ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น

ตอน: 1

ขอโทษที่คราวที่แล้วหายไปเฉยๆ นะคะ พอดีมีเหตุการณ์นิดหน่อยทำให้ไม่มีเวลาเขียนต่อ คราวนี้ก็มีเหตุการณ์อีกนิดหน่อยที่ทำให้ต้องเขียนให้จบโดยเร็ว และเปลี่ยนชื่อจาก "มนตร์ทรายใต้เงาจันทร์" เป็น "ไฟรักทรายเสน่หา" นะคะ และสามารถลงได้แค่ 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเนื่องจากเป็นคอมเม้นท์จากทางสำนักพิมพ์ หวังว่าจะไม่โกรธกันนะคะ

ตอนที่ 1





เสียงเฉลิมฉลองดังก้องไปทั่วเมื่อถึงวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพขององค์สุลต่านอัสตาฟา ทั่วทั้งเมืองติดธงชาติซาราเวียสีเขียวคาดดำคู่กับธงประจำพระราชวงศ์มัสตาฟาซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปวาดส่วนหัวของนกอินทรีย์สีน้ำตาลสลับขาวดวงตาฉายแสงแวววาวดั่งอัญมณี

กษัตริย์แห่งซาราเวียอายุประมาณ 52 ปีมีรูปร่างท้วม หนวดเคราถูกตัดเล็มอย่างดี ใบหน้ายิ้มแย้ม พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาที่ลานหน้าพระราชวังซาบัคซึ่งถูกเคลียร์พื้นที่เป็นวงกว้างเพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมบารมีพร้อมกับ รานีฟารินาห์ อีกทั้งพระบรมวงศานุวงศ์หลายคนที่สำคัญก็คือ เจ้าชายคาซาล พระโอรสวัย 29 ปี รัชทายาทลำดับที่ 1 ของซาราเวีย

งานครั้งนี้องค์สุลต่านได้ประทานอนุญาตให้นักข่าวสื่อมวลชนจากนานาประเทศเข้ามาฉายพระรูป ณ ที่ซึ่งถูกจัดไว้ได้ด้วย แสงแฟลชจึงวูบวาบขึ้นตลอดระยะ ทว่าแม้สุลต่านอัสตาฟาจะมีพระโอรสอยู่หลายพระองค์แต่จุดซึ่งถูกจับตามองและคนที่ถูกฉายพระรูปมากไม่แพ้บุคคลสำคัญก็น่าจะเป็น ‘เจ้าชายไฟซารห์ บินอัสตาฟา อัลมัสตาร์ฟาห์’ ราชนิกุลหนุ่มวัยประมาณ 27 ปี โอรสพระองค์รองรัชทายาทลำดับที่ 2 ของซาราเวีย

“ยิ้มหน่อยสิลูก”

รานีฟารินาห์บอกพระโอรสซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ แต่แทนที่คนถูกถ่ายรูปจะยิ้มกว้างอย่างบิดาและมารดา ราชนิกูลหนุ่มกลับเพียงหยักมุมปากน้อยๆ ดวงเนตรสีไพลินระยับพราว และนั่นทำให้แสงแฟลชยิ่งสว่างวูบวาบเสียงชัตเตอร์รัวเร็วถี่ขึ้นกว่าเดิมเสียอีก



ในขณะที่ประชาชนทั่วไปซึ่งอยู่ในชุดพื้นเมืองหรือชุดแบบสากลล้วนแต่งกายสะอาดสะอ้านส่งเสียงสรรเสริญสุลต่านและราชวงศ์ของประเทศตน ทหารหลายนายเดินสวนสนามด้านหน้าพลับพลาและใกล้ๆ นั้นก็เป็นส่วนที่กั้นไว้สำหรับสื่อมวลชนโดยเฉพาะ

“เจ้าชายไฟซารห์นี่รูปหล่อมีเสน่ห์จริงๆ โดยเฉพาะพระเนตรสีฟ้าที่ได้ไปจากพระอัยยิกาซึ่งเป็นชาวสวีเดน เสียดายทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ไม่งั้นตำแน่งสุลต่านคนต่อไปของซาราเวียคงเป็นของตาย“ นักข่าวสาวชาวตะวันตกเอ่ยชม ดวงตาจ้องราชนิกุลอย่างไม่กระพริบ สาวชาวสวีเดินอีกคนจึงรีบอวด

“พระองค์จบเศรษฐศาสตร์แล้วก็วิศวมาจากสวีเดนนะ เพื่อนของฉันเองก็เรียนอยู่ที่เดียวกับเจ้าชาย ทรงเรียนเก่งที่สุดในชั้นมาตลอด ความจำเป็นเลิศ แล้วก็มนุษยสัมพันธ์ดีอีกต่างหาก แต่เห็นเขาว่ากันว่าทรงไม่สนใจเรื่องตำแหน่งรัชทายาทหรอกนะ แล้วตอนอยู่สวีเดนก็ทรงชอบอยู่อย่างสามัญชนไม่เคยแสดงองค์ว่าเป็นเจ้าชายเลย”

หนุ่มนักข่าวชาวไทยเห็นแบบนั้นก็เริ่มหมั่นไส้พวกผู้หญิงเลยชวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วทำไมปีนี้องค์สุลต่านถึงอนุญาตให้นักข่าวเข้ามาทำข่าวได้ล่ะ ปกติซาราเวียจะไม่ค่อยให้โอกาสถ่ายรูปพระราชวงศ์ชั้นสูงเลย”

“จุ๊ๆ เบาๆ หน่อยเถอะ เขาว่ากันว่าเป็นความคิดของเจ้าชายคาซาลนะ ก็ต้องแสดงผลงานกันหน่อยตำแหน่งว่าที่องค์รัชทายาทรออยู่ข้างหน้า รานีฟารินาห์น่ะฉลาดจะตายไปคงไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปหรอก” จบคำนั้นเธอกับเพื่อนก็มองไปยังร่างสูงใหญ่ของบุรุษวัย 29 นั่นก็คือเจ้าชายคาซาล

“ใช่ๆ พระองค์คงอยากทำให้ซาราเวียเป็นที่รู้จักมากขึ้น เธอก็รู้ว่าซาราเวียไม่ใช่ประเทศที่มีอำนาจต่อรองสูงในแถบตะวันออกกลาง มีหลายเสียงที่บอกว่าสุลต่านอัสตาฟาน่ะหัวอ่อนเกินไปทำให้ซาราเวียต้องเสียเปรียบต่างประเทศหลายๆ เรื่องรวมทั้งเรื่องของ....เผ่าอะไรนะที่ควบคุมทะเลทรายคาร์นัคอยู่น่ะ เจ้าชายไฟซารห์เองก็ไม่ได้ประทับที่ซาราเวียสักเท่าไหร่หรอก นี่คงโดนเรียกตัวกลับมาในวันพระราชสมภพ...อุ๊บส์...” คนพูดรีบปิดปากเมื่อมีทหารคนหนึ่งเดินผ่านมา และหันไปสนใจการถ่ายรูปแทน

บ่ายวันนั้นสุลต่านอัสตาฟายังได้ทรงกรุณาประทานของบริจาคให้แก่ประชาชน โดยมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีกลาโหม และในขณะที่เชื้อพระวงศ์เสด็จกลับเข้าวังกันหมดแล้ว ผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอก มีทั้งชาย หญิง คนชรา เด็กๆ ในสภาพเสื้อผ้าแบบชาวทะเลทรายเก่าซอมซ่อบ้างก็ขาดวิ่นหน้าตามอมแมม



เมืองซาบัคเป็นเมืองหลวงของประเทศซาราเวีย ประเทศเล็กๆ ซึ่งปกครองแบบราชาธิปไตย คือสุลต่านมีอำนาจสูงสุดในทุก ๆ ด้านและอาณาเขตของซาราเวียนั้นมีทั้งพื้นที่ซึ่งเป็นดินแดนติดต่อกับประเทศอื่น ติดทะเลสาปและพื้นที่ซึ่งเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่นามทะเลทรายคานัค แม้จะมีแผนที่ภูมิศาสตร์ที่ดีแต่กลับมีจุดด้อยในเรื่องของทรัพยกรเช่นน้ำมัน ซาราเวียมีบ่อน้ำมันเพียงแห่งเดียวทางทิศใต้ใกล้ๆ กับทะลสาป แต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เพราะเกรงจะกระทบสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่มาก ส่วนในทะเลทรายก็มีอุปสรรคในการสำรวจโดยเฉพาะพันธสัญญาระหว่างมัสตาฟากับอัลคาซาน



พระราชวังซาบัคเป็นงานสถาปัตยกรรมตะวันออกกลางทาสีขาวมี 3 ชั้น เมื่อมองจากขอบรั้วภายนอกแล้วจะเห็นด้านกว้างเป็นตึกรูปร่างใหญ่โตรโหฐาน ซึ่งเป็นสถานที่จัดเลี้ยงหรือห้องปฏิบัติงานของสุลต่านและพระญาติซึ่งดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในประเทศ ส่วนด้านหลังจะแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามพื้นที่ใช้สอยประมาณ 50 ไร่

หลังจากหมดวันที่แสนยุ่ง รุ่งขึ้นรานีฟารินาห์ก็กลับมาที่ห้องและบอกให้คนนำสมุนไพรมาแช่เท้าเพราะรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด

“สมุนไพรในตึกเราหมดเพคะ” หญิงสาววัยประมาณ 23 ปี อยู่ในชุดสีครีมคลุมศีรษะสีเดียวกันทว่าเป็นผ้าลูกไม้หรูเปิดเผยเพียงใบหน้าเอ่ยขึ้นหลังจากส่งคนไปดูที่ห้องเก็บของส่วนพระองค์แล้ว รานีฟารีนาห์จึงปรายหางตาอย่างตำหนิ

“ทำไมถึงไม่เตรียมเอาไว้ล่ะอาลีซ่า”

“ขออภัยเพคะองค์รานี หม่อมฉันกำลังจะไปเอาที่ห้องสมุนไพรส่วนกลาง แต่แวะมาทูลพระองค์ก่อนเพราะจะนำขนมกับน้ำชามาให้แล้วก็หาจัดนางกำนัลมานวดให้ด้วย...ทรงเหนื่อยมาหลายวันแล้วควรได้พักผ่อนบ้าง” คนถูกเรียกว่าอาลีซ่าค่อมศีรษะเล็กน้อยก่อนเงยหน้ามององค์รานีด้วยสายตาแสดงความห่วงใย หญิงสาวมีจริตกิริยาพูดจาไพเราะ และเป็นลูกสาวคนเล็กของรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งถูกส่งเข้ามารับใช้ใกลชิดองค์รานีตั้งแต่อายุยังน้อย

“พักบ้างงั้นเหรอ อีกไม่กี่วันก็ต้องต้อนรับพวกอัลคาซานอีกแล้วล่ะ ฉันล่ะอยากให้พวกบรรดาเมียๆ ของพระองค์เสนอหน้าขึ้นมาช่วยงานพวกนี้บ้างจริงๆ” รานีฟารินาห์มีสีหน้าขึงตึงเล็กน้อย สุลต่านอัสตาฟาเป็นบุรุษที่รูปงามจึงมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เป็นเจ้าชายจนกระทั่งได้ครองราชย์ ด้วยเหตุนี้ถึงพระองค์จะหยุดเจ้าชู้อย่างจริงจังได้หลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังมีพระชายาอยู่ในวังหลายคน และอาลีซ่ารู้ดีว่ารานีฟารินาห์ไม่ปลื้มนักจึงเลี่ยงไปพูดเรื่องแรกแทน

“คงเพราะพวกอัลคาซานมีอิทธิพลเหนือทะเลทรายคาร์นัคมานานพระองค์จึงอยากจะผูกมิตรละมังคะ”

“น่าเจ็บใจพวกนั้นนัก เพราะมีข้อตกลงที่ไม่เข้าท่านั่นพวกเราถึงไม่เคยเข้าทะเลทรายคาร์นัค ถ้าไม่งั้นละก็ประเทศของเราคงมีน้ำมันมากมายร่ำรวยมากกว่านี้แล้วล่ะ...ถ้าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วปีที่แล้ว...” รานีฟารินาห์ตรัสพร้อมขมวดคิ้วแต่ก่อนจะพูดต่อเจ้าชายคาซาลก็เดินเข้ามาพอดี

“สิบกว่าปีที่แล้วทำไมหรือครับ”

“คาซาล...” องค์รานีเรียกลูกชายก่อนตรัสต่อ “ถ้าท่านพ่อของลูกเด็ดขาดกว่านี้เราคงได้สำรวจทะเลทรายนั่นแล้ว”

“สำรวจวันนี้ก็คงไม่สาย” เจ้าชายคาซาลตรัสพร้อมนั่งลงข้างพระมารดา ร่างสูงใหญ่ยืดตรงอย่างงามสง่า ทำให้อาลีซ่าแอบมองอย่างปลื้มใจ

“รินน้ำชาให้เจ้าชายหน่อยสิอาลีซ่า” รานีเห็นดังนั้นจึงสั่ง

คนถูกสั่งก้มหน้าลงแอบยิ้มน้อยๆ และรินน้ำชาให้ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งซาราเวีย เจ้าชายคาซาลเองก็อดไม่ได้ที่จะมองคนสนิทของเสด็จแม่ อาลีซ่าเป็นผู้หญิงที่มีจริตงามตามแบบฉบับของสาวชาววัง กิริยามารยาทของเธอมักทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะชื่นชม

รานีฟารินาห์มองทั้งคู่ ทรงไม่รังเกียจที่จะได้อาลีซ่ามาเป็นสะใภ้ หญิงสาวเป็นลูกของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันซึ่งย่อมเป็นผลดีต่อเจ้าชายคาซาลอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทรงรอจังหวะสักครู่ก่อนตรัสขึ้น

“แล้วทำไมต้องไปเอาสมุนไพรเองด้วยใช้ใครไปก็ได้ อย่าลืมสิว่าตัวเองไม่ใช่นางกำนัลอย่างคนอื่นเธอเป็นลูกสาวของท่านรัฐมนตรีนะ ถ้าเขารู้ว่าฉันใช้งานเธอหนักจะมาว่าเอาได้”

“สำหรับองค์รานีแล้วหม่อมฉันต้องไปเองค่ะ ไม่ใช่เพราะอยากทำตัวเสมอนางกำนัลแต่เพราะกลัวคนอื่นจะเอามาไม่ถูกพระทัยมากกว่า”

“ดูเอาเถอะ เห็นเงียบๆ แบบนี้แต่ปากหวานไม่ใช่เล่น” รานีฟารินาห์สัพยอกกับพระโอรสก่อนรับสั่ง “งั้นก็ไปรีบไปเถอะจ๊ะ”

อาลีซ่าอมยิ้มน้อยๆ เธอมองเจ้าชายองค์โตแห่งซาราเวียแล้วถอยหลังออกจากห้องนั้นแต่ยังไม่พ้นดีก็ได้ยินเสียงองค์รานีเปรยกับลูกชาย

“อาลีซ่าเนี่ยมารยาทงามสมกับที่แม่ฝึกฝนไว้เหมาะกับตำแหน่งสะใภ้ของแม่จริงๆ ลูกคิดเหมือนแม่หรือเปล่าจ๊ะคาซาล”

“ครับเสด็จแม่” เสียงเจ้าชายของซาราเวียตอบรับยิ้มๆ ทำให้คนที่เพิ่งก้าวออกไปแก้มแทบจะปริเลยทีเดียว และเมื่อเดินออกมาได้สักพักหญิงสาวก็ได้ยินเสียงใครสักคนเดินมาจากอีกด้าน ทำให้เธอก้าวช้าลงเหมือนต้องการดูว่าใครจะปรากฏตัว

“ท่านหญิงอาลีซ่า กำลังจะไปไหนหรือครับมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่า” ซากีร์ หนุ่มวัย25 ซึ่งเพิ่งได้เป็นทหารกององค์รักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายคาซาลหมาดๆ เดินเข้ามาและถามเมื่อเห็นหญิงสาวรีๆ รอๆ อยู่

“ฉันกำลังจะไปเอาสมุนไพรมาให้องค์รานีน่ะ เจ้าชายคาซาลอยู่ในห้ององค์รานีน่ะ ทำไมเพิ่งตามมาล่ะ”

“องค์สุลต่านวานให้ไปเรียกเจ้าชายไฟซารห์ครับ” ซากีร์มองไปทางห้องขององค์รานีก่อนจะมองไปด้านหลังตนเองและบุรุษอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้น

“ถวายพระพรเจ้าชายไฟซารห์”

อาลีซ่าก้มศีรษะลงอย่างไม่นึกว่าจะเจออีกฝ่าย ซากีร์ก็ทำเช่นนั้นเหมือนกันแต่เจ้าชายหนุ่มก็ทักขึ้นด้วยความไม่ถือพระองค์

“อาลีซ่าใช่ไหม หลายปีแล้วสินะที่ไม่เจอกัน”

หญิงสาวอดที่จะเหลือบมองพระพัตร์คมของเจ้าชายไฟซารห์ไม่ได้ แว่บเดียวเท่านั้นแต่ความคิดในใจก็เห็นด้วยกับคำที่เขาพูดกันทันที ‘เจ้าชายไฟซาห์ ทรงเป็นหนุ่มลูกครึ่งที่รูปหล่อและก็มีเสน่ห์ที่สุดเท่าที่ใครเคยเจอมา พระพักตร์คมนั้นดึงส่วนเด่นของฝ่ายบิดาและพระอัยยิกามาไว้ในตัวเองได้อย่างลงตัวที่สุด’

“ทรงกำลังเสด็จไปพบองค์สุลต่านใช่ไหมเพคะ” อาลีซ่าถามเบาๆ

“อืม...ไม่ได้มาหลายปีแต่ที่นี่ก็ยังเงียบกริบเหมือนเดิมเลย” เจ้าชายไฟซารห์เหยียดมุมโอษฐ์ก่อนรับสั่ง “แล้วเธอล่ะอาลีซ่ากำลังจะไปไหน”

“หม่อมฉันจะไปเอาสมุนไพรมาให้องค์รานีเพคะ พอดีสมุนไพรบางตัวที่ต้องใช้หมด” คนตอบมองอีกฝ่ายและอดไม่ได้ที่จะคิดเหมือนเดิมอีกรอบหนึ่ง

“เธอนี่ดูแลเสด็จแม่เป็นอย่างดีเสมอเลยนะ น่าเบาใจจริงๆ ที่มีเธออยู่ข้างๆ พระองค์” เจ้าชายหนุ่มตรัสขึ้นพร้อมยิ้มอย่างขอบคุณก่อนขยับพระวรองค์เพื่อจะก้าวพระบาทไปตามทางแยกข้างหน้า ทว่าอาลีซ่ากลับเรียกอีกฝ่ายไว้ด้วยท่าทีไม่แน่ใจ

“เอ่อ เจ้าชายเพคะ...ถ้าทรงไม่ว่าอะไร หม่อมฉันก็อยากจะให้ทรงลองนวดฝ่าพระบาทบ้าง เดี๋ยวหม่อมฉันจะนำสมุนไพรไปให้ที่วังนะเพคะ”

“ฉันน่ะเหรอ”

ราชนิกูลหนุ่มถามขึ้นด้วยไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ตอนนั้นทรงเดินถึงทางแยกระหว่างที่จะไปห้องทรงงานขององค์สุลต่านพอดี วรองค์สูงจึงหยุดและมองหญิงสาวในชุดสีครีม

“ขอบใจนะ แต่คงไม่ต้องหรอก”

คำตรัสเป็นเชิงปฏิเสธแต่น้ำเสียงไม่ใช่การตัดเยื่อใย ทำให้อาลีซ่าเงยมองพระโอรสเลือดผสมแห่งซาราเวีย ดวงเนตรสีไพลินของพระองค์ช่างสวยงามเหลือเกิน เธอคิดว่าเจ้าชายไฟซารห์ช่างเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์ ทุกอิริยาบถของพระองค์นั้นล้วนชวนให้คนมองอยากมองซ้ำ ชวนหลงใหล หญิงสาวจึงบอกเบาๆ “ถ้าอย่างนั้น...ถ้าพระองค์รู้สึกต้องการใช้มันเมื่อไหร่ หม่อมฉันจะนำไปให้นะคะ”

เจ้าชายไฟซารห์ก้าวพระบาทไปหยุดหน้าห้องซึ่งมียามรักษาการณ์ยืนอยู่สองคนและหันกลับมามองหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ในระดับห่างจากตนประมาณช่วงแขน ดวงตาสีไพลินไม่ได้บอกถึงอาการตอบรับหรือปฏิเสธหากเพียงหยักมุมโอษฐ์น้อยๆ และก้าวเข้าไปในทางซึ่งอาลีซ่าไม่อาจตามไปได้เพระเป็นห้องทรงงานขององค์สุลต่าน หญิงสาวได้แต่มองตามร่างสูงและนิ่งอยู่อย่างนั้นจนซากีร์กระแอมเสียงดัง

“จะให้ผมไปช่วยถือสมุนไพรไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก” อาลีซ่ารู้สึกตัวและรีบเดินไปทำสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่ต้นทันที



ณ ทะเลทรายคานัคส่วนหนึ่งในอาณาเขตของประเทศซาราเวีย

กองคาราวานผู้คน อูฐขนของ และม้าหลายตัวเคลื่อนตัวมาตามเส้นทางสีทองในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ จุดหมายของพวกเขาคือโอเอซิสขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งน้ำแห่งสุดท้ายก่อนที่จะเดินทางเข้าชายแดนของซาราเวีย เสียงย่ำเท้ากระทบทราย เสียงสิ่งของกระทบกันดังอยู่อย่างต่อเนื่อง

หน้าขบวนมีกลุ่มชายหลายคนบนม้าอาหรับสายพันธ์ดีและหนึ่งในนั้นก็ปรากฏบุรุษวัยประมาณ 30 ปีผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่กำลังควบคุมเจ้าสัตว์พาหนะอยู่

“รีฮาน”

เสียงเรียกจากชายมีอายุซึ่งควบม้าอยู่ข้างๆ เขามีโครงสร้างรูปกายคล้ายกันแต่ความอายุมากและตรากตรำทำให้ดูผอมซูบ ชายชุดน้ำเงินที่ถูกเรียกว่า ‘รีฮาน’ ขานรับและหันกลับมาเล็กน้อย

“ครับท่านชีค”

รีฮานเป็นชายชาวอียิปต์ เขามีผิวคล้ำกว่าชาวอัลคาซานทั่วไป ใบหน้ามีแผลเป็นยาวตั้งแต่หน้าผากพาดผ่านปลายคิ้วลงมาอีกจนถึงระดับเดียวกับโหนกแก้ม ชายหนุ่มคอยอารักขาและติดตามใกล้ชิดชีคซารนมาตั้งแต่ยังเด็กเพราะสำนึกในบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยเหลือมาจากขบวนการของพวกค้ามนุษย์

“เรียบร้อยดีใช่ไหม ไม่มีวี่แววพวกโจรทะเลทรายหรือพวกคนร้ายอย่างที่เค้าโจษขานกันใช่ไหม” ท่านซารานเองก็ให้ความไว้เชื่อใจอีกฝ่ายและยกย่องเขาเกินคำว่าทาสที่ถูกช่วยเหลือ

“ครับ เดาได้สองอย่าง คือไม่เคยมีพวกนั้น หรือไม่พวกมันหลีกเลี่ยงที่จะเจอพวกเรา”

“อืม” ผู้เป็นชีคพยักหน้า นัยน์ตาบนดวงหน้าซึ่งใช้ผ้าสีน้ำเงินปิดบังมองไปรอบๆ ก่อนออกความเห็น “ถ้าการปรากฏตัวของพวกเราทำให้แถวนี้สงบขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ว่าแต่ใกล้จะถึงที่หมายหรือยังล่ะ”

“อีกไม่นานเท่าไหร่แต่ถ้าท่านชีคต้องการจะให้พัก เราจะพักกันก่อนก็ได้”

รีฮานรีบบอกชายมีอายุอย่างห่วงใยแต่อีกฝ่ายรีบส่ายหน้าพร้อมพยามยามกลืนน้ำลายข่มอาการแสบลำคอเอาไว้และบอกด้วยเสียงที่เริ่มแหบลง

“จะให้พักทั้งๆ ที่คนอื่นยังไหวหรือไง เสียชื่อท่านซารานหัวหน้าชาวอัลคาซานหมดน่ะสิ ไปต่อเถอะ แล้วก็ดูพวกผู้หญิงข้างหลังด้วยว่าเป็นยังไงกันบ้าง”

‘อัลคาซาน’ เป็นชื่อของชนเผ่าทะเลทรายที่แข็งแกร่งและมีอิทธิพลที่สุด พวกเขาได้รับอภิสิทธิ์ตั้งแต่ครั้งเพิ่งก่อตั้งประเทศซาราเวียให้ครอบครองดินแดนทะเลทรายในแถบนี้ ผู้คนและชนเผ่าเล็กๆ ที่อยู่ในทะเลทรายคาร์นัคล้วนให้ความเคารพและเชื่อฟังชีคของอัลคาซาน

รีฮานก้มศีรษะน้อยๆ ให้ก่อนดึงบังเหียนม้าเพื่อหันกลับไปดูเบื้องหลังของตน ผู้คนไม่ว่าจะเป็น ชาย หญิง ลูกเด็กเล็กแดงต่างเดินตามขบวนมา บ้างก็เดิน บ้างก็นั่งบนสัตว์พาหนะพร้อมข้าวของมากมาย รวมถึงขบวนอูฐซึ่งมีกลุ่มพวกผู้หญิงอยู่หลายคนด้วย ชายผิวคล้ำร่างใหญ่ดึงบังเหียนตรงไปยังอูฐพวกนั้นซึ่งมีที่นั่งอย่างดีรองด้วยเบาะสีน้ำเงินเข้มขลิบเหลืองพร้อมร่างของหญิงในชุดสีฟ้ามิดชิดสองคนซึ่งก็คือชีคก้านาบีร่าและลูกสาววัย 25 ปีชื่อ นีสรีน

“ใกล้จะถึงโอเอซิสใหญ่แล้วครับชีคก้า”

เขาบังคับม้าเข้าไปใกล้และเอ่ยขึ้นเป็นเชิงบอก สายตาสีอำพันมองเลยไปจุดที่ไม่ไกลกันนั้นซึ่งมีร่างหนึ่งนั่งอยู่บนม้าสีดำตัวใหญ่ขนทั้งตัวมันเป็นเงางามสมกับเป็นม้าอาหรับสายพันธ์ดีที่หาได้ยาก ร่างเพรียวอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มมองคล้ายพวกผู้ชายและโพกหน้ามิดชิดเห็นเพียงดวงตาสีน้ำตาลหวาน เธอบังคับม้าขึ้นไปอยู่เคียงข้างขบวนอูฐของชีคก้าทำให้คนซึ่งนั่งอยู่ข้างบนเปิดม่านเล็กน้อยและเรียก

“เจนนาห์ทำไมขึ้นมานั่งบนหลังอูฐล่ะ พี่นิสรีนยังนั่งหลังอูฐเลย ขี่ม้าแบบนั้นพวกผู้ชายเขาทำกันต่างหาก”

“แต่ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ต้องขึ้นอูฐสลับกับการเดินเท้าก็มีนะคะ เจนสบายกว่าพวกเขาตั้งเยอะ” คนถูกเรียกตอบยิ้มๆ โดยยังบังคับม้าเคียงคู่อูฐไปเช่นเดิม

“นั่นสิคะแม่...” นีสรีนออกความเห็น “ที่จริงถ้าแต่งตัวแบบเจนนาห์แล้วเดินอยู่ในกลุ่มพวกผู้ชาย ไม่รู้จะมีคนแยกออกไหม”

“นั่นสิคะ แล้วจะมีใครแยกออกไหม” เจนนาห์ทวนคำของนีสรีนก่อนดึงผ้าคลุมหน้าให้ต่ำลงแทบปิดดวงตาและบังคับม้าออกไปเบื้องหน้า

“ไม่ได้นะเจนนาห์” ชีคก้าส่งเสียงห้าม ในอัลคาซานมีกฏว่าผู้หญิงต้องตามหลังผู้ชายเท่านั้นห้ามเกินหน้าเกินตาในทุกๆ ด้าน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจเลย รีฮานเห็นแบบนั้นจึงรีบบอก

“ผมจะไปเรียกให้เอง”

“ไม่ต้องไปห้ามเจนนาห์หรอกรีฮานเพราะไม่ใช่ว่าน้องจะเชื่อ” นีสรีนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ “ไม่มีใครสังเกตหรอก ทุกๆ คนล้วนแต่รีบเดินทางกันทั้งนั้น ยิ่งไปเรียกก็ยิ่งจะทำให้คนอื่นสังเกตมากกว่า”

ทำให้ชายฉกรรจ์วัย 30 มองแผ่นหลังของเจนนาห์ซึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงินแบบพวกผู้ชายพร้อมคิดในใจว่าสำหรับเขานั้นถ้าไม่ได้มีการจงใจแต่งอำพรางเหมือนเมื่อคราวที่เธอปลอมตัวออกไปสู่สนามแข่งขันการต่อสู้ของพวกผู้ชาย ตนเองก็ยังจำร่างเพรียวระหงนั้นได้เสมอ

ไม่นานทั้งหมดก็เดินทางมาถึงโอเอซิสขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายสีทองกว้างร้างผู้คน ความเงียบสงบของที่นี่เกิดความเปลี่ยนแปลงเมื่อขบวนคาราวาน ผู้คน ม้าและอูฐเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เสียงตะโกนสั่งการดังขึ้นพร้อมๆ ที่ทุกคนต่างหยุดเพื่อจัดแจงกับข้าวของซึ่งกองพะเนินบนหลังอูฐ เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่สามารถช่วยอะไรได้ก็เริ่มวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนที่มีน้องก็อุ้มพร้อมชะเง้อมองคนอื่นด้วยดวงตาวิบวับราวกับกำลังเล่นด้วย ผู้ใหญ่หญิงชายต่างทำงานของตนเองอย่างขะมักเขม้นว่องไวและแบ่งหน้าที่กันได้อย่างลงตัว

ผ้าพรมผืนยาวถูกปูลงบนพื้นทราย กระโจมต่างๆ ถูกกางขึ้น ขนาดเล็กใหญ่ตามจำนวนคนในครอบครัวและสถานะของผู้จับจอง พอตกเย็นบริเวณที่โล่งก็มีการนำเศษฟืนมารวมกันก่อเป็นกองไฟเพื่อบรรยากาศหนาวเย็น พวกผู้ชายล้วนหาเครื่องดื่มร้อนมาใส่แก้วกินกันพร้อมพูดคุย ส่วนผู้หญิงก็จับกลุ่มกับเด็กๆ แต่อยู่เพียงไม่นานก็จะกลับเข้ากระโจมของตนเองเหลือแต่พวกผู้ชายเท่านั้นที่มีการละเล่นในแบบของพวกเขาเองอย่างเช่นการฝึกฝนการต่อสู้

เจนนาห์นั่งอยู่ในกลุ่มพวกผู้หญิงและเด็กๆ เธอฟังเสียงหัวเราะมองความเป็นไปซึ่งคุ้นตา รู้ดีว่าชีวิตของชาวทะเลทราย ความเป็นอิสระของอัลคาซานซึมซับไปทั่วทุกอนูของตนเอง เธอมีความสุขเมื่อได้อยู่บนหลังม้าและตื่นเต้นเสมอเมื่อมองเห็นดินแดนกำลังที่จะพบเบื้องหน้า...แต่น่าแปลกนัก คราวนี้เมื่อรู้ว่าตนกำลังเดินทางเข้าใกล้ซาราเวียเรื่อยๆ เธอกลับเกิดความรู้สึกบางอย่าง ไม่นานร่างระหงจึงลุกขึ้นและเลี่ยงเดินผ่านกระโจมต่างๆ ไปอีกด้านของโอเอซิส ทว่าระหว่างทางนั้นหญิงสาวได้ยินเสียงคุยกันดังแว่วๆ มาจากในกระโจม

“เห็นคุณหนูเจนนาห์ไหม วันนี้เธอขี่ม้ามาตลอดแถมยังพยายามทำตัวทัดเทียมพวกผู้ชายอีก เป็นอย่างที่บีดันพูดจริงๆ ว่าเธอต่างกับคุณหนูนีสรีนเหลือเกิน ฉันเชื่อจริงๆ แล้วว่าชาติกำเนิดทำให้คนเราต่างกัน เฮ้อ! พูดอย่างนี้ทำให้อดคิดถึงเรื่องเมื่อเกือบยี่สิบปีปีที่แล้วไม่ได้” เสียงแรกเป็นของชายแก่คนหนึ่งและถูกขัดด้วยอีกเสียงซึ่งเป็นหญิงชราเช่นกัน

“พอเถอะ เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้าหรอก”

“โธ่กลัวอะไร ไม่มีใครได้ยินหรอก ทุกคนสนุกอยู่รอบกองไฟกันหมดแล้วมีแต่คนแก่ๆ อย่างพวกเรานี่แหละที่เฝ้ากระโจม” เสียงถอนหายใจดังๆ แว่วมาก่อนจะพูดต่อ “เราไม่ได้มาแถวนี้เกือบยี่สิบปีแล้วสินะ วิหารหลังนั้นคงอยู่ไม่ไกลนี่เองหรือไม่ก็อาจผุพังไปหมดแล้ว”

“เลิกพูดเถอะตาเฒ่า ลืมเรื่องวิหารนั่นเสียทีเถอะ จำได้ไหมท่านซารานสั่งว่าห้ามเราพูดถึงเรื่องนั้นอีก”

ผู้เป็นภรรยาบอกพร้อมรินน้ำชาใส่แก้วให้สามี ทว่าเมื่ออีกฝ่ายกำลังจิบก็แทบจะสำลักออกมา เมื่อกระโจมถูกเปิดพรึ่บ! พร้อมปรากฏร่างระหงยืนอยู่

“คุณหนูเจนนาห์!”



*************************************************************************











แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2556, 10:04:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2557, 14:18:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1679





   2 >>
แพรพริมา 29 พ.ค. 2556, 11:06:10 น.
ขอบคุณสำหรับ Like งามๆ ด้วยความรักและคิดถึง


Siang 29 พ.ค. 2556, 11:16:00 น.
คิดถึงค่า like ก่อน เม้นท์ทีหลังนะคะ


แพรพริมา 29 พ.ค. 2556, 11:21:15 น.
รักน้องสาวจังเรยยย


Zephyr 31 พ.ค. 2556, 16:16:15 น.
ยัยเด็กนี่เป็นใคร??
ตอบให้มะ ว่าที่เมีย ไงคะ เจ้าชาย ฮ่าๆๆๆ
แต่เอ๊ จะให้เลี้ยงต้อยเหรอคะ
โอ๊ะ แต่ 14 กะ 18 ไม่ห่างกันเท่าไรนะ อิอิ
คราวนี้มาแนววัยรุ่นเลยค่ะ


แพรพริมา 31 ก.ค. 2556, 11:41:43 น.
ไม่วัยรุ่นเท่าไหร่หรอกค่า แค่ท้าวความเพราะพระนางรู้จักกันตั้งแต่ประมาณนี้อะจ้า


Zephyr 5 มี.ค. 2557, 20:26:45 น.
เปลี่ยนแนวเรื่องใหม่เหรอคะ เหมือนมันจบไม่เหมือนเดิมนะ


แพรพริมา 7 มี.ค. 2557, 10:32:40 น.
@Zephyr แนวเดิมค่ะ แตเปลี่ยนการนำเสนอนิดนึง อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account