั่งติดกันเอ่ยขึ้นเบาๆ ภายในโบอิ้งที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทย อย่างน้อยก็เทียนแก้วและพลัชที่อยู่เบาะหลัง เขาไม่อยากให้ใครได้ยินบทสนทนาเหล่านี้มากนัก

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งริมหน้าต่างถอนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือมาพิมพ์ข้อความส่งให้คนข้างกายอ่าน

“ส่งรูปขวดแก้วที่เจอในกระเป๋าของพู่ไปให้สารวัตรเสกแล้วใช่ไหม ทางนั้นว่ายังไงบ้าง”

อนณรับมาพิมพ์ตอบกลับไป “คุณเสกโทรมาบอกก่อนขึ้นเครื่องว่าซีโวฟลูเรน (Sevoflurane) เป็นยาสลบจริงๆ ใช้ทางการแพทย์ แต่ก็มีขายตามอินเตอร์เนท ดมเข้าไปจะน็อคภายใน 2-3 วินาที แล้วก็จะไม่รู้สึกตัวประมาณ 5-7 ชั่วโมง”

สิตะอ่านแล้วขมวดคิ้ว ก่อนพิมพ์ถามอีก “เป็นไปได้ไหมที่จะมีใครจงใจใส่ไว้ในกระเป๋าพู่”

“คุณสิตะเชื่อว่าไม่ใช่ฝีมือของคุณช่อชมพู?”

“ฉันรู้จักพู่มานาน ฉันอยากจะลองเชื่อดู”

“ถ้าอย่างนั้นคุณสิตะสงสัยใคร”

“คนเดียวที่หายไปก่อนดาวประกายจะรู้เรื่องเมื่อ 8 ปีก่อน นายคิดว่ายังไง”

“ผมเห็นด้วย แล้วคุณสิตะจะทำยังไงต่อไป”

“ถามตอนนี้คงไม่บอก ฉันอยากสืบให้รู้ก่อนว่าเพราะอะไร บางทีเธออาจเป็นคนที่พวกนั้นส่งมา” เขาพิมพ์ถึงตรงนั้น และนึกคำที่ช่อชมพูทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกลับไปหาพิพัฒน์ได้ “พู่บอกว่าจะไปถามพ่อให้ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าคำตอบจะเป็นความจริงสักแค่ไหน”

“ถึงเมืองไทยคงถามจากคุณคมน์ได้ว่าคุณเทียนแก้วเป็นใครมาจากไหนกันแน่”

สิตะพยักหน้า ก่อนยุติบทสนทนาเพียงแค่นั้น เขาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วหลับตาลง ต่อให้พยายามคิดเรื่องอื่นเพื่อหยุดคิดถึงดาวประกาย แต่สุดท้ายเขาก็ลืมเธอไม่ได้

ดาวประกาย... ยกโทษให้ฉันได้ไหม



อากาศที่แตกต่างกันราวตู้เย็นกับเตาอบ ทำให้ดาวประกายป่วยทันทีหลังกลับมา

หญิงสาวร่างบางนอนซมเพราะพิษไข้อยู่บนเตียงสี่เสา ซึ่งตั้งอยู่กลางห้องนอนขนาดใหญ่ภายในคฤหาสน์ของปันปรีดา.... มารดาของหมื่นอาสา เพราะไม่สบายหนักเธอจึงได้พักที่นี่ แทนที่จะเป็นบ้านเช่าหลังเล็กที่อยู่รั้วถัดไป ซึ่งเธอใช้พำนักตลอดเวลาตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ และนั่นก็เป็นสมบัติของคุณนายปันอีกเช่นกัน

ครึ่งหลับครึ่งตื่นตอนเกือบเที่ยงคืน ดาวประกายในเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย มองตุ๊กตาที่ใครบางคนให้มา ก่อนจะได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกขานเบาๆ

“ดาวประกาย.... ดาวประกาย”

หญิงสาวหันมองฝ่าความมืด เห็นเงาลางเลือนอยู่ข้างเตียง

“คุณ นั่นคุณใช่ไหม เสียงปริศนา... คุณสิทธา”

“ในที่สุดหล่อนก็รู้ว่าฉันเป็นใคร”

“คุณหายไปนาน....”

“ฉันไปพักฟื้นมา ต้องรอให้พลังแกร่งกล้าถึงจะสื่อสารกับหล่อนได้”

“คุณรู้แล้วใช่ไหม เรื่อง...คุณสิตะ”

“ใช่”

“ฉันควรทำอย่างไรดี ฉันไม่อยากโกรธเขา แต่ฉันก็ทนเห็นหน้าเขาไม่ได้ ฉันคิดถึงเขา คิดถึงมาก แต่ก็...”

“ให้อภัย” ร่างนั้นเอ่ยออกมาสั้นๆ ทำให้ดาวประกายขมวดคิ้ว

“คุณพูด เพราะว่าเขาเป็นพี่ชายของคุณใช่ไหม”

“ไม่ใช่… มันถึงเวลาที่เธอควรรู้”

“รู้อะไร”

สิ้นคำถาม ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า บ้านหลังใหญ่ บันไดหินอ่อน ตรงเข้าไปเป็นห้องโถง....กว้าง ตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม มีเสียงคนแว่วมา ดัง...ค่อยๆ ดัง ฟังคล้ายทะเลาะกัน ภาพเปลี่ยนเป็นห้องรับแขก ชายวัยกลางคนนั่งเป็นประธานบนโซฟาตัวใหญ่ ฝั่งขวามือคือหญิงวัยเดียวกันผิวขาวสะอาด งดงามหมดจด ตรงข้ามคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดนักศึกษา ข้างๆ คือผู้ชายที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน

‘ฉันไม่ให้แกเป็นนักเขียน ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีก’

‘ทำไมละฮะพ่อ บ้านเราเป็นสำนักพิมพ์ ผมเป็นนักเขียน ทำไมจะไม่ได้ล่ะฮะ’

‘อาชีพที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง แกไม่ต้องคิดเลยนะว่าจะเป็น’

‘แต่นักเขียนหลายคนก็เป็นผู้ชายนะฮะ พนมเทียน มาลาคำจันทร์ ประภัสสร เสวิกุล เขมชาติ ยาขอบ ลาวคำหอม ชาติ กอบจิต แล้วก็อีกตั้งหลายคนที่เป็นผู้ชาย’

‘แล้วแกมันเป็นผู้ชายหรือไง’

‘คุณสาธิต!!!’ คำนี้ดังมาจากผู้หญิงหนึ่งเดียวตรงนั้น สีหน้าของเธอทั้งหวาดหวั่น ทั้งวิตกกังวล

‘อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วแกเป็นยังไง กระตุ้งกระติ้งเกินชาย แค่นี้ฉันก็อับอายจะแย่อยู่แล้ว ให้เกิดมาเป็นผู้ชาย แต่ดันอยากเป็นผู้หญิง ไม่รู้มันเลี้ยงกันยังไง ขายขี้หน้า เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล อย่างแกมันไม่น่าจะเกิดมาเป็นมหาคำสุวรรณเลย”

‘พ่อ!!! พอเถอะครับ’ คราวนี้คนตัวใหญ่เป็นคนเอ่ยหลังปิดปากเงียบมานาน เขามองหน้าแม่ที่ร้องไห้ ก่อนมองน้องชายที่เม้มปากแน่นอย่างอดกลั้น

‘ไอ้สิ แกไม่เห็นหรือไงว่าน้องชายแกกลายเป็นกระเทยไปแล้ว แกเป็นพี่ แกไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง เข้าข้างมันเข้าไปสิ เลี้ยงมันอย่างนี้ไง มันถึงได้ผิดเพศ’

‘พ่อ ผมคิดว่าพ่อพูดเกินไป ผมไม่เห็นว่ามันเสียหายตรงไหน ธาไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย ไม่ได้ฆ่าใคร ธาเป็นยังไงผมก็รับได้ เพราะธาเป็นน้องของผม พ่อเองก็ควรรับให้ได้เหมือนกัน เพราะว่าธาเป็นลูกของพ่อ’

‘พวกลักเพศ วิปริตอย่างนี้ ฉันไม่ถือว่าเป็นลูกฉันหรอก’

‘พ่อ!!!’

เสียงของลูกชายทั้งสองดังประสานกัน ก่อนที่คนเป็นน้องนั้นจะผุดลุกขึ้นแล้วก้าวหนี พี่ชายเห็นจึงลุกตามไป ร่างที่เล็กว่านำออกจากประตูใหญ่ มุ่งตรงไปยังโรงจอดที่มีรถเกือบสิบคันจอดเรียงกันอยู่

ชายหนุ่มในชุดซาฟารีที่ยืนก้มๆ เงยๆ อยู่แถวนั้นสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น

‘เอากุญแจมา’

คนขับรถทำท่าเลิกลัก แต่สุดท้ายก็ส่งกุญแจรถคันใหญ่ของคุณผู้ชาย ให้คุณหนูคนเล็กของบ้าน แต่ยังไม่ทันที่มือจะยื่นออกมารับ ใครคนหนึ่งก็คว้ามันตัดหน้าไป

‘พี่ขับเอง’



ภาพตัดมายังถนนในคืนเดือนมืด แสงสว่างจากดวงไฟสีส้มส่องเป็นระยะ ทันใดนั้น รถยุโรปหรูที่แล่นมาช้าๆ ก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้น เมื่อคนขับเหลือบไปเห็นกระบอกปืนจากรถกระบะที่ขับตามมา

ไม่มีโอกาสหนี เพราะกระสุนถูกกระหน่ำเข้าใส่ กระจกนิรภัยช่วยป้องกันไว้ได้ แต่เมื่อยางล้อถูกทำลาย รถก็เสียการควบคุม พยายามเบรกเท่าไรก็ไร้ผล รถปัดป่ายซ้ายขวาก่อนคนไล่ล่าจะตามมาประกบ ทางฝั่งคนนั่งกรีดร้องเสียงหลงด้วยความหวาดกลัว และเมื่อเห็นกระบอกปืนกำลังเล็งเป้ามา สัญชาตญาณเอาตัวรอดก็สั่งให้เอื้อมมือไปคว้าพวงมาลัยจากคนขับ และหักหลบไปอีกทาง

รถทะยานข้ามเกาะกลาง ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางกั้น กี่ลมหายใจต้องสูญเสียไปเพราะการตัดสินใจครั้งนั้น ตราบาปจึงจรดลึกอยู่ในดวงจิตจนถึงวันนี้

…….

“ดาวประกาย จำได้ไหม ฉันเคยบอกหล่อนว่ามีเรื่องให้หล่อนช่วย ตอนนี้แหละ หล่อนช่วยฉันได้ไหม ฉันเป็นคนทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้นเอง เป็นฉันเอง...ให้อภัยฉันได้ไหม”

น้ำเสียงวิงวอนจากเสียงที่รู้แล้วว่าเป็นใคร ทำให้หยาดน้ำใสรินไหลจากหญิงสาวที่นอนอยู่

เธอหลับตาด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยล้า แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังเปล่งเสียงออกไป

“ค่ะ... ฉันให้อภัยค่ะ”

ห้วงนิทรารอคอยอยู่ตรงหน้า ไม่มีอะไรให้กังวลอีกต่อไปแล้ว หนึ่งเดียวที่คำนึงหา คือภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่เธอปรารถนาจะเจอเขาอย่างที่สุด

คุณสิตะ...





---------------------------------------

จัดไป คลายไปอีกปมแล้วนะคะ

ต่อจากนี้จะยิ่งดราม่า ไม่รู้ผูกปมอะไรนักหนา 5555 ช่วยลุ้นกันต่อด้วยนะคะ ^^



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2556, 00:25:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 เม.ย. 2556, 00:25:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1272





<< ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 28   ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 30 >>
goldensun 27 เม.ย. 2556, 13:42:12 น.
งานนี้ ดูยังไงสิตะก็ไม่ผิดแฮะ แต่ที่โดนตามฆ่านี่ ตั้งแต่แปดปีก่อนเชียวหรือคะ
แล้วตอนเกิดเรื่อง สิตะเลืกกับพู่แล้วรึยัง เพราะดูเหมือนจะช่วง 8 ปีเหมือนกัน
รอดมาได้ยังไงนี่


wii 27 เม.ย. 2556, 21:54:56 น.
อ้าวเเล้วใครคิดจะฆ่าสองพี่น้องนี่ล่ะเนี่ย หรือว่าสาเหตุมาจากพ่อผู้ที่มีใจคับเเคบนั่นเอง ทำไมต้องคิดฆ่ากันด้วยน้อ เทียนเเก้วคือคนที่คิดจะทำลายครอบครัวนี้ใช่ไหมเนี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิงที่เเค้นเพราะพ่อของนายสิฟันเเล้วทิ้ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account