Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทนำ : ซาคุทาโร่กับอากิ
บทนำ : ซาคุทาโร่กับอากิ
พีรพงษ์นั่งขมวดคิ้วหลังหาเอกสารสำคัญไม่เจอ ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะอยู่บนโต๊ะนี่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจนเขาชักจะหงุดหงิด
เที่ยงกว่าแล้ว คนอื่นๆ ต่างพากันออกไปกินอาหารกลางวันกันหมด แต่เอกสารสำคัญที่ว่ามันเกี่ยวกับงานที่ต้องให้เสร็จโดยด่วนเสียด้วย ที่จริงเขาก็ไม่ใช่พนักงานดีเด่นอะไรหรอก แต่เพราะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ต้องหยุดงานไปเสียสามวัน เลยไม่ได้ทำเอกสารชุดนี้ สำคัญตรงที่เอกสารนี่เป็นข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยเอามาให้ตั้งแต่ก่อนป่วย เพื่อให้เอามาทำการตรวจเช็คและสรุปเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแบบสอบถาม แล้วเอาให้หัวหน้าแผนกนำเข้าไปรายงานในที่ประชุมของบริษัทวันจันทร์
ขณะกำลังง่วนอยู่กับการเปรียบเทียบเอกสาร มือถือที่ตั้งระบบปิดเสียงเอาไว้ตามกฎของบริษัทก็สั่นบอกว่ามีสายเข้า หยิบขึ้นมาดูก็เห็นเป็นสายจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เขาขอความช่วยเหลือไว้
“ว่าไงวะจิ๊บ? กูกำลังวุ่นๆ กับงานว่ะ ถ้าไม่สำคัญเอาไว้คุยกันหลังเลิกงานตอนเย็นนะ เดี๋ยวกูโทรไปหามึงเอง” เขาพูด
“เฮ้ย... ไม่มีไรมาก กูแค่จะโทร.มาบอกว่าที่มึงฝากจองตั๋วเครื่องบินให้น่ะ กูจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ แต่กูล่ะเชื่อมึงเลย คิดไงวะถึงได้เลือกบินเดี่ยวไปออสเตรเลียทั้งที่ไม่เคยไปเมืองนอกมาก่อน” เพื่อนผู้เป็นธุระให้บ่นพึมพำ
ชายหนุ่มเอ่ยขอบใจเพื่อนผู้ที่เป็นธุระให้ คนแบบเขาก็คงมีไม่น้อยกับประเภทที่ไม่ค่อยรู้ขั้นรู้ตอนไอ้เรื่องจัดการเอกสารหรืออะไรๆ ที่มันมีพิธีรีตองแบบนี้ ยิ่งจู่ๆ มาตัดสินใจจะไปเมืองนอกกับเขาทั้งทียิ่งใบ้กิน แต่บางครั้งก็มีเหตุจำเป็นต้องไป--ส่วนครั้งนี้เขาตัดสินใจต้องไป
ลึกๆ แล้วพีรพงษ์ออกจะหวาดหวั่นอยู่บ้าง เมืองนอกมันใช่เมืองไทยซะที่ไหน แถมที่จะไปยังไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้านที่คนส่วนหนึ่งพูดภาษาไทยได้ด้วย ไอ้ครั้นจะเชื่อใจภาษาสากลโลกอย่างภาษาอังกฤษที่ตัวเองมีอยู่ก็ดูจะพึ่งพาอะไรไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็เห็นคนมากมายกล้าสืบเท้าออกเดินไปกันเยอะแยะ เมื่อเก็บรวบรวมความกล้าไว้มากพอ บวกกับเหตุผลที่มันฝังลึกอยู่ข้างในใจ คนเรานี่พอมีอะไรอัดแน่นมากๆ ก็ถึงคราวระเบิดออก พอสะสมความฝันนานๆ ถ้าไม่ออกไปทำให้เลิกเป็นแค่ความฝันก็ทิ้งฝันกันไปเสียดื้อๆ อันที่จริงนี่เขาก็เกือบทิ้งความฝันเรื่องนี้ไปเหมือนกัน
เรื่องทั้งหมดมันเหมือนความฝันไร้สาระหากว่ามองจากมุมของผู้คนรอบข้าง แต่มันเป็นความฝันมานานแล้วสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ทั้งหมดน่าจะเริ่มจากวันนั้น วันที่ชายหนุ่มรู้สึกตัวเองว่าบางอย่างในชีวิตเว้าแหว่งไป ในวันที่ “เกม” – หญิงสาวซึ่งเป็นเจ้าของความฝันร่วมกันครึ่งหนึ่งและเป็นใครหนึ่งซึ่งตั้งใจจะใช้ชีวิตด้วยกันเลือกเดินจากไป โลกเหมือนบุบบิ่น สิ่งต่างๆ เหมือนผิดเพี้ยนไปหมด แล้วความมืดหม่นก็ครอบงำผมไว้ จากสัปดาห์ก็เพิ่มเป็นเดือน จากหลายเดือนก็เพิ่มเป็นปี ชีวิตเขาถึงจะเคลื่อนผ่านเวลาแต่ก็เหมือนไม่มีตัวตน
พอผ่านเวลามาได้ระยะหนึ่ง ความคิดก็บอกว่ามันได้รู้และเข้าใจดีแล้วว่าชีวิตมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เรื่องที่เขาเป็นก็คงต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสักวัน แต่เพราะความแน่นอนนั้นไม่มีอยู่จริง เขาเข้มแข็งขึ้นและแน่ใจว่าตนเองตั้งหลักได้แล้ว จนกระทั่งนั่งลงดูหนังซีรี่ย์ที่ฉายทางทีวีในช่วงเช้าต่อสายของวันหนึ่ง ซีรี่ย์นั้นชื่อว่า “อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก” และเพราะซีรี่ย์นี้--ทุกความเข้มแข็งที่เชื่อมั่นก็แตกสลายลงอีกครั้ง
ชายหนุ่มตามหาซื้อหนังสือ Socrates in Love ซึ่งเป็นนิยายฉบับภาษาอังกฤษที่แปลจากเล่มต้นฉบับในภาษาญี่ปุ่น Crying out love in the center of the world ของเคียวอิจิ คาตายามะ อยู่หลายปี ส่วนหนังสือฉบับภาษาไทยที่ใช้ชื่อเดียวกันกับหนังซีรี่ย์ที่นำมาฉายคือ "อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก" นั้นซื้อมาอ่าน อ่าน อ่านและอ่านไปเสียหลายรอบในหลายเดือน
เชื่อไหม--ไม่มีครั้งไหนที่เขาไม่เสียน้ำตา และอาจจะเพราะเขาเกิดมาในยุคสมัยที่ผู้คนแสวงหาความรักแท้กำลังเบ่งบาน ซึ่งดูเหมือนคนเพิ่งจะสูญเสียความรักแบบเขาก็เลยจมดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์แสวงหาและสูญหายนั้นได้มากมายเหลือเกิน แล้วก็ใช้เวลาชีวิตผ่านช่วงนั้นอย่างหมองหม่น แม้ยุคสมัยที่ผู้คนยอมรับในความรักฉาบฉวยจะเข้ามาแทนที่ จนเข้าสู่วันเวลาที่ความรักรูปแบบใหม่ทั้งรักแบบทดลองอยู่กินและวันไนท์สแตนด์กลายเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ยังคงอยู่กับวันเวลาของตัวเอง วันเวลาที่มันคงหยุดนิ่งมาตั้งแต่เมื่อวันนั้น
“การเริ่มต้นเป็นเพียงการเดินต่อไปของสิ่งอื่น”
มันเป็นท่อนหนึ่งของสุนทรพจน์ในหนังเรื่องนั้น อากิอ่านมันอยู่ที่หน้าแถวของนักเรียน เขานั่งดูแต่ไม่เคยเข้าใจ เพราะเขาหยุดที่จะเริ่มต้นมานานแล้ว และที่ต้องการเดินต่อไปไม่ใช่สิ่งอื่นแต่เป็นตัวผมเอง หากว่าสิ่งอื่นหมายถึงความฝันใหม่ๆ เขาคงไม่อยู่ในสภาพหลงเหลือพื้นที่ให้กับความฝันอื่นใดอีกแล้ว ไม่ว่าเวลาชีวิตจะผ่านไปขนาดไหน เบื้องหลังความปกติที่แสดงออกต่อผู้คนรอบข้าง หลังฉากนั้นพีรพงษ์ก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาตัวเองไว้ได้
“ความทรงจำที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาทั้งหมด ทำให้ชีวิตฉันสุกสว่าง ขอบคุณที่เธออยู่กับฉัน ฉันจะไม่ลืมเลือนช่วงเวลาที่มีค่าที่ได้อยู่กับเธอ ฉันขอเพียงครั้งสุดท้าย โปรดโปรยเถ้ากระดูกของฉันไปตามสายลมแห่งอูลูรู”
อากิเคยพูดปลอบซาคุทาโร่ไว้แบบนั้น หากว่าอากิไม่ป่วยเป็นโรคร้าย เธอคงได้ไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆ และหากไม่ต้องตายจากไปในวันหนึ่งข้างหน้า ซาคุทาโร่ก็คงไม่ต้องเลือนลางหายไปจากการมีชีวิตอยู่บนโลก
เหมือนเด็กน้อยที่ฝังจิตฝังใจกับอะไรซักอย่าง พีรพงษ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคืออูลูรู แล้วก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนในบนโลก แต่อินเตอร์เน็ตก็ให้คำตอบได้ทุกเรื่อง... ไม่สิ แค่เกือบทุกเรื่อง เพราะคำตอบที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องรู้สึกเป็นทุกข์ขนาดนี้ ร้องไห้ขนาดนี้ และเสียใจอยู่ขนาดนี้ทั้งที่คนอื่นลืมมันไปแล้วนั้นเป็นเพราะอะไร... ชายหนุ่มคิดว่าบางทีเขาอาจจะได้จิ๊กซอว์ชีวิตชิ้นที่ขาดไป
ตอนที่เขายื่นจดหมายลาออกทำเอาหัวหน้าฝ่ายบุคคลตกใจเป็นการใหญ่ หลังจากถูกเรียกสอบถามต้นสายปลายเหตุของการตัดสินใจครั้งนี้ ทั้งจากพี่เดชาหัวหน้าฝ่ายบุคคล พี่หนึ่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดเจ้านายโดยตรง จนถึงคุณชุมชาติรองกรรมการใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าคุณชุมพลประธานบริษัทท่านไปฮ่องกงกับครอบครัวก็คงได้ถูกเรียกตัวเข้าไปพูดคุยด้วยเช่นกัน แต่หลังให้คำตอบที่มีแล้ว ทุกคนก็เหมือนจะจนด้วยเกล้าที่จะขัดขวางการตัดสินใจของเขาได้ มีเพียงความจำใจต้องยอมรับเรื่องนี้อย่างช่วยไม่ได้
ในตอนที่เริ่มเก็บข้าวของในห้องเพื่อเตรียมตัวไว้สำหรับการเดินทาง หนังสือบนชั้นวางที่เรียงเป็นแถวยาว และที่ซ้อนกันเป็นตั้งสูง เขาหยิบหนังสือนิยายเล่มนั้นในทั้งสองเวอร์ชั่นใส่กระเป๋าไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยกลัวว่าเมื่อถึงเวลาวุ่นวายในการเตรียมเดินทางจริงๆ เขาจะหลงลืมมันไว้
“ดูราวกับว่าผมกำลังสะเปะสะปะหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่ใช่ทั้งอดีตและปัจจุบัน ผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามาที่นี่ทำไม พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว มาอยู่ในที่ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน และผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร”
ซาคุทาโร่เคยรำพึงในใจไว้เช่นนั้น
สำหรับพีรพงษ์แล้วถ้าซาคุทาโร่รู้สึกเช่นนี้ มนุษย์ที่หลงทางอยู่ในเวลาหยุดที่นิ่งแบบซาคุก็คงเป็นอย่างเช่นเดียวกับเขาสินะ--ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น เราเสมอภาคกันในความรู้สึกแต่ไม่รู้ว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบจากการยังดำรงอยู่หรือไม่มีเหลือแล้วของคนที่จากไป...
หากความหวังเป็นตัวประเมินค่าการมีชีวิตอยู่ พีรพงษ์เลิกตั้งความหวังกับเรื่องที่เขาและเธอจะได้กลับมารักกันอีกครั้ง การทำใจยอมรับว่า “เธอยังอยู่บนโลกใบเดียวกันนี้แต่ไม่มีสิทธิ์ใช้เวลาร่วมกันอีกแล้ว” มันจะยากกว่าการที่ซาคุทาโร่พบว่า “ไม่มีสิทธิ์ตั้งความหวังในการให้อากิกลับมามีชีวิต” อยู่หรือเปล่า?
เสียงพูดคุยของผู้คนที่เดินเข้ามาทางประตูหน้าทำให้เขาละสายตาจากกองเอกสาร เหลือบดูนาฬิกาบนผนังจึงได้เห็นว่าอีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็จะเริ่มเวลาทำงานของช่วงบ่ายแล้ว พร้อมกันกับที่เพื่อนพนักงานที่ฝากซื้อข้าวกล่องถือมื้อเที่ยงมาให้พอดี
“เอ้าข้าวกล่องมึงไอ้ไนท์”
“ขอบใจว่ะ”
“ไม่เป็นไร รีบๆ ไปกินซะไป๊”
เขารับกล่องข้าวมาแล้วปลีกตัวไปนั่งกินตรงหน้าห้องเก็บเครื่องมือของแม่บ้านที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในของห้องทำงาน
“วันนี้ก็กินข้าวกล่องอีกแล้วเหรอคุณไนท์?” ป้าสมใจผู้เป็นแม่บ้านเอ่ยถาม เธอหอบร่างอ้วนอวบเดินเข้ามาเตรียมอุปกรณ์ทำงานส่วนตัวของเธอ
“ครับป้า งานมันยุ่งนิดหน่อยครับ” ชายหนุ่มตอบไปทั้งยิ้มเจื่อนๆ
“เอาน้ำเย็นไหม? เดี๋ยวป้าไปเอาให้” แม่บ้านร่างใหญ่อาสาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างที่เป็นประจำ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องหรอกครับป้า เดี๋ยวผมเดินไปกินที่ตู้กดน้ำเองก็ได้”
พีรพงษ์รีบจัดการกับมื้อกลางวันของตัวเองโดยเร็ว ล้วงเอาซองยาในกระเป๋าออกมา มียาหลังอาหารอยู่สองตัวที่ต้องกิน แต่ถ้านับทั้งหมดในตอนเช้าและก่อนนอนด้วยมันจะต้องเพิ่มไปอีกสามตัว พอกรอกยาที่ได้มาจากหมอเข้าปากแล้ว เขารีบดื่มน้ำตามอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้รีบกลับเข้าไปทำงาน มันอาจจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายในฐานะรองหัวหน้าฝ่ายการตลาด หมดจากงานชิ้นนี้เขาคงเตรียมตัวกล่าวลาหรืออาจจะลาไปแบบเงียบๆ
มันก็คงยากอยู่ที่จู่ๆ จากมนุษย์เงินเดือนที่ตอกบัตรเช้า-เย็นคนหนึ่งจะหยุดตัวเองจากงานแล้วเลือกทำตามใจตัวเองสักครั้ง มันก็ดูน่ากังวลใจนิดหน่อย แต่ตอนนี้เขาเชื่อว่าตัวเองกำลังพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง ถึงจะยังเหลือเรื่องวางกำหนดแผนการอีกนิดหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จากนั้นเขาก็จะไปยืนอยู่ที่เดียวกันกับซาคุทาโร่ ไปที่นั่นนั้นเพื่อตอบคำถามตัวเอง
เขาก็ได้แต่หวังนะ หวังว่าคำตอบจะมีอยู่... หวังว่าความรู้สึกจะไม่เป็นเช่นเดียวกับซาคุทาโร่
พีรพงษ์นั่งขมวดคิ้วหลังหาเอกสารสำคัญไม่เจอ ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะอยู่บนโต๊ะนี่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจนเขาชักจะหงุดหงิด
เที่ยงกว่าแล้ว คนอื่นๆ ต่างพากันออกไปกินอาหารกลางวันกันหมด แต่เอกสารสำคัญที่ว่ามันเกี่ยวกับงานที่ต้องให้เสร็จโดยด่วนเสียด้วย ที่จริงเขาก็ไม่ใช่พนักงานดีเด่นอะไรหรอก แต่เพราะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ต้องหยุดงานไปเสียสามวัน เลยไม่ได้ทำเอกสารชุดนี้ สำคัญตรงที่เอกสารนี่เป็นข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยเอามาให้ตั้งแต่ก่อนป่วย เพื่อให้เอามาทำการตรวจเช็คและสรุปเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแบบสอบถาม แล้วเอาให้หัวหน้าแผนกนำเข้าไปรายงานในที่ประชุมของบริษัทวันจันทร์
ขณะกำลังง่วนอยู่กับการเปรียบเทียบเอกสาร มือถือที่ตั้งระบบปิดเสียงเอาไว้ตามกฎของบริษัทก็สั่นบอกว่ามีสายเข้า หยิบขึ้นมาดูก็เห็นเป็นสายจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เขาขอความช่วยเหลือไว้
“ว่าไงวะจิ๊บ? กูกำลังวุ่นๆ กับงานว่ะ ถ้าไม่สำคัญเอาไว้คุยกันหลังเลิกงานตอนเย็นนะ เดี๋ยวกูโทรไปหามึงเอง” เขาพูด
“เฮ้ย... ไม่มีไรมาก กูแค่จะโทร.มาบอกว่าที่มึงฝากจองตั๋วเครื่องบินให้น่ะ กูจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ แต่กูล่ะเชื่อมึงเลย คิดไงวะถึงได้เลือกบินเดี่ยวไปออสเตรเลียทั้งที่ไม่เคยไปเมืองนอกมาก่อน” เพื่อนผู้เป็นธุระให้บ่นพึมพำ
ชายหนุ่มเอ่ยขอบใจเพื่อนผู้ที่เป็นธุระให้ คนแบบเขาก็คงมีไม่น้อยกับประเภทที่ไม่ค่อยรู้ขั้นรู้ตอนไอ้เรื่องจัดการเอกสารหรืออะไรๆ ที่มันมีพิธีรีตองแบบนี้ ยิ่งจู่ๆ มาตัดสินใจจะไปเมืองนอกกับเขาทั้งทียิ่งใบ้กิน แต่บางครั้งก็มีเหตุจำเป็นต้องไป--ส่วนครั้งนี้เขาตัดสินใจต้องไป
ลึกๆ แล้วพีรพงษ์ออกจะหวาดหวั่นอยู่บ้าง เมืองนอกมันใช่เมืองไทยซะที่ไหน แถมที่จะไปยังไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้านที่คนส่วนหนึ่งพูดภาษาไทยได้ด้วย ไอ้ครั้นจะเชื่อใจภาษาสากลโลกอย่างภาษาอังกฤษที่ตัวเองมีอยู่ก็ดูจะพึ่งพาอะไรไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็เห็นคนมากมายกล้าสืบเท้าออกเดินไปกันเยอะแยะ เมื่อเก็บรวบรวมความกล้าไว้มากพอ บวกกับเหตุผลที่มันฝังลึกอยู่ข้างในใจ คนเรานี่พอมีอะไรอัดแน่นมากๆ ก็ถึงคราวระเบิดออก พอสะสมความฝันนานๆ ถ้าไม่ออกไปทำให้เลิกเป็นแค่ความฝันก็ทิ้งฝันกันไปเสียดื้อๆ อันที่จริงนี่เขาก็เกือบทิ้งความฝันเรื่องนี้ไปเหมือนกัน
เรื่องทั้งหมดมันเหมือนความฝันไร้สาระหากว่ามองจากมุมของผู้คนรอบข้าง แต่มันเป็นความฝันมานานแล้วสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ทั้งหมดน่าจะเริ่มจากวันนั้น วันที่ชายหนุ่มรู้สึกตัวเองว่าบางอย่างในชีวิตเว้าแหว่งไป ในวันที่ “เกม” – หญิงสาวซึ่งเป็นเจ้าของความฝันร่วมกันครึ่งหนึ่งและเป็นใครหนึ่งซึ่งตั้งใจจะใช้ชีวิตด้วยกันเลือกเดินจากไป โลกเหมือนบุบบิ่น สิ่งต่างๆ เหมือนผิดเพี้ยนไปหมด แล้วความมืดหม่นก็ครอบงำผมไว้ จากสัปดาห์ก็เพิ่มเป็นเดือน จากหลายเดือนก็เพิ่มเป็นปี ชีวิตเขาถึงจะเคลื่อนผ่านเวลาแต่ก็เหมือนไม่มีตัวตน
พอผ่านเวลามาได้ระยะหนึ่ง ความคิดก็บอกว่ามันได้รู้และเข้าใจดีแล้วว่าชีวิตมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เรื่องที่เขาเป็นก็คงต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสักวัน แต่เพราะความแน่นอนนั้นไม่มีอยู่จริง เขาเข้มแข็งขึ้นและแน่ใจว่าตนเองตั้งหลักได้แล้ว จนกระทั่งนั่งลงดูหนังซีรี่ย์ที่ฉายทางทีวีในช่วงเช้าต่อสายของวันหนึ่ง ซีรี่ย์นั้นชื่อว่า “อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก” และเพราะซีรี่ย์นี้--ทุกความเข้มแข็งที่เชื่อมั่นก็แตกสลายลงอีกครั้ง
ชายหนุ่มตามหาซื้อหนังสือ Socrates in Love ซึ่งเป็นนิยายฉบับภาษาอังกฤษที่แปลจากเล่มต้นฉบับในภาษาญี่ปุ่น Crying out love in the center of the world ของเคียวอิจิ คาตายามะ อยู่หลายปี ส่วนหนังสือฉบับภาษาไทยที่ใช้ชื่อเดียวกันกับหนังซีรี่ย์ที่นำมาฉายคือ "อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก" นั้นซื้อมาอ่าน อ่าน อ่านและอ่านไปเสียหลายรอบในหลายเดือน
เชื่อไหม--ไม่มีครั้งไหนที่เขาไม่เสียน้ำตา และอาจจะเพราะเขาเกิดมาในยุคสมัยที่ผู้คนแสวงหาความรักแท้กำลังเบ่งบาน ซึ่งดูเหมือนคนเพิ่งจะสูญเสียความรักแบบเขาก็เลยจมดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์แสวงหาและสูญหายนั้นได้มากมายเหลือเกิน แล้วก็ใช้เวลาชีวิตผ่านช่วงนั้นอย่างหมองหม่น แม้ยุคสมัยที่ผู้คนยอมรับในความรักฉาบฉวยจะเข้ามาแทนที่ จนเข้าสู่วันเวลาที่ความรักรูปแบบใหม่ทั้งรักแบบทดลองอยู่กินและวันไนท์สแตนด์กลายเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ยังคงอยู่กับวันเวลาของตัวเอง วันเวลาที่มันคงหยุดนิ่งมาตั้งแต่เมื่อวันนั้น
“การเริ่มต้นเป็นเพียงการเดินต่อไปของสิ่งอื่น”
มันเป็นท่อนหนึ่งของสุนทรพจน์ในหนังเรื่องนั้น อากิอ่านมันอยู่ที่หน้าแถวของนักเรียน เขานั่งดูแต่ไม่เคยเข้าใจ เพราะเขาหยุดที่จะเริ่มต้นมานานแล้ว และที่ต้องการเดินต่อไปไม่ใช่สิ่งอื่นแต่เป็นตัวผมเอง หากว่าสิ่งอื่นหมายถึงความฝันใหม่ๆ เขาคงไม่อยู่ในสภาพหลงเหลือพื้นที่ให้กับความฝันอื่นใดอีกแล้ว ไม่ว่าเวลาชีวิตจะผ่านไปขนาดไหน เบื้องหลังความปกติที่แสดงออกต่อผู้คนรอบข้าง หลังฉากนั้นพีรพงษ์ก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาตัวเองไว้ได้
“ความทรงจำที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาทั้งหมด ทำให้ชีวิตฉันสุกสว่าง ขอบคุณที่เธออยู่กับฉัน ฉันจะไม่ลืมเลือนช่วงเวลาที่มีค่าที่ได้อยู่กับเธอ ฉันขอเพียงครั้งสุดท้าย โปรดโปรยเถ้ากระดูกของฉันไปตามสายลมแห่งอูลูรู”
อากิเคยพูดปลอบซาคุทาโร่ไว้แบบนั้น หากว่าอากิไม่ป่วยเป็นโรคร้าย เธอคงได้ไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆ และหากไม่ต้องตายจากไปในวันหนึ่งข้างหน้า ซาคุทาโร่ก็คงไม่ต้องเลือนลางหายไปจากการมีชีวิตอยู่บนโลก
เหมือนเด็กน้อยที่ฝังจิตฝังใจกับอะไรซักอย่าง พีรพงษ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคืออูลูรู แล้วก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนในบนโลก แต่อินเตอร์เน็ตก็ให้คำตอบได้ทุกเรื่อง... ไม่สิ แค่เกือบทุกเรื่อง เพราะคำตอบที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องรู้สึกเป็นทุกข์ขนาดนี้ ร้องไห้ขนาดนี้ และเสียใจอยู่ขนาดนี้ทั้งที่คนอื่นลืมมันไปแล้วนั้นเป็นเพราะอะไร... ชายหนุ่มคิดว่าบางทีเขาอาจจะได้จิ๊กซอว์ชีวิตชิ้นที่ขาดไป
ตอนที่เขายื่นจดหมายลาออกทำเอาหัวหน้าฝ่ายบุคคลตกใจเป็นการใหญ่ หลังจากถูกเรียกสอบถามต้นสายปลายเหตุของการตัดสินใจครั้งนี้ ทั้งจากพี่เดชาหัวหน้าฝ่ายบุคคล พี่หนึ่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดเจ้านายโดยตรง จนถึงคุณชุมชาติรองกรรมการใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าคุณชุมพลประธานบริษัทท่านไปฮ่องกงกับครอบครัวก็คงได้ถูกเรียกตัวเข้าไปพูดคุยด้วยเช่นกัน แต่หลังให้คำตอบที่มีแล้ว ทุกคนก็เหมือนจะจนด้วยเกล้าที่จะขัดขวางการตัดสินใจของเขาได้ มีเพียงความจำใจต้องยอมรับเรื่องนี้อย่างช่วยไม่ได้
ในตอนที่เริ่มเก็บข้าวของในห้องเพื่อเตรียมตัวไว้สำหรับการเดินทาง หนังสือบนชั้นวางที่เรียงเป็นแถวยาว และที่ซ้อนกันเป็นตั้งสูง เขาหยิบหนังสือนิยายเล่มนั้นในทั้งสองเวอร์ชั่นใส่กระเป๋าไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยกลัวว่าเมื่อถึงเวลาวุ่นวายในการเตรียมเดินทางจริงๆ เขาจะหลงลืมมันไว้
“ดูราวกับว่าผมกำลังสะเปะสะปะหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่ใช่ทั้งอดีตและปัจจุบัน ผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามาที่นี่ทำไม พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว มาอยู่ในที่ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน และผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร”
ซาคุทาโร่เคยรำพึงในใจไว้เช่นนั้น
สำหรับพีรพงษ์แล้วถ้าซาคุทาโร่รู้สึกเช่นนี้ มนุษย์ที่หลงทางอยู่ในเวลาหยุดที่นิ่งแบบซาคุก็คงเป็นอย่างเช่นเดียวกับเขาสินะ--ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น เราเสมอภาคกันในความรู้สึกแต่ไม่รู้ว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบจากการยังดำรงอยู่หรือไม่มีเหลือแล้วของคนที่จากไป...
หากความหวังเป็นตัวประเมินค่าการมีชีวิตอยู่ พีรพงษ์เลิกตั้งความหวังกับเรื่องที่เขาและเธอจะได้กลับมารักกันอีกครั้ง การทำใจยอมรับว่า “เธอยังอยู่บนโลกใบเดียวกันนี้แต่ไม่มีสิทธิ์ใช้เวลาร่วมกันอีกแล้ว” มันจะยากกว่าการที่ซาคุทาโร่พบว่า “ไม่มีสิทธิ์ตั้งความหวังในการให้อากิกลับมามีชีวิต” อยู่หรือเปล่า?
เสียงพูดคุยของผู้คนที่เดินเข้ามาทางประตูหน้าทำให้เขาละสายตาจากกองเอกสาร เหลือบดูนาฬิกาบนผนังจึงได้เห็นว่าอีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็จะเริ่มเวลาทำงานของช่วงบ่ายแล้ว พร้อมกันกับที่เพื่อนพนักงานที่ฝากซื้อข้าวกล่องถือมื้อเที่ยงมาให้พอดี
“เอ้าข้าวกล่องมึงไอ้ไนท์”
“ขอบใจว่ะ”
“ไม่เป็นไร รีบๆ ไปกินซะไป๊”
เขารับกล่องข้าวมาแล้วปลีกตัวไปนั่งกินตรงหน้าห้องเก็บเครื่องมือของแม่บ้านที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในของห้องทำงาน
“วันนี้ก็กินข้าวกล่องอีกแล้วเหรอคุณไนท์?” ป้าสมใจผู้เป็นแม่บ้านเอ่ยถาม เธอหอบร่างอ้วนอวบเดินเข้ามาเตรียมอุปกรณ์ทำงานส่วนตัวของเธอ
“ครับป้า งานมันยุ่งนิดหน่อยครับ” ชายหนุ่มตอบไปทั้งยิ้มเจื่อนๆ
“เอาน้ำเย็นไหม? เดี๋ยวป้าไปเอาให้” แม่บ้านร่างใหญ่อาสาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างที่เป็นประจำ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องหรอกครับป้า เดี๋ยวผมเดินไปกินที่ตู้กดน้ำเองก็ได้”
พีรพงษ์รีบจัดการกับมื้อกลางวันของตัวเองโดยเร็ว ล้วงเอาซองยาในกระเป๋าออกมา มียาหลังอาหารอยู่สองตัวที่ต้องกิน แต่ถ้านับทั้งหมดในตอนเช้าและก่อนนอนด้วยมันจะต้องเพิ่มไปอีกสามตัว พอกรอกยาที่ได้มาจากหมอเข้าปากแล้ว เขารีบดื่มน้ำตามอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้รีบกลับเข้าไปทำงาน มันอาจจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายในฐานะรองหัวหน้าฝ่ายการตลาด หมดจากงานชิ้นนี้เขาคงเตรียมตัวกล่าวลาหรืออาจจะลาไปแบบเงียบๆ
มันก็คงยากอยู่ที่จู่ๆ จากมนุษย์เงินเดือนที่ตอกบัตรเช้า-เย็นคนหนึ่งจะหยุดตัวเองจากงานแล้วเลือกทำตามใจตัวเองสักครั้ง มันก็ดูน่ากังวลใจนิดหน่อย แต่ตอนนี้เขาเชื่อว่าตัวเองกำลังพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง ถึงจะยังเหลือเรื่องวางกำหนดแผนการอีกนิดหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จากนั้นเขาก็จะไปยืนอยู่ที่เดียวกันกับซาคุทาโร่ ไปที่นั่นนั้นเพื่อตอบคำถามตัวเอง
เขาก็ได้แต่หวังนะ หวังว่าคำตอบจะมีอยู่... หวังว่าความรู้สึกจะไม่เป็นเช่นเดียวกับซาคุทาโร่
นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2556, 19:00:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2556, 13:32:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 976
<< บทเริ่มต้น : ตื่นกับฝัน | ตั๋วเดินทางกับการรอคอย >> |