แค้นนัก...รักหมดใจยัยครูสาว
เขาคือชายหนุ่มมหาเศรษฐีจอมเย็นชาผู้เป็นอัจฉริยะไอคิว 170 ที่รู้สึกเบื่อชีวิต อยากกลับไปเรียนมัธยมแก้เซ็งอีกครั้ง แต่ติดปัญหาอยู่ที่สองขาพิการจากอุบัติเหตุในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาได้พบกับ “เธอ” คุณตรูสาวคนซื่อจอมซุ่มซ่ามที่กำลังว่างงาน ภารกิจพิชิตใจ Home Teacher จึงอุบัติขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...ท่ามกลางอันตรายที่ตามติดมาอย่างไม่มีใครคาดคิด!


Tags: โรแมนติก ความรัก คุณครู ตำรวจ นักต้มตุ๋น

ตอน: บทที่ 1 - คุณครูพิสชา





แม่ฮ่องสอน



รถยนต์จากยุโรปคันนั้นคลานขึ้นถนนบนเนินลาดชันของภูเขาด้วยความเร็วต่ำ หญิงสาววัยยี่สิบสามปีที่นั่งทำตัวไม่ถูกอยู่บนเบาะหลังพยายามสงบจิตใจของตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นเมื่อเห็นซุ้มประตูทางเข้าคฤหาสน์อยู่ไม่ไกล เธอรีบก้มมองเสื้อผ้าของตัวเองว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ วันนี้เธอสวมกระโปรงจับจีบชายบานยาวถึงเข่า เสื้อแขนยาวกลัดกระดุมที่ข้อมือทั้งสองข้าง ทั้งเสื้อและกระโปรงอยู่ในโทนสีครีมสะอาดตา ผมดำขลับยาวถึงกึ่งกลางแผ่นหลังได้รับการหวีอย่างเรียบเนียนและทำความสะอาดแลนุ่มสลวย

ใจเย็นๆ ไว้ยัยพิสชา อย่าทำกระโดกกระเดกให้ใครเห็นล่ะ ประเดี๋ยวเค้าจะหมดความเชื่อถือกันหมด…หญิงสาวบอกตัวเอง พลางแขยงกับสาเหตุที่ทำให้เธอยังไม่ได้งานทำสักทีทั้งที่เรียนจบมาได้พักใหญ่แล้ว

"คุณหน้าเด็กเกินไป ผู้ปกครองมาเห็นใครเขาจะเชื่อถือ"

"คุณใจดีเกินไป แบบนี้เด็กที่ไหนจะเชื่อฟัง"

"คุณซุ่มซ่ามเกินไป หากทำให้เด็กเกิดอุบัติเหตุในห้องขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ"

"คุณซื่อเกินไป ไม่มีวันตามลูกไม้ตื้นๆ ของเด็กทันด้วยซ้ำ"

เหล่านี้คือเหตุผลที่โรงเรียนต่างๆ ไม่ยินยอมรับเธอเป็นครูประจำ หลังเข้ารับการทดสอบเป็นครูฝึกหัดช่วงระยะเวลาหนึ่งและผลออกมาไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก

พิสชาเลยกลายเป็นครูสาวที่ไม่มีโรงเรียนไหนอยากรับเธอเอาไว้ เพราะใบหน้าของเธอมันอ่อนเยาว์คล้ายเด็กอายุประมาณสิบเจ็ด - สิบแปดปีจริงๆ แล้วเธอก็ใจดีกับนักเรียนจริงๆ ยังไม่นับเรื่องที่เธอซุ่มซ่ามเป็นที่หนึ่งจริงๆ แต่ที่สำคัญ เธอเป็นคนซื่อที่โดนหลอกให้หลงกลจนกลายเป็นตัวตลกอย่างง่ายดายในสายตาของเหล่าเด็กจริงๆ

ถ้าพูดจริงๆ แล้ว พิสชาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคุณครูเลยสักอย่างเดียว

แต่เธอก็ไม่ละความพยายาม พิสชาประกาศรับสอนพิเศษตามบ้าน แต่ก็ยังไม่มีใครติดต่อมาอย่างจริงจังสักคน ที่ติดต่อมาบ้างก็กลายเป็นพวกโรคจิตเสียอีก

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ มีโทรศัพท์มาถึงเธอในช่วงเย็นๆ

"เราอยากจ้างคุณมาสอนหนังสือให้คุณหนูค่ะ" เสียงผู้หญิงที่ฟังดูน่าเชื่อถือแจ้งแก่พิสชาอย่างนั้น เมื่อกล่าวซํกถามรายละเอียดเบื้องต้นกันแล้ว คนต้นสายก็กล่าวเสริมว่า "ถ้าคุณตกลง วันพรุ่งนี้เราจะส่งรถไปรับคุณที่บ้านนะคะ"

พิสชาคิดว่ารถที่พวกเขาจะส่งมารับเธอคงเป็นรถแท็กซี่ธรรมดา ที่ไหนได้ กลับเป็นรถหรูราคาแพงกว่าบ้านของเธอทั้งหลังเสียอีก

แล้วหญิงสาวก็ครุ่นคิดไปถึงคนที่ตัวเธอเองจะต้องเดินทางมาสอนหนังสือทุกๆ วันนับจากนี้ หญิงสาวที่ติดต่อเธอบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่า 'คุณหนู'เป็นคนพิการที่ต้องนั่งบนรถเข็น ทำให้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ พิสชารู้สึกสงสารคุณหนูคนนั้นตั้งแต่ยังไม่พบเห็นหน้า เธอคิดว่าเขาต้องเป็นเด็กชายที่อ่อนโยนและน่ารักมากแน่ๆ

ห้วงคิดอันสดใสตามแบบฉบับสาวมองโลกในแง่ดีชนิดสุดขั้วของพิสชาหยุดลงเมื่อคนขับรถเหยียบเบรคเพราะถึงที่หมายแล้ว แรงโมเมนตั้มทำให้พิสชาไถลตกจากที่นั่งอย่างไม่ทันตั้งตัวและศีรษะโขกกับด้านหลังเบาะของคนขับรถดังโป๊กใหญ่ แม้จะมองไม่เห็นว่าคนขับรถวัยกลางคนผู้นั้นกำลังทำอะไรด้วยกำลังรีบลุกขึ้นกลับมานั่งที่เดิมพร้อมกับลูบหน้าผากป้อยๆ แต่เธอก็ได้ยินเสียงเขาพยายามกลั้นขำอย่างตลกเธอเป็นนักหนา



++++++



"คุณหนูรออยู่ที่ห้องสมุดค่ะ ฉันจะเดินนำทางไปให้นะคะ" หญิงรับใช้สาวที่วัยไม่น่าเกินสิบเจ็ดปีคนนั้นบอกกับพิสชาเมื่อคุณครูสาวเดินถือกระเป๋าใส่ตำราสอนเข้าสู่ตัวคฤหาสน์ พิสชากวาดสายตามองรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ ในชีวิตนี้แล้ว เธอยังไม่เคยเหยียบเท้าเข้าสู่สถานที่อะไรที่คล้ายคลึงกับบ้านของบรรดาคนรวยในละครหลังข่าวขนาดนี้มาก่อน

พิสชาเดินตามหลังสาวรับใช้ขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง เดินไปตามระเบียงยาวๆ อีกครู่หนึ่ง ก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้สักขัดเงาบานใหญ่ สาวรับใช้เคาะประตูก๊อกๆ แล้วกล่าวว่า

"คุณครูที่ให้ไปรับ ตอนนี้มาถึงแล้วค่ะ"

"ให้เข้ามาได้" เสียงหญิงสาวคนหนึ่งตอบออกมา

สาวรับใช้ผลักประตูเปิดออกด้านหนึ่ง หันมาพยักหน้าให้พิสชาเดินเข้าไป

พิสชาค้อมศีรษะขอบคุณสาวรับใช้ ขยับเท้าก้าวเข้าไปในห้องสมุด ประตูด้านหลังงับปิดลง พิสชาตกตะลึงกับกำแพงหนังสือที่โอบล้อมผนังห้องทั้งสี่ทิศซึ่งปรากฏเบื้องหน้า ลืมที่จะสังเกตคนที่อยู่ในห้องไปชั่วขณะ

"โหย ใหญ่จัง แบบนี้อ่านสิบปีจะหมดหรือเปล่านะ…" พิสชาพึมพำด้วยความทึ่ง

"คุณหนูคะ หนังสือของฮารุกิ มุราคามิที่คุณหนูจะอ่าน ใช่เล่มนี้หรือเปล่าคะ? แองจี้อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก"

เสียงหญิงสาวที่พิสชาจำได้ว่าเป็นคนโทรศัพท์ติดต่อเธอดังขึ้นที่บริเวณกลางห้อง พิสชามองไปตามเสียง เห็นหญิงสาวหน้าตาสวยหมดจด สวมแว่นตาไร้กรอบ แต่งกายสุดเซ็กซี่ด้วยชุดกระโปรงสีดำสั้นแค่คืบกับเสื้อยืดรัดรูปขับเน้นอกอิ่มเดินถือหนังสือเล่มหนึ่งที่หยิบจากชั้นวางตรงมาที่โต๊ะกลางห้อง หญิงสาวสุดสวยคนนั้นยื่นหนังสือให้กับคนที่หล่อนเรียกว่าคุณหนู

"ไม่ใช่" ชายหนุ่มวัยราวยี่สิบสี่ปี หน้าตาคมคายทว่าแสดงอาการเย็นชาต่อทุกสิ่งตอบเสียงห้วน "มันคือเล่มที่ชื่อว่าแดนซ์ แดนซ์ แดนซ์ มีภาษาอังกฤษอยู่บนปก- และผมบอกคุณกี่ครั้งว่าเลิกเรียกผมคุณหนูสักที ผมไม่ชอบ!"



++++++



"อ่า…" พิสชาเบิ่งตาโตจ้องมองคุณหนูที่กำลังจะเป็นนักเรียนของเธอ "…สวัสดีค่ะ ฉันชื่อพิสชานะคะ เป็นคุณครูที่จะมาสอนคุณหนู ฝากตัวด้วยนะคะ"

เธอค้อมศีรษะปลกๆ เพื่อกลบเกลื่อนความประหลาดใจบนใบหน้าของตัวเอง

"นี่ก็อีกคน" ชายหนุ่มบนวิลแชร์ไฟฟ้าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย "เมื่อกี้ไม่ได้ยินหรือไงว่าผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกคุณหนู"

พิสชาเงยหน้าขึ้น "ฉันขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ"

เธอกล่าวซ้ำๆ ด้วยกลัวจะทำให้เขาไม่พอใจ

"พอได้แล้ว จะขอโทษอะไรนักนะ" ชายหนุ่มหันกลับไปบอกหญิงสาวผู้สวมแว่นตาไร้กรอบที่กำลังเดินนำหนังสือกลับไปวางคืนชั้น "แองจี้ ผมไม่อ่านมุราคามิแล้ว หยิบอะไรก็ได้ของแฮมมิ่งเวย์มาแทนแล้วกัน"

"ค่ะ"

ชายหนุ่มตวัดสายตากลับมาที่พิสชา เขาหรี่ตาพินิจพิจารณาเธออยู่อึดใจใหญ่ ก็โพล่งขึ้น "คุณมาที่นี่เพื่อทำอะไร?"

"มะ…มาสอนหนังสือค่ะ"

"แล้วมัวยืนทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบมานั่งสอน"

หญิงสาวที่สวมแว่นตาไร้กรอบถือหนังสือเล่มหนามาส่งให้ชายหนุ่ม

"แต่คุณหนู เอ๊ย คุณท่านกำลังจะอ่านหนังสือนี่คะ"

"ผมอ่านไปเรียนไปด้วยพร้อมกันได้ไม่มีปัญหาหรอก" เขาว่า "แล้วไม่ต้องเรียกผมคุณหนูคุณท่านอะไรทั้งนั้น ผมชื่อธนัชวิชญ์ เรียกวิชญ์เฉยๆ ก็พอแล้ว"



++++++



"ทำไมเรารู้สึกคุ้นหน้าคุณวิชญ์จังเลยน้า…" พิสชาเดินพึมพำกับตัวเองเมื่อออกจากประตูคฤหาสน์มายังรถยนต์สุดหรูคันเดิมที่จอดรออยู่ ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว การสอนหนังสือวันแรกในชีวิตคุณครูของเธอผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เชิงมีความสุขอย่างที่จินตนาการเอาไว้เท่าไหร่นัก

เนื่องเพราะพิสชารู้สึกว่า เธอกำลังสอนในสิ่งที่คุณวิชญ์ก็รู้อยู่แล้ว เขาสามารถทำโจทย์ที่เธอตั้งให้โดยใช้มือข้างเดียว ส่วนอีกข้างเขาใช้ถือหนังสือและสายตาเขาก็จดจ่ออยู่ที่หนังสือ ไม่ได้สนใจที่เธอเลยแม้แต่น้อย

"ผมฟังคุณอยู่ แค่นั้นก็พอแล้ว คุณสอนต่อเถอะ" เขาอธิบายง่ายๆ

พิสชาพอใจตัวเองที่วันนี้ไม่ได้เดินซุ่มซ่ามจับกบอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่เธอก็ไม่พอใจที่ถูกจ้างให้มานั่งพูดคนเดียวในห้องสมุดที่ใหญ่โตกว่าห้องนอนของเธอสิบเท่า พิสชาคิดไว้ว่าเธอจะได้เป็นคุณครูอย่างที่ฝัน ได้สอนความรู้ให้กับเด็กน้อยที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้ แต่นี่มันเหมือนกับเธอมานั่งอ่านหนังสือให้ตัวเองฟังมากกว่า

"แต่ทำไมเราถึงคุ้นหน้าเค้าจังนะ…" พิสชาอดถามตัวเองอีกครั้งไม่ได้เมื่อก้าวขึ้นมานั่งบนรถที่คนขับวัยกลางคนเปิดให้อย่างสุภาพ

หญิงสาวมองลุงคนขับรถหน้าตาใจดีคนนั้นและคิดว่าลองถามประวัติคุณวิชญ์จากลุงคนนี้ดีกว่า เพราะจะให้ไปถามคนในคฤหาสน์นั่น เธอไม่กล้าหรอก ดีไม่ดีจะกลายเป็นเธออยากรู้อยากเห็น เป็นเหตุให้โดนไล่ออกเสียเปล่าๆ

"ลุงคะ พิสของถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?" เธอส่งเสียงอย่างตะกุกตะกักเมื่อรถยุโรปเคลื่อนออกจากซุ้มประตูคฤหาสน์

"โฮะๆ ได้สิ"

"เกิดอะไรขึ้นกับคุณวิชญ์หรอคะ? ทำไมเขาต้องนั่งรถเข็นด้วย?"

"ลุงได้ยินมาว่าคุณวิชญ์แกประสบอุบัติเหตุโดนรถชนตอนเล็กๆ น่ะ ขาสองข้างเลยพิการ ใช้งานไม่ได้ โฮะๆ" เหมือนจะติดเป็นนิสัยของชายวัยกลางคนที่เมื่อพูดแล้วต้องแทรกเสียงหัวเราะลงไปด้วย

"โดนรถชนหรอคะ?" หัวใจของพิสชากระตุกวูบ "โดนที่นี่หรือโดนที่ไหนคะ?"

"โดนที่กรุงเทพนั่นแน่ะ เห็นว่าวิ่งลงไปอุ้มลูกแมวให้เด็กผู้หญิงคนนึงที่วิ่งหนีเจ้าของลงไปบนถนน คุณวิชญ์แกเลยโดนรถกระบะชนแล้วหนีไปเลย โฮะๆ"

หญิงสาวยกมือปิดปาก สองตาเบิ่งกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

"ความจริงแล้วคุณวิชญ์แกเป็นคนใจดีนะ โฮะๆ เห็นทำตัวเย็นชาอย่างนั้นก็เถอะ ถึงลุงจะเพิ่งมารับใช้แกได้ไม่นาน แต่ลุงยืนยันได้ว่าแกเป็นคนดี"

"ทำไมหรอคะ?" พิสชาถามเมื่อตั้งสติได้

"ก็แกบริจาคเงินให้การกุศลทีเป็นสิบๆ ล้านน่ะสิ ใครเดือดร้อนเรื่องอะไรถ้าแกรู้แกช่วยหมดแหละ โฮะๆ นี่ท่าทางคุณครูยังไม่รู้สินะครับว่าคุณวิชญ์แกรับอุปการะส่งเสียเด็กกำพร้าเกือบห้าสิบคนให้มีเงินเรียนหนังสืออยู่ในเมือง แต่แกไม่เคยไปเจอเด็กพวกนั้นหรอก คุณวิชญ์ค่อนข้างเก็บตัวเอาการ"

"แล้วพ่อแม่คุณวิชญ์ท่านอยู่ไหนหรอคะ?"

"ไม่อยู่หรอก ตายไปหลายปีแล้ว โฮะๆ"

"อย่างนั้นหรอคะ" พิสชาลำคอแห้งผากเหมือนทะเลทราย "แล้วหลายปีที่ผ่านมา คุณวิชญ์อยู่กับใครล่ะคะ?"

"อันนี้ลุงก็ไม่รู้นะ คือว่าคุณวิชญ์แกเพิ่งกลับไทยมาเมื่อหกเดือนก่อนนี่เอง ลุงรู้เรื่องของแกก็ฟังคนเค้าเล่าต่อๆ กันมาอีกทีน่ะ โฮะๆ แต่ถ้าอยากรู้เรื่องลึกๆ ต้องไปถามคุณแองจี้เองแล้วกัน รายนั้นน่ะสนิทกับคุณวิชญ์มากที่สุด เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กเลยนะ โฮะๆ"

"อ๋อ ค่ะ" พิสชาผงกศีรษะ นึกภาพที่หญิงสาวผู้สวมแว่นตาไร้กรอบคอยดูแลคุณวิชญ์อยู่ข้างกายไม่เคยห่างตลอดทั้งวัน

"ว่าแต่ครูถามทำไมหรอครับ?" ลุงคนขับรถถามกลับบ้าง

"อ่า - เอ่อ - แค่สงสัยเฉยๆ ค่ะ" พิสชาตอบตะกุกตะกักเพราะโกหกใครไม่ค่อยเป็น

"เหรอ ถ้าสงสัยอะไรอีกก็ถามได้นะ คนคฤหาสน์นี้ใจดีกันหมดแหละ โฮะๆ"



++++++



"พี่หมีจ๋า คุณวิชญ์จะใช่เด็กผู้ชายคนนั้นหรือเปล่านะ…" พิสชาในชุดนอนสีชมพูลายคิตตี้กำลังคว่ำหน้าอยู่บนเตียง เบื้องหน้าเธอที่ตั้งอยู่บนหมอนตอนนี้คือตุ๊กตาหมีสภาพยับเยิบเพราะผ่านกาลเวลามานานตัวหนึ่ง "…ถ้าใช่ แล้วเค้าจะจำได้มั้ยนะว่าพิสเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น…"

พิสชาถอนหายใจ ฟุบหน้าลงกับที่นอน

ในสมองพลันฉายย้อนไปยังเหตุการณ์นั้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน…



++++++



กรุงเทพมหานคร



ภายในคลีนิกทำฟันชื่อดังแห่งนั้น มีเด็กหญิงและเด็กชายสองคนนั่งอยู่ด้านตรงข้ามกันบนเก้าอี้นั่งรอหน้าห้องทันตแพทย์ พวกเขาไม่ใช่เด็กเพียงสองคนที่อยู่ในห้องโถง ความหนาแน่นของลูกค้าที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทำให้คิวรอยาวเหยียด

เด็กทั้งสองนั่งมองและแอบยิ้มให้กันมาพักใหญ่แล้ว ท่าทางเด็กชายจะเป็นคนรักสัตว์มาก เขาให้ความสนใจเจ้าแมวน้อยพันธุ์เปอร์เซียที่เด็กหญิงโอบอุ้มไม่วางตา และเมื่อทนความน่ารักของเจ้าแมวน้อยไม่ไหว เด็กชายก็หันไปกระซิบบอกผู้เป็นแม่ที่มาด้วยกันว่า

"ผมขอไปเล่นกะแมวนะแม่"

"แมวที่ไหนลูก?"

"นั่นไงฮะ" เขาชี้มือมาที่เด็กหญิง

คนเป็นแม่มองตามแล้วหัวเราะ "นั่นไม่ใช่แมวลูก มันเป็นตุ๊กตา"

"ชิโร่ ไม่ใช่ตุ๊กตานะคะ" เด็กหญิงเจ้าของแมวโพล่งขึ้นเสียงใส "มันเป็นแมวจริงๆ แต่ทุกคนชอบบอกว่ามันเหมือนตุ๊กตามากกว่า"

การพูดจาที่ใสซื่อของเธอทำให้แม่ของเด็กชายนึกเอ็นดู หล่อนยิ้มให้เด็กหญิงและอนุญาตให้ลูกชายไปเล่นกับแมวน้อยได้

เด็กชายลุกจากที่นั่งเดินมาเอานิ้วเกาคางเจ้าแมว เจ้าแมวหลับตาปี๋และร้องครางอย่างชอบใจ ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงหัวเราะในความน่ารักของแมวน้อย เล่นต่อกันมาได้ครู่หนึ่ง เด็กชายก็เอ่ยชวน

"พาชิโร่ไปเดินเล่นกันมั้ย?"

"พ่อขา หนูพาชิโร่ไปเดินเล่นได้ไหม?" เด็กหญิงหันไปขออนุญาตผู้เป็นพ่อที่นั่งยิงฟันยิ้มอยู่ด้านข้าง

"เอาสิลูก แต่อย่าไปไกลนะ ได้ยินเสียงพ่อเรียกก็ต้องวิ่งกลับมาทันทีด้วย"

"จ้ะ"

แล้วเด็กหญิงกับเด็กชายก็พาเจ้าชิโร่มาเดินเล่นแถวๆ ประตูทางเข้าคลีนิกที่มีผู้คนเปิดปิดประตูเข้าออกตลอดเวลา

"ดูผู้หญิงคนนั้นสิ สวยจังเลยเนอะ" เด็กหญิงพูด อุ้มเจ้าแมวในอ้อมอกแนบใบหน้ากับผนังกระจกที่สามารถมองออกไปยังบาทวิถีด้านนอกคลีนิกทำฟันได้ "โตขึ้นเราจะสวยให้ได้แบบนั้นแหละ"

"เธอชื่ออะไรหรอ?" เด็กชายเอ่ยถาม หลังจากเล่นกันมาได้พักใหญ่ แต่ยังไม่รู้ชื่อกันเลย

"เราชื่อพิสชา - โอ๊ย!" เด็กหญิงตอบแล้วร้องลั่นเพราะโดนเจ้าแมวกัดมือ ชิโร่ดิ้นขลุกขลักหลุดออกจากอ้อมกอดของเธอกระโดดลงพื้น สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่หนูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ปีนขึ้นมาจากท่อระบายน้ำด้านนอก โชคเป็นของเจ้าแมวเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาในคลีนิกพอดี ชิโร่จึงวิ่งสวนออกไปเพื่อไล่ตะครุบหนู

"ชิโร่ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!"

"เดี๋ยวเราวิ่งไปจับให้เอง เธอรออยู่นี่แหละ" เด็กชายพูดก่อนเปิดประตูและวิ่งตามหลังแมวน้อยออกไป

จังหวะที่เขาวิ่งผ่านหน้าไปนั้น มันทำให้เด็กหญิงได้เห็นแวบหนึ่งว่ามีปานดำจุดเล็กๆ อยู่บริเวณต้นคอของเขา

เด็กหญิงมองตามแผ่นหลังของเด็กชายไปด้วยความชื่นชม เขาวิ่งตามเจ้าชิโร่ที่ไล่กวดหนูตัวเล็กลงไปบนถนนที่มีรถยนต์แล่นขวักไขว่

เด็กชายสามารถจับชิโร่ขึ้นมาอุ้มในอ้อมอกได้แล้ว เขากำลังหมุนตัวกลับมาและส่งยิ้มให้เด็กหญิงพลางยกเจ้าแมวตัวยุ่งให้เธอดูคล้ายกับบอกว่า

"นี่ไง จับได้แล้ว"

ทันใดนั้น รถกระบะคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามากระแทกร่างของเด็กชายกระเด็นไปไกล...



++++++



"จริงสินะ เด็กคนนั้นมีปานที่ต้นคอ!" พิสชาเงยหน้าจากที่นอนและตะโกนด้วยความดีใจกับตุ๊กตาหมี "ถ้างั้นพรุ่งนี้พิสก็จะได้รู้แล้วน่ะสิว่าคุณวิชญ์ใช่เด็กผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า แค่ไปขอดูปานของเขาเองนี่นา"

หญิงสาวพลิกตัวนอนหงาย คว้าตุ๊กตาหมีบนหมอนมาชูในอากาศและพูดกับมัน

"ถ้าใช่เค้าจริงๆ...คุณวิชญ์จะเกลียดพิสมั้ยนะที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องเป็นอย่างนั้น"

พิสชาพึมพำ คืนนั้นเธอนอนหลับอย่างไม่สบายใจเอาเสียเลย




วารีติกาล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2556, 12:25:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2556, 12:07:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1319





<< บทนำ   บทที่ 2 - อัจฉริยะจอมเย็นชา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account