ไร่แห้วไม่จำกัดรัก
น้ำ ลมและดอยต่างก็เป็นเด็กำพร้าที่อาศัยอยู่ในไร่แห้ว พวกเขากำลังจะได้พบกับความรักที่หลากหลาย และอาจได้ค้นพบหัวใจของตัวเอง
Tags: รัก แห้ว

ตอน: 34 ชู้

ไร่แห้ว...ไม่จำกัดรัก ตอนที่ 34 ชู้

เมื่อถึงเวลานัดตรวจ อรรณก็เอาผ้าคลุมหน้ามาตรวจ เมื่อได้เวลาก็มาพบหมออดุลย์ หมออดุลย์ก็เรียกพยาบาลเข้ามาดูแล แต่ไม่ใช่ภรรยาเขา เป็นพยาบาลคนอื่น

“อืม พี่ว่าแผลน่ะ ดีขึ้นเยอะแล้ว ว่าแต่น้องน้ำแน่ใจเหรอ ที่จะไม่ไปรักษาต่อที่กรุงเทพน่ะ” อดุลย์เสียดาย อยากให้อรรณไปรักษาต่อ จะได้มีอาการดีขึ้น

“ยังค่ะ อยากจะพักผ่อนให้มากกว่านี้ค่ะ” อรรณบอกตามตรง ก่อนนึกขึ้นได้ “พี่หมอคะ คือ น้ำมีเรื่องจะขอร้องเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ”

อดุลย์มองอรรณ รอฟังอยู่ ก่อนมองอรรณและมองพยาบาล ก็รู้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว จึงให้พยาบาลออกไปก่อน “คุณแต๋มออกไปก่อนนะครับ คนไข้มีเรื่องส่วนตัวอยากปรึกษาหมอ”

เมื่อพยาบาลออกไปแล้ว อดุลย์ก็มองจนแน่ใจว่าประตูปิดสนิทแล้วค่อยคุย “มีอะไรเหรอ”

“น้ำอยากให้ตรวจครรภ์น่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าท้องหรือเปล่า แต่น้ำไม่อยากให้ใครรู้ แค่นี้ก็มีข่าวลือจะแย่อยู่แล้ว” อรรณก็ทั้งเจ็บทั้งอายมาตลอด แต่คำคนอื่น...เธอยังไม่สนใจเท่าคำคนใกล้ตัว

“น้ำต้องเอาปัสสาวะมาตรวจน่ะ จริงๆ จะตรวจอัลตร้าซาวด์แต่ต้องให้พยาบาลเตรียมให้ ยังไงก็เก็บไว้ได้ไม่หมดหรอกนะ น้ำ” อดุลย์อธิบายตามความจริง

อรรณนิ่งงัน อยากจะตรวจให้รู้เหมือนกันว่าท้องหรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่ใจ

“น้องน้ำลองไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจดูสิ แบบนี้ไม่มีใครรู้แน่นอน พี่ก็สงสัยอยู่แล้วล่ะ แต่ตอนนั้นมัวแต่ตรวจอย่างอื่น กลัวแผลติดเชื้อทำให้เนื้อตาย ดีที่รักษาความสะอาดจึงไม่ติดเชื้อ” อดุลย์ต้องตรวจไปทีละนิด เพราะเขาก็งานเยอะ คนไข้มาก ทำให้ต้องเฉลี่ยเวลาไป

“ขอบคุณค่ะ” อรรณฟังคำแนะนำแล้วก็ขอออกไปข้างนอก เพราะตรวจเสร็จแล้ว

หมออดุลย์ลืมเรียกพยาบาลเข้ามาก็เดินตามออกไปด้วย ก่อนจะต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันขึ้น และหยุดอยู่ข้างหลังอรรณ ฟังสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ฟัง

“พวกเธอน่ะ ไม่รู้อะไรแม่นี่น่ะสำออยจะตาย จริงๆ แล้วเจ็บไม่เท่าไร ดูเถอะสามีก็มาหนีไป ใครจะอยากได้ผู้หญิงร้อยชายล่ะ นี่นะ พี่หมอยังสงสัยเลยว่าท้องหรือเปล่า ท่าทางให้ เห็นว่าตอนแรกที่ถาม บอกว่าเมนส์ยังไม่มาด้วย ต้องท้องแน่ๆ เลยเธอ” โบว์ได้ทีก็นินทาให้ยับ โกรธที่สามีไล่พยาบาลอีกคนออกมา แล้วอยู่ในห้องตามลำพังกับอรรณ

“นี่นะ ไม่รู้ว่าจะออดอ้อนออเซาะพี่หมอท่าไหน ดีที่พี่หมอเป็นคนดี ไม่งั้นลำบากใจแย่” โบว์พูดอย่างไม่เกรงกลัว

“งั้นข่าวก็เป็นความจริงน่ะสิ” พยาบาลอีกคนพูดขึ้น

“ข่าวนั้นน่ะเหรอ ฝีมือฉันเอง ก็นะ เพื่อนฉันน่ะเป็นนางแบบเขาไม่ชอบหน้าแม่นี่อยู่แล้ว พอมีข่าว ฉันก็เผาไปไม่ให้เหลือ ผัวก็มีอยู่แล้ว ยังจะมายุ่งกับผัวชาวบ้าน สงสัยติดสันดานจากในป่า ออกมาเลยต้องมาล่าผู้ชายต่อ” โบว์พูดชัดคำ แล้วก็ต้องตกใจเพราะโดนกระชากให้หันมา และตื่นตระหนกกว่าเดิม เมื่อสามีเป็นคนกระชากเธอหันมาเอง

“นี่เธอเป็นคนแบบนี้เองเหรอ ห๊ะ ทำแบบนี้ได้ยังไง ให้ร้ายคนอื่นเสียหายแบบนี้ได้ยังไง ไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้” หมออดุลย์สะบัดภรรยาจนล้มลง มองอย่างผิดหวัง ท่ามกลางสายตาของคนทั่วไป

“มะ..ไม่ เอ่อ” โบว์แก้ตัวไม่ออก เพราะคิดว่าสามีคงได้ยินทุกคำ

“เธอสารเลวได้อย่างนี้เชียวเหรอ ทำลายชีวิตคนคนนึงได้อย่างหน้าตาเฉย เสียแรง ฉันคิดว่าเธอแค่เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจ ไม่ใช่นางร้ายในละคร แต่เธอเนี่ยแหละ ไม่ใช่แค่นางร้าย แต่เป็นนางชั่วร้าย ฉันผิดหวังในตัวเธอมาก” อดุลย์กำมือแน่น มองคิวคนไข้ที่แน่นขนัด ก็ถอนหายใจ หันไปมองอรรณที่หลบหน้าหลบตา “น้ำกลับไปก่อน เดี๋ยวพี่เลิกงานแล้วจะตามไปที่บ้าน จะไปขอโทษแม่อุ๊ย ไม่น่าเลี้ยงงูพิษไว้ทำร้ายคนดีๆ แบบนี้เลย”

“เปล่านะ พี่ตุลย์” โบว์พยายามจะแก้ตัว

“ฉันได้ยินกับหู คิดว่าฉันหูฝาดหรือไง พยาบาลแต๋มเอาเอกสารไปส่ง แล้วก็เรียกคนไข้ให้ผมด้วย” อดุลย์กลับเข้าห้อง แม้โบว์จะพยายามตามไปอธิบายก็ตาม

“พี่ตุลย์คะ” โบว์พยายามอธิบาย

“ไม่มีงานทำหรือไง ไปทำงานสิ หรือเวลาทำงาน เอาไปนินทาชาวบ้านซะหมดล่ะ” อดุลย์ใส่ภรรยาไม่ยั้ง มองอย่างเย็นชา ทำให้โบว์เหน็บหนาวแล้วออกไปจากห้องตรวจคนไข้ทันที

อดุลย์ทำงานของตนต่อไป แม้จะไม่ค่อยมีสมาธิก็ตาม หากเขาก็พยายามทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด

ส่วนอรรณจ่ายเงินแล้วก็ไปที่รถ ตั้งใจว่าจะขับกลับบ้าน แต่กลับโดนโบว์ตามมาราวีถึงรถ

“นี่แกคิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆ เหรอ ทำผัวเมียเขาทะเลาะกัน” โบว์เคาะกระจกหาเรื่อง

“แน่ใจนะว่าจะหาเรื่องที่นี่ ยังทะเลาะกับพี่หมอไม่พอหรือไง” อรรณส่ายหน้าช้าๆ

“หน้าแหกไปแล้วยังคิดจะล่อผัวชาวบ้านอีกนะ” โบว์ตะคอกใส่อีกรอบ

อรรณไม่สนใจ ถอยรถออกไปทันทีที่มีโอกาส ปล่อยให้โบว์อาละวาดเสียให้พอ ระหว่างทางก็แวะซื้อที่ตรวจมาเพื่อกลับไปตรวจที่บ้าน แล้วเธอก็ขับไปไกลมาก เพื่อจะได้ไม่มีคนสงสัย

พอกลับมาบ้าน ก็เข้าห้องน้ำลองตรวจดู สักพักก็รู้ว่าตัวเองท้อง เธอก็ได้แต่ถอนหายใจยาว พอออกมาก็ต้องตกใจ เพราะอภิชาตเดินขึ้นบ้านมา

อรรณยกมือไหว้พร้อมทักทายก่อนถาม “คุณลุงมาได้ยังไงคะ”

“สวัสดีนะ ลุงมาเยี่ยมภาน่ะ ภาเขาอยู่ไหม” อภิชาตถามขึ้น

“อ๋อ ไปวัดกันค่ะ เห็นว่าจะกลับเย็นๆ น้องสาวไปส่ง ก็เลยเหลือหนูอยู่บ้านคนเดียว ว่าแต่เก่งนะคะ มาถูก” อรรณจึงรีบไปหาน้ำมาเสริฟ

“เอ้อ ลุงขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” อภิชาตขอเข้าห้องน้ำ อรรณก็ชี้ทางให้แล้วเข้าครัวเล็กเพื่อหาน้ำมาเสริฟ

อภิชาตเข้าห้องน้ำแล้วเห็นที่ตรวจครรภ์ก็นึกแปลกใจ แอบดูผลเทียบกับกล่องก็รู้ว่าเจ้าของท้อง คงไม่ใช่ใคร เพราะมีอรรณคนเดียวที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ

อรรณเอาน้ำมาวางแล้วนึกได้ แต่คงสายไปแล้ว เมื่ออภิชาตเดินออกมาจากห้องน้ำทำหน้างงๆ

“นี่หนูท้องเหรอ” อภิชาตถามอย่างงุนงง

“ค่ะ” อรรณก็บอกไม่ถูก เพราะมันก็ตรวจแค่ว่าท้องหรือไม่ท้องแต่ไม่ได้บอกว่าท้องกี่เดือน จึงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ นอกจากอรรณคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าพ่อของลูกคือศิขา

“เพราะ เอ่อ เพราะนั่นหรือเปล่า” อภิชาตไม่กล้าถามตามตรง

“ไม่ใช่ค่ะ” อรรณรีบปฏิเสธก่อนจะเข้าใจผิดไปมาก

อภิชาตถอนหายใจ ก็อยากจะเชื่อแต่มันก็คลางแคลงใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาก็รู้ข้อมูลของคนที่เขาพาตัวไปให้นักสืบสอบสวน

“คุณลุงรอน้าภาอยู่ก่อนแล้วกันนะคะ อีกไม่นานก็คงกลับ” อรรณตัดบทสนทนา เพราะไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก แล้วรีบเก็บหลักฐานต่างๆ ไปทิ้งซะ

อภิชาตโดนปิดปากแบบนั้นก็นิ่งเสีย สักพักเห็นหญิงสาวถือพัดลมมาพัดให้ ก็ขอบใจแล้วอีกฝ่ายก็เลี่ยงเข้าห้อง เขาก็ไม่กล้ารบกวนอีก คาดว่าที่เขาเข้ามาได้ คงเพราะเธอประมาทลืมล็อกประตู ไม่งั้นก็คงไม่ได้เข้ามาแน่นอน

******************************

เมื่อภารดีกลับมาพร้อมทุกคน แจ่มจันทร์ที่แปลกใจเพราะเห็นชายแปลกหน้ามานั่งอยู่บนบ้าน แต่พอดีอภิรมย์จำได้ว่าเป็นใคร จึงอธิบายแทน

“นี่ลุงของคุณซินดี้ เอิ่ม สามีเก่าของน้าภาน่ะจ๊ะ อุ๊ย” อภิรมย์กระซิบคำหลัง

“อ๋อ มาหาภาล่ะสิ เดี๋ยวนะ เดี๋ยวคงมา ถึงว่าล่ะ น้องน้ำให้ขึ้นบ้านมานั่งรอ เอนหลังต่อเถอะ เดี๋ยวภาก็ขึ้นมา เห็นจะไปหยิบจานชาม พอดีวันนี้ทำกับข้าวไม่ทัน เลยต้องซื้อเข้าบ้าน น้องน้ำอยู่ในห้องเหรอ” แจ่มจันทร์นั่งลงพักเหนื่อยสักพักหลานสาวก็เอาน้ำมาให้ดื่ม

“ตกลงใครเหรอจ๊ะ แม่” ขันเงินก็ถามแม่ขึ้นบ้าน เพราะตามมาทีหลังเหมือนกัน

ภารดียกถาดกับข้าวขึ้นมาก็ต้องตกใจ เพราะเห็นอภิชาตเอนหลังอยู่ที่นั่น “นายอ้นมาได้ยังไง”

เธอวางถาดก่อนที่กับข้าวจะหล่น เห็นเขาลุกขึ้นนั่ง ก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“เฮ้อ ภา พี่ก็มาเยี่ยม มาเร็วไปหน่อย ก็เธอไม่รับสายพี่” อภิชาตถอนหายใจ พอโทรหาบ่อยหน่อย หล่อนก็เลยพาลไม่รับสายเขา

“แล้วนี่พักที่ไหนล่ะ คุณ” แจ่มจันทร์ไม่ถือสาเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เพราะภารดีเล่าให้ฟังอยู่บ้างว่าเจ้าตัวเป็นพ่อม่ายแล้ว หากภารดีก็มุ่งมั่นจะอยู่กับอรรณมากกว่า ทางนี้เลยไม่รู้จะพูดอะไรอีก

“พักที่โรงแรมในเมืองครับ” อภิชาตเห็นแจ่มจันทร์น่าจะแก่กว่าแม่เขาเสียอีก เขาก็ตอบอย่างสุภาพ

“แล้วนี่ได้ข่าวว่าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงแล้วยังต้องทำงานอีกไม่ใช่เหรอ มาลำบากแบบนี้จะดีเหรอ” ขันเงินก็ถามอย่างเป็นห่วง

“ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ ว่าจะซื้อบ้านพักต่างอากาศที่นี่ซักหลังอยู่เหมือนกันครับ คิดว่าคงมาที่นี่บ่อยขึ้น” อภิชาตก็พูดอย่างมีความหมาย

อภิรมย์ขึ้นมาได้ยินพอดีก็รีบอาสา “ให้หนูไปหาให้ไหมฮะ อยากได้แบบไหนยังไงบอกนะฮะ”

“ในหมู่บ้านนี้มีบ้างหรือเปล่าล่ะ ที่นี่อากาศดีนะ” อภิชาตลองถามดู

“มีฮะ” อภิรมย์รีบบอก เพราะเคยคุยกับชาวบ้านอยู่บ้าง

“ไกลหมอ ระวังส่งโรงพยาบาลไม่ทันนะ” ภารดีขัดคอขึ้นมาทันที

“แม่ภา จะพูดจะจาอะไรก็ให้มันดูอายุบ้างนะ พูดเรื่องไม่เป็นมงคลแบบนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็ร้องไห้ก่อนใคร แก่ๆ กันแล้วอะไรละวางได้ ก็ละวางบ้าง อย่าให้ความแค้นในอดีตมันฝังในจิตวิญญาณ ยามตายไปมันจะติดไปถึงชาติหน้าเน้อ” แจ่มจันทร์ออกปากปรามภารดี แม้จะเป็นลูกจ้าง แต่เธอก็เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง

“สุมาเตอะเจ้า” ภารดีได้แต่พูดขอโทษ แม้จะเข้าใจแต่ก็นึกโกรธอยู่ไม่รู้คลาย หากมาคิดอีกที การได้อยู่กับลูกก็ทำให้เธอทำใจได้มากขึ้นแล้วให้อภัยได้ดี

อภิชาตเห็นว่าภารดีโดนดุ ก็ช่วยพูด “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเริ่มชินแล้ว”

“จะไม่เป็นไรได้ยังไง เพราะแก่แล้วก็หาคนปรามยาก คิดว่าตัวเองอายุมาก อัตตาก็สูง ถ้าไม่ปรามวันนี้ วันหน้าจะลำบาก ถ้ายายไม่อยู่แล้วล่ะนะ” แจ่มจันทร์อธิบายความแล้วส่ายหน้าช้าๆ

“ยังไงอุ๊ยก็ยังต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนานเน้อ อย่าพูดแบบนี้” อภิรมย์รีบแก้ ใจผูกพันกับยายมาก เพราะได้ยายคอยเตือนสติอยู่เสมอ

“อุ๊ยก็คน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อยากจะอยู่ให้นานเท่าที่จะทำได้ อยู่มาเก้าสิบปีก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว” แจ่มจันทร์พูดอย่างปลงๆ ตอนนี้ก็สบายใจแล้ว เพราะทำพินัยกรรมแบ่งทรัพย์สินให้หลานๆ ไปหมดแล้ว

ขันเงินรู้ว่าป้าแบ่งทรัพย์สินให้หลานสาวคนโตมากที่สุด ส่วนตนได้เงินจำนวนหนึ่ง แล้วในพินัยกรรมระบุให้อรรณดูแลตนชั่วชีวิต เพราะได้ที่ดินเยอะกว่าน้องๆ ทั้งที่ดินที่น้องๆ อยู่ก็เป็นของอรรณ โดยทั้งสองคนจะได้ที่ดินที่เป็นไร่นาอยู่คนละหนึ่งในสี่ แม้จะอยู่ในความลำเอียง แต่ก็ไม่มีใครแย้ง และยินดีมากกว่า

อภิชาตค่อยยังชั่ว เพราะภารดีมีท่าทีอ่อนลง ท่าทางเชื่อฟังผู้ใหญ่อยู่มาก เขาก็มีหวังสานสัมพันธ์กับเธอได้ง่ายขึ้น

“จริงๆ บ้านนี้ก็มีห้องว่าง ลุงอ้นก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว อยู่ในบ้านที่มีคนจะดีกว่าไหม จะไปซื้อทำไมให้วุ่นวาย นี่ไง ห้องหนูว่างอยู่ มาค้างที่นี่ก็ได้” อภิรมย์เสนอขึ้น เพราะเกรงว่าคนป่วยจะเป็นอันตรายถ้าอยู่คนเดียว

“ไม่ดีหรอกหนู ยังไงลุงก็ผู้ชายนะ ชาวบ้านจะมองไม่ดี” อภิชาตเห็นสีหน้าตกใจของภารดีก็รีบปฏิเสธ

“ใจคนน่ะ มันสกปรกอยู่แล้ว ลุงไปมาหาสู่แบบนี้ มันก็ไม่ต่างกัน อีกอย่างถ้าลุงเกิดไม่สบายขึ้นมา ไม่มีใครรู้ ใครจะพาไปส่งโรงพยาบาล ชีวิตคนมันย่อมสำคัญกว่าคำคนนะลุง เอางี้แหละเนาะ อุ๊ยเนาะ แม่เนาะ” อภิรมย์บอกตามประสาซื่อ

“จริงอย่างคำไอ้ลมมัน ชีวิตคนต้องสำคัญกว่าคำคน คุณพักที่นี่แหละ เกิดไม่สบายจะได้พาไปหาหมอได้ ยังไงไอ้ลมก็อยู่บ้านตลอด อย่างมากก็ไปสวนไปนา ไม่ไปไหนไกลหรอก” ขันเงินก็เห็นด้วย

เรื่องจะผิดผีคงไม่มี ท่าทางของอภิชาตก็ดูไม่ค่อยมีแรง ได้ข่าวว่าไม่สบายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว คงทำคีโมบ่อย ถึงได้โกนผมโล้นแบบนี้

อภิชาตได้แต่รับน้ำใจ เดี๋ยวอภิรมย์จะไปส่งที่โรงแรม เก็บข้าวของมาที่บ้านนี้ น้ำใจของคนท้องถิ่นยังมี ได้อยู่ใกล้ภารดีอีกนิด คิดว่าเจ้าตัวคงใจอ่อนลงได้ไม่ยากนัก

ตกเย็นอดุลย์ก็หยิบกระเป๋ายามาที่บ้าน เห็นคนในบ้านปิดบ้านเงียบก็ขึ้นบันไดมาเคาะ เห็นอภิรมย์ก็ยิ้มทักทาย

“เอ้อ พี่มาหาน้ำน่ะ ว่าจะมาตรวจหน่อย” อดุลย์บอกอภิรมย์

“อ๋อ พี่น้ำอยู่ในห้องเจ้า เดี๋ยวลมไปเรียกให้เน้อ” อภิรมย์เชิญหมอขึ้นบ้าน

อดุลย์เห็นผู้ชายแปลกหน้าก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะมีผู้ใหญ่อยู่ในบ้านหลายคน

“อ้ายหมอ เดี๋ยวจะกินข้าวด้วยกันไหม” อภิรมย์ถามจะได้จัดสำรับถูก

“ถ้าได้ก็ดีครับ ขอบใจมากนะ ลม” อดุลย์ตอบคำขณะรอ ก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน

อภิรมย์ไปเคาะเรียกพี่สาว บอกว่าอดุลย์มาหา สักพักอรรณก็ออกมาจากห้อง ปล่อยไอเย็นออกมา เพราะเปิดแอร์อยู่

“พี่หมอเชิญในห้องของน้ำค่ะ” อรรณบอกแล้วก็เชิญในห้อง เพราะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องตรวจโรค เธอก็บอกขอไม่ให้อภิชาตเอาเรื่องไปพูดมากความ ก่อนที่สมาชิกในครอบครัวจะกลับมารอบนึงแล้ว

อดุลย์เข้าไปก็ตรวจตามปรกติ ก่อนจะพูดขอโทษ “พี่ขอโทษแทนโบว์ด้วย ตอนนี้พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ พี่หมอคะ คือว่าน้ำซื้อที่ตรวจมาตรวจแล้วนะคะ น้ำท้องน่ะคะ ทีนี้ถ้าน้ำอยากให้แน่ใจว่าท้องกี่เดือนนี่ น้ำต้องทำยังไงคะ” อรรณไม่อยากพูดถึงโบว์เท่าไรนัก เพราะรังแต่จะทำให้ทั้งฝ่ายลำบากใจมากกว่า

“ก็ต้องตรวจอัลตร้าซาวด์ดูล่ะนะ ที่นี่ก็คงไม่ได้หรอก ต้องไปเชียงใหม่” อดุลย์ละเรื่องที่อยากจะพูด เปลี่ยนเป็นพูดเรื่องที่ควรพูดแทน

“ถ้าพี่สงสัย คือน้ำท้องตั้งแต่ก่อนโดนจับไปน่ะค่ะ เพียงแต่ตอนนั้นน้ำไม่รู้ว่าท้อง รู้อีกทีอยู่ในป่าประจำเดือนไม่มาน่ะค่ะ นี่ก็ไม่รู้ว่ายาที่กินเข้าไปจะทำให้ลูกเป็นยังไงบ้าง” อรรณเล่าความตามจริง

“แล้วนี่ผู้กองหินรู้หรือยัง” อดุลย์ถามด้วยความเป็นห่วง

“พี่หินติดราชการค่ะ ติดต่อไม่ได้ คิดว่าเสร็จราชการค่อยว่ากันต่อไป” อรรณได้แต่ตอบกลางๆ ไม่รู้เขาจะเชื่อเรื่องนี้ไหม แต่อายุครรภ์น่าจะเป็นหลักฐานได้ดี เพราะบอกไปใครจะเชื่อเรื่องเธอไม่ได้มีอะไรกับดิเอโก้

“งั้นน้ำไปที่โรงพยาบาลนี้นะ เพื่อนพี่เป็นเจ้าของเอง พี่จะขอร้องเพื่อนพี่ไม่ให้เอาข่าวออกไปบอกใคร แล้วจะได้บอกมันว่าต้องระวังพยาบาลด้วย” อดุลย์พูดถึงตอนนี้ก็มาคิดถึงเมียตัวเองที่ก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า

“พี่ก็อย่าไปโกรธคุณโบว์นักเลย เธอก็แค่อิจฉามากไปหน่อยเท่านั้น” อรรณก็พูดตามตรง ปลอบไปตามเรื่อง เพราะตัวเธอเองก็มีปัญหาเยอะพอควร

“ปัญหานั้นช่างมันเถอะ ปัญหาของน้ำท่าทางจะเยอะกว่านะ เอาล่ะ ออกไปทานมื้อเย็นกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเอายาบำรุงครรภ์มาให้ แต่อยากให้ไปตรวจให้แน่ใจว่าอายุครรภ์เท่าไรแล้วน่ะ ต้องบำรุงหน่อยนะ ตัวผอมเกินไปก็ไม่ดี เขากำลังพัฒนาร่างกายในตัวเราน่ะ” อดุลย์ยิ้มปลอบอย่างพี่ชายปลอบน้อง

อรรณได้แต่ตกลงตามเขา แล้วก็ออกมาทานอาหารกับทุกคน จึงได้รู้ว่าอภิชาตจะค้างที่นี่ เพราะมีแต่คนเป็นห่วงสุขภาพเขา เธอก็ไม่ขัดข้อง เพราะเข้าใจคนมีปัญหาสุขภาพ ควรมีคนอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา

******************************

‘ไฮโซเตียงหักเพราะเสน่ห์นางแบบสาวจอมมั่ว ทันทีที่หย่าร้างกับภรรยาที่อยู่กินกันมี่สิบห้าปี ก็รีบขึ้นเหนือไปใช้ชีวิตร่วมกับนางแบบสาว ทั้งที่นางแบบสาวเจ้าปัญหาเพิ่งหลุดมาจากป่าหรรษา เสน่ห์คาวดูจะร้อนแรงเสียนี่กระไร’

ขันเงินกำลังดูโทรทัศน์เห็นข่าวซุบซิบพอดีก็ต้องตกใจ เมื่อออกมาจากห้องก็ต้องไปเคาะห้องหลานสาว ที่วันนี้คงไม่ไปไร่นาแต่เช้าเหมือนทุกวัน เพราะเป็นไข้แดดตั้งแต่เมื่อวาน

“น้ำเอ๊ย แม่เองเน้อ” ขันเงินรีบบอก เพราะหลานสาวไม่ตอบคำ เมื่อรอนานแล้วแต่ก็ยังไม่ตอบอะไรอีก “แม่เข้าไปเน้อ”

พอขันเงินเข้าไปแล้วก็เห็นหลานสาวนอนซมเพราะพิษไข้ จับดูตัวร้อน ก็รีบโทรเรียกหลานสาวอีกคนมา “ไอ้ลมรีบกลับมาบ้านเร็วๆ พี่น้ำไม่สบายมากเน้อ”

อภิรมย์ฟังแล้วก็สั่งงานคนงานแล้วรีบกลับบ้านมาถึงก็ล้างมือล้างเท้า รีบมาช่วยพยุงอรรณไปส่งโรงพยาบาล

******************************

เมื่อถึงโรงพยาบาล อดุลย์ตรวจแล้วก็บอกอาการไม่ให้ญาติคนไข้เป็นห่วง “ไม่มีอะไรมากหรอก ก็เป็นไข้แดดอย่างที่ว่านั่นแหละ วันนี้ยังไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหมล่ะ คงเหนื่อยเพลียด้วยล่ะ ให้น้ำเกลือแล้วก็ดีขึ้น”

“ขอบคุณอ้ายหมอมากๆ เลยเน้อ” อภิรมย์ค่อยโล่งใจที่พี่สาวไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่กังวล

“ลมต้องดูแลพี่สาวดีๆ อย่าให้เครียดมากรู้ไหม คนที่เครียดมากก็มักจะป่วยง่ายๆ” อดุลย์ตบไหล่อภิรมย์เป็นเชิงปลอบ

“ฮะ ลมมีพี่สาวคนเดียว ลมก็เป็นห่วงมาก จะคอยดูแลดีๆ นะฮะ” อภิรมย์รับปากอย่างโล่งใจ ก่อนถาม “คืนนี้พี่น้ำต้องนอนโรงพยาบาลไหม”

“ไม่ต้องหรอก เติมน้ำเกลือก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ เดี๋ยวพี่จะสั่งยาให้นะ” อดุลย์ตรวจเสร็จก็ขอตัว แต่ก็กำชับพยาบาลไว้ ไม่ให้ภรรยาเขามาหาเรื่องอรรณอีก คนไข้เครียดพอแล้วแทนที่พยาบาลจะช่วยดูแลกลับจะหาเรื่องมาอีก

พอตกเย็นอรรณก็แข็งแรงพอจะกลับบ้าน แล้วก็ออกไปจ่ายเงินเตรียมตัวกลับ เมื่อออกมาหน้าโรงพยาบาลกลับมีเรื่องวุ่นวาย เมื่อนักข่าวมากมายเข้ามาถ่ายภาพแล้วยิงคำถามใส่เธอ

“คุณเป็นต้นเหตุให้คุณเพลินพิศหย่ากับคุณอภิชาตใช่ไหมครับ” นักข่าวคนหนึ่งยิงคำถามใส่เธอ

“หลบไปโว๊ย!!! เห็นไหมคนป่วยอยู่เนี่ย อย่าเข้ามาคุกคามนะ โว๊ย!!!” อภิรมย์ก็เหวี่ยงใส่นักข่าวทันที

ทีนี้ความวุ่นวายก็เข้ามา จนกระทั่งยามของโรงพยาบาลต้องเข้ามาช่วย แล้วตำรวจก็เข้ามาเคลียร์ อภิรมย์จึงพาพี่สาวกลับบ้านได้ พอถึงบ้านแล้วเห็นนักข่าวมาตามรออยู่หน้าปากทางเข้า ก็ต้องบีบแตรไล่ เพราะถ้าเข้ามา จะโดนข้อหาบุกรุกกันอีก เมื่อเข้าไปได้ อภิรมย์ก็พยุงพี่สาวเข้าห้อง เพราะพี่สาวเหนื่อยอ่อนมาก

“มีนักข่าวมายืนอยู่เต็มที่ปากทางเข้าไปหมดเลย” อภิรมย์เล่าความตอนที่ออกมาจากห้องพี่สาว

“เฮ้อ แล้วจะทำยังไงดี” ขันเงินถามหาตัวช่วยแบบไม่รู้จะทำยังไง

“ลุงผิดเอ งไม่น่าเลยจริงๆ” อภิชาตก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่อง ทั้งที่สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกันสักนิด

“ไม่หรอกลุง มันไม่เกี่ยวกันสักนิด พวกที่อยากพูดก็พูดกันไป คนมันจ้องจะทำร้ายคนมันก็ต้องหาเรื่องทำร้ายคนเข้าจนได้นั่นแหละ” อภิรมย์พูดตามตรง

สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบ้านมา ภารดีมีสีหน้าโกรธจัดมาก ก่อนจะเท้าเอวแล้วหันไปพูดกับอภิชาตอย่างจริงจัง “กลับไปบ้านคุณเลยนะ แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ทำไมถึงได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชีวิตฉันตลอดเลยนะ ไปเลย! ไป!”

อภิชาตได้ฟังก็เครียดขึ้นมาทันที เดิมก็รู้สึกผิดเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อคนที่เขารักมาพูดแบบนี้อีก ทำให้เขาเครียดกว่าเดิม

“พอเถอะ นังภา คุณอ้นเขาก็ไม่ได้นำความเดือดร้อนมาให้ คนที่อยู่เบื้องหลังข่าวงี่เง่านี่ต่างหากที่นำความเดือดร้อนมาให้ ใช้สติคิดให้ดีๆ ก่อนจะพูดได้ไหม” ขันเงินตักเตือนรุ่นน้องแล้วส่ายหน้าช้าๆ “อย่าไปถือสามันเลยนะเจ้า ไอ้ภามันอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้แหละ”

“ไม่หรอกครับ ผมเห็นด้วยนะครับ ถ้าผมไม่มาพักที่นี่ มันก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น คนเขาก็ปะติดปะต่อเรื่องไปเรื่อย ถ้าเราไม่ทำให้เกิด มันก็คงไม่มีเรื่องให้เขานำไปใส่สีใส่ไข่ ผมจะลองดูว่ามีเที่ยวบินกลับไหม ถ้ามีผมก็จะกลับเลย” อภิชาตพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว รู้ว่าตนก็มีส่วนผิด

ภารดีมีอคติอยู่เป็นทุนก็สะบัดหนีแล้วลงเรือนไป ใจมีความคิดลำเอียงอยู่มาก เพราะกังวลเรื่องสุขภาพของลูกสาว

ขณะที่อรรณนอนครุ่นคิดอยู่นาน ไม่รู้ว่าเมื่อไรศิขาจะกลับ ก็ตัดสินใจพักจากเรื่องร้ายกาจที่นี่ ไปหาความสงบจากที่อื่นแทน จึงออกมาจากห้อง แล้วเห็นทุกคนนั่งอยู่ จึงไปนั่งรวมด้วย

“น้ำตัดสินใจจะไปช่วยงานเพื่อนที่ไมอามี่ค่ะ” อรรณบอกออกมาก็ทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนฟ้าผ่า

“นานไหม” แจ่มจันทร์ถามหลานสาว และก็เห็นด้วยเพราะสงสารที่โดนเล่นงานหนักมาก

“ทำไมน้องน้ำต้องไปไกล อย่าไปเลยนะ พวกนี้เดี๋ยวมันเบื่อก็เลิกเล่นไปเอง” ภารดีกลับไม่อยากให้ลูกสาวไปไกล

“หกเดือนค่ะ” อรรณกลับไม่สนใจคำทัดทาน

อภิรมย์ก็ซึมๆ ไป เพราะพี่สาวจะไปไกลอีกแล้วทั้งที่เพิ่งกลับมา

“โธ่ น้องน้ำจะไปไกลทำไม” ภารดีได้แต่โอดครวญ

“ไปทำงาน จะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่าน ไม่อยากให้ใครมาถาม ไม่อยากจะตอบคำถามใครอีก เรื่องบางอย่างไม่มีใครรู้หรอก ถ้าไม่ได้เจอเหตุการณ์ด้วยตนเอง แค่นี้นะคะ กินข้าวกันเถอะค่ะ” อรรณตัดบทสั้นๆ ไม่สนใจภารดีว่าจะอยากพูดอะไรอีก

“หกเดือนก็กลับเลยเหรอ” ขันเงินก็ถามหลานสาว รู้ว่าถ้าหลานสาวเด็ดขาดก็ห้ามยาก

“อาจจะอยู่ต่ออีกพัก แต่ไม่เกินปีก็กลับค่ะ อ้วนคงอยู่ดูแลอุ๊ยกับแม่ได้ น้ำว่าจะไปรักษาแผลที่หน้าด้วย แล้วก็จะคลอดลูกที่นั่นเลย” อรรณพูดตบท้าย ตอนแรกทุกคนก็แค่ฟังพอทวนคำก็เงยหน้าขึ้นมา

“คลอดลูก!!!” ภารดีที่เป็นคนพูดคนแรก

“ค่ะ น้ำท้อง เมื่อวานไปตรวจมาก็สองเดือนกว่าแล้ว คงไม่ต้องบอกนะคะว่าท้องกับใคร อย่ามาถามให้วุ่นวายอีกนะคะ” อรรณตัดบทอีกรอบ คนอื่นก็ไม่กล้าถามอีก

“แล้วพี่น้ำจะไม่แก้ข่าวหน่อยเหรอ” อภิรมย์ก็ห่วงชื่อเสียงพี่สาวด้วย

“แก้ทำไม พวกมันไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่ญาติพี่น้อง อยากมาเสือกเรื่องชาวบ้าน ทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ต้องไปแก้ข่าวให้มันขายข่าวอีกทำไม จบแค่นี้นะ ไม่ต้องวุ่นวายอีก” อรรณตัดจบเฉียบขาด แล้วมองน้องสาวลุกไปเอาขันโตกมาตั้ง

อภิชาตมองท่าทางของอรรณให้รู้สึกคล้ายแม่เขาอยู่มาก เวลาที่ไม่อยากให้ใครขัดใจ แม่เขาจะทำเสียงดุและเย็นชามาก ไม่ใช่หน้าตาเท่านั้นที่คล้าย แม้แต่กิริยาก็คล้ายด้วย

******************************

เมื่อถึงเวลาลาจากอรรณก็เดินทางไปต่างประเทศได้อย่างเรียบร้อย เพราะทางนั้นจัดการวีซ่าให้เข้าทำงานได้ เธอก็จัดแจงทุกอย่างให้พร้อมรวมทั้งใบรับรองแพทย์

ภารดีตามมาส่งด้วยที่กรุงเทพ อรรณพามาพักที่คอนโด ส่วนอภิชาตแยกกลับบ้าน อภิรมย์ต้องดูแลสวนกับยายและป้า อรรณจึงไม่ให้มาด้วย เพราะไปไม่นานไม่ต้องตามมาส่งกัน ส่วนภารดีขอมาด้วย เธอก็ไม่ขัด ด้วยความที่เหนื่อยมามากแล้ว และทุกคนก็เห็นด้วยที่ให้ภารดีมาคอยดูแลเธอในยามนี้

“น้องน้ำดื่มน้ำสักหน่อยจะได้สบายใจ” ภารดียกน้ำเย็นๆ มาให้ ตู้เย็นเพิ่งจะเสียบปลั๊กไม่นาน จึงต้องลงไปซื้อน้ำแข็งมาใส่น้ำให้ดื่มกัน

“ขอบคุณเจ้า” อรรณกล่าวขอบคุณ แล้วมองสายตาแปลกๆ ของภารดีอย่างงุนงง “มีอะไรเหรอเจ้า”

“เปล่าๆ น้าแค่คิดว่าถ้าลูกสาวน้ายังมีชีวิตอยู่ก็คงเท่าน้องน้ำ” ภารดีได้แต่เก็บความจริงเอาไว้

อรรณถอนหายใจยาว รู้อยู่เหมือนกัน เพราะขันเงินบอกว่า ภารดีคงเอ็นดูเธอ เพราะเธออายุประมาณลูกของภารดี เธอจึงไม่ค่อยขัด แต่ยามใดที่ใครเข้ามายุ่งเรื่องของเธอมากเกินไป เธอก็คงต้องขีดเส้นแบ่งอยู่บ้าง

ภารดีเห็นอรรณตามใจตนบ้างก็ค่อยโล่งใจ เพราะยังไงก็อยากอยู่กับลูกให้นานที่สุด

******************************

ขณะที่อภิชาตเมื่อเข้าบ้านก็ร้อนใจทันที เมื่อแม่เขาถือหนังสือพิมพ์มาหาเขา แล้วมีภาพอรรณซึ่งหน้าตาเหมือนแม่เขาสมัยสาวๆ มายื่นให้เขา

“แกมีอะไรจะพูดไหม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไหนว่าแกจะไปหานังภา แล้วนี่ทำไมถึงมีชื่อไปอยู่รวมกับนังเด็กคนนี้อีก หน้าตามันก็เสียโฉมแล้ว ดีฉันจะได้ไม่ต้องเสียหายไปมากกว่านี้ นี่เขาว่าแกตัณหากลับเลยนะ” ญาดาซักไซ้ลูกชาย พยายามจะเอาคำตอบ

“ใจเย็นๆ สิคะ คุณแม่ พี่อ้นเพิ่งกลับมา คุณแม่ก็อย่าเพิ่งไปบีบคั้นเอาคำตอบเลย” อิ่มรีบห้ามแม่ ตัวเธอมาเพราะพี่ชายโทรไปเรียกมาอยู่เป็นเพื่อนแม่

“ใจเย็นยังไงไหว ตระกูลเรามีเรื่องฉาวก็เพราะพี่แกพยายามจะกลับไปหานังภา แล้วทีก็มีเรื่องคราวลูกอีก แม่ซินดี้ก็ตัวดี ไปหาผู้หญิงคนนี้มาให้ลุงมัน” ญาดาใส่อารมณ์เต็มที่

“ผมกับเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรกัน แล้วผมก็ไปหาภาจริงๆ แต่เพราะที่บ้านนั้นเขาเป็นห่วงสุขภาพผม กลัวว่าถ้าผมอยู่ลำพังคนเดียว แล้วเกิดไม่สบายขึ้นมา จะไม่มีคนดูแล เขาก็เลยให้ผมไปพักด้วย ไม่เคยขอค่าตอบแทน ไม่เคยต้องการอะไร นอกจากให้ผมสบายใจ พวกเขาน่ะ ทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ได้หาเงินหาทองอย่างที่คนในเมืองทำกันหรอกนะครับ” อภิชาตอธิบายความตามความรู้สึก

เขาก็ได้มีโอกาสออกไปเดินดูไร่แห้วที่กว้างขวาง นาและสวนผสมที่ทำเพื่อเลี้ยงชีวิต มีอะไรก็ทำทาน ส่วนมากมักเป็นของต้มมากกว่า ของทอดจะเป็นนานๆ ครั้ง เพราะสมาชิกครอบครัวมีคนแก่มาก ทำให้ไม่นิยมทำอาหารรสชาติจัดจ้าน ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ คนหนุ่มสาวก็จะปรุงแต่งออกไปต่างหาก ตามรสปากของแต่ละคน

“แค่ไปอยู่กับนั้นสองอาทิตย์แกก็จะเป็นพวกมันไปแล้วเหรอ ทิ้งงานทิ้งการไป จะไปเป็นเกษตรกรเลยหรือไง” ญาดายังคงต่อว่าลูกชายรุนแรง

“เฮ้อ ผมไม่เคยทิ้งงานไป เพราะผมยังทำงานอยู่” อภิชาตส่ายหน้าช้าๆ เขายังสั่งงานลูกน้องเสมอ

เขามองแม่ที่ท่าทางยังไม่ยอมรับเท่าไรนัก จึงเดินขึ้นไปชั้นบน นึกไปนึกมา ก็เก็บของเตรียมออกจากบ้าน เมื่อลงมาข้างล่างเขาก็เอากระเป๋าเสื้อผ้าใบใหม่ลงมาด้วย

“นี่แกจะไปไหน” ญาดาถามลูกชายที่ตอนนี้ลุกขึ้นมาต่อต้านเธอทุกเรื่อง

“ผมจะไปพักที่อื่นสักพัก จนกว่าคุณแม่จะใจเย็นและฟังเหตุผลมากกว่านี้” อภิชาตรู้สึกอยากเดินออกไปจากปัญหาทางใจของแม่เขามากกว่า ที่ไม่เคยยอมเข้าใจอะไรกับเรื่องของเขาเลย

“หยุดนะ แกจะมาทิ้งฉันไม่ได้นะ แกจะทิ้งฉันไปหานังพวกนั้นไม่ได้” ญาดารีบดึงรั้งลูกชายเอาไว้

“คุณแม่ใจเย็นๆ ค่ะ หมอบอกว่าไม่ให้เครียดนะคะ” อิ่มพยายามจะปลอบแม่ ก่อนจะขอร้องพี่ชาย “ขอล่ะพี่อ้น อย่าทำให้คุณแม่เครียดไปกว่านี้เลยนะคะ”

“อิ่ม พี่ทนให้คุณแม่กำหนดชีวิตมากเกินไปแล้ว หรือตอนที่เธอแต่งงานออกไป เธอไม่คิดสักนิดว่ามีความสุขที่ได้ออกไปจากการควบคุมของคุณแม่น่ะ” อภิชาตถามน้องสาวทำให้น้องสาวนิ่งอึ้งอย่างสำนึกผิด

“นี่พวกแกต่างก็ไม่อยากอยู่กับฉันงั้นเหรอ” ญาดาทวนคำอย่างผิดหวัง

“คุณแม่ก็ลองทบทวนดูสิครับว่าทำไม คนเราทุกคนก็มีความอดทนที่มีขีดจำกัดทั้งนั้น หรือต้องให้ผมตายก่อน คุณแม่ถึงจะคิดได้ว่า ควรให้ผมได้ทำในสิ่งที่ผมต้องการ ได้อยู่อย่างสงบกับคนที่ผมรัก ได้คิดถึงวันเวลาที่มีความสุขมากกว่าอยู่อย่างอมโรคอมทุกข์ไปจนวันตาย” อภิชาตกระแทกเสียงอย่างหมดความอดทน ก่อนหิ้วกระเป๋าออกไปจากบ้าน

ญาดาทรุดลงนั่งกับพื้น เริ่มร้องไห้เสียใจ โดยมีลูกสาวคอยปลอบ

******************************
สวัสดีค่ะ
หนีไปวัดมาเสียหลายวัน ต่อไปนี้ขอมาโพสต์วัน "พฤหัส" แทนนะคะ
น้องน้ำก็หนีไปต่างประเทศแล้วต่อไปจะเป็นยังไงนะ
อยากรู้อย่าลืมติดตามชมกันนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายค่ะ

ป.ล. ฝาก e-books 2 เรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจแฟนคลับทุกท่านด้วยนะคะ
1. แผนร้ายในทางรัก (139บาท / 5.99$)
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=4263
http://www.ebooks.in.th/ebook/13179/แผนร้ายในทางรัก

2. เราสามคน..หนทางเดียว (159บาท / 6.99$)
http://www.ebooks.in.th/ebook/13203/เราสามคน..หนทางเดียว



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2556, 13:26:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2556, 13:26:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1604





<< 33 ทางแยก   35 คดีพลิก >>
ตุ๊งแช่ 23 พ.ค. 2556, 13:48:49 น.
อ๋อเปลี่ยนวันลงนี่เอง

นายหินอยู่ไหนนี่ รีบมาง้อน้องน้ำเลยยยย


konhin 23 พ.ค. 2556, 20:26:32 น.
น้าภาก็น่าจะออกมาแก้ให้นะเนี่ยยยย เฮ้อ


anOO 24 พ.ค. 2556, 14:19:58 น.
ถ้าพี่หินรู้เรื่องน้ำท้อง จะมีปัญหาเรื่องอะไรตามมาอีกไหมนะ


เพลิงวารี 24 พ.ค. 2556, 17:27:56 น.
พี่ตุ้งแช่ - นายหินทำงานอยู่ค่า
คุณ konhin - สุดท้ายเดี๋ยวพ่อเขาก็แก้ให้ค่ะ
คุณ anOO - ไม่น่าจะมีนะคะ พี่หินน่ะ รักหน้ามืดตามัวจะตายไปค่ะ


ป้าภา 26 พ.ค. 2556, 13:29:28 น.
ปัญหาเยอะเหลือจะกล่าวจริง น้องน้ำของป้าจะมีความสุขบ้างไหมเนี่ย


ใบบัวน่ารัก 27 พ.ค. 2556, 07:37:15 น.
เรามีความพยายามในการที่อยากคอมเม้นนะ
เบื่อนะ คนเราพี่หมอก็เลิกกะมันไปเถอะ จะเอามา
ประดับเคียงคู่กัน หรือจะเลิกก็แล้วแต่พี่หมอ
แก่ๆแล้วไม่รู้จักปรงนะ
รักษาตัวดีๆนะน้องน้ำ ขอให้ลูกแข็งแรง แม่จิตใจเข้มมีกำลังใจ
รอคนไปง้อนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account