แค้นนัก...รักหมดใจยัยครูสาว
เขาคือชายหนุ่มมหาเศรษฐีจอมเย็นชาผู้เป็นอัจฉริยะไอคิว 170 ที่รู้สึกเบื่อชีวิต อยากกลับไปเรียนมัธยมแก้เซ็งอีกครั้ง แต่ติดปัญหาอยู่ที่สองขาพิการจากอุบัติเหตุในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาได้พบกับ “เธอ” คุณตรูสาวคนซื่อจอมซุ่มซ่ามที่กำลังว่างงาน ภารกิจพิชิตใจ Home Teacher จึงอุบัติขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...ท่ามกลางอันตรายที่ตามติดมาอย่างไม่มีใครคาดคิด!


Tags: โรแมนติก ความรัก คุณครู ตำรวจ นักต้มตุ๋น

ตอน: บทที่ 3 – แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

พิสชาเริ่มต้นงานโฮม ทีชเชอร์ของเธอมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ไม่ว่าจะหาโอกาสอย่างไร เธอก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ตัวคุณวิชญ์เพื่อขอดูต้นคอของเขาได้สักที โดยทุกครั้งที่เธอเข้าใกล้เขาเกินกว่าสองก้าว เขาก็จะประกาศออกมาทันทีว่า ถ้าเธอเข้ามาใกล้เขาอีกนิด เขาจะไล่เธอออก

ความจริงเรื่องโดนไล่ออกเป็นสิ่งที่พิสชาไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ เพราะว่าเธอไม่มีภาระอะไรให้ดูแลด้วยพ่อแม่ก็เสียชีวิตไปหมดแล้วเมื่อห้าปีก่อนในอุบัติเหตุรถชนที่กรุงเทพมหานคร เธอจึงต้องย้ายมาอยู่กับคุณป้าที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่ความที่ครอบครัวของคุณป้าเป็นครอบครัวใหญ่ บ้านที่อาศัยก็ค่อนข้างแคบไปนิดเมื่อเทียบกับจำนวนคน พิสชาจึงเกิดอาการไม่สบายใจมากที่ต้องรบกวนคุณป้าซึ่งมีลูกถึงหกคน พิสชาจึงตัดสินใจย้ายออกมาเช่าบ้านอยู่คนเดียวและหางานทำส่งเสียตัวเองเรียนอย่างปากกัดตีนถีบตั้งแต่อายุสิบแปดปี

แต่ถึงกระนั้น พิสชาก็ภูมิใจกับตัวเองมาก โลกทั้งใบในสายตาเธอเป็นสิ่งที่สวยงาม เธอไม่เคยคดโกงใคร ไม่เคยใช้เรือนร่างของตัวเองหาประโยชน์เป็นเม็ดเงิน พิสชาส่งตัวเองเรียนโดยการทำงานในร้านขนมเค้ก เธอมีฝีมือทำขนมชั้นยอดและถ้าอยากได้ข้าวของอะไรเพิ่มเติม เธอก็จะไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านนมหรือร้านไอศกรีม ไม่ก็เป็นพนักงานในร้านสุกี้ชื่อดังที่เปิดขายในห้างสรรพสินค้า

ดังนั้น เรื่องที่จะต้องตกงานเธอจึงไม่เป็นกังวลอย่างที่เขาคาดคิดนัก

สิ่งที่ทำให้พิสชาไม่อยากถูกไล่ออกกลับเป็นเพราะความสงสัยในใจเธอ พิสชาอยากรู้จริงๆ ว่าคุณวิชญ์จะใช่เด็กผู้ชายที่ช่วยชีวิตแมวของเธอหรือไม่ เด็กผู้ชายคนนั้นที่เธอไม่สามารถลบออกไปจากความทรงจำได้ พิสชาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน บางทีคงเป็นเพราะในวันนั้นถ้าเขาไม่วิ่งไปอุ้มชิโร่ขึ้นมาจากถนน เจ้าแมวน้อยของเธอก็คงถูกล้อรถบดขยี้เละเทะไปแล้ว

แต่การที่เขาช่วยชีวิตแมวของเธอไว้ กลับทำให้เขาต้องกลายเป็นคนที่ต้องนั่งรถเข็นแบบนี้...พิสชารู้สึกไม่สบายใจเลย เธอรู้สึกเหมือนตนเองก็มีความผิดด้วย หากวันนั้นเธอไม่เผลอปล่อยให้ชิโร่หลุดมือไป ทุกอย่างก็คงไม่ลงเอยอย่างนี้ พิสชาคิดว่าเธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อชดใช้ความผิดนั้น

“เราน่าจะขอลดเงินเดือนนะ หรือว่าจะสอนให้คุณวิชญ์ฟรีๆ ดีน้อ” เธอมักพูดกับตุ๊กตาหมีน้อยแบบนั้นเมื่ออยู่คนเดียวในห้องนอนยามราตรี

แต่ก่อนอื่นใด เธอต้องแน่ใจเสียก่อนว่าคุณวิชญ์คือเด็กผู้ชายคนนั้นจริงๆ

++++++

“ผมขอถามหน่อยสิ ที่คุณสอนผมเนี่ย มันตรงตามหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนในประเทศไทยหรือเปล่า?” ธนัชวิชญ์ถามเธอในการเรียนคาบเช้าวิชาฟิสิกส์ สีหน้าของเขาดูลำบากใจ ผิดกับข้อทดสอบที่เธอให้เขาลองทำและปรากฏว่าเขาทำทั้งหมดได้ถูกต้องในเวลาไม่ถึงห้านาที

“ตรงสิคะ” พิสชาตอบทันทีด้วยกลัวเขาจะไม่เชื่อถือเธอ “ฉันเรียนจบจากมหาวิทลัยสาขา - ”

“ผมรู้ว่าคุณเรียนจบครูมา” เขายักไหล่เล็กน้อย “เพียงแต่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมการศึกษาของไทยถึงเน้นให้เด็กท่องจำกันจริง จำกันไปทำไมก็ไม่รู้ สมองคนเรามีไว้ใช้สำหรับคิดนะ ไม่ใช่ใช้สำหรับจำ”

“งั้นเดี๋ยวฉันจะพยายามเปลี่ยนหลักสูตรให้แล้วกันนะคะ” พิสชารีบพูดอย่างเอาใจ

เขากลับจ้องเธออย่างเย็นชา “ไม่ต้องหรอก สอนตามที่คุณเรียนมาเถอะ ผมแค่อยากหาอะไรทำแก้เบื่อ ไม่ได้อยากเรียนจริงจังอะไรซักเท่าไหร่”

นัยน์ตาของพิสชาเบิกโตคล้ายค้นพบช่องทางอะไรบางอย่าง

“ถ้าไม่อยากเรียน เรามาหาอะไรสนุกๆ ทำกันมั้ยคะ?” เธอพูดเสียงใสปานแก้ว ปิดหนังสือฉับและฉีกยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ

ธนัชวิชญ์เบิกตาโตมองเธอด้วยความประหลาดใจ

“เธอ...จะทำอะไร?” เขาถาม ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเป็นแบบเดียวกับแองจี้ไปเสียได้

“ก็ผลัดกันเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองไงคะ” พิสชาว่าแล้วก็ตบมือแปะๆ อย่างร่าเริง “ตั้งแต่มาสอนที่นี่ ฉันยังไม่เคยรู้เลยว่าตอนเป็นเด็กคุณเป็นยังไง พอไปอยู่อเมริกา คุณทำอะไรบ้าง อยู่กับใคร อะไรแบบนี้น่ะค่ะ”

ธนัชวิชญ์ถอนหายใจและหัวเราะหึๆ พลางคิดในใจว่า...ยัยบ๊องเอ๊ย เอาซะตกใจหมด

“นักเรียนต้องเล่าเรื่องแบบนั้นให้ครูฟังด้วยเรอะ” เขาถามออกมา น้ำเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม

“ต้องสิคะ ยิ่งครูกับนักเรียนรู้จักกันมากเท่าไหร่ การเรียนก็ยิ่งราบรื่นเท่านั้น” พิสชาตอบ ในใจคิดว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ทำหน้าตาแข็งทื่อไร้อารมณ์ตลอดเวลา เขาก็จัดเป็นคนหล่อมากเหมือนพระเอกซีรี่ย์ญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่เธอเคยติดงอมแงมเลยทีเดียว

ธนัชวิชญ์จ้องมองเธออย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย

เขาผงกศีรษะ “ได้ เช้านี้เราจะไม่เรียน แต่มาทำความรู้จักกันและกันดีกว่า”

“เป็นเรื่องที่ดีใช่มั้ยล่ะคะ” พิสชาพูดด้วยความดีใจที่ธนัชวิชญ์หลงกลยอมเล่าเรื่องราวในอดีตให้เธอฟัง แค่นี้เธอก็จะได้รู้แล้วว่าเขาใช่เด็กผู้ชายที่เธอเคยเจอในวัยเด็กหรือไม่

“แต่ว่า...” ธนัชวิชญ์โพล่งทำลายห้วงคิดของเธอ

“อะไรหรอคะ?”

“...ถ้าคุณอยากฟังเรื่องของผม คุณต้องเล่าเรื่องของคุณมาก่อน” เขาตอบ “ผมอยากรู้ว่าตอนเป็นเด็กคุณเป็นยังไง แล้วทำไมถึงได้มาอยู่ที่แม่ฮ่องสอนนี่ได้ ตอนนี้พ่อแม่ของคุณอยู่ที่ไหน อะไรแบบนั้นน่ะ”

“เอ๋? คุณวิชญ์อยากฟังเรื่องของฉันจริงๆ เหรอคะ?”

“ใช่น่ะสิ”

“แต่ว่าเรื่องของฉันไม่สนุกหรอกนะคะ”

“ไม่สนุกก็จะฟัง เล่ามาเถอะน่า”

“แต่ถ้าฉันเล่า คุณวิชญ์ก็ต้องเล่าเหมือนกันนะคะ”

“อื้อ ใครว่าจะไม่เล่าล่ะ”

“ห้ามโกหกนะคะ”

“ถ้าโกหกขอให้ฟ้าผ่าตายเลยเอ้า เล่าสักทีเถอะ”

“ค่ะ”

พิสชาพยักหน้าแข็งขัน กระแอมไอเล็กน้อยเหมือนเวลาที่จะเล่านิทานให้เด็กอนุบาลฟังก่อนนอนพักกลางวัน

“ชีวิตในวัยเด็กของฉัน...”


++++++


“หมายความว่า หลังจากที่พ่อแม่ของคุณเสียชีวิต คุณก็ดูแลตัวเองมาตลอดงั้นหรือ?” ธนัชวิชญ์โพล่งขึ้นด้วยความทึ่งหลังจากฟังเรื่องราวของพิสชาจบลง “ไม่น่าเชื่อ ซื่อๆ อย่างคุณ รอดปากเหยี่ยวไม่โดนไอ้พวกคนเลวหลอกพาไปขายได้ยังไงนะ”

“ถึงฉันจะโดนคนอื่นหลอกง่ายๆ แต่ฉันก็ไม่โง่นะคะ ฉันรู้ว่าควรคบกับคนประเภทไหนบ้าง พวกเกกมะเหรกเกเร ฉันจะไม่ยุ่งด้วยเลยล่ะค่ะ ที่โดนหลอกหนักสุดก็คงเป็นตอนที่มีคนโทรมาหาฉันแล้วขู่ว่าจะฆ่าแม่ฉันทิ้งแน่ถ้าฉันไม่โอนเงินค่าไถ่ตัวไปให้ตามที่พวกเขาเรียกร้อง ตอนนั้นฉันไปยืนรอคิวหน้าตู้เอทีเอ็มเพื่อกดโอนเงินแล้วนะคะ โชคดีที่นึกขึ้นมาได้ซะก่อนว่าแม่ฉันเสียชีวิตไปตั้งนานแล้วนี่นา แล้วพวกเขาจะจับตัวแม่ฉันไปได้ยังไง” พูดจบพิสชาก็ยกมือปิดปากหัวเราะขบขันตัวเอง

ธนัชวิชญ์กลั้นยิ้ม “คุณนี่นะ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเรียนจบมาได้ไง”

“ทีนี้ถึงตาคุณวิชญ์เล่าเรื่องของตัวเองบ้างแล้วนะคะ” พิสชาพูดหลังจัดการกับอาการขบขันได้เรียบร้อย “ที่ฉันคิดว่าคุณวิชญ์เป็นเพื่อนเก่า ฉันก็หมายถึงเพื่อนที่วิ่งลงไปช่วยจับแมวของฉันขึ้นมาจากถนนนั่นน่ะค่ะ หลังจากเกิดอุบัติเหตุวันนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เคยได้เจอเขาอีกเลย จำได้ก็แต่เพียงว่าเขามีปานอยู่ที่คอเท่านั้นเอง”

“เหรอ”

ธนัชวิชญ์รับคำอย่างส่งเดช สมองขบคิดเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กเพื่อหลอกเธอว่าเขาไม่ใช่เด็กผู้ชายคนนั้นที่เธอพูดถึง อะไรบางอย่างในส่วนลึกของใจเขาออกคำสั่งว่าเขากับเธอไม่ควรสนิทสนนมกันให้มากเกินไปนัก จะด้วยอะไรก็ตามแต่ พิสชามักเตือนเขาให้นึกถึงฟานปิงเสมอ ชายหนุ่มไม่อยากให้ความคิดถึงฟานปิงของตนเอง ทำให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหวต่อเธออย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อนนับแต่ฟานปิงตายไป

“แล้วคุณวิชญ์อยู่ที่เมืองไทยจนถึงกี่ขวบคะ ฉันได้ยินมาว่าคุณวิชญ์เดินทางไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็ก” พิสชากล่าวเปิดประเด็นเมื่อเห็นเขาไม่ยอมเล่าสักที

“ก็ไปตั้งแต่ตอนเล็กๆ เลยล่ะ” ธนัชวิชญ์ตอบเสียงเรียบ “ตอนนั้นพ่อผม - ”

คำพูดของชายหนุ่มชะงักกลางคันเมื่อประตูห้องสมุดเปิดออก

“คุณวิชญ์คะ” แองจี้ที่วันนี้อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสีขาวและเสื้อรัดรูปสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามา

“มีอะไรหรือ?” ธนัชวิชญ์หันหน้าถาม

“มีแขกมาขอพบคุณวิชญ์ค่ะ” หล่อนตอบ

“ใคร?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเพราะที่อยู่ของเขาเป็นความลับ ไม่น่ามีคนรู้จักในประเทษไทยล่วงรู้

“เธอบอกว่าชื่อซาแมนต้า มาจากอเมริกาและเป็นคนรักของคุณค่ะ” แองจี้ค้อมศีรษะตอบเล็กน้อย

ทันทีที่คำตอบลอยมาเข้าหู สีหน้าที่เย็นชามาตลอดก็พลันแปรเปลี่ยนไป ธนัชวิชญ์ยกมือเกาหัวทำหน้ายุ่ง เหลือบมองพิสชาทีสลับกับมองแองจี้ที คล้ายกับบังเกิดเหตุผลอะไรสักอย่างให้เขาต้องตัดสินใจเลือกพวกเธอคนใดคนหนึ่ง แต่ธนัชวิชญ์ก็รู้ว่าไม่มีเวลาให้เขาไตร่ตรองมากนัก โชคดีที่ปกติแล้วเขาเป็นคนตัดสินใจได้รวดเร็วฉับไว

และส่วนใหญ่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องซะด้วย

“คุณให้เธอนั่งรอในห้องรับแขกไปก่อน เดี๋ยวผมตามไป บอกเธอว่าผมทำธุระส่วนตัวอยู่” ธนัชวิชญ์กล่าวกับแองจี้

“ค่ะ” แองจี้รับคำสั่งและหมุนตัวเดินออกไป ต่างหูคู่งามที่สวมใส่แกว่งกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งเวลาก้าวเท้าเดิน

“ทีนี้คุณน่ะ” ธนัชวิชญ์หันกลับมาที่พิสชา “อยากรู้ใช่มั้ยว่าผมเป็นเพื่อนคุณคนนั้นหรือเปล่า?”

“ใช่ค่ะ” พิสชาผงกศีรษะอย่างกระตือรือร้น

“งั้นคุณอยากดูอะไรที่ต้นคอผมก็มาดูเถอะ”

“เอ๋ ฉันดูได้แล้วหรอคะ?”

“ตอนนี้น่ะยังได้ แต่ถ้าชักช้าก็ไม่แน่”

“ค่ะ งั้นขออนุญาตนะคะ” พิสชารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ โค้งตัวให้เขาหนึ่งที ก็เดินลากรองเท้าแตะสีชมพูติดดอกไม้พลาสติกอ้อมมาหยุดยืนด้านหลังเขา

ธนัชวิชญ์มองตรงไปข้างหน้าเมื่อรู้สึกว่าเส้นผมบริเวณต้นคอของเขาถูกมือของเธอแหวกออกทีละน้อย

ไม่กี่วินาทีต่อมา ม่านตาของพิสชาขยายออกกว้างเมื่อเธอพบกับปานสีดำเล็กๆ ที่ต้นคอของเขา จุดเดียวกับที่เด็กชายคนนั้นมีไม่ผิดเพี้ยน

“คุณวิชญ์! คุณคือเด็กผู้ชายที่ช่วยชิโร่ไว้จริงด้วย!!!” พิสชาร้องลั่น ความรู้สึกที่ปรากฏออกมาพร้อมน้ำเสียงผสมปนเปไปทั้งประหลาดใจ ดีใจระคนตกใจ

“รู้แล้วก็ดีเหมือนกัน” ธนัชวิชญ์กล่าวอย่างอึดอัด “ผมมีเรื่องจะขอร้องความช่วยเหลือจากคุณหน่อย”

++++++


“ไฮ ดาร์ลิ้ง!”

เสียงสูงปรี๊ดของหญิงสาวผมทองร่างระหงคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อธนัชวิชญ์เคลื่อนกายเข้ามาในห้องรับแขกโดยมีพิสชาเป็นคนคอยเข็นรถวีลแชร์อยู่ด้านหลัง

แองจี้ที่กำลังรับหน้าแขกจากต่างประเทศลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าธนัชวิชญ์เลือกที่จะให้พิสชาเข็นวีลแชร์ให้เขา เพราะตามปกติ ธนัชวิชญ์ไม่ชอบให้ใครช่วยเหลือ เขาอยากทำอะไรที่ตัวเองทำได้ให้มากที่สุด หล่อนไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

“นังคนนั้นเป็นใครกันคะ?” ซาแมนต้าโพล่งออกมาเป็นภาษาอังกฤษเมื่อเห็นพิสชา

“ใจเย็นๆ แซมมี่” ชายหนุ่มพูด “ก่อนที่ผมจะตอบคำถามคุณ ขอถามกลับหน่อยเถอะว่ารู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่?”

“ปาป้าแจ็คสันเป็นคนบอก” หญิงสาวผมบรอนด์ตอบเสียงกร้าว “บอกฉันมาสิคะว่านังคนนี้มันเป็นใคร?”

พูดจบหล่อนก็จิกตามองพิสชาอย่างแสดงความไม่เป็นมิตรชัดเจน

“ระวังคำพูดหน่อยแซมมี่” ธนัชวิชญ์ฉีกยิ้มเย็นชา “เพราะผู้หญิงที่คุณพูดถึง คือภรรยาผมเอง”

“ภรรยา!” ซาแมนต้าสบถ จ้องหน้าพิสชาที่ได้แต่ยิ้มแหยๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ

แองจี้เองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างจากหญิงสาวชาวอเมริกัน แต่หล่อนสามารถเก็บความประหลาดใจไว้ภายใต้สีหน้าปกติได้อย่างมิดชิด

“คุณบ้าไปแล้วรึไงถึงไปคว้าแม่หน้าจืดนี่มาเป็นเมีย” ซาแมนต้าพูดกับชายหนุ่ม ก่อนจะรู้สึกตัวว่าพูดแรงไปจึงลดเสียงลงและรีบเข้ามาคว้ามือของเขาไปเกาะกุม “แซมมี่ไม่เชื่อหรอก วิชชี่ต้องการล้อเล่นใช่มั้ยล่ะ แซมมี่รู้ทันหรอกน้า”

แล้วหล่อนก็โน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากของเขาโดยไม่สนใจสายตาของใคร

“...”

พิสชายกมือปิดตาอย่างลืมตัว ในชีวิตนี้เธอยังไม่เคยเห็นคนจูบกันต่อหน้าต่อตามาก่อน สองแก้มของเธอพลันแดงเรื่อ หน้าก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“นี่รึคะเมียคุณ ท่าทางจะไม่ค่อยประสีประสาอะไรเลย”

เสียงของซาแมนต้าดังขึ้นอีกครั้ง พิสชาจึงแหวกนิ้วที่ปิดตาออกดูนิดหนึ่งและเห็นว่าซาแมนต้ายืดตัวขึ้นยืนตรงและทั้งหล่อนกับแองจี้กำลังจ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว

“เธอคงไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจมากกว่า” ธวัชวิชญ์พูด “จริงมั้ยที่รัก?”

เขาเหลียวหน้ามองเธอ หลิ่วตาส่งสัญญาณเล็กน้อยโดยที่ซาแมนต้าไม่ทันเห็น

“จ้ะ เอ๊ย ค่ะ” พิสชาตอบตะกุกตะกัก ก่อนที่ภาพเหตุการณ์ในห้องสมุดเมื่อสิบห้านาทีก่อนจะย้อนกลับมาฉาบฉายในสมองของเธออีกครั้ง

++++++


“อะไรนะคะ?! อยากขอให้ฉันช่วยแกล้งเป็นภรรยาคุณอย่างนั้นหรอ?” พิสชากระซิบออกมาอย่างตกใจ

“อื้อ ถือว่าผมขอร้องล่ะนะ ผมพยายามจะสลัดซาแมนต้าให้หลุดหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จสักที”

“เธอ...เอ่อ...เป็นคนนิสัยไม่ดีหรอคะ?”

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ที่แน่ๆ คือน่ารำคาญมาก เสียแต่ว่าเธอเป็นหลานของพ่อบุญธรรมผม ถ้าทำอะไรรุนแรงลงไปก็จะมีเรื่องหมองใจกันซะเปล่าๆ” ธนัชวิชญ์อธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมากที่สุดเท่าที่พิสชาเคยเห็น “ถ้าผมไม่ขอร้องคุณ ผมก็ต้องขอให้แองจี้ช่วยเล่นบทนี้ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คุณปลอดภัยสำหรับผมมากกว่าแองจี้เยอะ”

“หา? คุณวิชญ์หมายความว่าคุณแองจี้กำลังคิดร้ายต่อคุณอยู่หรอคะ!” หญิงสาวยกมือปิดปากด้วยความตะลึงงัน สำหรับเธอแล้ว คำว่า 'ไม่ปลอดภัย' มีค่าเท่ากับคำว่า 'กำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต' ตามประสาคนซื่อที่ตื่นตกใจได้ง่าย

“ไม่ใช่แบบนั้น” ธนัชวิชญ์มองหน้าพิสชาอย่างอ่อนใจ พยายามขบคิดหาคำอธิบายครู่หนึ่งแต่ก็คิดไม่ออก เลยถอดใจตัดบทเอาง่ายๆ ว่า “เอาเถอะ แล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน ตกลงว่าจะยอมร่วมมือกับผมหรือเปล่าล่ะ? ผมมีค่าจ้างพิเศษเพิ่มให้ไม่อั้นด้วยนะ”

พิสชาใช้เวลาตัดสินใจเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น เธอก็ตอบตกลงเพราะเห็นว่านี่คือโอกาสที่เธอจะได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเขาเป็นการชดเชยเรื่องราวในอดีต

“จะไม่เสียเวลาคิดสักนิดเลยเรอะ?” ขนาดธนัชวิชญ์ยังอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอยากช่วยคุณวิชญ์จริงๆ นะ” เธอตอบ เพราะในความคิดของพิสชา การยอมแกล้งเป็นภรรยาของเขา ก็ไม่แตกต่างอะไรจากการละเล่นพ่อแม่ลูกของเหล่าเด็กๆ เลยแม้แต่น้อย...


++++++


“ก็อย่างที่คุณเห็น ผมมีภรรยาแล้ว ผมคงกลับไปยุ่งกับคุณไม่ได้อีกแล้วล่ะแซมมี่” ธนัชวิชญ์พูดอย่างไร้อารมณ์ตามแบบฉบับของเขา “และอันที่จริง คิดว่าผมก็บอกคุณไปหลายรอบแล้วนะว่าผมมันไม่เหมาะกับคุณหรอก”

“แต่แซมมี่รักคุณนี่คะ” ซาแมนต้ากระซิบเสียงหวาน ใช้วิชามารยาบีบน้ำตาให้คลอเบ้า ทั้งที่ความจริงแล้ว หล่อนไม่ได้รักเขาเสียเท่าไหร่หรอก สิ่งที่ทำให้ซาแมนต้าสนใจเขาอย่างบ้าคลั่งคือทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ตอนนี้ต่างหาก ใครๆ ก็รู้ว่าถ้าได้แต่งงานกับคนพิการที่ร่ำรวยอย่างเขา มีแต่สุขสบายกับสุขสบายและสุขสบายไปตลอดชีวิตเท่านั้น

“คุณยังไม่เข้าใจหรือไง แซมมี่ ผมเจอคนที่หัวใจของผมต้องการแล้ว - ”

ซาแมนต้าแทรกกลางปล้อง “ - คุณแต่งงานกับยัยนี่แล้วหรอคะ?”

“ก็ยัง แต่วางแพลนไว้เหมือนกัน”

“ถ้ายัง แซมมี่ก็ยังมีสิทธิ์” ซาแมนต้ายกมือกอดอก เชิดคางพูดหน้าตาเฉย

แองจี้เดินเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างสาวผมบรอนด์และชายหนุ่ม

หล่อนกล่าวอย่างสุภาพ สำเนียงภาษาอังกฤษชัดเจนไม่ต่างจากเจ้าของภาษา “คุณซาแมนต้ากลับอเมริกาเสียเถอะนะคะ เท่าที่ฉันฟังดูแล้ว คุณวิชญ์ไม่ได้รักคุณเลย คุณยื้อต่อไปก็เสียเวลาเปล่า”

“แล้วมันธุระอะไรของหล่อนล่ะยะ” ซาแมนต้าหันมาจิกตามองแองจี้บ้าง “อ๋อ รึว่าหล่อนอยากจะให้วิชชี่หลงเสน่ห์ตัวเองเพื่อฮุบสมบัติทั้งหมดใช่มั้ยล่ะ ร้ายกาจนักนะ”

แองจี้ฉีกยิ้มเยือกเย็น “อย่าคิดว่าคนทั้งโลกต้องมีความคิดเหมือนตัวคุณสิคะ”

ซาแมนต้าใช้เวลาครู่หนึ่งถึงเข้าใจว่าโดนแองจี้หลอกด่าซึ่งๆ หน้า หล่อนเบิกตากว้างและเงื้อมือขึ้นฟาดลงมาสุดแรงหมายตบอีกฝ่ายให้หน้าหัน

แต่แองจี้กลับตวัดมือคว้าข้อมือของซาแมนต้าให้ชะงักค้างกลางอากาศ พร้อมกันนั้น หล่อนก็เพิ่มแรงบีบข้อมือฝ่ายตรงข้ามจนซาแมนต้าหน้าเขียวด้วยความเจ็บปวด

“นี่ยัยแว่นบ้า ปล่อยฉันนะ!”

ซาแมนต้ากรีดร้องพลางสะบัดแขนเร่าๆ แต่ก็ยังไม่อาจหลุดจากกำมือของแองจี้

“ไม่ค่ะ จนกว่าคุณจะรับปากว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับคุณวิชญ์อีก” ดวงตาหลังแว่นตาไร้กรอบของแองจี้เป็นประกายเอาจริง

“หน็อย ฝันไปเถอะย่ะหล่อน” แม้จะเจ็บแสนเจ็บ แต่ซาแมนต้าก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

พิสชาได้แต่ยืนมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างทำอะไรไม่ถูก

ธนัชวิชญ์กลัวเรื่องนี้จะล่วงรู้ไปถึงหูปาป้าแจ็คสัน และมันจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ จึงกล่าวขึ้นเพื่อยุติสถานการณ์

“ปล่อยเธอซะ แองจี้”

แองจี้หันมาจ้องมองผู้ออกคำสั่ง ชายหนุ่มผงกศีรษะให้หล่อน แองจี้ค้อมศีรษะรับทราบและปล่อยข้อมือของสาวผมบรอนด์ให้เป็นอิสระทันที

“วิชชี่คะ ดูสิคะ ยัยแว่นบ้านั่นทำร้ายแซมมี่!” ซาแมนต้าร้องฟูมฟายทรุดกายลงเกาะข้างวีลแชร์ของชายหนุ่ม หล่อนยื่นข้อมือที่เป็นรอยแดงปื้นให้เขาดู

ธนัชวิชญ์หลุบตาดูเพียงแวบเดียวและพูด “ก็คุณไม่น่าทำเก่งกับแองจี้เค้าก่อนเลยนี่”

“วิชชี่!” ซาแมนต้าร้องออกมาอย่างขัดใจ

แต่เหตุการณ์ก็ต้องชะงักลงกลางคันเมื่อเด็กรับใช้คนหนึ่งเดินกึ่งวิ่งก้าวสั้นๆ เข้ามาในห้องรับแขก

“คุณวิชญ์คะ มีแขกมาขอเข้าพบค่ะ” หล่อนรายงาน

อะไรอีกล่ะเนี่ย...ธนัชวิชญ์คิดในใจ ปากถามออกไป “ใคร?”

“ตำรวจค่ะ” เด็กรับใช้ตอบ



วารีติกาล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2556, 17:34:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2556, 17:34:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 2330





<< บทที่ 2 - อัจฉริยะจอมเย็นชา   บทที่ 4 – ปมปริศนา >>
วารีติกาล 20 พ.ค. 2556, 17:37:01 น.
>>คุณไม้เอก

คุณวิชญ์จำได้ครับ แต่อยากแกล้งว่าจำไม่ได้

แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคุณวิชญ์จะไม่มีทางเลือกแล้วเนอะครับ ^^

>>คุณหมูน้อยอวกาศ

มาอัพแล้วจ้า ฝากติดตามด้วยนะครับ นิยายเรื่องนี้ ถ้าไม่มาอัพวันจันทร์ ก็จะเป็นวันอังคาร
ถ้าไม่ใช่อังคาร ก็จะมาวันพุธ ถ้าไม่มาวันพุธ ก็ต้องเป็นพฤหัส ถ้าพฤหัสยังไม่มา ก็จะมาวันศุกร์
แต่ถ้าวันศุกร์ยังไม่ได้อัพ ก็จะอัพในวันเสาร์ - อาทิตย์ครับ

เอ อ่านไปอ่านมา สรุปว่ายังไม่มีวันอัพที่แน่นอนนั่นแหละครับ 555+

ขอบคุณนักอ่านทั้งสองท่านที่ออกมาทักทายกันและขอขอบคุณนักอ่านเงาทุกคนด้วยนะครับ ^^



เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account