ไร่แห้วไม่จำกัดรัก
น้ำ ลมและดอยต่างก็เป็นเด็กำพร้าที่อาศัยอยู่ในไร่แห้ว พวกเขากำลังจะได้พบกับความรักที่หลากหลาย และอาจได้ค้นพบหัวใจของตัวเอง
Tags: รัก แห้ว

ตอน: 33 ทางแยก

ไร่แห้ว...ไม่จำกัดรัก ตอนที่ 33 ทางแยก

สองสามวันหมอก็ปล่อยตัวกลับบ้าน เธออยากจะนอนบนเตียงของตัวเองใจจะขาดอยู่แล้ว เมื่อมาถึงบ้าน เธอก็ขึ้นบ้านทันที เห็นภารดีที่รออยู่ที่บ้านก็ยกมือไหว้ ก่อนบอกคนอื่นๆ

“น้ำขอไปนอนในห้องก่อนนะคะ ไม่มีอะไร ไม่ต้องให้คนไปเรียก น้ำอยากนอนหลับพักผ่อนเยอะๆ ค่ะ” อรรณบอกแล้วก็เดินเข้าห้องนอนอย่างกับไม่เคยนอนมาก่อน รู้สึกดีที่ได้อยู่ในห้องตัวเองโดยไม่มีคนอื่นเข้ามาวุ่นวาย

ภารดีคิดจะเข้าไปดูเล็กน้อย ก็ต้องพบว่าอรรณล็อกห้องก็ได้แต่ถอยกลับไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ

“มันก็มีบ้าง บางอารมณ์ที่น้องน้ำเขาอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว แกก็อย่าไปเซ้าซี้มาก เออข้าวน่ะ เอาทิ้งไว้หน้าห้อง หิวเดี๋ยวก็เอาข้าวเข้าไปกินเองนั่นแหละ พี่น่ะเลี้ยงเขามา พี่รู้ว่าถ้าเขาบอกแบบนี้ แปลว่าเขาอยากจะอยู่คนเดียว ไม่ใช่เพราะแกหรือใครหรอกนะ อย่าไปคิดมาก” ขันเงินพอเข้าใจเพื่อนรุ่นน้องพอควร

ภารดีค่อยๆ เข้าใจนิสัยลูกสาวทีละนิด เธอจะต้องใจเย็นกว่านี้ และพยายามไม่เผยพิรุธ เพราะตอนนี้ลูกสาวเธอปลอดภัยจากทุกอย่างแล้ว

ยามดึกของวัน อรรณค่อยลืมตาตื่นในความมืด ก่อนรีบเปิดไฟดูในห้อง ก่อนหยิกตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน จากนั้นก็นอนลงร้องไห้อย่างดีใจและสบายใจ เมื่อที่นี่คือบ้านที่เธอต้องการกลับมาตลอด

ที่ที่เธอโหยหายิ่งกว่าอะไร...

เรื่องศิขา...เธอไม่ค่อยห่วงเท่าไร เพราะเขาไปราชการด่วนทันที แต่แค่ได้ยินว่าเขาขอพักราชการแล้วมาตามหาเธอ แค่นั้นก็ช่วยให้เธอรู้สึกดีได้

ความรัก...บางครั้งไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างๆ กันทุกวัน เมื่อคิดถึงกัน ก็ยังรู้สึกว่ามีใครคนนั้นอยู่เคียงข้าง นั่นก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเธอ

สถานการณ์รอบตัวเธอตอนนี้ไม่ร้ายแรงเท่ารอบตัวเขา เท่าที่ลุงเธอเล่าให้ฟังคร่าวๆ เธอก็เชื่อได้ว่าเขาจำเป็นต้องไปราชการจริงๆ เพื่อช่วยให้สังคมดีขึ้นตามหน้าที่ที่ตำรวจควรยึดถือ

แม้จะคิดได้อย่างนั้น เธอก็ยังอยากเห็นหน้าเขาอยู่ดี และอีกคนที่เธออยากจะพบ...เขาคงไม่อยู่ในประเทศนี้แล้ว

ส่วนลูคัสมาเยี่ยมเธอทุกวัน จนกระทั่งได้ข่าวซานโตสกลับโคลัมเบีย เขาก็ต้องรีบบินไปทำงานทันที เธอก็เหงาขึ้นมาทันที อยากให้สามีมาอยู่ด้วยในยามนี้ที่สุด

อรรณปิดไฟในห้องแล้วเอาผ้าคลุมกระจก เธอแน่ใจว่าไม่อยากเห็นหน้าตัวเองในยามนี้แน่นอน ถึงปากจะบอกว่าจะไม่ทำอะไร แต่เอาเข้าจริงๆ ยังไงเธอก็ต้องทำแน่ เพราะเธอก็รักสวยรักงามเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เธอก็หวังว่าจะทำให้ชีวิตกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้

เมื่อถอนหายใจอีกหลายรอบแล้ว เธอก็ตัดใจเพราะความหิว จึงเดินไปหน้าประตู เปิดออกแล้วเห็นถาดอาหารวางอยู่ มีถาดน้ำรองไม่ให้มดขึ้น แม้อาหารจะเย็นชืด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยน้ำใจของคนที่เอามามอบให้ สักพักก็มีเสียงเปิดประตู เห็นเจ้าตัวยุ่งมองออกมา

“พี่น้ำ เดี๋ยวเค้าเอาไปอุ่นให้นะ” อภิรมย์เป็นห่วงพี่สาวจนไม่เป็นอันนอน ได้แต่นั่งรอฟังเสียงเปิดประตูออกมาของพี่สาวอย่างตั้งใจ

อรรณพยักหน้าช้าๆ รู้ว่าน้องสาวเป็นห่วง ก็ให้น้องทำให้ เจ้าตัวมีความสุขกับการทำอะไรต่อมิอะไรให้พี่ทั้งสองเสมอ เธอก็ไม่อยากให้น้องเป็นห่วงนัก จึงเปิดไฟแล้วกางโต๊ะวางไว้ในห้อง ใจนึกอยากร้องไห้อีกรอบ เพราะในป่าแห่งนั้น น้ำใจของน้องๆ กับยายและป้าเป็นสิ่งที่เธอคิดถึงมากที่สุด สักพักเจ้าอ้วนก็เอาถาดมาเคาะประตู เธอจึงเปิดให้น้องเข้ามาในห้อง

อภิรมย์ที่เคยพูดเก่งก็นั่งเงียบ ดื่มน้ำที่ยกมาด้วย ท่าทางขยุกขยิกเหมือนอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด

“มีอะไรเหรอ อ้วน” อรรณถามน้องสาวขึ้น

“คืนนี้พี่น้ำให้เค้านอนด้วยได้ป่ะ” อภิรมย์ถามพี่สาวตามตรง

“ทำไมล่ะ” อรรณถามน้องสาวเช่นกัน เพราะไม่มีใจจะสังเกตท่าทางน้องสาว

หลายวันมานี้ไม่มีใครพูดอะไรกับเธอ เธอก็ไม่มีใจจะพูดคุยกับใครมากเหมือนกัน ไม่ออกจากห้องคนป่วยแม้แต่วันเดียว ตั้งแต่ตำรวจมาพูดเรื่องข่าวลือ เธอก็เลิกพูดเกี่ยวกับป่า ถามแต่เรื่องการงานในสวนในไร่มากกว่า

“เค้าเหงานี่ ตอนนี้เค้าไม่มีแฟนแล้ว อยากอยู่กับพี่น้ำมากกว่า เค้าไม่กล้าไปอยู่กับอ้ายดอยแล้วก็พี่พิงค์หรอก เค้ากำลังจะมีลูกกัน คงอยากดูแลกันและกันมากกว่า เหลือเค้ากับพี่นั่นแหละ” อภิรมย์บอกตามตรง

อรรณพยักหน้าช้าๆ ก่อนกำชับน้องสาว “งั้นพี่ขอเรื่องหนึ่ง อย่าพูดเรื่องพี่ อย่าถามอะไรพี่ ถ้าพี่ไม่อยากพูด แค่นั้นทำได้ไหม” อรรณไม่อยากแตะต้องบาดแผลทั้งกายและใจ เมื่อกลับมา เธอจึงอยากอยู่ลำพังคนเดียว

“ได้เจ้า” อภิรมย์ค่อยยิ้มออก แล้วก็น้ำตาร่วงอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรมาก

“อ้าว ร้องไห้ทำไม” อรรณถามน้องสาวแล้วก็น้ำตาคลอเหมือนกัน

“ดีใจที่ได้เจอพี่น้ำอีก” อภิรมย์ปาดน้ำตาแล้วพยายามไม่สะอื้น

“อืม ไป นอนไป เดี๋ยวพี่อิ่มแล้วจะยกไปในครัวเอง” อรรณไล่น้องสาวไปนอน ไม่อยากให้บรรยากาศเศร้าไปกว่าเดิม

“จ๊ะ” อภิรมย์ขึ้นไปบนเตียงแล้วคว้าเอาหมอนข้างที่วางอยู่ใกล้ๆ มากอด

อรรณได้แต่ทานเงียบๆ เข้าใจความรู้สึกของน้องสาว แต่เธอกลับไม่อยากให้ความสนิทเหมือนเคย คล้ายกับต้องปรับความรู้สึกใหม่

ป่าแห่งนั้น...เปลี่ยนเธอให้เป็นอะไรสักอย่างแน่นอน

*****************************


เช้าเมื่ออภิรมย์ตื่นนอนก็มองห้องพี่สาว ไม่เห็นพี่สาวก็วิ่งหน้าตาตื่นเปิดประตูห้องออกมา ไม่เห็นพี่สาวอีกก็วิ่งลงไปข้างล่าง เห็นป้ากับยายก็รีบเข้าไปหาทันที

“พี่เขาไปในสวนแต่เช้า ออกมาเจอแม่กำลังนึ่งข้าวอยู่ บอกแม่ไว้แล้วก็ไปเลย แม่ถามว่าทำไมไม่ปลุกแก แต่พี่แกส่ายหน้าแล้วก็เข้าสวนไปเลย คงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวล่ะนะ” ขันเงินอธิบาย แล้วที่ไม่ตามไป เพราะคิดว่าหลานสาวคงไปหาที่สงบนั่งคิดให้ตก แล้วพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตปกติให้ได้อย่างแน่นอน

หมออดุลย์ก็เคยแนะนำว่าให้อรรณไปพบจิตแพทย์ เพื่อบำบัดความคิด และจะได้กลับมาใช้ชีวิตปกติให้ดีขึ้น แต่อรรณอยากอยู่บ้านมากกว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่หรือกรุงเทพ จึงปฏิเสธไปก่อน แล้วขอใช้เวลาตามลำพังมากกว่า

อภิรมย์ได้ฟังก็คอตก ถอยมานั่งข้างๆ ยายวัยชราของเธอ

“ลมเอ๊ย พี่เขาก็มีเรื่องในใจไม่น้อย ให้เวลาเขาได้สะสางปมในใจของเขาก่อนดีกว่าไหม เราไม่รู้หรอกว่าเขาเจออะไรมาบ้าง เขาก็แค่ต้องการเวลาเป็นส่วนตัวหน่อยก็เท่านั้น” แจ่มจันทร์ลูบผมหลานสาวคนเล็กเป็นเชิงปลอบ เพราะเจ้าตัวก็เพิ่งเจอเรื่องมาไม่น้อย ทว่าก็เทียบไม่ได้กับปมในใจของหลานสาวคนโต

คนที่เกือบจะฆ่าตัวตายในป่าอยู่แล้ว เมื่อรอดกลับมาย่อมต้องมีเรื่องที่ต้องคิดให้มากอยู่แน่นอน

อภิรมย์ได้แต่พยักหน้าช้าๆ และให้เวลากับพี่สาวมากที่สุด

*****************************


เมื่อกลับมาถึงบ้านนงลักษณ์รีบเอาข่าวซุบซิบบันเทิงมาให้ขันเงินดู แบบชนิดที่เรียกว่าแอบดูสองคน ก่อนจะถอนหายใจพร้อมกัน

“ตอนแรกน้องก็ไม่รู้ว่าอะไร ครูที่โรงเรียนเขาเอามาดู มีภาพที่น้องน้ำเคยถ่ายแล้วภาพเบลอใส่ แล้วก็เอาชื่อย่อมา แม่ก็รู้ว่าน้องน้ำเคยถ่ายภาพพวกนี้ นี่อ่านแล้วน้องล่ะเจ็บใจแทน” นงลักษณ์แทนตัวเองให้เหมือนสามี

ขันเงินถอนหายใจอีกรอบ เพราะคำว่ากล่าวมันแรงพอดู

‘นางแบบ น. หนีตามผู้ชายเข้าป่า กลับเป็นเรื่องลักพาตัว ต้องลากตำรวจไปตามเพียบ กลับมาก็มีหลักฐานคาท้องกันเลยทีเดียว’

ขันเงินสรุปสั้นๆ แต่จริงๆ แล้วเขียนยาวกว่านี้ เป็นงงว่าพวกนั้นรู้เรื่องอรรณได้อย่างไร เพราะมีลงรายละเอียดบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ แต่ที่งงก็คือ...ทำไมถึงบอกว่าอรรณมีหลักฐานคาท้อง ในเมื่อไม่เห็นท้อง

“พวกมันพูดเกินจริง สงสัยได้ยินเรื่องที่พิงค์ท้องแล้วเอาไปรวมกับเรื่องของน้ำ แล้วเอาเรื่องข่าวลือเสียๆ หายๆ ไปคิดเป็นจริงเป็นจัง แม่ว่าน้องควรจะฟ้องมันเลยหรือเปล่า” นงลักษณ์แค้นแทนน้อง ยิ่งตอนที่ฮอร์โมนรุนแรงแบบนี้ ยิ่งโมโหมากไปกว่าเดิม

“ใจเย็นๆ ก่อนเน้อ น้องพิงค์ คนกำลังท้องกำลังไส้ อย่าไปเครียดมาก ให้น้องน้ำรู้ก่อน แล้วน้องน้ำคงจะจัดการเองเน้อ” ขันเงินคิดว่าควรให้อรรณรู้เรื่องนี้ก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยากจะเข้าไปยุ่งกับอรรณมากนัก

“แต่น้องว่าไม่อยากให้น้องน้ำรู้ก่อนเน้อ ตอนนี้น้องน้ำมีเรื่องที่ต้องคิดมากอยู่แล้ว เฮ้อ” นงลักษณ์ถอนหายใจยาว อย่างหงุดหงิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ “นี่ก็เย็นแล้ว น้องน้ำยังไม่กลับมาอีกเหรอจ๊ะ แม่”

“ยังเลย เฮ้อ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่กลับมา ไม่สุงสิงกับใคร เอาแต่ไปอยู่ในสวน เห็นไอ้ลมบอกว่าเอาแต่นั่งอยู่ที่เพิ้งปลายนา สงสัยจะรอว่าเมื่อไรอ้ายหินจะกลับมามั้ง” ขันเงินก็เดาไปตามเรื่อง

“ถามพ่อให้แล้วค่ะ ท่านว่าถ้าเปิดเผยหรือติดต่อกลับมาบ้านจะเป็นอันตราย ทางโน้นเขาระวังตัวมาก เห็นใครไม่น่าไว้ใจก็จะตัดตอนฆ่าหมด มันอันตรายเกินไป นี่ขนาดคุยโทรศัพท์ คุณพ่อยังไม่อยากจะคุยกับน้องเลยค่ะ ต้องมานั่งคุยกันที่อื่น เป็นคดีที่อ่อนไหวมากนะคะ” นงลักษณ์ก็อธิบายความอย่างที่พ่อเธอบอก

ขันเงินก็ออกจะเห็นใจตำรวจหนุ่ม จากที่รู้จักมา ท่าทางจะอยากเจอหลานสาวเธอไม่น้อย หากพอฟังนงลักษณ์เล่าความแล้วก็นึกเป็นห่วง กลัวแต่ว่าห่วงหน้าพะวงหลังจะเป็นอันตราย

“แล้วนี่จะเป็นอันตรายมากไหม” ขันเงินก็ถอนหายใจเป็นห่วงหลานเขยขึ้นมาอีก

“คิดว่าน่าจะอันตราย แต่ยังไงผู้กองก็ต้องระวังตัวให้มากแล้วกลับมาหาน้องน้ำจนได้นั่นแหละค่ะ แม่อย่ากังวลให้เครียดเลยนะคะ” นงลักษณ์ก็รู้สึกผิดที่มาเล่าเรื่องพวกนี้ให้ป้าฟัง แต่ก็ดีกว่าให้ทุกคนเข้าใจตำรวจหนุ่มผิดๆ

สักพักก็หันไปมองเจ้าของเสียงเดินขึ้นบันได ท่าทางอรรณดูไร้ชีวิตจิตใจ แม้จะไม่เห็นสีหน้า เพราะมีผ้าพันแผลปิดอยู่ แต่คงไม่มีใครมีแก่ใจจะมาร่าเริงในยามนี้ ที่ต้องปรับตัว

ทั้งสองคนต่างวัยก็แอบถอนหายใจพร้อมกันแล้วแยกย้าย

“เหนื่อยไหม น้องน้ำ” นงลักษณ์แวะทักทาย

“ไม่เจ้า ขอตัวเข้าห้องก่อนเน้อ พี่พิงค์” อรรณขอตัวปลีกวิเวก

ขันเงินได้แต่มองอย่างปลงๆ

คนเคยสวย เคยภาคภูมิใจในชีวิต ชีวิตไม่เคยด่างพร้อย ไปไหนมาไหนมีแต่คนมองอย่างชื่นชม พอมาวันนี้ข่าวลือต่างๆ ทำลายชีวิต ทั้งที่เป็นเหยื่อของเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีทางแก้ตัวอะไรได้ เพราะพยานก็ยืนยันกันเป็นเสียงเดียวว่า อรรณมีความสัมพันธ์กับพวกกลุ่มโจร

ถึงคนในบ้านจะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เวลาออกนอกบ้านก็โดนคนแอบนินทาไล่หลังกันเป็นแถว จนตอนนี้ไม่คิดจะไปไหน แล้วยังมีเรื่องข่าวซุบซิบนินทาอีก

ขันเงินได้แต่มองหลานสาวเก็บเนื้อเก็บตัว

*****************************


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในห้อง อรรณไม่หวังให้เป็นศิขาโทรมา เพราะรู้ว่ามีราชการสำคัญ จึงรับสายอย่างเอื่อยเฉื่อย พอปลายสายทักมาเป็นภาษาอังกฤษ เธอก็ค่อยปรับเปลี่ยน

“ฮัลโหล แอนนาพูดอยู่” อรรณพยายามไม่ถอนหายใจยาว และไม่อยากเดาว่าเพื่อนคนไหนหรือใครโทรมา

“แอนนา นี่เจนนิเฟอร์ จอห์นสันนะ เป็นยังไงบ้างล่ะ เธอสบายดีไหม” เจนนิเฟอร์ถามไถ่เพื่อนไปตามเรื่อง

“ก็สบายดี” อรรณตอบสั้นๆ

“เธอพอจะมีเวลาว่างสักครึ่งปีไหม ฉันต้องการคนที่ไว้ใจได้จริงๆ” เจนนิเฟอร์เข้าเรื่อง เพราะรู้ว่าเพื่อนไม่ชอบให้ร่ายยาวเท่าไรนัก

“เรื่องอะไรเหรอ” อรรณถามหารายละเอียด

“คืองี้พอดีฉันต้องไปจัดการสาขาที่ยุโรป กินเวลาประมาณครึ่งปี ฉันต้องการคนที่ไว้ใจได้มาดูเรื่องการลงทุนที่ไมอามี่ เธอมีเส้นสายดีที่ฝั่งนี้มาก ถ้ามีเวลา ซึ่งฉันคิดว่าน่าจะมีนะ” เจนนิเฟอร์เข้าเรื่องอย่างชัดเจนและตรงประเด็น

อรรณนิ่งเงียบไปพัก ก่อนค่อยบอกเพื่อนตามตรง “เจนนี่ ขอบใจเธอที่ไว้ใจฉัน แต่ตอนนี้ฉันมีปัญหาอยู่เยอะ เรื่องเวลาฉันไม่มีปัญหา แต่ฉันเพิ่งผ่านเรื่องร้ายมา และฉันยังไม่พร้อมจะออกไปให้ใครเห็นในเวลานี้”

เจนนิเฟอร์เป็นแปลกใจ “เรื่องอะไรน่ะ เธอ มีเรื่องอะไรกันแน่ แอนนา”

“ฉันเพิ่งถูกลักพาตัว แล้วก็เพิ่งจะรอดมาได้ เพื่อเอาตัวรอด ฉันก็เลยกรีดหน้าตาตัวเอง นี่แผลแห้งแล้วยังไม่หายดี ต้องทำศัลยกรรมอีกนาน” อรรณอธิบายความให้เพื่อนฟัง

“เรื่องใหญ่แบบนี้เลยเหรอ ถึงว่าล่ะ เพื่อนๆ บอกว่าเธอหายไป ก็เข้ามาดูแลให้อยู่ แต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ ถ้าเธอไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันก็คงต้องปวดหัวหน่อย” เจนนิเฟอร์เห็นใจเพื่อน แม้จะอยากได้ตัวมาทำงานด้วยชั่วเวลาหนึ่ง

“ถ้าเธอไม่รังเกียจหน้าตาฉัน ก็ขอเวลาฉันคิดหน่อยได้ไหม” อรรณต่อรองเพื่อน กำลังเบื่อเมืองไทยอยู่พอควร อยากไปหาที่พักสักหน่อย เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น แต่ก็ติดที่ว่ายังไม่ได้เจอศิขา ก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร

“เรื่องหน้าตาฉันไม่ห่วงหรอกน่า เดี๋ยวมาสิ จะแนะนำที่ให้ไปทำ แต่เรื่องจิตใจเธอมากกว่า ว่าพร้อมไหม” เจนนิเฟอร์ก็เป็นห่วงเพื่อน เลยถามรายละเอียดอีกนิด ขณะที่อรรณเล่าความสั้นๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ได้ใส่รายละเอียดมาก

“ลองเอาไปคิดดูก็แล้วกัน อยากให้มาที่นี่ บางทีการเปลี่ยนบรรยากาศอาจทำให้เธอดีขึ้น แล้วหมอที่บำบัดที่นี่ก็เก่งกว่าที่เมืองไทยแน่ ฉันจะแนะนำให้ด้วย ลองคิดดูนะ เอาล่ะไม่รบกวนเธอแล้ว บาย” เจนนิเฟอร์ตัดสินใจให้เพื่อนได้พัก

อรรณได้แต่นั่งนิ่งเงียบ ห่วงก็หลายอย่าง แต่ก็ต้องตกใจ เพราะเจ้าน้องสาวส่งเสียงโมโหดังลั่นบ้าน กระทืบเท้าเสียงดังจนยายต้องออกมาจากห้อง เธอจึงออกไปด้วย

“มันทำอย่างนี้กับพี่น้ำได้ยังไง มันเกิดอะไรขึ้น” อภิรมย์กลับมาถึงบ้านก็เห็นหนังสือวางอยู่ เพราะนงลักษณ์ลืมเก็บไปด้วย เพราะอรรณกลับมาจากในสวนพอดี

“เบาๆ หน่อยได้ไหมลม ก็รู้อยู่ว่าอุ๊ยไม่ค่อยสบาย” อรรณต้องมาห้ามน้อง เพราะยายออกมาดู ทั้งที่เพิ่งเอนหลัง

“แต่” อภิรมย์พยายามจะท้วง

“ใครมันจะพูดอะไรยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ เอามันไปเผาให้หมดแล้วพี่ก็ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากได้ยินสักเรื่องเข้าใจไหม” อรรณพูดใส่อารมณ์เป็นครั้งแรก หลังกลับมาจากป่าแล้วก็เดินกลับเข้าห้อง

แจ่มจันทร์ได้แต่ถอนหายใจ เดินไปที่ห้องหลานสาวคนโต ส่ายหน้าช้าๆ ไม่ให้หลานสาวคนเล็กโวยวายอะไรอีก แล้วเคาะประตูห้องหลานสาว “อุ๊ยเข้าไปได้ไหม”

อรรณนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบ “เจ้า”

แจ่มจันทร์เข้าไปในห้อง เห็นหลานสาวนั่งนิ่งหันหลังให้ประตู ก็พอรู้ว่าหลานสาวคงยังทำใจกับเรื่องต่างๆ ไม่ได้ และไม่ใช่ว่าไม่สนใจข่าวลือต่างๆ แต่พยายามไม่ไปแตะต้องมันมากกว่า จึงไปนั่งลงข้างๆ โอบไหล่หลานสาวแล้วนั่งเงียบๆ

ปลอบใจกันและกันด้วยความเงียบ...

*****************************


ร้านอาหารนอกเมืองแต่ผู้คนยังไม่มาก และเป็นมุมที่ไม่ค่อยมีใครมานั่ง ก็เป็นที่เหมาะจะคุยเรื่องที่เป็นความลับ โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะแอบฟัง

“น้อยชวนพี่ออกมาทานนอกบ้านแล้วทำไมถึงมาไกลอย่างนี้ล่ะ” อภิชาตถามอย่างงุนงง ที่ภรรยาพามาทานอาหารไกลแบบนี้

“น้อยมีเรื่องจะคุยกับพี่อ้นโดยที่ไม่มีคุณแม่คอยฟังอยู่น่ะค่ะ” น้อยถอนหายใจและพยายามรวบรวมคำพูด

“อ๋อ ที่น้อยนอนไม่ค่อยหลับช่วงนี้น่ะเหรอ มีอะไรล่ะ” อภิชาตก็พอเข้าใจ

บางทีแม่เขาก็เจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตสมาชิกในบ้าน น้องสาวเขาถือว่าโชคดีมาก ตอนที่แต่งงานออกไปอยู่กับสามี ส่วนเขาก็มีหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนแม่ และทำงานไปตามเรื่อง ตามสภาพร่างกายที่พอจะทำได้

น้อยมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เธอก็ตัดสินใจพูดขึ้นเมื่อสั่งอาหารกันเสร็จแล้ว “พี่อ้นคะ พี่อ้นคิดอยากจะกลับไปคืนดีกับภาเขาไหมคะ”

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ตอนนี้พี่ก็ไม่ได้ไปยุ่งกับเขาแล้วนะ พอเด็กคนนั้นกลับมา ก็ไม่เคยคุยกันอีกเลย พี่ก็ไม่อยากทำให้น้อยลำบากใจหรอกนะ” อภิชาตกลัวว่าภรรยาจะน้อยใจก็รีบชี้แจง

“น้อยรู้ว่าพี่ยังรักภาเขาอยู่ รู้ว่าพี่อยากจะให้ความช่วยเหลือเขามากกว่านี้ อยากรับผิดชอบชีวิตเขามากกว่านี้ น้อยก็มีเรื่องที่อยากจะบอกพี่ น้อยก็แก่มากแล้ว น้อยรู้สึกว่าชีวิตเหลือเวลาน้อยลงไปเรื่อยๆ อยากจะมีชีวิตอยู่กับคนที่น้อยรัก คุณพิชาญเขากลับมาติดต่อกับน้อย เขาก็เป็นหนุ่มโสดมาตลอด เขาคิดว่าเขาตัดใจได้แล้ว แต่เขาก็ทำไม่ได้ น้อยก็อยากจะปรึกษาพี่อ้น น้อยอยากอยู่กับคุณพิชาญเขาค่ะ” น้อยอธิบายความ

อภิชาตนิ่งอึ้งไป จะว่าไม่รักมันก็รัก แต่จะว่ารักมันก็ไม่ใช่ คงเป็นความผูกพัน เวลายี่สิบห้าปีมันไม่น้อย แต่จะรั้งไว้ให้ทรมานทั้งคู่ก็ไม่ใช่เรื่อง

“คุณพิชาญเขาเอาหลานชายมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม น้องสาวเขากับสามีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ น้อยก็คิดมานานแล้ว ที่พี่เห็นน้อยออกบ้านบ่อยๆ น้อยก็ยอมรับว่าไปพบคุณพิชาญเขา ไปเจอพิชิตหลานเขาที่เริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว เริ่มจะมีชีวิตของตัวเอง คุณพิชาญก็เริ่มเหงา เขายังนึกถึงน้อยอยู่ น้อยรู้ว่าก็เห็นแก่ตัว แต่น้อยก็เห็นว่าพี่ก็มีภารออยู่เหมือนกัน ทำไมเราไม่ใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคนที่เราต่างก็รักจริงๆ ล่ะคะ” น้อยค่อยโล่งใจที่ได้พูดสิ่งที่อึดอัดอยู่นาน

อภิชาตนิ่งงันก่อนคลายยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู เขาก็เอาเปรียบน้อยมานาน ที่ไม่สามารถเป็นสามีได้อย่างสมบูรณ์แล้วเวลาก็พิสูจน์ความรักของน้อยกับคนรักมาแล้ว เขาก็ได้แต่ยอมรับ

“เรื่องระหว่างพี่กับภา คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พี่รู้จักภาดี แต่เรื่องของน้อย พี่จะจัดการให้อย่างดีนะ พี่ดีใจกับน้อยแล้วก็คนรักด้วย ที่ในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน” อภิชาตพูดชัดเจนดีแล้ว เขาไม่คิดจะรั้งเธอเอาไว้อีกต่อไป

“ขอบคุณมากค่ะ พี่อ้น น้อยดูแลพี่มาตลอดก็อยากจะชดใช้กรรมที่เคยทำมาในอดีต ตอนนั้นน้อยโกรธทุกอย่าง ที่ทำให้น้อยกับคุณพิชาญต้องแยกจากกัน น้อยก็เลยทำตัวร้ายกาจกับภาไปมาก น้อยก็คิดว่าคุณพิชาญคงมีครอบครัวไปแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะผิดหวังถึงขั้นครองตัวเป็นโสดมาจนถึงเดี๋ยวนี้น่ะค่ะ” น้อยค่อยโล่งใจในระดับหนึ่ง

“เมื่อหย่ากับพี่แล้วน้อยต้องการอะไรบ้างล่ะ” อภิชาตต้องการตกลงให้เข้าใจ

“แล้วแต่พี่จะกรุณาเถอะค่ะ น้อยไม่คิดอยากได้อะไรเท่าอิสรภาพ น้อยอยากอยู่กับคุณพิชาญเร็วๆ อย่าหาว่าน้อยเป็นสาวใจแตกเลยนะคะ มันเลยวัยมามากแล้ว น้อยแค่อยากใช้เวลาดีๆ กับคนที่น้อยรักมาตลอดเท่านั้นเอง” น้อยก็ไม่หวังว่าแม่เธอจะเข้าใจ การตัดสินใจครั้งนี้เธออาจจะเหลือแต่ตัวก็ได้

“พี่จะเตรียมอนาคตไว้ให้เธอ ว่าแต่เธอจะย้ายไปอยู่กับคุณพิชาญเลยหรือเปล่า คุณพิชาญเขามีที่ทางยังไงบ้างแล้วล่ะ” อภิชาตถามขึ้น

“คุณพิชาญเขาขอย้ายมาอยู่กรุงเทพแล้วค่ะ เขาก็มีที่อยู่แล้ว เป็นบ้านน้องเขยเขาที่เป็นของหลานชายเขา คิดว่าคงไม่อยากจะซื้อหาอะไรอีก เก็บเงินเก็บทองไว้เลี้ยงตัวในตอนแก่ดีกว่าค่ะ” น้อยเล่าความอย่างสบายใจ เมื่อไม่ต้องติดอยู่กับความรู้สึกผิด

“นั่นสินะ” อภิชาตครุ่นคิด เขาต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ แล้วอาจจะลองกลับไปหาภารดีอีกครั้ง จะได้ดูแลเธอจนแก่เฒ่า แต่มาคิดอีกที บางทีคนที่ดูแลอาจจะเป็นเธอมากกว่าเขา เพราะเขาเองร่างกายก็ไม่แข็งแรงแล้ว

น้อยมองสามีครุ่นคิดแล้วก็พอเข้าใจความลำบากใจอยู่บ้าง แต่ยามนี้เธอคงได้แต่ภาวนาให้บาปกรรมที่ทำมาหมดสิ้นแล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับคนรักเท่านั้น

*****************************


ภาพข่าวน้อยกับอภิชาตแอบไปหย่ากันที่อำเภอพร้อมทนายความนั้น ทำให้คุณหญิงญาดาโกรธจัด รอจนกระทั่งลูกชายเข้าบ้านก็รีบเข้ามาต่อว่าทันที

“แกมีเรื่องอะไรกับแม่น้อย แม่น้อยถึงหย่ากับแก” หญิงชราอย่างคุณหญิงญาดากระแทกคำพูดใส่ลูกชายอย่างรุนแรงทันที

อภิชาตไม่ตอบทันที เดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วค่อยเล่าความ

“เปล่าครับเราหย่ากันด้วยดี น้อยเขาแค่อยากไปตามทางของเขา ผมก็เห็นด้วย ทำไมต้องเอาผู้หญิงดีๆ มาผูกติดกับผมล่ะ ผมแก่แล้วก็ใช้การไม่ได้แล้ว นอกจากเรื่องงานแล้ว ผมก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ ทำการบ้านก็ไม่ได้ ใครเขาจะอยากได้สามีแบบนี้” อภิชาตอธิบายความง่ายๆ พยายามไม่เอาเรื่องส่วนตัวของอดีตภรรยามาพูด

“นี่แกคิดจะบอกแม่เมื่อไร อยู่ๆ ก็บอกว่าแม่น้อยขอไปค้างบ้านแม่มั่งล่ะ นี่ถ้าไม่มีข่าวออกมาฉันจะรู้ไหม” ญาดาคาดคั้นลูกชาย

“ผมก็กะว่ากลับมาจากที่ทำงานก็จะมาบอกนี่แหละครับ ผมไม่อยากให้แม่กับเพื่อนทะเลาะกัน” อภิชาตพยายามใจเย็น นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เพื่อนแม่อายุยืนอยู่เป็นเพื่อนแม่เขามาจนถึงทุกวันนี้

“แกคิดจะกลับไปหานังภามันใช่ไหม” ญาดาก็แอบกลัวว่าอดีตที่เลวร้ายจะกลับมาหลอกหลอนตน

“ผมไม่คิดจะกลับไปหา แต่คิดจะไปหาเลยแหละครับ ผมฟังน้อยพูดมันก็ถูก เวลาผมเหลือน้อยแล้ว ผมอยากอยู่กับคนที่ผมรัก น้อยเขาก็ยินดีมาก ผมก็เลยเขียนเช็คให้เขาไปห้าล้านบาท แล้วก็โอนที่ดินแปลงหนึ่งให้เขา เขาก็โอเคนะครับ” อภิชาตบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืนเตรียมขึ้นชั้นบน

“เดี๋ยวก่อน ที่แกจะเลิกกับแม่น้อยน่ะ แม่จะไม่พูดถึงอีก แต่แกจะกลับไปหานังภาไม่ได้” ญาดายื่นคำขาด

“คุณแม่ห้ามผมไม่ได้หรอกครับ ผมทำลายชีวิตภามานานแล้ว บาปกรรมน่ะ มันไม่มีวันหมดอายุหรอกนะครับ” อภิชาตย้ำเป็นนัยๆ เรื่องที่แม่เขาเป็นต้นเหตุทำให้ลูกสาวเขาตาย

ญาดาตบหน้าลูกชายอย่างแรงด้วยความโกรธ มือสั่นระริก ก่อนปฏิเสธ “ฉันไม่ใช่คนบาป นังภาต่างหากที่ฆ่าลูกมันเอง”

“บาปไม่บาปก็ดูเถอะครับ ถ้าภาบาปจริง ทำไมเราถึงเป็นฝ่ายไม่มีลูกหลานสืบสกุลล่ะ ทำไมเราถึงเป็นฝ่ายที่เป็นไปตามคำสาปแช่งของภาล่ะครับ ถ้าเราไม่ผิดทำไมทุกวันนี้คุณแม่ถึงไม่มีหลานสืบสกุลล่ะ” อภิชาตพูดจบก็เดินขึ้นห้องอย่างเร็ว ปล่อยให้แม่บ้านดูแลแม่เขาแทน

เมื่อถึงห้องแล้วเขาก็นั่งลงมองที่นอนข้างๆ ที่ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว เขาไม่สนข่าวที่นักข่าวเขียน มันก็แค่ข่าว แต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าภารดีจะให้อภัยเขาไหม แต่เขาก็เห็นด้วยกับน้อย ด้วยอายุที่มากขึ้น เวลาก็เหลือน้อยเต็มที ถ้าอยากจะทำอะไรก็ต้องรีบทำเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ

เขากดโทรออกเพื่อคุยกับภารดี แต่ไม่มีคนรับสาย หรือเธอจะไม่คุยกับเขาแล้ว เพราะเขาก็เรียกว่าหมดประโยชน์กับเธอ เขาลองกดดูอีกครั้ง แล้วก็ถอนหายใจ จากนั้นก็พักสายตา

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่ฟ้าก็มืดลงแล้ว เขาจึงตกใจตื่นเพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขากดรับโดยไม่ได้ดูปลายสาย

“มีอะไร” น้ำเสียงห้วนสั้นดังมาที่ปลายสาย เขาก็รู้ว่าเป็นใคร

“เห็นว่าเงียบไป หนูน้ำสบายดีแล้วหรือยัง” อภิชาตเห็นอีกฝ่ายเปิดประเด็นตรง เขาก็เลยถามไปทันที แต่ก็ไม่กล้าเข้าประเด็นที่อยากจะรู้

“เฮ้อ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กระแสข่าวหนักมาก จนบ้านนี้ไม่เปิดบ้านรับข่าวใครแล้วล่ะ แต่ก็ดีไม่ได้รับรู้ก็ไม่ต้องเครียด” ภารดีบ่นอย่างหาทางระบายไม่ได้ โดยเฉพาะลูกสาวที่ไม่พูดไม่จากับใคร เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องแบบนั้น

“งั้นเธอก็ยังไม่รู้สินะ ว่าฉันกับน้อยหย่ากันแล้ว” อภิชาตเข้าเรื่องได้ทันทีที่มีโอกาส

ภารดีนิ่งอึ้ง เพราะไม่รู้จริงๆ ก่อนจะนึกไดว่าที่เขาโทรหาคงไม่ใช่เรื่องของอรรณแต่เป็นเรื่องของตัวเองมากกว่า

“นี่โทรมาเนี่ย เพื่อบอกเรื่องนี้เองเหรอ” ภารดีถามให้แน่ใจ เผื่อจะคิดเข้าข้างตัวเอง

“ก็โทรมาถามเรื่องเด็กคนนั้นด้วยแหละ” อภิชาตฟังเสียงแข็งออก

เมื่อก่อนภารดีเคยอ่อนหวานนิ่มนวล ถึงได้จิตอ่อนโดนแม่เขาจัดการจนเสียสติ มาบัดนี้เธอเปลี่ยนไปมาก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแบบนี้เสมอ

“เออจริงสิ อยากให้ช่วยทำให้ข่าวเงียบไหม สงสารหนูน้ำนะ” อภิชาตเห็นว่าเธอเอาใจเด็กคนนั้นมากก็พยายามเอาใจ เดี๋ยวเธอจะตัดสายเขาทิ้ง

“ทำได้ก็เท่านั้น ปากคนมันยาวยืด ปิดปาดนี้ได้ ก็ปิดได้ไม่หมด เดี๋ยวปากนั้นปากนี้ก็ไปไกลอีก แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม ช่างเถอะ น้องน้ำกำลังจะทำใจได้แล้วแหละ รอแต่ผู้กองกลับมาเมื่อไหร่ เห็นจะสบายดีขึ้น ผัวเมียเขาได้เจอกัน เขาก็ปลอบกันได้เอง” ภารดีก็ฝากความหวังไว้ที่ศิขา เหมือนคนทั้งบ้าน เพราะไม่มีใครง้างปากอรรณได้

เก็บตัวเงียบจนน่าเป็นห่วง...ทำให้คนเริ่มสงสัยว่าจะมีเรื่องไม่งามเกิดขึ้น จนเจ้าตัวไม่อยากนึกถึง

อภิชาตได้แต่นิ่งเงียบ ฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จนพักใหญ่ก็รู้ว่าไม่ควรพูดเรื่องที่เขาเป็นโสดแล้วให้เธอฟัง เดี๋ยวเธอจะตัดสายเขาทิ้ง อย่างน้อยฟังเธอบ่นบ้างก็น่าจะดีกว่า

*****************************
สวัสดีค่ะ
วันนี้มาไวกว่าปกติเพราะต้องออกเดินทางไปภูเก็ต 15 วัน
คงไม่ได้มาโพสต์พักใหญ่นะคะ
พอดีจะไปปฏิบัติธรรมค่ะ
ยังไงมีข่าวคราวอะไรจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายค่ะ
ป.ล. ถ้าต้องการติดต่อ เชิญหน้าเพจนะคะ แต่คงไม่ได้เข้าบ่อยๆ ค่ะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2556, 04:49:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2556, 04:49:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1557





<< 32 พ้นภัยแรก   34 ชู้ >>
ใบบัวน่ารัก 6 พ.ค. 2556, 07:50:31 น.
สงสารน้องน้ำจัง
ไปเมืองนอกเถอะรักษาตัวและลูกให้ดีๆนะ


ตุ๊งแช่ 6 พ.ค. 2556, 11:49:46 น.
อนุโมทนาบุญจ้า ขอให้ทุกอย่างคลี่คลายด้วยดีด้วยเถิด บอกคนเขียนนะ หึหึ


ป้าภา 7 พ.ค. 2556, 08:00:43 น.
ขออนุโมทนาด้วยจ้า


anOO 8 พ.ค. 2556, 14:09:20 น.
น้ำจะตัดสินใจยังไงนะ เกาใจคนเขียนไม่ถูกเลย


konhin 14 พ.ค. 2556, 10:06:12 น.
สงสารน้ำอ่ะ บอกไม่ถูก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account