ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น
ตอน: 2
ขอโทษที่คราวที่แล้วหายไปเฉยๆ นะคะ พอดีมีเหตุการณ์นิดหน่อยทำให้ไม่มีเวลาเขียนต่อ คราวนี้ก็มีเหตุการณ์อีกนิดหน่อยที่ทำให้ต้องเขียนให้จบโดยเร็ว และเปลี่ยนชื่อจาก "มนตร์ทรายใต้เงาจันทร์" เป็น "ไฟรักทรายเสน่หา" นะคะ และสามารถลงได้แค่ 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเนื่องจากเป็นคอมเม้นท์จากทางสำนักพิมพ์ หวังว่าจะไม่โกรธกันนะคะ
ตอนที่ 2
ความมืดในยามรัตติกาลค่อยๆ เยื้องกรายเข้ามาเยือนโอเอซิสใหญ่ช้าๆ ทว่าท่ามกลางความหม่นหมองนั้นก็ยังมีแสงจันทร์สาดส่องเพื่อมอบความสว่างให้
หลังจากที่ออกมาจากกระโจมของสองสามีภรรรยาเฒ่า เจนนาห์ก็แอบมายืนอยู่ใต้ต้นปาล์ม ดวงตาสีน้ำตาลมองผืนทรายซึ่งแลดูเป็นเส้นสายท่ามกลางแสงอ่อนๆ ของดวงจันทร์ มือเรียวยกขึ้น ล้อปลายนิ้วกับสายลมเย็นที่พัดโชย
“คุณหนูเจนนาห์”
เสียงทุ้มที่เรียกทำให้หญิงสาวหันกลับมา ผมสีหยักศกสีน้ำผึ้งซึ่งปราศจากผ้าคลุมใดๆ สะบัดตามและพบรีฮานยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหลัง
“มีอะไรเหรอรีฮาน”
“ท่านซารานบอกให้ผมมาตามหาเพราะคุณหนูไม่อยู่ที่กระโจมและไม่อยู่ที่รอบกองไฟ แล้วคุณหนูมาทำอะไรที่นี่คนเดียวครับ” รีฮานอ้างบิดาอีกฝ่ายทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองที่หาเจนนาห์ไม่เจอและนึกเป็นห่วง
“ฉันก็แค่...แค่อยากดูทะเลทรายตอนกลางคืนเท่านั้นเอง”
เจนนาห์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ นี่คือข้อแตกต่างของเจนนาห์กับลูกสาวและหลานคนอื่นๆ ของท่านซาราน หญิงสาวไม่เคยถือตัวว่าสูงส่งกว่าคนอื่น ไม่เฉพาะนิสัยแต่เรื่องหน้าตาก็เช่นกัน ดวงตาสีน้ำตาลแพขนตางอนยาวนั้นมีทั้งคมและความหวานซ่อนเร้นอยู่ ไม่ได้คมจนดุดั่งเช่นหญิงอื่นๆ รูปร่างของเธอก็เพรียวระหงสมส่วน นิ้วมือเรียวช่วงขาก็เรียวสวยผิดกับชาวซาราเวียทั่วไปซึ่งมีโครงร่างใหญ่ นั่นเป็นเพราะแม่ของเธอเป็นชาว‘ไทย’
ท่านซารานเล่าให้เจนนาห์ฟังว่า มารดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอเพิ่ง 4 ขวบ หน้าที่ดูแลเด็กหญิงจึงเป็นของชีคก้านาบีร่าแทน และความที่สาวลูกครึ่งเป็นคนที่มีความคิดไม่ค่อยเหมือนใครจึงมักถูกแยกออกจากคนอื่นๆ เสมอ
“ท่านชีคคงเป็นห่วงคุณ” รีฮานพูดเบาๆ
“ถ้างั้นรีฮานก็เพิ่งเดินออกมาตามฉันเหรอ หรือว่าเห็นเจนนานแล้วแต่เพิ่งเรียก” เจนนาห์หรี่ตาลง เธอเองก็สงสัยเหมือนกันว่ารีฮานเห็นตอนตนเองเดินออกมาจากกระโจมของสองผู้เฒ่าหรือเปล่า
“ผมเพิ่งเห็นครับ” รีฮานตอบก่อนจะพูดต่อ “พวกเรากำลังจะแข่งขันการต่อสู้กัน ปกติคุณชอบดู..”
“ประลองงั้นเหรอ ใช่สินะ ฉันชอบ...และก็เคยปลอมตัวลงไปเล่นด้วย” เจนนาห์หยักมุมปากน้อยๆ มองอีกฝ่าย รีฮานจึงถอนหายใจ นึกถึงเรื่องในอดีต วันนั้นเขาวิ่งเข้าไปในสนามประลองแทบไม่ทันเมื่อสังเกตเห็นว่าเจนนาห์แอบแต่งตัวเป็นผู้ชายและกำลังประลองอยู่กับหนุ่มคนหนึ่ง เขารีบจับไอ้หนุ่มคนนั้นทุ่มออกไปนอกสนามและกลายเป็นคู่ประลองของหญิงสาวแทน
“ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นอีกเลยครับ”
“ทำไมเหรอ” เจนนาห์ก้าวเข้ามาหาเขา ใบหน้าเรียวเชิดน้อยๆ “กลัวเจนจะล้มนายแบบคราวที่แล้วน่ะเหรอ”
วันนั้นเจนนาห์ทุ่มเขาลงกับพื้นและเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ต้องจบการแข่งขันลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นรีฮานก็รีบดึงเธอออกไปนอกสนามด้วยเกรงว่าจะมีใครสังเกตเห็น แต่ในปัจจุบันรีฮานก็ไม่อธิบายอะไรนอกจากมองลูกสาวคนเล็กของท่านซารานแล้วตอบสั้นๆ
“ครับ”
“ตอนนี้ชักอยากทำแบบนั้นอีกแล้วสิ” เจนนาห์แสร้งทำตาโตพร้อมรีบก้าวนำหน้าไปสองก้าว รีฮานจึงรีบตามพร้อมร้องเรียก แขนกำยำเกือบจะดึงแขนเรียวไว้แล้วถ้าเธอไม่หยุดเสียก่อน
“คุณหนูครับ อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะครับ”
“อื้อ...”
เจนนาห์หันกลับมาตอบหน้าตาเฉยและมองท่าทางของอีกฝ่ายพร้อมยิ้มน้อยๆ ชายหนุ่มจึงรู้ว่าตนเองโดนแกล้ง เขาถอนหายใจน้อยๆ และอดจะยิ้มไม่ได้
“คุณหนูแกล้งแหย่ผมอีกแล้ว”
“ฉันแค่อยากให้รีฮานยิ้มบ้าง ก็นายชอบทำเหมือนเสือยิ้มยาก ทำท่าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลก” เจนนาห์ก้าวกลับไปที่เดิมอีกครั้ง
“คุณหนูก็เหมือนกันนั่นแหละครับ บางทีคุณหนูก็ชอบทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา” รีฮานจึงก้าวตามขณะตอบ แม้จะเจนนาห์มีวัยเพียง 23 แต่เธอดูเป็นคนที่ชอบคิดอะไรคนเดียวและมีท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ
“เหรอ” เจนนาห์พึมพำ บางทีเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเป็นเช่นนั้น “บางที...ฉันคงพยายามคิดละมังว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง ฉันจำได้แค่ว่าแม่เป็นคนสวยและอ่อนโยน ท่านมีดวงตาสีน้ำตาล ฉันอบอุ่นทุกครั้งเวลาคิดถึงท่าน แต่ตอนนั้นฉันก็เด็กมาก มันผ่านมานานแล้ว...ที่นี่ไม่มีใครพูดถึงแม่ให้ฉันฟังเลย ทุกอย่างมันเลือนรางเหลือเกิน”
ตลอดเวลารีฮานได้แต่เงียบฟังจนกระทั่งเจนนาห์ถามขึ้น “ฉันถามอะไรหน่อยสิรีฮาน”
“ครับ”
“รีฮานอยู่กับพ่อซารานมาตั้งแต่เด็กๆ ใช่ไหม...หมายถึงก่อนหน้าที่ฉันจะเกิดน่ะ”
“...ครับ”
“งั้นตอนเด็กๆ เจนเคยมาซาราเวียไหม” เจนนาห์ถามขึ้นด้วยดวงตาแวววาว วันนี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่รบกวนจิตใจ และเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของดินแดนที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที ตั้งแต่เด็กจำความได้เธอเดินทางไปทั่วทิศกับชาวทะเลทราย พักอยู่ตามโอเอซิสในเขตใกล้พรมแดนอียิปต์ เท่าที่รู้เธอยังไม่เคยเหยียบซาราเวียเลยแต่ทำไมจึงมีความรู้สึกบางอย่าง...บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร
“มาซาราเวีย...แน่นอน...เคยมาแล้วครับ” รีฮานคิดก่อนตอบอย่างปกติ “เพียงแต่เราไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว”
“งั้นเหรอ...” เจนนาห์พึมพำก่อนถามขึ้น “แล้วทำไมเราถึงไม่ได้มาที่นี่นานแล้วล่ะ แถวนี้ก็ดูเหมือนยังอุดมสมบูรณ์กว่าที่ๆ เราผ่านมา...หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องที่ท่านพ่อทะเลาะกับสุลต่านอัสตาฟา”
“คุณหนูรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”
“รู้สิก็มันไม่ใช่ความลับอะไรสักหน่อย ฉันเคยได้ยินว่าบรรพบุรุษของเราเคยขัดแย้งกับราชวงศ์มัสตาฟาเรื่องบัลลังก์ซาราเวีย แล้วก็เรื่องที่อัสคาซานแยกตัวออกมามีอิทธิพลเหนือทะเลทรายคานัค”
“ก็ใช่ครับ”
“และการมาซาราเวียครั้งนี้ ท่านพ่อก็คิดใช้การแต่งงานของพี่นีสรีนกับเจ้าชายรัชทายาทเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ เพราะตอนนี้ทะเลทรายคานัคกำลังประสบปัญหาแห้งแล้งใช่ไหม” เจนนาห์ถามขึ้นทำให้รีฮานนิ่วหน้าลงด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่ก่อนหน้านี้ชีคซารานส่งคนล่วงหน้าไปซาราเวียเพิ่งแจ้งสุลต่านอัสตาฟาว่าต้องการพบกันอีกครั้ง เนื่องจากเรื่องเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างและมีบางคนเท่านั้นที่รู้
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” รีฮานเลี่ยงที่จะไม่ตอบ “พวกเราควรเข้าไปด้านในได้แล้วนะครับ ท่านชีคคงกำลังรออยู่”
“ความจริงเจนก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะว่านายจะไม่รู้” เจนนาห์อดไม่ได้ที่จะค่อนอีกฝ่าย เพราะเป็นที่รู้กันว่าท่านชีคซารานไม่มีบุตรชายเขาจึงสนิทสนมและหารือเกือบทุกเรื่องกับรีฮานเสมอ แต่หญิงสาวก็คร้านที่จะคาดคั้นเขาอีกเพราะรู้ดีว่าสิ่งใดที่พ่อสั่งว่าไม่ให้พูดก็จะไม่หลุดจากปากของรีฮานเช่นกัน
“แต่ที่พูดก็เพราะฉันสงสารพ่อ เจนรู้นะว่าพ่อภูมิใจในความเป็นอัลคาซานมากแต่ก็โชคร้ายที่ท่านไม่มีบุตรชายสืบทอดเจตนารมย์เลย แล้วตอนนี้ยังมาประสบปัญหาความแห้งแล้งอีก ท่านคงต้องทำใจมากกับการเข้าไปขอร้องพวกมัสตาฟา”
หญิงสาวถอนหายใจก่อนกลับเข้าไปในกลุ่มรอบกองไฟแต่ตอนนั้นเธอก็ไม่เห็นท่านซานอยู่ที่นั่นแล้ว เจนนาห์จึงนั่งดูการประลองของญาติๆ สักครู่ก่อนจะไปนอนบ้าง
คืนนั้นเจนนาห์นอนกระโจมใหญ่ซึ่งกั้นเป็นห้องหลายห้อง เธอล้มตัวลงบนที่นอนและรู้สึกว่าตนเองหลับลึกได้อย่างรวดเร็วเพราะความอ่อนเพลีย
“รียา...อารียา....”
ไม่รู้ว่านานเท่าไห่ทว่าเสียงเรียกแผ่วๆ ก็ทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นและก็ต้องตกใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมันเป็นห้องกว้างสร้างจากหินสลัก มีโต๊ะแบบโบราณ และแจกันดอกไม้ ร่างระหงผวาลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าต่างมองออกไป
“โอเอซิสนี่นา แต่ว่ามันดูไม่คุ้นเลย...”
เจนนาห์บอกกับตัวเองเพราะที่นี่ไม่คุ้นตาเหมือนสถานที่ซึ่งเธอลงไปเดินเล่นอยู่เมื่อเย็น หญิงสาวจึงตรงไปที่ประตู เธอเห็นบันไดทอดยาวลงไปที่พื้นมีประมาณ 7 ขั้นและเมื่อหันกลับมาเธอก็เห็นอีกว่าที่ๆ เพิ่งออกมานั้นมีลักษณะเหมือนกับวิหาร ขณะที่จะก้าวลงไปนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีก
“รียา...เจนนาห์...”
เสียงเรียกชื่อใครสักคนทำให้เธอหันหลังกลับและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากวิหาร รูปร่างของเธอสวยงามใบหน้าอิ่ม ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี อะไรอย่างหนึ่งทำให้เจนนาห์เปล่งเสียงออกมา
“แม่...แม่คะ...”
“กลับมานารี!” ทว่ากลับมีเสียงตวาดดังขึ้นและเธอคนนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป เจนนาห์รีบวิ่งตามแต่ฉับพลันทางข้างหน้ากลับหายวับกลายเป็นหลุมดำกว้างแล้วเธอก็ตกลงไป!
“แม่นารี!” ร่างเพรียวระหงผุดลุกขึ้นนั่งริมฝีปากเปล่งเสียงออกมาตามนั้น แต่รอบๆ กายของเธอกลับเป็นห้องเล็กๆ ในกระโจมใหญ่ของชาวอัลคาซาน
“เกิดอะไรขึ้น...ร้องทำไมเจนนาห์”
นีสรีนซึ่งนอนอยู่ไม่ห่างพลอยตื่นตามและถามขึ้นอย่างงัวเงีย คนฝันร้ายจึงเดินไปหาพี่สาว
“พี่นีสรีน ฉันฝันร้าย”
“ฝันร้าย...โธ่เอ๊ย เจนนาห์ ตอนนี้เธออายุ 23 แล้วนะ เธอฝันร้ายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน ทำไมต้องทำท่าหวาดกลัวขนาดนั้นด้วย” คนเป็นพี่ปลอบพร้อมยกมือลูบบ่าน้องสาว นีสรีนอายุ 25 ปีแล้วแต่ยังไม่ยอมแต่งงาน เธอมีลักษณะต่างจากเจนนาห์ ผมของนีสรีนยาวหยักสีดำใบหน้าสวยคมแบบชาวอัลคาซานรวมทั้งมีรูปร่างอวบหนากว่าน้องสาว
“แต่ว่า...”
“ไปนอนเถอะ ดึกดื่นอยู่เลย พี่ง่วงนะ”
เจนนาห์นั่งนิ่งอยู่ชั่วนาที ใจหนึ่งก็อยากเล่าความฝันให้พี่สาวฟังแต่เมื่อนีสรีนพูดเช่นนั้น เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นและเดินกลับยังที่นอนของตนเองก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
เสียงเครื่องยนต์ของรถ Jeep cherokee 4.0 Limited สีดำ คันใหม่เอี่ยมแล่นผ่านเม็ดทรายเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อนซึ่งทับถมกันจนกลายเป็นผืนทรายกว้างใหญ่ ท้องฟ้ายามบ่ายจัดทอสีหม่นลง ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก แสงจ้าๆ ตลอดทั้งวันเริ่มอ่อนแรงและสักครู่รถคันนั้นก็จอดสนิทที่พื้นดินร้างผู้คน
ที่นี่ก็เหมือนพื้นที่ร้างทั่วๆ ไปในเขตทะเลทรายเพราะผืนดินเริ่มแตกระแหงเหมือนโดนใช้ประโยชน์จนเสื่อมสภาพบริเวณที่เห็นส่วนมากจึงเป็นภูเขาหินสีเหลืองอมน้ำตาล และที่เชิงเขานั้นก็ปรากฏสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายวิหารในสถาปัตยกรรมตะวันออกกลาง เสาสูงใหญ่หลายต้นตั้งตระหง่านคานน้ำหนักของหลังคาซึ่งแม้บางส่วนจะชำรุดทรุดโทรมจนทลายไปบ้างแต่ก็ยังมีผนังและเห็นลวดลายหินสลักสวยงาม
ทันทีที่รถจอดประตูด้านคนขับก็ถูกเปิดออกและบุรุษร่างสูงในชุดลำลองก็ก้าวลงมาตามด้วยคนที่ก้าวลงอีกด้านและมีสีหน้ากังวล
“เจ้าชายไฟซารห์...กระหม่อมคิดว่าเราไม่ควรมาที่นี่เลย”
คนทักท้วงอยู่ในเครื่องแบบสีกรมท่า ผิวคล้ำรูปร่างใหญ่แต่ไม่สูงมากนัก เขาเร่งฝีเท้าตามคนที่ลงมาก่อนและก้าวเดินเข้าไปใกล้สิ่งปลูกสร้างด้านหน้า
“ทำไมล่ะซากีร์ นายพูดเหมือนกับว่าที่นี่ไม่ใช่เขตแดนของซาราเวีย?”
คนถูกเรียกว่าเจ้าชายไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ร่างสูงสง่ายังก้าวเรื่อยๆ และแม้จะอยู่ในเสื้อผ้าลำลองแต่ราชนิกุลผู้นี้ก็มีบางอย่างซึ่งเสื้อผ้าธรรมดาๆ นั้นปกปิดความสง่างามไว้ไม่ได้เลย
“ฝ่าบาทตรัสเหมือนลืมไปว่าถึงในแผนที่คานัคจะเป็นส่วนหนึ่งของซาราเวีย แต่ในความเป็นจริง องค์สุลต่านทรงมอบสิทธิการปกครองให้อัลคาซานไปแล้ว ที่นี่เหมือนดินแดนล้าหลังมีทั้งพวกโจรทะเลทราย พวกลักพาตัวอยู่เต็มไปหมด ซึ่งที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะพวกอัลคาซานวางหมากไว้ไม่ให้มีใครมายุ่งย่ามในทะเลทราย”
“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ” เจ้าชายหนุ่มหยักมุมปากที่จริงพระองค์ก็พอรู้เรื่องนี้มาบ้างแต่ไม่ได้คิดมากเหมือนอีกฝ่าย ซากีร์เห็นแบบนั้นจึงรีบพยักหน้ารับ
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท พวกนั้นอยู่กินในทะเลทรายจนมีผิวสีน้ำตาลเหลืองเพราะฉะนั้นจึงพรางตัวเก่ง ไปมาว่องไวไร้ร่องรอย และก็โหดเหี้ยมทารุณ ไม่เคยมีราชนิกุลพระองค์ไหนอยากจะเสด็จมาที่นี่หรอก...ขออภัยพระองค์...ที่กระหม่อมพูดมากเพราะห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท เจ้าชายคาซาลสั่งว่าให้ดูแลพระองค์ให้ดีอย่าให้มีอันตรายเกิดขึ้น”
“นายนี่น่าจะเปลี่ยนจากตำแหน่งองครักษ์เป็นเสธ.นะ”
เจ้าชายหนุ่มตรัสยิ้มๆ ทรงรู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่ายไม่น้อยเพราะซากีร์ดูแตกต่างจากคนอื่นในตำแหน่งนี้ด้วยปกติบุคลิกขององครักษ์มักจะเงียบขรึมไม่พูดไม่จาหน้าบึ้งตึง และที่อีกฝ่ายได้มาขับรถให้พระองค์ก็เพราะเจ้าชายคาซาลวานให้พระอนุชาช่วยไปดูแลคนที่สถานีขุดเจาะน้ำมันใกล้ทะเลสาปโดยส่งซากีร์มาชั่วคราวเพราะเจ้าชายไฟซารห์ไม่เคยมีทหารองครักษ์ ซึ่งพอเสร็จธุระองค์รัชทายาทลำดับที่ 2 ก็บังคับให้อีกฝ่ายขับรถพาออกมานอกเส้นทางเสียอีก
“นายไม่ต้องตามเข้าไปหรอกซากีร์ อยู่ตรงนี้ดีกว่าเผื่อว่ารถคันนี้จะมีอันตราย” ในที่สุดก็ทรงตรัสกับอีกฝ่ายพร้อมต่อท้ายด้วยเสียงทำนองแซวๆ
วิหารแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนักสร้างสูงจากพื้นดินประมาณ 1.30 เมตรแบ่งออกเป็น 3 ห้องเรียงกันโดยห้องตรงกลางนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดและหันหน้าออกไปทางเป็นทะเลทราย มันตั้งอยู่ห่างจากชายแดนพอสมควร
เป็นที่รู้กันว่าคนราชวงศ์มัสตาฟาห์ไม่เคยข้ามเขตเข้ามาในทะเลทรายคานัค ทว่านี่เจ้าชายไฟซารห์กลับรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนมายังวิหารแห่งนี้ เพราะทรงจำได้เลือนรางว่าตอนเด็กเคยเสด็จมาที่นี่บ่อยๆ
พระวรกายสูงก้าวตามทางที่ปูด้วยหินคร่ำคร่ามีฝุ่นทรายทับถม ทางเดินนั้นทอดยาวไปที่ส่วนกลางของวิหารร้าง และทันทีที่พระบาทก้าวเข้าด้านใน เสียงกระทบก้องก็ดังกังวานขึ้นจนคล้ายมีเสียงอื่นสอดแทรกด้วย อะไรบางอย่างทำให้เจ้าชายหนุ่มอดหันไปมองรอบๆ ไม่ได้
“มันไม่เหมือนในความทรงจำเลย กี่ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้มาที่นี่”
ห้องแรกนี้แคบและทึบ มีซากเศษไม้ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นเครื่องเรือนอะไรสักอย่างเกลื่อนกลาดและเต็มไปด้วยกลิ่นอับเพราะไม่มีช่องหน้าต่างมีเพียงประตูไร้บานอยู่เบื้องหน้า พระบาทจึงก้าวไปสู่อีกห้องซึ่งก็คือด้านหน้าของวิหาร ห้องกว้างนั้นมีช่องประตูใหญ่และหน้าต่างซึ่งเปิดโล่งไปสู่ทะเลทราย อากาศจึงถ่ายเทสะดวกสายลมอ่อนๆ พัดโชยอยู่ตลอดเวลาและทำให้แสงจันทราสามารถส่องผ่านเข้ามาอย่างเต็มที่ด้วย
ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยและสว่างน้อยลงแล้วแต่ก็ยังทอแสงสาดเข้ามาตามช่องประตูทำให้เห็นรูปสลักสีขาวนวลซึ่งตั้งอยู่กลางห้องชัดเจน
‘เทพีแห่งแสงจันทร์’ เป็นภาษาซาราเวียที่สลักอยู่ใต้รูปปั้นของหญิงนางหนึ่ง ซึ่งนั่งคุกเข่าลงกับฐานที่สร้างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง สูงประมาณ 1 เมตร หันหน้าออกไปทางนอกประตูซึ่งเปิดโล่งอยู่ หน้าผากโค้งมน มีมงกุฎคาดบนศีรษะด้วยตราสัญลักษณ์รูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวป แต่ใบหน้าที่ปรากฏนั้นก็ยังสวยงาม เปลือกตาของนางเป็นสองชั้นชัดเจน จมูกโด่งสูงคล้ายรูปพรรณของหญิงชาวซาราเวีย ริมฝีปากอิ่มซึ่งเผยอขึ้นน้อยๆ เส้นผมหยักสลวยนั้นถูกปล่อยสยายยาวเกือบถึงเอว รูปร่างสมส่วน มือหนึ่งยกขึ้นเหมือนรอรับหรือขอร้องพร้อมเงยหน้าขึ้น
“เทพีแห่งแสงจันทร์งั้นเหรอ”
เจ้าชายไฟซารห์พึมพำ ดวงเนตรสีไพลินมองรูปปั้นสีนวลนั้นก่อนเดินเข้าไปใกล้และอย่างไม่ทันระวังตัวบางสิ่งบางอย่างก็พุ่งปราดออกมาคว้าพระหัตถ์บิดกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“ใคร!”
วรองค์สูงอยู่ในลักษณะถูกพันธการ โดยบุคคลลึกลับนั้นแอบอยู่ทางด้านหลัง ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ และสัมผัสจากฝ่ามือที่นุ่มนวลนั้นทำให้พระองค์เดาว่าไม่น่าจะใช่บุรุษ
“เธอเป็นใคร”
“...” ความเงียบไร้เสียงตอบนั้นทำให้สุรเสียงเข้มขึ้นอีกระดับ
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร”
“จะเป็นใครก็ช่าง” ที่สุดเสียงเล็กๆ ดุๆ ก็แค่นตอบมา
“แล้วทำแบบนี้ทำไม”
“ก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฉันจะมัดมือของนายไว้แต่ไม่แน่นหนามากหรอก พอฉันออกไปจากที่นี่นายคงแก้มัดได้พอดี” หญิงสาวตอบเร็วๆ และดึงผ้าบางๆ ที่คาดเอวตนเองออก
“ไม่ต้องกลัวงั้นเหรอ” เจ้าชายหนุ่มพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ นี่เจ้าคนข้างหลังนึกว่าผู้ชายตัวโตๆ แบบเขากำลังกลัวหรือไง ริมโอษฐ์ยกมุมเล็กน้อยและอาศัยช่วงที่เธอปล่อยมือไปข้างหนึ่งตวัดร่างอีกฝ่ายกลับมาด้านหน้าทันที
“เอ๊ะ!” หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวร้องลั่น
“คราวนี้ตอบได้หรือยังว่าเธอเป็นใคร”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบ บอกแล้วไงว่าฉันแค่ป้องกันและฉันกำลังจะไปแล้ว” เจนนาห์บอกพร้อมสาละวนกับดึงมือตนเองออกจากการเกาะกุม “ ปล่อยมือของนายออกเดี๋ยวนี้นะ”
“ปล่อย” เจ้าชายหนุ่มเหยียดมุมโอษฐ์ “ทีเมื่อกี้เธอจับมือฉันอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นฉันจะขอร้องให้เธอปล่อยเลย”
“ก็...ก็มันไม่เหมือนกัน...”
“ตรงไหน?” คนฟังตอบกวนๆ ทำให้คนถูกจับได้แต่ขมวดคิ้วเพราะจะคิดเถียงก็หาเหตุผลไม่ทัน ดวงหน้าสวยเงยมองคนที่จับตัวเองอยู่ ผู้ชายเบื้องหน้าเธอแต่งกายด้วยชุดลำลองแบบสมัยใหม่ ใบหน้าคมนั้นแสดงถึงผิวพรรณละเอียดลออแต่ก็ไม่ใช่ความงามแบบผู้หญิง รูปหน้าคม รูปกายแข็งแกร่งเยี่ยงชายชาตรี และดวงตาสีไพลินสวยงาม...
‘นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้น่ะเจนนาห์!’
หญิงสาวร้องในใจเพื่อเตือนสติตนเอง ก่อนประเมินว่าผู้ชายคนนี้แม้จะสูงแกร่งแต่ก็ไม่มีช่วงตัวหนาเท่ารีฮาน ด้วยเหตุนี้เธอน่าจะทุ่มเขาได้ง่ายๆ ร่างระหงจึงพลิกกลับหันหลังชนใช้มือทั้งสองคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายและใช้ไหล่ดันหมายจะคว่ำร่างสูงลง ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ขยับสักนิด
“ทำไมทำไม่ได้ล่ะ” เจนนาห์พึมพำก่อนทดลองใหม่อีกครั้ง...แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
“นั่นเธอจะทำอะไร...ไม่ว่าตามทฤษฏีหรือปฏิบัติ ไม้ซีกเล็กๆ แบนๆ ก็ไม่น่าจะงัดไม้ซุงได้นะ” เจ้าชายไฟซารห์มองร่างเล็กๆ ในชุดรุ่มร่ามก่อนตรัสขำๆ
“ไม้เล็กๆ แบนๆ นี่นายว่าฉันงั้นเหรอ!”
เจนนาห์มองสายตาของอีกฝ่ายแล้วแค่นเสียง ริมฝีปากสีชมพูเม้มลง มือเรียวปล่อยออกจากปกเสื้ออีกฝ่ายและงอข้อศอกกระทุ้งที่ท้องของเขาอย่างแรงแทน
“อุ๊บ”
ด้วยความไม่ได้คิดมาก่อนเจ้าชายไฟซารห์ต้องงอตัวด้วยความจุก พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับท้องไว้และมองคนที่ขยับหนีด้วยความโมโห แต่เจนนาห์กลับหยักมุมปากอย่างชอบใจ เธอไหวไหล่ใส่เขาก่อนวิ่งออกไปจากวิหารทันที
เจ้าชายไฟซารห์กัดฟันข่มความจุกก่อนวิ่งตามอีกฝ่ายออกไปแต่เมื่อพระองค์ถึงหน้าวิหาร ร่างระหงในชุดสีน้ำเงินก็อยู่บนม้าตัวใหญ่สีดำเสียแล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงเข้มตะโกนแต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะหยุด หนำซ้ำเจนนาห์ยังดึงบังเหียนม้าบังคับให้มันหันมากลับมาและโบกมือเยาะเย้ยเขาเสียอีก
“ยัยไม้ซีก!”
เจ้าชายไฟซารห์แค่นเสียงขณะที่ซากีร์วิ่งมาจากด้านหลังของวิหาร องครักษ์หนุ่มมองพระพักตร์ที่ขมวดมุ่นก่อนมองออกไปในทะเลทรายแต่ก็เห็นเพียงฝุ่นควันคุ้งตลบเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ราชนิกุลหนุ่มปฏิเสธ ดวงเนตรสีไพลินมองตามฝุ่นควันจางๆ ซึ่งเป็นร่องรอยของหญิงสาวคนนั้นก่อนหันกลับเดินไปทางรถที่จอดอยู่
เจนนาห์ก็เช่นกันเธอควบม้าอาหรับสีดำออกจากวิหารร้างและรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมา ม้าสีดำควบมาเรื่อยๆ และเมื่อหญิงสาวเข้าเขตโอเอซิสใหญ่ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ร่างเพรียวกระโดดลงจากหลังเจ้าสัตว์พาหนะและปล่อยให้มันเดินตามอิสระก่อนนั่งลงที่ขอบเนินดินสีน้ำตาลอ่อน หน้าอกอิ่มหายใจขึ้นลงน้อยๆ และคิดถึงเรื่องเมื่อคืนตอนที่เธอโผล่เข้าไปในกระโจมของสองผู้เฒ่า
...เมื่อเห็นเจนนาห์ปรากฏตัวทั้งคู่ดูเหมือนจะตกใจมาก ‘คุณหนู คุณหนูได้ยินเราคุยเหรอคะ’
‘ใช่’ เจนนาห์ตอบเรียบๆ ก่อนถาม ‘บอกมาสิว่าวิหารอะไรนั่นอยู่ที่ไหน แล้วทำไมท่านพ่อถึงสั่งไม่ให้พูดถึง ถ้าไม่เล่าฉันจะถามท่านพ่อเองและบอกด้วยว่ารู้เรื่องนี้จากใคร’
คนถูกถามขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจทันทีและเกี่ยงกันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ฝ่ายภรรยาจะตัดสินใจพูดขึ้น
‘เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ...ครั้งสุดท้ายที่พวกเรามาซาราเวียก็คือเมื่อประมาณ 19 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคนของเรายังไม่เยอะขนาดนี้ พวกเราพักที่วิหารแห่งหนึ่ง มันเป็นโอเอซิสเล็กๆ ใกล้ๆ ชายแดนซาราเวีย วิหารนั่นสวยมาก ถูกตกแต่งไว้สำหรับ...สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง...ท่านซารานไม่ให้พูดถึงเพราะ...เพราะไม่อยากให้ใครไปที่นั่น มันเป็นพื้นที่ในทะเลทรายเพียงแห่งเดียวสำหรับสุลต่านอัสตาฟา...แค่นั้นแหละค่ะ’ แม่เฒ่าหลบตาก่อนจะรีบออกตัวว่าลืมทางไปวิหารแล้ว แต่มีหรือที่เจนนาห์จะยอมเชื่อเธอจึงคาดคั้นจนรู้ที่ตั้งของมัน
‘แต่คุณหนูต้องไม่บอกให้ใครรู้นะคะ โดยเฉพาะท่านซาราน แล้วก็ทางที่ดีอย่าไปที่นั่นเลย’
เมื่อจนปัญญาที่ปิดบังหญิงผู้เป็นภรรยาจึงขอร้อง แต่เพราะฝันแปลกๆ เมื่อคืนทำให้เธอเดินทางไปที่นั่นในวันนี้และก็เจอกับผู้ชายคนนั้นระหว่างที่กำลังสำรวจด้านหลังของรูปปั้น
“ถ้าไม่ใช่ว่ามันกลายเป็นวิหารร้างไปแล้ว โครงสร้างนั่นก็เหมือนในฝันไม่มีผิด มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา...ความคุ้นเคยงั้นเหรอ”
เจนนาห์ขมวดคิ้วน้อยๆ พยายามคิดว่าเธอเคยไปที่นั่นไหม แต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก ทว่ายังมีสองสิ่งที่ยังติดตาติดใจอย่างแปลกประหลาด สิ่งแรกก็คือ ‘เทพีแห่งแสงจันทร์’ และอีกสิ่งก็คือบทกลอนที่สลักอยู่ด้านหลัง
“แสงสุริยาโรยรา ฟากฟ้าคลายความเจิดจ้า จันทราจึ่งเริ่มทอแสง รัตติกาลไม่อาจทนความร้อนแรง...”
ริมฝีปากสีชมพูท่องกลอนบทนั้นแผ่วๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงจำได้ทั้งๆ ที่เพิ่งเห็นมันเป็นครั้งแรก รวมถึงรูปปั้นเทพีแห่งแสงจันทร์ด้วย
“คุณหนูครับ”
เสียงของรีฮานทำให้คนที่นั่งอยู่ตื่นจากภวังค์ เจนนาห์หันมองอีกฝ่ายและสิ่งที่ทำให้เธอต้องลุกขึ้นอย่างเร็วก็คือคำพูดต่อจากนั้น
“ท่านชีคล้มป่วยครับ อยู่ที่กระโจม ท่านถามหาคุณหนูตั้งแต่เช้าแล้ว ท่านบอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วยและต้องพูดกับคุณหนูคนเดียวเท่านั้น”
********************************************************************
ตอนที่ 2
ความมืดในยามรัตติกาลค่อยๆ เยื้องกรายเข้ามาเยือนโอเอซิสใหญ่ช้าๆ ทว่าท่ามกลางความหม่นหมองนั้นก็ยังมีแสงจันทร์สาดส่องเพื่อมอบความสว่างให้
หลังจากที่ออกมาจากกระโจมของสองสามีภรรรยาเฒ่า เจนนาห์ก็แอบมายืนอยู่ใต้ต้นปาล์ม ดวงตาสีน้ำตาลมองผืนทรายซึ่งแลดูเป็นเส้นสายท่ามกลางแสงอ่อนๆ ของดวงจันทร์ มือเรียวยกขึ้น ล้อปลายนิ้วกับสายลมเย็นที่พัดโชย
“คุณหนูเจนนาห์”
เสียงทุ้มที่เรียกทำให้หญิงสาวหันกลับมา ผมสีหยักศกสีน้ำผึ้งซึ่งปราศจากผ้าคลุมใดๆ สะบัดตามและพบรีฮานยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหลัง
“มีอะไรเหรอรีฮาน”
“ท่านซารานบอกให้ผมมาตามหาเพราะคุณหนูไม่อยู่ที่กระโจมและไม่อยู่ที่รอบกองไฟ แล้วคุณหนูมาทำอะไรที่นี่คนเดียวครับ” รีฮานอ้างบิดาอีกฝ่ายทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองที่หาเจนนาห์ไม่เจอและนึกเป็นห่วง
“ฉันก็แค่...แค่อยากดูทะเลทรายตอนกลางคืนเท่านั้นเอง”
เจนนาห์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ นี่คือข้อแตกต่างของเจนนาห์กับลูกสาวและหลานคนอื่นๆ ของท่านซาราน หญิงสาวไม่เคยถือตัวว่าสูงส่งกว่าคนอื่น ไม่เฉพาะนิสัยแต่เรื่องหน้าตาก็เช่นกัน ดวงตาสีน้ำตาลแพขนตางอนยาวนั้นมีทั้งคมและความหวานซ่อนเร้นอยู่ ไม่ได้คมจนดุดั่งเช่นหญิงอื่นๆ รูปร่างของเธอก็เพรียวระหงสมส่วน นิ้วมือเรียวช่วงขาก็เรียวสวยผิดกับชาวซาราเวียทั่วไปซึ่งมีโครงร่างใหญ่ นั่นเป็นเพราะแม่ของเธอเป็นชาว‘ไทย’
ท่านซารานเล่าให้เจนนาห์ฟังว่า มารดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอเพิ่ง 4 ขวบ หน้าที่ดูแลเด็กหญิงจึงเป็นของชีคก้านาบีร่าแทน และความที่สาวลูกครึ่งเป็นคนที่มีความคิดไม่ค่อยเหมือนใครจึงมักถูกแยกออกจากคนอื่นๆ เสมอ
“ท่านชีคคงเป็นห่วงคุณ” รีฮานพูดเบาๆ
“ถ้างั้นรีฮานก็เพิ่งเดินออกมาตามฉันเหรอ หรือว่าเห็นเจนนานแล้วแต่เพิ่งเรียก” เจนนาห์หรี่ตาลง เธอเองก็สงสัยเหมือนกันว่ารีฮานเห็นตอนตนเองเดินออกมาจากกระโจมของสองผู้เฒ่าหรือเปล่า
“ผมเพิ่งเห็นครับ” รีฮานตอบก่อนจะพูดต่อ “พวกเรากำลังจะแข่งขันการต่อสู้กัน ปกติคุณชอบดู..”
“ประลองงั้นเหรอ ใช่สินะ ฉันชอบ...และก็เคยปลอมตัวลงไปเล่นด้วย” เจนนาห์หยักมุมปากน้อยๆ มองอีกฝ่าย รีฮานจึงถอนหายใจ นึกถึงเรื่องในอดีต วันนั้นเขาวิ่งเข้าไปในสนามประลองแทบไม่ทันเมื่อสังเกตเห็นว่าเจนนาห์แอบแต่งตัวเป็นผู้ชายและกำลังประลองอยู่กับหนุ่มคนหนึ่ง เขารีบจับไอ้หนุ่มคนนั้นทุ่มออกไปนอกสนามและกลายเป็นคู่ประลองของหญิงสาวแทน
“ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นอีกเลยครับ”
“ทำไมเหรอ” เจนนาห์ก้าวเข้ามาหาเขา ใบหน้าเรียวเชิดน้อยๆ “กลัวเจนจะล้มนายแบบคราวที่แล้วน่ะเหรอ”
วันนั้นเจนนาห์ทุ่มเขาลงกับพื้นและเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ต้องจบการแข่งขันลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นรีฮานก็รีบดึงเธอออกไปนอกสนามด้วยเกรงว่าจะมีใครสังเกตเห็น แต่ในปัจจุบันรีฮานก็ไม่อธิบายอะไรนอกจากมองลูกสาวคนเล็กของท่านซารานแล้วตอบสั้นๆ
“ครับ”
“ตอนนี้ชักอยากทำแบบนั้นอีกแล้วสิ” เจนนาห์แสร้งทำตาโตพร้อมรีบก้าวนำหน้าไปสองก้าว รีฮานจึงรีบตามพร้อมร้องเรียก แขนกำยำเกือบจะดึงแขนเรียวไว้แล้วถ้าเธอไม่หยุดเสียก่อน
“คุณหนูครับ อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะครับ”
“อื้อ...”
เจนนาห์หันกลับมาตอบหน้าตาเฉยและมองท่าทางของอีกฝ่ายพร้อมยิ้มน้อยๆ ชายหนุ่มจึงรู้ว่าตนเองโดนแกล้ง เขาถอนหายใจน้อยๆ และอดจะยิ้มไม่ได้
“คุณหนูแกล้งแหย่ผมอีกแล้ว”
“ฉันแค่อยากให้รีฮานยิ้มบ้าง ก็นายชอบทำเหมือนเสือยิ้มยาก ทำท่าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลก” เจนนาห์ก้าวกลับไปที่เดิมอีกครั้ง
“คุณหนูก็เหมือนกันนั่นแหละครับ บางทีคุณหนูก็ชอบทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา” รีฮานจึงก้าวตามขณะตอบ แม้จะเจนนาห์มีวัยเพียง 23 แต่เธอดูเป็นคนที่ชอบคิดอะไรคนเดียวและมีท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ
“เหรอ” เจนนาห์พึมพำ บางทีเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเป็นเช่นนั้น “บางที...ฉันคงพยายามคิดละมังว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง ฉันจำได้แค่ว่าแม่เป็นคนสวยและอ่อนโยน ท่านมีดวงตาสีน้ำตาล ฉันอบอุ่นทุกครั้งเวลาคิดถึงท่าน แต่ตอนนั้นฉันก็เด็กมาก มันผ่านมานานแล้ว...ที่นี่ไม่มีใครพูดถึงแม่ให้ฉันฟังเลย ทุกอย่างมันเลือนรางเหลือเกิน”
ตลอดเวลารีฮานได้แต่เงียบฟังจนกระทั่งเจนนาห์ถามขึ้น “ฉันถามอะไรหน่อยสิรีฮาน”
“ครับ”
“รีฮานอยู่กับพ่อซารานมาตั้งแต่เด็กๆ ใช่ไหม...หมายถึงก่อนหน้าที่ฉันจะเกิดน่ะ”
“...ครับ”
“งั้นตอนเด็กๆ เจนเคยมาซาราเวียไหม” เจนนาห์ถามขึ้นด้วยดวงตาแวววาว วันนี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่รบกวนจิตใจ และเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของดินแดนที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที ตั้งแต่เด็กจำความได้เธอเดินทางไปทั่วทิศกับชาวทะเลทราย พักอยู่ตามโอเอซิสในเขตใกล้พรมแดนอียิปต์ เท่าที่รู้เธอยังไม่เคยเหยียบซาราเวียเลยแต่ทำไมจึงมีความรู้สึกบางอย่าง...บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร
“มาซาราเวีย...แน่นอน...เคยมาแล้วครับ” รีฮานคิดก่อนตอบอย่างปกติ “เพียงแต่เราไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว”
“งั้นเหรอ...” เจนนาห์พึมพำก่อนถามขึ้น “แล้วทำไมเราถึงไม่ได้มาที่นี่นานแล้วล่ะ แถวนี้ก็ดูเหมือนยังอุดมสมบูรณ์กว่าที่ๆ เราผ่านมา...หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องที่ท่านพ่อทะเลาะกับสุลต่านอัสตาฟา”
“คุณหนูรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”
“รู้สิก็มันไม่ใช่ความลับอะไรสักหน่อย ฉันเคยได้ยินว่าบรรพบุรุษของเราเคยขัดแย้งกับราชวงศ์มัสตาฟาเรื่องบัลลังก์ซาราเวีย แล้วก็เรื่องที่อัสคาซานแยกตัวออกมามีอิทธิพลเหนือทะเลทรายคานัค”
“ก็ใช่ครับ”
“และการมาซาราเวียครั้งนี้ ท่านพ่อก็คิดใช้การแต่งงานของพี่นีสรีนกับเจ้าชายรัชทายาทเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ เพราะตอนนี้ทะเลทรายคานัคกำลังประสบปัญหาแห้งแล้งใช่ไหม” เจนนาห์ถามขึ้นทำให้รีฮานนิ่วหน้าลงด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่ก่อนหน้านี้ชีคซารานส่งคนล่วงหน้าไปซาราเวียเพิ่งแจ้งสุลต่านอัสตาฟาว่าต้องการพบกันอีกครั้ง เนื่องจากเรื่องเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างและมีบางคนเท่านั้นที่รู้
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” รีฮานเลี่ยงที่จะไม่ตอบ “พวกเราควรเข้าไปด้านในได้แล้วนะครับ ท่านชีคคงกำลังรออยู่”
“ความจริงเจนก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะว่านายจะไม่รู้” เจนนาห์อดไม่ได้ที่จะค่อนอีกฝ่าย เพราะเป็นที่รู้กันว่าท่านชีคซารานไม่มีบุตรชายเขาจึงสนิทสนมและหารือเกือบทุกเรื่องกับรีฮานเสมอ แต่หญิงสาวก็คร้านที่จะคาดคั้นเขาอีกเพราะรู้ดีว่าสิ่งใดที่พ่อสั่งว่าไม่ให้พูดก็จะไม่หลุดจากปากของรีฮานเช่นกัน
“แต่ที่พูดก็เพราะฉันสงสารพ่อ เจนรู้นะว่าพ่อภูมิใจในความเป็นอัลคาซานมากแต่ก็โชคร้ายที่ท่านไม่มีบุตรชายสืบทอดเจตนารมย์เลย แล้วตอนนี้ยังมาประสบปัญหาความแห้งแล้งอีก ท่านคงต้องทำใจมากกับการเข้าไปขอร้องพวกมัสตาฟา”
หญิงสาวถอนหายใจก่อนกลับเข้าไปในกลุ่มรอบกองไฟแต่ตอนนั้นเธอก็ไม่เห็นท่านซานอยู่ที่นั่นแล้ว เจนนาห์จึงนั่งดูการประลองของญาติๆ สักครู่ก่อนจะไปนอนบ้าง
คืนนั้นเจนนาห์นอนกระโจมใหญ่ซึ่งกั้นเป็นห้องหลายห้อง เธอล้มตัวลงบนที่นอนและรู้สึกว่าตนเองหลับลึกได้อย่างรวดเร็วเพราะความอ่อนเพลีย
“รียา...อารียา....”
ไม่รู้ว่านานเท่าไห่ทว่าเสียงเรียกแผ่วๆ ก็ทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นและก็ต้องตกใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมันเป็นห้องกว้างสร้างจากหินสลัก มีโต๊ะแบบโบราณ และแจกันดอกไม้ ร่างระหงผวาลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าต่างมองออกไป
“โอเอซิสนี่นา แต่ว่ามันดูไม่คุ้นเลย...”
เจนนาห์บอกกับตัวเองเพราะที่นี่ไม่คุ้นตาเหมือนสถานที่ซึ่งเธอลงไปเดินเล่นอยู่เมื่อเย็น หญิงสาวจึงตรงไปที่ประตู เธอเห็นบันไดทอดยาวลงไปที่พื้นมีประมาณ 7 ขั้นและเมื่อหันกลับมาเธอก็เห็นอีกว่าที่ๆ เพิ่งออกมานั้นมีลักษณะเหมือนกับวิหาร ขณะที่จะก้าวลงไปนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีก
“รียา...เจนนาห์...”
เสียงเรียกชื่อใครสักคนทำให้เธอหันหลังกลับและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากวิหาร รูปร่างของเธอสวยงามใบหน้าอิ่ม ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี อะไรอย่างหนึ่งทำให้เจนนาห์เปล่งเสียงออกมา
“แม่...แม่คะ...”
“กลับมานารี!” ทว่ากลับมีเสียงตวาดดังขึ้นและเธอคนนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป เจนนาห์รีบวิ่งตามแต่ฉับพลันทางข้างหน้ากลับหายวับกลายเป็นหลุมดำกว้างแล้วเธอก็ตกลงไป!
“แม่นารี!” ร่างเพรียวระหงผุดลุกขึ้นนั่งริมฝีปากเปล่งเสียงออกมาตามนั้น แต่รอบๆ กายของเธอกลับเป็นห้องเล็กๆ ในกระโจมใหญ่ของชาวอัลคาซาน
“เกิดอะไรขึ้น...ร้องทำไมเจนนาห์”
นีสรีนซึ่งนอนอยู่ไม่ห่างพลอยตื่นตามและถามขึ้นอย่างงัวเงีย คนฝันร้ายจึงเดินไปหาพี่สาว
“พี่นีสรีน ฉันฝันร้าย”
“ฝันร้าย...โธ่เอ๊ย เจนนาห์ ตอนนี้เธออายุ 23 แล้วนะ เธอฝันร้ายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน ทำไมต้องทำท่าหวาดกลัวขนาดนั้นด้วย” คนเป็นพี่ปลอบพร้อมยกมือลูบบ่าน้องสาว นีสรีนอายุ 25 ปีแล้วแต่ยังไม่ยอมแต่งงาน เธอมีลักษณะต่างจากเจนนาห์ ผมของนีสรีนยาวหยักสีดำใบหน้าสวยคมแบบชาวอัลคาซานรวมทั้งมีรูปร่างอวบหนากว่าน้องสาว
“แต่ว่า...”
“ไปนอนเถอะ ดึกดื่นอยู่เลย พี่ง่วงนะ”
เจนนาห์นั่งนิ่งอยู่ชั่วนาที ใจหนึ่งก็อยากเล่าความฝันให้พี่สาวฟังแต่เมื่อนีสรีนพูดเช่นนั้น เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นและเดินกลับยังที่นอนของตนเองก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
เสียงเครื่องยนต์ของรถ Jeep cherokee 4.0 Limited สีดำ คันใหม่เอี่ยมแล่นผ่านเม็ดทรายเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อนซึ่งทับถมกันจนกลายเป็นผืนทรายกว้างใหญ่ ท้องฟ้ายามบ่ายจัดทอสีหม่นลง ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก แสงจ้าๆ ตลอดทั้งวันเริ่มอ่อนแรงและสักครู่รถคันนั้นก็จอดสนิทที่พื้นดินร้างผู้คน
ที่นี่ก็เหมือนพื้นที่ร้างทั่วๆ ไปในเขตทะเลทรายเพราะผืนดินเริ่มแตกระแหงเหมือนโดนใช้ประโยชน์จนเสื่อมสภาพบริเวณที่เห็นส่วนมากจึงเป็นภูเขาหินสีเหลืองอมน้ำตาล และที่เชิงเขานั้นก็ปรากฏสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายวิหารในสถาปัตยกรรมตะวันออกกลาง เสาสูงใหญ่หลายต้นตั้งตระหง่านคานน้ำหนักของหลังคาซึ่งแม้บางส่วนจะชำรุดทรุดโทรมจนทลายไปบ้างแต่ก็ยังมีผนังและเห็นลวดลายหินสลักสวยงาม
ทันทีที่รถจอดประตูด้านคนขับก็ถูกเปิดออกและบุรุษร่างสูงในชุดลำลองก็ก้าวลงมาตามด้วยคนที่ก้าวลงอีกด้านและมีสีหน้ากังวล
“เจ้าชายไฟซารห์...กระหม่อมคิดว่าเราไม่ควรมาที่นี่เลย”
คนทักท้วงอยู่ในเครื่องแบบสีกรมท่า ผิวคล้ำรูปร่างใหญ่แต่ไม่สูงมากนัก เขาเร่งฝีเท้าตามคนที่ลงมาก่อนและก้าวเดินเข้าไปใกล้สิ่งปลูกสร้างด้านหน้า
“ทำไมล่ะซากีร์ นายพูดเหมือนกับว่าที่นี่ไม่ใช่เขตแดนของซาราเวีย?”
คนถูกเรียกว่าเจ้าชายไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ร่างสูงสง่ายังก้าวเรื่อยๆ และแม้จะอยู่ในเสื้อผ้าลำลองแต่ราชนิกุลผู้นี้ก็มีบางอย่างซึ่งเสื้อผ้าธรรมดาๆ นั้นปกปิดความสง่างามไว้ไม่ได้เลย
“ฝ่าบาทตรัสเหมือนลืมไปว่าถึงในแผนที่คานัคจะเป็นส่วนหนึ่งของซาราเวีย แต่ในความเป็นจริง องค์สุลต่านทรงมอบสิทธิการปกครองให้อัลคาซานไปแล้ว ที่นี่เหมือนดินแดนล้าหลังมีทั้งพวกโจรทะเลทราย พวกลักพาตัวอยู่เต็มไปหมด ซึ่งที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะพวกอัลคาซานวางหมากไว้ไม่ให้มีใครมายุ่งย่ามในทะเลทราย”
“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ” เจ้าชายหนุ่มหยักมุมปากที่จริงพระองค์ก็พอรู้เรื่องนี้มาบ้างแต่ไม่ได้คิดมากเหมือนอีกฝ่าย ซากีร์เห็นแบบนั้นจึงรีบพยักหน้ารับ
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท พวกนั้นอยู่กินในทะเลทรายจนมีผิวสีน้ำตาลเหลืองเพราะฉะนั้นจึงพรางตัวเก่ง ไปมาว่องไวไร้ร่องรอย และก็โหดเหี้ยมทารุณ ไม่เคยมีราชนิกุลพระองค์ไหนอยากจะเสด็จมาที่นี่หรอก...ขออภัยพระองค์...ที่กระหม่อมพูดมากเพราะห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท เจ้าชายคาซาลสั่งว่าให้ดูแลพระองค์ให้ดีอย่าให้มีอันตรายเกิดขึ้น”
“นายนี่น่าจะเปลี่ยนจากตำแหน่งองครักษ์เป็นเสธ.นะ”
เจ้าชายหนุ่มตรัสยิ้มๆ ทรงรู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่ายไม่น้อยเพราะซากีร์ดูแตกต่างจากคนอื่นในตำแหน่งนี้ด้วยปกติบุคลิกขององครักษ์มักจะเงียบขรึมไม่พูดไม่จาหน้าบึ้งตึง และที่อีกฝ่ายได้มาขับรถให้พระองค์ก็เพราะเจ้าชายคาซาลวานให้พระอนุชาช่วยไปดูแลคนที่สถานีขุดเจาะน้ำมันใกล้ทะเลสาปโดยส่งซากีร์มาชั่วคราวเพราะเจ้าชายไฟซารห์ไม่เคยมีทหารองครักษ์ ซึ่งพอเสร็จธุระองค์รัชทายาทลำดับที่ 2 ก็บังคับให้อีกฝ่ายขับรถพาออกมานอกเส้นทางเสียอีก
“นายไม่ต้องตามเข้าไปหรอกซากีร์ อยู่ตรงนี้ดีกว่าเผื่อว่ารถคันนี้จะมีอันตราย” ในที่สุดก็ทรงตรัสกับอีกฝ่ายพร้อมต่อท้ายด้วยเสียงทำนองแซวๆ
วิหารแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนักสร้างสูงจากพื้นดินประมาณ 1.30 เมตรแบ่งออกเป็น 3 ห้องเรียงกันโดยห้องตรงกลางนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดและหันหน้าออกไปทางเป็นทะเลทราย มันตั้งอยู่ห่างจากชายแดนพอสมควร
เป็นที่รู้กันว่าคนราชวงศ์มัสตาฟาห์ไม่เคยข้ามเขตเข้ามาในทะเลทรายคานัค ทว่านี่เจ้าชายไฟซารห์กลับรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนมายังวิหารแห่งนี้ เพราะทรงจำได้เลือนรางว่าตอนเด็กเคยเสด็จมาที่นี่บ่อยๆ
พระวรกายสูงก้าวตามทางที่ปูด้วยหินคร่ำคร่ามีฝุ่นทรายทับถม ทางเดินนั้นทอดยาวไปที่ส่วนกลางของวิหารร้าง และทันทีที่พระบาทก้าวเข้าด้านใน เสียงกระทบก้องก็ดังกังวานขึ้นจนคล้ายมีเสียงอื่นสอดแทรกด้วย อะไรบางอย่างทำให้เจ้าชายหนุ่มอดหันไปมองรอบๆ ไม่ได้
“มันไม่เหมือนในความทรงจำเลย กี่ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้มาที่นี่”
ห้องแรกนี้แคบและทึบ มีซากเศษไม้ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นเครื่องเรือนอะไรสักอย่างเกลื่อนกลาดและเต็มไปด้วยกลิ่นอับเพราะไม่มีช่องหน้าต่างมีเพียงประตูไร้บานอยู่เบื้องหน้า พระบาทจึงก้าวไปสู่อีกห้องซึ่งก็คือด้านหน้าของวิหาร ห้องกว้างนั้นมีช่องประตูใหญ่และหน้าต่างซึ่งเปิดโล่งไปสู่ทะเลทราย อากาศจึงถ่ายเทสะดวกสายลมอ่อนๆ พัดโชยอยู่ตลอดเวลาและทำให้แสงจันทราสามารถส่องผ่านเข้ามาอย่างเต็มที่ด้วย
ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยและสว่างน้อยลงแล้วแต่ก็ยังทอแสงสาดเข้ามาตามช่องประตูทำให้เห็นรูปสลักสีขาวนวลซึ่งตั้งอยู่กลางห้องชัดเจน
‘เทพีแห่งแสงจันทร์’ เป็นภาษาซาราเวียที่สลักอยู่ใต้รูปปั้นของหญิงนางหนึ่ง ซึ่งนั่งคุกเข่าลงกับฐานที่สร้างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง สูงประมาณ 1 เมตร หันหน้าออกไปทางนอกประตูซึ่งเปิดโล่งอยู่ หน้าผากโค้งมน มีมงกุฎคาดบนศีรษะด้วยตราสัญลักษณ์รูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวป แต่ใบหน้าที่ปรากฏนั้นก็ยังสวยงาม เปลือกตาของนางเป็นสองชั้นชัดเจน จมูกโด่งสูงคล้ายรูปพรรณของหญิงชาวซาราเวีย ริมฝีปากอิ่มซึ่งเผยอขึ้นน้อยๆ เส้นผมหยักสลวยนั้นถูกปล่อยสยายยาวเกือบถึงเอว รูปร่างสมส่วน มือหนึ่งยกขึ้นเหมือนรอรับหรือขอร้องพร้อมเงยหน้าขึ้น
“เทพีแห่งแสงจันทร์งั้นเหรอ”
เจ้าชายไฟซารห์พึมพำ ดวงเนตรสีไพลินมองรูปปั้นสีนวลนั้นก่อนเดินเข้าไปใกล้และอย่างไม่ทันระวังตัวบางสิ่งบางอย่างก็พุ่งปราดออกมาคว้าพระหัตถ์บิดกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“ใคร!”
วรองค์สูงอยู่ในลักษณะถูกพันธการ โดยบุคคลลึกลับนั้นแอบอยู่ทางด้านหลัง ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ และสัมผัสจากฝ่ามือที่นุ่มนวลนั้นทำให้พระองค์เดาว่าไม่น่าจะใช่บุรุษ
“เธอเป็นใคร”
“...” ความเงียบไร้เสียงตอบนั้นทำให้สุรเสียงเข้มขึ้นอีกระดับ
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร”
“จะเป็นใครก็ช่าง” ที่สุดเสียงเล็กๆ ดุๆ ก็แค่นตอบมา
“แล้วทำแบบนี้ทำไม”
“ก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฉันจะมัดมือของนายไว้แต่ไม่แน่นหนามากหรอก พอฉันออกไปจากที่นี่นายคงแก้มัดได้พอดี” หญิงสาวตอบเร็วๆ และดึงผ้าบางๆ ที่คาดเอวตนเองออก
“ไม่ต้องกลัวงั้นเหรอ” เจ้าชายหนุ่มพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ นี่เจ้าคนข้างหลังนึกว่าผู้ชายตัวโตๆ แบบเขากำลังกลัวหรือไง ริมโอษฐ์ยกมุมเล็กน้อยและอาศัยช่วงที่เธอปล่อยมือไปข้างหนึ่งตวัดร่างอีกฝ่ายกลับมาด้านหน้าทันที
“เอ๊ะ!” หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวร้องลั่น
“คราวนี้ตอบได้หรือยังว่าเธอเป็นใคร”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบ บอกแล้วไงว่าฉันแค่ป้องกันและฉันกำลังจะไปแล้ว” เจนนาห์บอกพร้อมสาละวนกับดึงมือตนเองออกจากการเกาะกุม “ ปล่อยมือของนายออกเดี๋ยวนี้นะ”
“ปล่อย” เจ้าชายหนุ่มเหยียดมุมโอษฐ์ “ทีเมื่อกี้เธอจับมือฉันอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นฉันจะขอร้องให้เธอปล่อยเลย”
“ก็...ก็มันไม่เหมือนกัน...”
“ตรงไหน?” คนฟังตอบกวนๆ ทำให้คนถูกจับได้แต่ขมวดคิ้วเพราะจะคิดเถียงก็หาเหตุผลไม่ทัน ดวงหน้าสวยเงยมองคนที่จับตัวเองอยู่ ผู้ชายเบื้องหน้าเธอแต่งกายด้วยชุดลำลองแบบสมัยใหม่ ใบหน้าคมนั้นแสดงถึงผิวพรรณละเอียดลออแต่ก็ไม่ใช่ความงามแบบผู้หญิง รูปหน้าคม รูปกายแข็งแกร่งเยี่ยงชายชาตรี และดวงตาสีไพลินสวยงาม...
‘นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้น่ะเจนนาห์!’
หญิงสาวร้องในใจเพื่อเตือนสติตนเอง ก่อนประเมินว่าผู้ชายคนนี้แม้จะสูงแกร่งแต่ก็ไม่มีช่วงตัวหนาเท่ารีฮาน ด้วยเหตุนี้เธอน่าจะทุ่มเขาได้ง่ายๆ ร่างระหงจึงพลิกกลับหันหลังชนใช้มือทั้งสองคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายและใช้ไหล่ดันหมายจะคว่ำร่างสูงลง ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ขยับสักนิด
“ทำไมทำไม่ได้ล่ะ” เจนนาห์พึมพำก่อนทดลองใหม่อีกครั้ง...แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
“นั่นเธอจะทำอะไร...ไม่ว่าตามทฤษฏีหรือปฏิบัติ ไม้ซีกเล็กๆ แบนๆ ก็ไม่น่าจะงัดไม้ซุงได้นะ” เจ้าชายไฟซารห์มองร่างเล็กๆ ในชุดรุ่มร่ามก่อนตรัสขำๆ
“ไม้เล็กๆ แบนๆ นี่นายว่าฉันงั้นเหรอ!”
เจนนาห์มองสายตาของอีกฝ่ายแล้วแค่นเสียง ริมฝีปากสีชมพูเม้มลง มือเรียวปล่อยออกจากปกเสื้ออีกฝ่ายและงอข้อศอกกระทุ้งที่ท้องของเขาอย่างแรงแทน
“อุ๊บ”
ด้วยความไม่ได้คิดมาก่อนเจ้าชายไฟซารห์ต้องงอตัวด้วยความจุก พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับท้องไว้และมองคนที่ขยับหนีด้วยความโมโห แต่เจนนาห์กลับหยักมุมปากอย่างชอบใจ เธอไหวไหล่ใส่เขาก่อนวิ่งออกไปจากวิหารทันที
เจ้าชายไฟซารห์กัดฟันข่มความจุกก่อนวิ่งตามอีกฝ่ายออกไปแต่เมื่อพระองค์ถึงหน้าวิหาร ร่างระหงในชุดสีน้ำเงินก็อยู่บนม้าตัวใหญ่สีดำเสียแล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงเข้มตะโกนแต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะหยุด หนำซ้ำเจนนาห์ยังดึงบังเหียนม้าบังคับให้มันหันมากลับมาและโบกมือเยาะเย้ยเขาเสียอีก
“ยัยไม้ซีก!”
เจ้าชายไฟซารห์แค่นเสียงขณะที่ซากีร์วิ่งมาจากด้านหลังของวิหาร องครักษ์หนุ่มมองพระพักตร์ที่ขมวดมุ่นก่อนมองออกไปในทะเลทรายแต่ก็เห็นเพียงฝุ่นควันคุ้งตลบเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ราชนิกุลหนุ่มปฏิเสธ ดวงเนตรสีไพลินมองตามฝุ่นควันจางๆ ซึ่งเป็นร่องรอยของหญิงสาวคนนั้นก่อนหันกลับเดินไปทางรถที่จอดอยู่
เจนนาห์ก็เช่นกันเธอควบม้าอาหรับสีดำออกจากวิหารร้างและรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมา ม้าสีดำควบมาเรื่อยๆ และเมื่อหญิงสาวเข้าเขตโอเอซิสใหญ่ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ร่างเพรียวกระโดดลงจากหลังเจ้าสัตว์พาหนะและปล่อยให้มันเดินตามอิสระก่อนนั่งลงที่ขอบเนินดินสีน้ำตาลอ่อน หน้าอกอิ่มหายใจขึ้นลงน้อยๆ และคิดถึงเรื่องเมื่อคืนตอนที่เธอโผล่เข้าไปในกระโจมของสองผู้เฒ่า
...เมื่อเห็นเจนนาห์ปรากฏตัวทั้งคู่ดูเหมือนจะตกใจมาก ‘คุณหนู คุณหนูได้ยินเราคุยเหรอคะ’
‘ใช่’ เจนนาห์ตอบเรียบๆ ก่อนถาม ‘บอกมาสิว่าวิหารอะไรนั่นอยู่ที่ไหน แล้วทำไมท่านพ่อถึงสั่งไม่ให้พูดถึง ถ้าไม่เล่าฉันจะถามท่านพ่อเองและบอกด้วยว่ารู้เรื่องนี้จากใคร’
คนถูกถามขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจทันทีและเกี่ยงกันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ฝ่ายภรรยาจะตัดสินใจพูดขึ้น
‘เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ...ครั้งสุดท้ายที่พวกเรามาซาราเวียก็คือเมื่อประมาณ 19 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคนของเรายังไม่เยอะขนาดนี้ พวกเราพักที่วิหารแห่งหนึ่ง มันเป็นโอเอซิสเล็กๆ ใกล้ๆ ชายแดนซาราเวีย วิหารนั่นสวยมาก ถูกตกแต่งไว้สำหรับ...สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง...ท่านซารานไม่ให้พูดถึงเพราะ...เพราะไม่อยากให้ใครไปที่นั่น มันเป็นพื้นที่ในทะเลทรายเพียงแห่งเดียวสำหรับสุลต่านอัสตาฟา...แค่นั้นแหละค่ะ’ แม่เฒ่าหลบตาก่อนจะรีบออกตัวว่าลืมทางไปวิหารแล้ว แต่มีหรือที่เจนนาห์จะยอมเชื่อเธอจึงคาดคั้นจนรู้ที่ตั้งของมัน
‘แต่คุณหนูต้องไม่บอกให้ใครรู้นะคะ โดยเฉพาะท่านซาราน แล้วก็ทางที่ดีอย่าไปที่นั่นเลย’
เมื่อจนปัญญาที่ปิดบังหญิงผู้เป็นภรรยาจึงขอร้อง แต่เพราะฝันแปลกๆ เมื่อคืนทำให้เธอเดินทางไปที่นั่นในวันนี้และก็เจอกับผู้ชายคนนั้นระหว่างที่กำลังสำรวจด้านหลังของรูปปั้น
“ถ้าไม่ใช่ว่ามันกลายเป็นวิหารร้างไปแล้ว โครงสร้างนั่นก็เหมือนในฝันไม่มีผิด มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา...ความคุ้นเคยงั้นเหรอ”
เจนนาห์ขมวดคิ้วน้อยๆ พยายามคิดว่าเธอเคยไปที่นั่นไหม แต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก ทว่ายังมีสองสิ่งที่ยังติดตาติดใจอย่างแปลกประหลาด สิ่งแรกก็คือ ‘เทพีแห่งแสงจันทร์’ และอีกสิ่งก็คือบทกลอนที่สลักอยู่ด้านหลัง
“แสงสุริยาโรยรา ฟากฟ้าคลายความเจิดจ้า จันทราจึ่งเริ่มทอแสง รัตติกาลไม่อาจทนความร้อนแรง...”
ริมฝีปากสีชมพูท่องกลอนบทนั้นแผ่วๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงจำได้ทั้งๆ ที่เพิ่งเห็นมันเป็นครั้งแรก รวมถึงรูปปั้นเทพีแห่งแสงจันทร์ด้วย
“คุณหนูครับ”
เสียงของรีฮานทำให้คนที่นั่งอยู่ตื่นจากภวังค์ เจนนาห์หันมองอีกฝ่ายและสิ่งที่ทำให้เธอต้องลุกขึ้นอย่างเร็วก็คือคำพูดต่อจากนั้น
“ท่านชีคล้มป่วยครับ อยู่ที่กระโจม ท่านถามหาคุณหนูตั้งแต่เช้าแล้ว ท่านบอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วยและต้องพูดกับคุณหนูคนเดียวเท่านั้น”
********************************************************************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2557, 12:24:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2557, 12:24:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 1782
<< 1 | 3 >> |


แพรพริมา 5 มี.ค. 2557, 13:16:44 น.
คุณพี่งานหนีตามชาวสวนไปทำเกษตรค่ะ 555
คุณพี่งานหนีตามชาวสวนไปทำเกษตรค่ะ 555


Zephyr 5 มี.ค. 2557, 20:36:56 น.
เหมือนเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนไปนะคะ รึป่าวนะ เอ
เหมือนเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนไปนะคะ รึป่าวนะ เอ

แพรพริมา 5 มี.ค. 2557, 22:25:31 น.
เปลี่ยนไปค่า คุณ Zephyr คิดถึงจังเลย อ่านตอนที่ 1 ใหม่อีกรอบก็ได้นะคะ
เปลี่ยนไปค่า คุณ Zephyr คิดถึงจังเลย อ่านตอนที่ 1 ใหม่อีกรอบก็ได้นะคะ