แค้นนัก...รักหมดใจยัยครูสาว
เขาคือชายหนุ่มมหาเศรษฐีจอมเย็นชาผู้เป็นอัจฉริยะไอคิว 170 ที่รู้สึกเบื่อชีวิต อยากกลับไปเรียนมัธยมแก้เซ็งอีกครั้ง แต่ติดปัญหาอยู่ที่สองขาพิการจากอุบัติเหตุในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาได้พบกับ “เธอ” คุณตรูสาวคนซื่อจอมซุ่มซ่ามที่กำลังว่างงาน ภารกิจพิชิตใจ Home Teacher จึงอุบัติขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...ท่ามกลางอันตรายที่ตามติดมาอย่างไม่มีใครคาดคิด!
Tags: โรแมนติก ความรัก คุณครู ตำรวจ นักต้มตุ๋น
ตอน: บทที่ 7 – ทะเลเฮฮา
“ทะเล...จะเอาเธอนั้นไปลอยทะเล...อยากจับเธอนั้นโยนลงทะเล...ทะเล...” พิสชาฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี “...ทะเลเมืองไทยส้วยสวยเนอะคะคุณวิชญ์”
หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มผู้นั่งทำหน้าไร้อารมณ์บนวีลแชร์ไฟฟ้าที่จอดอยู่ริมระเบียงบ้านพักชายทะเลเมืองพัทยา เสียงเกลียวคลื่นสาดซัดชายหาดดังเรื่อยๆ ไม่ขาดหู พวกเขาเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อเช้า หลังจากธนัชวิชญ์ใช้เวลาทำเรื่องหนึ่งวันติดต่อซื้อบ้านพักหลังนี้ในชื่อของพิสชาเพื่อหลีกหนีการอยู่คฤหาสน์หลังเดิมซึ่งเสี่ยวินัยล่วงรู้ที่ตั้งในจังหัวดแม่ฮ่องสอนแล้ว
“คุณวิชญ์คะ เข้ามานั่งพักข้างในเถอะค่ะ ตากลมทะเลมากเดี๋ยวจะไม่สบายนะคะ” เสียงของแองจี้แว่วขึ้นเมื่อประตูเลื่อนด้านหลังสองหนุ่มสาวเปิดออกและเจ้าของเสียงอ่อนหวานก้าวเท้าเข้ามาหา
พิสชาส่งยิ้มให้หล่อน แต่แองจี้ไม่แสดงอาการรับรู้ว่าเห็นรอยยิ้มของเธอ
“ไม่ล่ะ ผมอยากดูวิวรอบๆ บ้านพักมากกว่า”
ชายหนุ่มตอบ กดปุ่มบังคับวีลแชร์ให้หันไปทางขวามือ ซึ่งเท่ากับเป็นการหันหลังให้แองจี้
“พิสชา คุณไปกับผมหน่อยได้ไหม?”
“ได้ค่ะ”
พิสชารับคำ ยิ้มกว้างเผยฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ลมทะเลโชยพัดเส้นผมเธอฟุ้งกระจาย คุณครูเดินเคียงข้างชายหนุ่มลงจากระเบียงบ้านพักโดยใช้ทางเดินที่เป็นทางลาดแทนขั้นบันไดที่อยู่ใกล้กว่า แองจี้ยืนมองทั้งสองคนจนลับตา ได้ยินเสียงพิสชาชวนธนัชวิชญ์ดูนั่นดูนี่ไม่ขาดระยะ
“ดูเหมือนว่าพวกเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแล้วนะหล่อน”
ภาษาอังกฤษที่ออกสำเนียงไว้ตัวดังขึ้นจากประตูบานเลื่อนด้านหลังหญิงสาวผู้สวมแว่นตาไร้กรอบ ซาแมนต้าก้าวเท้าเข้ามาหยุดยืนข้างแองจี้ สายตาของสาวผมบรอนด์จับจ้องไปยังทิศทางที่ธนัชวิชญ์กับพิสชาลับตาไป บ่งบอกว่าหล่อนคงแอบซุ่มดูมาได้ครู่หนึ่งแล้ว
“วิชชี่ท่าจะหลงยัยหน้าจืดนั่นมากๆ เลยนะ” ซาแมนต้าเอ่ยต่อเมื่อแองจี้ยังคงปิดปากเงียบและไม่ให้ความสนใจหล่อนเลยแม้แต่น้อย
แองจี้พลันหันขวับมาพูดเป็นคำแรก “คุณต้องการอะไร?”
“อยากร่วมมือกับฉันกำจัดยัยครูนั่นมั้ยล่ะ” ซาแมนต้ากระซิบและแสยะยิ้ม
“แผนสกปรก?” ดวงตาหลังเลนส์แว่นไร้กรอบเป็นประกายวูบหนึ่ง
“ก็ไม่เชิง” สาวอเมริกันยักไหล่ “แต่ใครจะสนล่ะ แค่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการก็พอแล้ว”
แองจี้ยิ้มมุมปาก ยกมือขยับแว่น “ขอปฏิเสธ”
หล่อนก้าวขาหมายเดินออกจากระเบียงชมวิวนั้น แต่ซาแมนต้าก็โพล่งขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น หล่อนก็เป็นคนต่อไปที่ฉันต้องกำจัดต่อจากนังพิสชา”
รอยยิ้มยังอยู่บนใบหน้าของแองจี้เมื่อหล่อนเหลียวหน้ามาตอบ
“ไม่ว่าฉันจะร่วมมือกับคุณหรือไม่ ก็ดูเหมือนว่ามันคงต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
แล้วหญิงสาวผู้สวมแว่นตาไร้กรอบก็สะบัดหน้าเดินลงบันไดมาอย่างไม่สนใจคำพูดของสาวอเมริกันอีก หล่อนเดินหายไปทางที่ธนัชวิชญ์ไปชมวิวกับคุณครูสาว
ซาแมนต้ากระทืบเท้าด้วยความขัดใจ ก่อนสบถออกมาอย่างกราดเกรี้ยว
“ใครคิดแย่งวิชชี่ไปจากฉัน แม่จะเล่นงานให้เข็ดไปจนตายเลย คอยดูเถอะ!”
++++++
บ้านพักที่ธนัชวิชญ์เสียเงินร่วมยี่สิบห้าล้านบาทซื้อมานี้มีอาณาบริเวณโดยรอบราวสิบสี่ไร่ มีต้นไม้ปลูกร่มครึ้มเป็นสิ่งบอกอาณาเขตแทนรั้ว นอกจากบ้านพักหลังใหญ่ที่กินเนื้อที่เกือบครึ่งแล้ว ด้านหลังก็ยังมีเรือนพักของคนรับใช้ซึ่งเป็นบ้านปูนสองชั้นในลักษณะบ้านเดี่ยวรายล้อมด้วยดงกล้วยไม้ แม้ทางเดินบางช่วงจะเป็นพื้นดินขรุขระ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับวีลแชร์ที่ออกแบบพิเศษจากมันสมองของธนัชวิชญ์แต่อย่างใด
สองหนุ่มสาวผ่านเรือนพักของคนรับใช้และลัดเลาะไปทางเดินด้านซ้ายมือก็ทะลุออกมาสู่ชายหาดที่เงียบสงบปราศจากบุคคลถายนอกรบกวน
ธนัชวิชญ์บอกว่าเขาอยากนั่งดูทะเลอยู่อย่างนี้ พิสชาจึงยืนอยู่ด้านข้าง ใช้กิ่งไม้แห้งยาวๆ ที่หยิบติดมือมาขีดเขียนพื้นทรายเล่น สลับกับเหลือบมองเขาเป็นระยะอย่างไม่สบายใจ
“คุณวิชญ์มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ?”
พิสชาตัดสินใจถามออกไป เธอรู้สึกห่วงใยอย่างอธิบายไม่ถูกตั้งแต่ที่เห็นแววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปหลังรับโทรศัพท์จากเสี่ยวินัยเมื่อวันก่อน นอกจากนี้ การที่จู่ๆ เขาก็พาทุกคนย้ายที่อยู่อย่างกะทันหัน ก็เป็นสิ่งที่บอกพิสชาว่ากำลังจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
“ผมสบายใจดี ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณที่จะมาใส่ใจ” เขาตอบห้วนสั้น
พิสชาหน้าเสีย รีบกล่าวตะกุกตะกัก “ขะ...ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษทำไม คุณไม่ได้ทำอะไรผิด” ธนัชวิชญ์หันหน้ามามองเธอแวบหนึ่ง “ผมเพียงแค่สั่งไม่ให้คุณมาใส่ใจผมเท่านั้นเอง”
“แต่ว่าพิสทำไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวเอ่ยแผ่วเบา
“ทำไมล่ะ?”
“ก็...คุณครูต้องใส่ใจนักเรียนนะคะ พิสถูกสอนมาอย่างนั้น”
“งั้นก็จำไว้ว่าต่อจากนี้ไป คุณไม่ใช่ครูของผมแล้ว แต่เป็นคนที่ถูกจ้างมาเพื่อแกล้งเป็นคนรักของผมต่างหาก”
“ถึงจะเป็นแบบนั้น...แต่พิสก็ไม่สนใจว่าคุณวิชญ์จะมีความทุกข์หรือมีความสุขไม่ได้หรอกค่ะ”
ธนัชวิชญ์ยกมือขยี้หัวตัวเอง “คุณนี่ว่ายากจังแฮะ ทำไมจะต้องมาสนใจผมนักหนาด้วยเล่า”
“ก็เพราะว่า...”
พิสชาพูดค้างอยู่เพียงเท่านั้น ยกมือเกาศีรษะตนเองบ้าง
ก็เพราะว่าอะไรน้า? จู่ๆ พิสชาก็คิดไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอไม่ทราบว่าทำไมเธอต้องเป็นห่วงเป็นใยหรือให้ความสนใจคุณวิชญ์ด้วย แม้เธอจะเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยห่วงใยผู้อื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พิสชาก็ไม่เคยมีความรู้สึกต่อใครล้นเหลือขนาดนี้มาก่อน แม้กระทั่งกับเพื่อนๆ ที่สนิทสนม
หรือมันจะเป็นเพราะว่า...
“...พิสเป็นห่วงคุณวิชญ์ไงคะ”
เธอตอบออกมาได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้
“ผมมันคงน่าสงสารสำหรับคุณมากสินะ” ชายหนุ่มพึมพำ เหม่อตามองออกไปที่ท้องทะเลซึ่งมีเรือลำน้อยลอยอยู่ให้เห็นไกลลิบๆ เหมือนเรือของเล่น
น่าสงสารหรือ? นั่นสิ ที่จริงคุณวิชญ์น่าสงสารจะตาย พ่อแม่เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก หนำซ้ำยังเดินไม่ได้อีกด้วย แต่ทำไมเราไม่เคยรู้สึกสงสารคุณวิชญ์เลยนะ เท่าที่เห็นคุณวิชญ์ก็ออกจะเข้มแข็ง เราเพียงรู้สึกอยากดูแลเขาไปเรื่อยๆ อยากทำให้คุณวิชญ์ยิ้มออกมาบ่อยๆ เราชอบตอนที่คุณวิชญ์เผลอยิ้มนี่นา...พิสชาครุ่นคิดในใจ
และด้วยความที่เธอใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีบถีบบนลำแข้งของตัวเองมาตลอด พิสชาจึงไม่เคยมีเวลาได้ทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก ถึงแม้ตอนเรียนมหาวิทยาลัยจะมีหนุ่มๆ มาทำก้อร้อก้อติกบ้างก็ตาม แต่พิสชาก็ยุ่งอยู่กับการทำขนมเค้กและท่องตำราเกินกว่าจะให้ความสนใจ
“คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ ผมอยากนั่งอยู่ตรงนี้อีกสักพัก” ธนัชวิชญ์พูด น้ำเสียงเหมือนคนอ่อนล้ากับอะไรบางอย่างจนใกล้ถึงขีดจำกัด
“ไม่ค่ะ พิสจะอยู่ตรงนี้ พิสจะอยู่ข้างๆ คุณวิชญ์ไม่ไปไหน” พิสชาตอบอย่างเข้มแข็ง ราวกับว่าถ้าเธอไม่อยู่ข้างเขา อาจจะมีอันตรายใดเกิดขึ้นกับเขาโดยไม่คาดคิดก็ได้
ธนัชวิชญ์เผลอยิ้มออกมาให้กับความใสซื่อและดวงตาเป๋วแหว๋วของเธอ
ทั้งที่ออกปากไล่ แต่หัวใจกลับพองโตอย่างประหลาดเมื่อเขาได้ยินคำตอบว่าพิสชาจะไม่ไปไหน
“งั้นเรากลับไปที่บ้านกันดีกว่า” เขาบอก พยายามบอกตัวเองไม่ให้มีความสุขมากไปนัก เขาไม่ควรรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงที่ไหนอีก...
“อ้าว แต่คุณวิชญ์อยากนั่งตรงนี้ไม่ใช่หรอคะ?” พิสชาเอียงหน้าถาม
“ไม่ล่ะ ตอนนี้อยากหาขนมกินมากกว่า”
“ขนมหรือคะ?” พิสชาเบิกตาโต นัยน์ตาเป็นประกายกระตือรือร้น “พิสเอาวัตถุดิบสำหรับทำเค้กช็อคโกแลตมาด้วย วันก่อนที่อยู่คฤหาสน์พิสยังไม่ได้ทำเลย คุณวิชญ์อยากทานมั้ยล่ะคะ พิสจะทำให้ทาน ตอนเช้าพิสเข้าไปดูที่ห้องครัว เห็นมีเตาอบด้วย”
“อยากทำก็ทำสิ อยากรู้จริงว่าจะอร่อยสักแค่ไหนกัน”
พิสชาหัวเราะด้วยความเบิกบาน “อร่อยแน่นอนค่ะ พิสเอาชีวิตพี่หมีน้อยเป็นเดิมพันเลย”
เสียงหัวเราะของหญิงสาวคล้ายมนตร์เสน่ห์ที่ทำให้ผู้รับฟังอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ ธนัชวิชญ์หัวเราะตามเธอ ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวเราะทำไม รู้แต่เพียงว่าเมื่อได้ส่งเสียงหัวเราะพร้อมกับพิสชาแล้ว...เขารู้สึกสบายใจชะมัด
++++++
หญิงสาวผู้สวมแว่นตาไร้กรอบเดินตามรอยเท้าและรอยล้อวีลแชร์มาจนถึงชายหาด หล่อนชะลอฝีเท้าลงเมื่อเสียงหัวเราะเฮฮาของชายหญิงคู่หนึ่งลอยมาเข้าหู แองจี้มองหาที่มาของเสียง แล้วก็ต้องรีบถลันเข้าหลบเบื้องหลังต้นมะพร้าวที่อยู่ใกล้ที่สุด
ไม่ไกลไปนัก ธนัชวิชญ์กับพิสชากำลังมองตากันและส่งเสียงหัวเราะอย่างปลอดโปร่งใจ เหมือนคู่รักที่มาออกเดทกันไม่มีผิด
หัวใจของแองจี้กระตุกวูบเมื่อเห็นภาพนั้น
ที่ๆ พิสชายืนอยู่ในตอนนี้ มันควรเป็นที่ของฉันเองไม่ใช่หรือ? แองจี้กำมือแน่นและผละออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมกับน้ำอุ่นๆ ที่ปริ่มขอบตา
++++++
เค้กช็อคโกแลตที่ประดับประดาด้วยผลไม้ทั้งสตรอว์เบอร์รี่ บูลเบอร์รี่ ลูกเกด ราดวิปครีมเป็นลวดลายสวยงาม ถูกพิสชายกมาเสิร์ฟที่โต๊ะของคุณวิชญ์อย่างระมัดระวังในห้องอ่านหนังสือ ขณะนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง คุณวิชญ์เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จและบอกกับทุกคนว่าขอย่อยอาหารด้วยการเข้ามานั่งติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในห้องนี้
นอกหน้าต่างมีสายฝนบางๆ โปรยปราย บรรยากาศเย็นสบายเหมาะกับการพักผ่อนอย่างที่สุด
“ของหวานมาแล้วค่าาาา”
พิสชาลากเสียงสดใส เธอเสียเวลาตกแต่งหน้าเค้กให้เป็นหน้าตุ๊กตาหมีอยู่นาน จึงไม่อยากทำทั้งหมดหายวับไปกับตาด้วยการเดินสะดุดขาตัวเองหกล้มเพียงครั้งเดียว
“หือ? ก้อนเบ้อเริ่มขนาดนั้น ใครจะไปกินหมด” ธนัชวิชญ์ว่าเมื่อละสายตาจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเห็นขนาดของเค้กที่หญิงสาวนำมาวางลงบนโต๊ะพร้อมกับมีดตัดและช้อนกระเบื้อง
“กินไม่หมดก็ค่อยแจกให้คนอื่นๆ ไงคะ แต่พิสอยากให้คุณวิชญ์ชิมเป็นคนแรก” เธอฉีกยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิใจในขนมเค้กชิ้นตรงหน้านี้มาก
“วางไว้ก่อนเถอะ ผมอยากกินเมื่อไหร่จะกินเอง ขอบใจมาก” ชายหนุ่มพูด ตวัดสายตากลับไปสนใจกราฟหุ้นบนหน้าจอต่อ
พิสชาขมวดคิ้วหน้าบึ้ง เดินอ้อมโต๊ะเข้ามายืนข้างเขาและว่าเสียงเข้ม
“แต่พิสอยากให้คุณวิชญ์ชิมตอนนี้เลยนี่คะ พิสอยากรู้ว่ามันจะถูกใจคุณวิชญ์หรือเปล่า”
ธนัชวิชญ์เงยหน้ามองพิสชา เมื่อเห็นว่าคราวนี้อีกฝ่ายตั้งอกตั้งใจที่จะให้เขาทานขนมเค้กฝีมือของเธอให้ได้ จึงต้องใจอ่อนยอมทำตาม
“เอ้า กินก็กิน ถ้าไม่อร่อยนะ ผมเอาพี่หมีน้อยของคุณไปหั่นแยกชิ้นส่วนแน่”
“มันจะไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอนค่ะ” พิสชาพูดอย่างตื่นเต้น หันกลับมายกถาดขนมเค้กยื่นไปตรงหน้าชายหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหยิบมีดมาตัดออกเพื่อแบ่งชิม เสียงฟ้าผ่าก็ดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว แล้ววินาทีต่อมา ไฟฟ้าภายในบ้านพักหลังงามของพวกเขาก็ดับพรึบลงอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความมืดมิด
“กรี๊ดดดดด!”
พิสชากรีดร้องด้วยความตกใจ สองมือโยนถาดขนมเค้กลอยกระเด็นไปด้านหลัง มีดตัดเค้กและช้อนกระเบื้องปลิวหวือไปคนละทิศละทาง พร้อมกันนั้น พิสชาก็กระโดดขึ้นมานั่งห่อตัวเหมือนลูกแมวตัวน้อยอยู่บนตักของเขา สองแขนโอบลำคอจนศีรษะของธนัชวิชญ์แทบคมำซบกับหน้าอกเล็กๆ ของเธอ
“นะ...นี่ ปล่อยคอผมก่อน” ชายหนุ่มพูดละล่ำละลักด้วยไม่ทันตั้งตัว กลิ่นกายสาวหอมกรุ่นจากอีกฝ่ายลอมเข้ามาเต็มจมูก หัวใจรู้สึกหวิวไหวขึ้นมาทันที แต่ก็ยังพยายามพูดออกไปอย่างเป็นปกติมากที่สุด “ตั้งสติหน่อยได้มั้ย แค่ไฟดับเอง อย่าตกใจสิ”
คำพูดของเขาคงเรียกสติพิสชากลับคืนมาไม่มากก็น้อย ท่อนแขนที่โอบรอบคอเขาคลายออก แต่คนขี้กลัวยังไม่ขยับเขยื้อนตัวลงจากตักของเขา
“บรื๋อ ไฟดับแล้วบ้านหลังนี้น่ากลัวจังเลยเนอะ” พิสชากระซิบ ธนัชวิชญ์เห็นเงารางๆ ของเธอหันซ้ายหันขวากวาดมองรอบกายอย่างหวาดระแวง
ในความมืด ชายหนุ่มระบายยิ้มออกมาได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวใครเห็น
“กลัวเหรอ?” เขาถาม สองมือโอบกอดร่างบางโดยไม่รู้ตัว
“แล้วคุณวิชญ์ไม่กลัวเหรอคะ?” หญิงสาวกระซิบถามกลับ คล้ายกับเขาถามเรื่องที่ทุกคนบนโลกก็รู้หมดแล้ว
“กลัวอะไรล่ะ? - ความมืดหรือผี?”
“ทั้งสองอย่างแหละค่ะ” พิสชาตอบเสียงสั่น
เขาหัวเราะเบาๆ “จะกลัวทำไม ความมืดอยู่บนโลกตั้งแต่ก่อนมนุษย์เกิดอีกนะ แล้วปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าผีมีอยู่จริงหรือเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคุณวิชญ์ไม่กลัวหรอคะ?” สองแขนเรียวของหญิงสาวโอบกระชับรอบคอชายหนุ่มอีกครั้งอย่างหาที่ยึดเหนี่ยว
“ก็ใช่สิ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวสักหน่อยนี่”
“เก่งจัง”
ธนัชวิชญ์ฉีกยิ้มที่ส่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“คุณวิชญ์กำลังยิ้มหรือคะ?” พิสชาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของพวกเขาสัมผัสกันเบาๆ เธอเขม้นตามองฝ่าความมืดมายังรอยยิ้มที่ชื่นชม ไม่เข้าใจว่าภายใต้บรรยากาศที่แสนน่ากลัวอย่างนี้ เขายังสามารถยื้มออกมาได้อย่างไร
“เห็นหรือไง?”
“คล้ายๆ อ่ะค่ะ” เธอตอบ
ลมหายใจอุ่นที่ราดรดกันและกันปลุกความรู้สึกจากส่วนลึกในใจของธนัชวิชญ์ขึ้นมาจนเขาไม่รู้ตัวไปชั่วขณะ ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขาเลือกที่จะใช้ช่วงเวลานั้นโน้มใบหน้าลงประกบริมฝีปากเข้ากับปากจิ้มลื้มร้อนอุ่นของคนบนตักอย่างห้ามใจไม่อยู่
สัมผัสแห่งความเปลี่ยวเหงาถุกปลดเปลื้องผ่านรสจูบอบอุ่นสองแขนกำยำโอบรัดร่างบางแนบแน่น ไฟปรารถนาที่อยากครอบครองหญิงสาวทั้งร่างกายและจิตใจปะทุขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสองปี
แรกทีเดียวพิสชาสะดุ้งหนีอย่างตกใจ แต่ชายหนุ่มก็จับใบหน้าเธอค้างไว้และบดขยี้ริมฝีปากลงมาอีกอย่างหิวกระหาย พอผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวพลันรู้สึกร่างกายอ่อนระทวย สองแขนโอบกอดตอบเขา ปฏิกิริยาตอบสนองเป็นไปตามธรรมชาติ มันคือสัมผัสรักที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
พิสชาหลับตาพริ้มด้วยความเคลิบเคลิ้มเมื่อธนัชวิชญ์ถอนริมฝีปากออกและทดแทนด้วยการพรมจูบทั่วใบหน้าของเธอ ไล่เรื่อยมายังใบหู กับลำคอระหง รู้สึกได้ว่ามือของเขาป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าอก กระดุมเสื้อสองสามเม็ดของเธอถูกปลดออก มืออุ่นๆ ของเขาสอดเข้ามาลูบไล้หน้าอกกลมเล็กอย่างซุกซน พิสชารู้สึกจั๊กจี๋และเสียวซ่านขึ้นมาพร้อมกัน เป็นการยากที่จะขัดขืนเขา...และหัวใจของตัวเอง
ฉับพลันนั้น ประตูห้องกลับเปิดผัวะออก
สองหนุ่มสาวชะงักงัน
“คุณวิชญ์คะ ฟ้าผ่าเสาไฟฟ้าใกล้ๆ แถวนี้ ไฟดับกันหมดเลย...ค่ะ” แองจี้เดินถือไฟฉายเข้ามารายงาน ก่อนหยุดนิ่งเมื่อสาดแสงไฟมาพบว่าสองคนภายในห้องกำลังทำอะไรกันอยู่เบื้องหลังโต๊ะไม้สักอันเป็นที่ตั้งของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
แสงไฟฉายที่สาดส่องเรียกสติของธนัชวิชญ์และพิสชาให้กลับคืน โดยเฉพาะพิสชาที่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวราวกับคนที่ยืนตากแดดนานนับชั่วโมง เธอรีบถลาลงจากตักของชายหนุ่ม พลางยกมือรวบคอเสื้อที่ถูกปลดกระดุมด้วยมือข้างขวา หญิงสาวผู้สวมแว่นตาไร้กรอบจ้องมองมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก พิสชาหันรีหันขวาง เห็นถาดขนมเค้กตกคว่ำหน้าอยู่บนพื้นก็จ้ำอ้าวมานั่งเก็บมันขึ้นมา หันหลังให้ทั้งธนัชวิชญ์และแองจี้ ทำท่าเป็นไม่สนใจใคร แต่ความรู้สึกแท้จริงแล้วกำลังอับอายมากๆ
ยัยพิสชา แกเป็นอะไรของแกเนี่ย...เธอได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาขณะเก็บขนมเค้กที่เละเทะกลับคืนถาดทีละชิ้นๆ แต่ด้วยความที่เก็บอย่างใจลอย เธอจึงไม่ได้สังเกตว่าตนเองเก็บเค้กไม่ลงถาดเลยสักชิ้นเดียว
“ผมจำได้ว่ามีเครื่องปั่นไฟไม่ใช่หรือ?” ธนัชวิชญ์ถามแองจี้เสียงเรียบ แต่สายตาจ้องมองมาที่แผ่นหลังของพิสชา
“ลุงไกรกำลังไปดูอยู่ค่ะ” แองจี้ตอบ ลดเสียงลงเล็กน้อย “ขอโทษที่เข้ามารบกวนนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมกำลังจะออกไปพอดี” ชายหนุ่มละสายตาจากสาวซื่อหันกลับมาที่แองจี้ “จำได้ไหมว่าตอนเป็นเด็กคุณกับผมชอบเล่นอะไรกันมากที่สุด?”
แองจี้มีท่าทีประหลาดใจ แต่หล่อนก็นิ่งคิดแล้วตอบ “หมากล้อมค่ะ”
“ดี งั้นเราไปหาหมากล้อมมานั่งเล่นกันเถอะ” ธนัชวิชญ์กล่าว กดปุ่มเคลื่อนวีลแชร์ไฟฟ้าไปที่ประตู หยุดเล็กน้อยเพื่อเหลียวหน้ามาเอ่ยกับพิสชา “ถ้าง่วงคุณก็เข้านอนได้เลยนะ ไม่ต้องรอผม”
“ขะ...ค่ะ” พิสชาตอบ หันหน้ากลับไปมองเขา ธนัชวิชญ์เหหน้าหนีและเคลื่อนวีลแชร์ไฟฟ้าออกจากห้องไปทันที มีแองจี้ติดตามอยู่ข้างกายไม่ห่าง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2556, 10:55:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2556, 10:55:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 1460
<< บทที่ 6 – เกลือเป็นหนอน |